แตงกวา
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cucumis sativus L.
ชื่อวงค์
CUCURBITACEAE
ชื่อสมุนไพร
แตงกวา
ชื่ออังกฤษ
Cucumber
ชื่อพ้อง
Cucumis esculentus Salisb.
Cucumis hardwickii Royle
Cucumis muricatus Willd.
ชื่อท้องถิ่น
ตาเสาะ แตงขี้ไก่ แตงขี้ควาย แตงช้าง แตงปี แตงยาง แตงร้าน แตงเห็น แตงอ้ม
ชื่อ INCI
CUCUMIS SATIVUS CALLUS EXTRACT
CUCUMIS SATIVUS EXTRACT
CUCUMIS SATIVUS FRUIT
CUCUMIS SATIVUS FRUIT EXTRACT
CUCUMIS SATIVUS FRUIT WATER
CUCUMIS SATIVUS JUICE
CUCUMIS SATIVUS OIL
CUCUMIS SATIVUS PHTYOPLACENTA CULTURE EXTRACT
CUCUMIS SATIVUS SEED EXTRACT
CUCUMIS SATIVUS SEED OIL
HYDROLYZED CUCUMBER FRUIT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มีการบันทึกประวัติการปลูกแตงกวามากกว่า 3,000 ปีและมีการปลูกแตงกวาในประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อก่อน 2,000 ปีโดยนำผ่านทวีปเอเซียกลางและตอนเหนือของทวีปแอฟริกา
ในศตวรรษที่ 6 ได้นำไปปลูกในประเทศจีนโดยสันนิษฐานว่าได้นำเข้าประเทศจีน 2 ทางคือเส้นทางสายไหมโดยผ่านประเทศในเอเซียตะวันออกไปภาคเหนือของประเทศจีนส่วนอีกเส้นทางโดยผ่านประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่พม่าไทยลาวไปสู่ทางภาคใต้ของประเทศจีนในศตวรรษที่ 9-14 ได้นำแตงกวาไปปลูกในทวีปยุโรปแตงกวาได้รับการพัฒนาพันธุ์ให้เหมาะสมต่อการปลูกได้ในโรงเรือนศตวรรษที่ 15-16
ได้นำไปปลูกในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาเหนือและแตงกวาได้รับการพัฒนาพันธุ์อย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันแตงกวาเป็นผักที่นิยมบริโภคทั่วโลกทั้งในสภาพการบริโภคสดและแปรรูป (4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อยลำต้นเป็นเหลี่ยมมีขนแข็งมือเกาะไม่แยกแขนงใบเดี่ยวเรียงสลับรูปสามเหลี่ยมแกมรูปไข่มี 3–5 เหลี่ยมหรือเว้าตื้นๆเป็น 3–5 แฉกปลายใบแหลมขอบใบหยักแบบซี่ฟันโคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจดอกเพศผู้และเพศเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศอยู่บนต้นเดียวกันดอกเพศผู้ออกเป็นกระจุกที่ง่ามใบกลีบดอกเชื่อมติดกันที่โคนเป็นรูประฆังปลายแยกเป็นแฉกแคบๆ 5 แฉกผิวย่นและมีขนสีเหลืองเกสรเพศผู้มี 3 อันก้านไม่ติดกันอับเรณูติดอยู่ด้านนอกดอกเพศเมียมีลักษณะเหมือนดอกเพศผู้รังไข่มี 3 ช่องผลมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันมากผลอ่อนมีตุ่มเล็กกระจายทั่วไปสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้มผลแก่สีเหลืองหรือสีเหลืองแกมน้ำตาลเมล็ดมีจำนวนมากรูปไข่หรือรูปรีแบนสีขาว (3)
การเพาะปลูก
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต แตงกวาชอบขึ้นในดินร่วนปนทรายการระบายน้ำดีชอบอากาศร้อนถ้าปลูกในที่เย็นจัดเมล็ดแตงกวาจะไม่งอกแต่จะฟักตัวอยู่ในดินหากอุณหภูมิเริ่มอบอุ่นขึ้นเมล็ดนั้นจะกลับงอกขึ้นมาอีกหากอากาศเย็นจะให้ผลช้าอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตประมาณ 25oC หรือสูงกว่านี้แตงกวาก็โตได้ปกติประเทศไทยนับว่าเหมาะสมที่จะปลูกแตงกวามากยกเว้นในเขตที่มีอากาศเย็นจัดนอกจากนี้แตงกวายังต้องการบรรยากาศที่แห้งด้วยต้องการแสงแดดจัดตลอดวันความเป็นกรดด่างของดินประมาณ 5.5 -6.8
การเตรียมดิน แตงกวาเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลางควรขุดไถให้หน้าดินลึกประมาณ 20 -25 ซม. และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเก่าลงไปในการเตรียมดินด้วยและเนื่องจากมักนิยมปลูกแตงแบบหยอดเมล็ดลงโดยตรงในแปลงดังนั้นผิวหน้าดินของแปลงปลูกควรละเอียดพอประมาณ
การปลูก
ปลูกระยะระหว่างแถวประมาณ 1.5 ม.ระยะระหว่างต้น 1 ม.หรือ 1.5ม.โดยใช้เมล็ดหยอดหลุมละ 3 -5 เมล็ดโดยให้ลึกลงไปในดิน 2.5 ซม. แล้วกลบด้วยปุ๋ยคอกการยกร่องปลูกหากปลูกเป็นแปลงใหญ่นิยมปลูกแถวเดี่ยวและได้ระยะระหว่างแถวห่าง 1.5 ม. ระหว่างต้น 50 ซม. ในกรณีนี้มักไม่ปักไม้ค้างหากพื้นที่ยกร่องเล็กๆมักปลูกเป็นแถวๆคู่มักปักค้างให้เถาแตงเลื้อยขึ้นระยะปักใช้ 100 -150 ซม. เมื่อหยอดเมล็ดเสร็จควรใช้ฟางคลุมและรดน้ำให้ดินชื้นอยู่เสมอหลังจากแตงกวางอกและมีใบจริง 2 ใบควรถอนทิ้งให้เหลือหลุมละ 1 -2 ต้นเมื่อเถาแตงอายุ 14 วันจะเริ่มเลื้อยจึงมักปักค้างให้แตงโดยปักไม้ปักหลุมละ 1 อันและให้หลักเอนเข้าหากันและมัดไว้ด้านบนไม้ค้างควรยาว 2 ม.
การปฏิบัติดูแลรักษา
การให้น้ำ ระบบการให้น้ำแบบFurrow System มักให้ผลดีเพราะผิวดินจะชุ่มน้ำมากและเถาแตงไม่เปียกน้ำหากให้น้ำระบบที่ทำให้เถาแตงเปียกน้ำอาจเป็นบ่อเกิดของโรคเน่าได้โรคเน่ามักเป็นที่ใบและลำต้น
การพรวนดิน ควรทำในระยะแรกเพื่อกำจัดวัชพืชในระยะต่อมาอาจทำลำบากเพราะรากแตงจะอยู่ที่ผิวดินมากหากพรวนดินจะกระทบกระเทือนระบบรากทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและประกอบกับเถาแตงมักเปราะง่ายดังนั้นอาจทำให้การเจริญของแตงกวาไม่ดี
การให้ปุ๋ย ในการใส่ปุ๋ยคอกตอนเตรียมดินมักใช้ในอัตรา 2 ตัน/ไร่และมักใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15
เป็นปุ๋ยรองพื้นด้วยการเจริญในระยะแรกควรใส่โซเดียมไนเตรท 1 ช้อนโต๊ะ/หลุมต้นแตงจะแข็งแรงดีอาจใส่ 2 ครั้งภายใน 1 เดือนแรกของการเจริญเติบโตแต่เนื่องจากแตงเป็นผักที่รับประทานผลดังนั้นในระยะหลังควรใส่ปุ๋ย 14-14-21 ในอัตรา 50 กก./ไร่และปุ๋ยสูตรนี้อาจใส่เป็นปุ๋ยรองพื้นก็ได้
การเก็บเกี่ยว มักเริ่มเก็บผลแตงได้เมื่อหลังจากหยอดเมล็ด 40 วันและจะเก็บไปเรื่อยๆอีกประมาณ
1 เดือนการเก็บต้องคำนึงถึงขนาดของผลและจุดประสงค์ของการใช้ในการดองมักเก็บเมื่อผลมีอายุ
3 -4 วันจากผสมเกสรในการบริโภคสดควรเก็บเมื่ออายุ 6 -7 วันหลังจากผสมเกสรระยะผสมเกสรเป็นระยะที่ดอกแตงบานหากทิ้งผลที่มีอายุมากไว้กับต้นแตงต้นแตงจะโทรมผลแตงอ่อนจะมีสีเขียวปนขาว
ผลแตงแก่จะมีสีเหลืองหลังจากเก็บเกี่ยวได้ 2 -3 วันคุณภาพจะเสื่อมลงแตงกวาพันธุ์พื้นเมืองมีขนาดประมาณ 7 -10 ซม. พันธุ์ต่างประเทศขนาดของผลประมาณ 20 -25 ซม. และผลอ่อนสีเขียวเข้มมาก (32)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ผล บรรเทาอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง น้ำจากผล ทำให้ผิวชุ่มชื้น (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ apigenin 8-C-β-D-glucopyranoside (vitexin), apigenin6-C-β-D-glucopyranoside (isovitexin), luteolin-8-C-β-D-glucopyranoside (orientin), luteolin-6-C-β-D-gluco pyranoside (isoorientin) (6)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids) ได้แก่ cucurbitacins A-E, I, cucumerin A-B (6)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids) ได้แก่ linoleic acid, oleic acid, palmitic acid (7)
สารกลุ่มลิกแนน (lignans) ได้แก่ (+)-(1R,2S,5R,6S)-2,6-di-(4′-hydroxyphenyl)-3,7-dioxabicyclo[3.3.0] octane, (–)-pinoresinol, (+)-pinoresinol (8)
สารกลุ่มอัคคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ indole-3-aldehyde (8)
สารกลุ่มอิมิโนซูการ์ (iminosugars) ได้แก่ (2R,3R,4R,5S)-3,4,5-trihydroxypiperidine-2-carboxylic acid (idoBR1) (9)
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ได้แก่ lutein (8)
สารกลุ่มวิตามิน (vitamins) ได้แก่ γ-tocopherol (วิตามินอี) (10 -11), niacin, thiamin, วิตามิน A (11), วิตามิน C (11-12)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids)
สารกลุ่มลิกแนน (lignans)
สารกลุ่มอัคคาลอยด์ (alkaloids)
สารกลุ่มอิมิโนซูการ์ (iminosugars)
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
⁃ สารที่ทำให้ผิวขาว ได้แก่ lutein, (+)-(1R,2S,5R,6S)-2,6-di-(4'-hydroxyphenyl)-3,7-dioxabicyclo[3.3.0] octane, (–)-pinoresinol, (+)-pinoresinol และ indole-3-aldehyde (8)
⁃ สารต้านการอักเสบบนผิวกาย ได้แก่ (2R,3R,4R,5S)-3,4,5-trihydroxypiperidine-2-carboxylic acid (idoBR1) (9)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของแตงกวา มีการศึกษาดังนี้
การศึกษาที่ 1 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือGC/MS system วิเคราะห์สารกลุ่มกรดอะมิโนสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (9)
column : high-polarity fused-silica column (Varian “Factor Four” VF-5MS column) ความยาว 25 ม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.25 มม. ความหนาของฟิล์ม 0.25 มคม. อุณหภูมิคอลัมน์ 25 oC
Helium (He) เป็น carrier gas ด้วยอัตรา 1 มล./นาที
โปรแกรมควบคุมอุณหภูมิ : ตั้งinjector temperature ที่ 160oC ภายในเวลา 5 นาที จากนั้นเพิ่มอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึง 300 oC โดยเพิ่มอุณหภูมิด้วยอัตรา 10oC /นาที
การศึกษาที่ 2 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC system วิเคราะห์สาร γ-tocopherol สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (10)
column : Shimadzu-HPLC LC2010CHT C18 reverse phase column (4.6 × 250 มม. x 5 มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 25 oC
mobile phase : ใช้binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วย A : เมทานอล และ B : อะเซทโตรไนไตด์ อัตราส่วน A : B เท่ากับ 60 : 40
flow rate : 1.0 มล./นาที
UV-Visible detector ที่ความยาวคลื่น 292 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 3 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC system วิเคราะห์วิตามินซีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (12)
column : Waters Spherisorb column C18 (4.6 × 250มม. x5มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 25oC
mobile phase : ใช้ binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วย A : เมทานอล และ B : น้ำอัตราส่วนA : B เท่ากับ 10 : 90 ร่วมกับ 1% กรออะซิติก pH 7.2
flow rate : 1.0 มล./นาที
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (F001)
การศึกษาแบบปกปิดฝ่ายเดียว (one-sided blind study) ในผู้ที่มีสุขภาพดีจำนวน 21 คน อายุระหว่าง 21 - 35 ปี โดยทุกคนจะได้รับครีมทาผิว 2 ชนิด ครีมตัวแรกเป็นครีมเบส ส่วนครีมชนิดที่ 2 เป็นครีมทาผิวในรูปอิมัลชันที่มีส่วนผสมของสารสกัดไฮโดรอัลกอฮอลิกซ์ของผลแตงกวา 3% (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) โดยให้อาสาสมัครทาครีมแตงกวาที่แก้มด้านหนึ่ง และแก้มอีกด้านหนึ่งให้ทาครีมเบส
วันละ 2 ครั้ง นาน 60 วัน และมีการประเมินสภาพผิวทุกสัปดาห์ที่ 1, 2, 3 และ 4 พบว่าครีมแตงกวาสามารถลดปริมาณของเมลานิน ลดความมัน (sebum) ลดความชุ่มชื้น แต่มีผลเพิ่มการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง transepidermal water loss (TEWL) เมื่อเทียบกับครีมเบส โดยไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง (13)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
การศึกษาในผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม และต้องฉายรังสีเพื่อการรักษา และเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบที่ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี จำนวน 153 คน อายุเฉลี่ย 55.7 ± 10.7 ปี แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ไม่ทาครีมใด ๆ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุมให้ทาครีมบำรุงผิว (ตัวอย่างจากบริษัท Johnson & Johnson) กลุ่มที่ 3, 4 และ 5 ให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบบัวบก แตงกวา และรางจืด 7, 20 และ 5% (w/w) ตามลำดับ (ตัวอย่างจาก รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์) โดยให้ทาครีมบริเวณที่ฉายรังสีวันละ 1 ครั้งทุกวัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉายรังสีจนครบครั้งสุดท้ายการฉายรังสีและทาต่อไปอีก 1 เดือน พบว่าครีมแตงกวา บัวบก และครีมบำรุงผิว มีผลลดการอักเสบของผิวจากการฉายรังสีได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ทาครีมใดๆ ในขณะที่ครีมรางจืดจะให้ผลน้อยกว่า และครีมแตงกวาให้ผลดีที่สุดในการลดการอักเสบของผิวหนังเมื่อเทียบกับครีมที่เหลืออีก 3 ชนิด (14)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (S001)
น้ำคั้นผลแตงกวาที่ปลอกเปลือกและเอาเมล็ดออก, ส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตท และเอ็น-บิวทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ในหลอดทดลอง พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ 40.09, 24.46 และ 99.68 มคก./มล. ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับสาร quercetin ที่มี IC50 เท่ากับ 18.27 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดีที่สุด (15)
สารสำคัญที่สามารถสกัดแยกได้จากสารสกัดเมทานอลของใบแตงกวา ได้แก่ lutein, (+)-(1R,2S,5R,6S)-2,6-di-(4′-hydroxyphenyl)-3,7-dioxabicyclo[3.3.0]octane, (–)-pinoresinol, (+)-pinoresinolและ indole-3-aldehyde เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการสังเคราะห์สาร melanin ในเซลล์ B16 melanoma cells พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งการสังเคราะห์สาร melanin ได้ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ 170.7 ± 16.5, 270.8 ± 37.5,216.8 ± 32.0, 202.1 ± 26.3และ 297.9 ± 33.6 ไมโครโมล่าร์ เมื่อเทียบกับสาร arbutin ที่มีค่า IC50 เท่ากับ 234.9 ± 27.9 ไมโครโมล่าร์ จากการศึกษาสรุปได้ว่า สาร lutein และ (–)-pinoresinolต้านการสังเคราะห์สารmelanin ได้ดีกว่าสาร arbutin (8)
1.2 ฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
สารสกัดเมล็ดแตงกวาด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่า สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus โดยมีค่าMIC (Minimum Inhibition Concentration) เท่ากับ 300 มคก./มล. และค่า MBC (Minimum Bactericidal Concentration)เท่ากับ500 มคก./มล. ตามลำดับ (16)
สารสกัดหยาบเมล็ดแตงกวาด้วย 70% เอทานอล, เอ็น-เฮกเซน, ไดคลอโรมีเทน และเอทิลอะซิเตท (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี Agar-well method ต่อเชื้อ S. aureus พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 21.5±0.02, 19.0±0.21, 10.15±0.12 และ 11.5±0.11 มม. จะเห็นได้ว่าสารสกัดเมล็ดแตงกวาด้วย 70% เอทานอล ให้ผลดีที่สุด (17)
สารสกัดเมล็ดแตงกวาด้วยโซเดียมฟอสเฟตซิเตรดบัฟเฟอร์ (sodium phosphate citrate buffer) ที่ความเข้มข้น 2.74 มคก./มล. (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี Agar-well method ต่อเชื้อ S. aureus พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10 มม. ในขณะที่ยา chloramphenicol ความเข้มข้น 25 มคก./มล. บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 21 มม. (18)
โปรตีนจากเมล็ดแตงกวาที่สกัดแยกด้วยวิธี Ion-exchange chromatography ได้ส่วนของสารสกัด 1-4 (ตัวอย่างจากประเทศซาอุดิอาระเบีย) เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี agar-well method ต่อเชื้อ S. aureus พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ 183.53, 190.28, 68.15 และ 63.78 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่ยา ciprofloxacin มีค่า IC50 เท่ากับ 160.52 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าโปรตีนจากเมล็ดแตงกวา จากส่วนสกัดที่ 3 และ 4 มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ได้ดีกว่ายา ciprofloxacin (19)
สารสกัดเมทานอลของใบแตงกวา (ตัวอย่างจากประเทศซาอุดิอาระเบีย) ความเข้มข้น 10, 25, 50, 75 และ 100 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี agar-well method ต่อเชื้อ S. Aureus พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10, 11, 14, 17 และ 20 มม. ตามลำดับ (20)
1.3 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
น้ำคั้นผลแตงกวาที่ปลอกเปลือกและเอาเมล็ดออก, ส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตท และเอ็น-บิวทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picryl-hydrazine (DPPH) assay ในหลอดทดลองพบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 122.67, 358.04 และ 294.64 มคก./มล. ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีที่มี IC50 เท่ากับ 24.57 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าน้ำคั้นผลแตงกวามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดแต่มีฤทธิ์น้อยกว่าวิตามินซี (15)
สารสกัดหยาบเมล็ดแตงกวาด้วย 70% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) ที่ความเข้มข้น 125, 250 และ 500 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีค่าเท่ากับ 28.1 ± 1.0, 32.0 ± 1.01 และ 46.05 ± 1.23% ตามลำดับ ซึ่งน้อยกว่าวิตามินซีที่ความเข้มข้นที่เท่ากัน สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 45.2±1.0, 62.33 ± 0.22 และ 92.55 ± 2.50% ตามลำดับ (17)
สาร polysaccharide ในผลแตงกวา ความเข้มข้น 1.6 และ 3.2 มก./มล. (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี hydroxyl radical scavenging assay พบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 50 และ 80% ตามลำดับ (21)
สารสกัดผลแตงกวาด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ135.1±1.17ไมโครโมลสมมูลTrolox (Trolox equivalent)/กรัมสารสกัด (22)
สารสกัดผลแตงกวาด้วย 70% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 54.29 + 1.18% (23)
สารสกัดเปลือกผลแตงกวาด้วยเมทานอลและคลอโรฟอร์ม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay ในหลอดทดลองพบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 329 และ 381.6มคก./มล.ตามลำดับ (24)
น้ำผลแตงกวาที่ทำให้เป็นผงด้วยความเย็น (lyophilized) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 14.73 ± 1.42 มคก./มล. เมื่อเปรียบเทียบกับสารbutylated hydroxytoluene (BHT) ที่มี IC50 เท่ากับ 31.38 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าน้ำผลแตงกวามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าBHT (12)
สารสกัดเปลือกผลเนื้อผลน้ำแตงกวาด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศกรีซ) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่าIC50มีค่าเท่ากับ1.84 ± 0.1, 1.31 ± 0.1และ 5.82 ± 0.1 มก./มล. เมื่อเปรียบเทียบกับสารBHT ที่มี IC50 เท่ากับ 0.25 ± 0.1มก./มล. (25)
เจลแตงกวาที่มีส่วนผสมของสารสกัดเปลือกผลแตงกวาที่สกัดด้วยความเย็น (lyophilized) 2.5 กรัม(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ค่า pH 6.4 เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่าIC50 มีค่าเท่ากับ 6.44 มก./มล. เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีที่มี IC50 เท่ากับ 3.45 มก./มล. (26)
1.4 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (S007)
น้ำคั้นผลแตงกวาที่ปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก, ส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตท และเอ็น-บิวทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส(hyaluronidase) ในหลอดทดลองพบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 75.84, 59.54 และ 377.28 มคก./มล. ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับสาร catechin ที่มี IC50 เท่ากับ 14.57 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสได้ดีที่สุด แต่มีฤทธิ์น้อยกว่า catechin (15)
น้ำคั้นผลแตงกวาที่ปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก, ส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตทและเอ็น-บิวทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเอนไซม์อีลาสเตส (elastase) ในหลอดทดลอง พบว่าค่า IC50 มีค่าเท่ากับ 66.08, 52.76 และ 42.16มคก./มล. ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับสารcatechin ที่มี IC50 เท่ากับ 1.84 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอ็น-บิวทานอลมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์อีลาสเตสได้ดีที่สุดแต่มีฤทธิ์น้อยกว่า catechin (15)
น้ำคั้นผลแตงกวาที่ปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก, ส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตทและเอ็น-บิวทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเอนไซม์คอลลาจีเนส (collagenase) ในหลอดทดลองพบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 56.88, 45.79 และ 50.59 มคก./มล. ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับสารcatechin ที่มี IC50 เท่ากับ 18.21 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าส่วนสกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตดมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์คอลลาจีเนสได้ดีที่สุดแต่มีฤทธิ์น้อยกว่า catechin (15)
น้ำผลแตงกวาที่ทำให้เป็นผงด้วยความเย็น (lyophilized) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสพบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 20.98 ± 1.78 มคก./มล. เมื่อเปรียบเทียบกับสาร oleanolic acid ที่มี IC50 เท่ากับ 41.54 ± 1.57 มคก./มล.จะเห็นได้ว่าน้ำผลแตงกวามีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสได้ดีกว่า oleanolic acid (12)
น้ำผลแตงกวาที่ทำให้เป็นผงด้วยความเย็น (lyophilized) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเอนไซม์อีลาสเตส (elastase) พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 6.14 ± 1.74 มคก./มล. เมื่อเปรียบเทียบกับสาร oleanolic acid ที่มี IC50 เท่ากับ 18.47 ± 1.4 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าน้ำผลแตงกวามีฤทธิ์ต้านเอนไซม์อีลาสเตสได้ดีกว่า oleanolic acid (12)
1.5 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
เมื่อป้อนผลแตงกวาปั่นละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ขนาด 2 และ 4 มล./กก. (ตัวอย่างประเทศไนจีเรีย) ให้กับหนูแรท 1 ชม. ก่อนที่จะเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าขวาด้วย 2% agar-agar suspension พบว่าหลังการศึกษา 5.5 ชม. ผลแตงกวาปั่นละเอียดขนาด 4 มล./กก. สามารถลดอาการบวมที่อุ้งเท้าหนูได้ใกล้เคียงกับยา diclofenac ขนาด 150 มก./กก. (27)
สาร (2R,3R,4R,5S)-3,4,5-trihydroxypiperidine-2-carboxylic acid (idoBR1) จากผลแตงกวา (ตัวอย่างจากประเทศสหรัฐอเมริกา) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เม็ดเลือดขาว (THP 1 cell macrophages) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยสารไลโปโพลีแซคคาไรด์ (lipopolysaccharide; LPS) พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 0.1 ไมโครโมล่าร์ (9)
1.6 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
สูตรครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำผลแตงกวา ขนาด 2.5, 5 และ 10% (นน./นน.) ค่า pH ของครีมอยู่ในช่วง 6.52 - 6.62 (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทาที่แผลของหนูเม้าส์ที่มีความกว้าง 300 มม.2ความลึก 2 มม. โดยใช้ครีมขนาด 0.5 ซม. ทาที่แผลทุกวัน ๆ ละ 1 ครั้ง และวัดขนาดแผลทุกวัน นาน 20 วัน พบว่าครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำผลแตงกวาทุกขนาดมีผลทำให้ขนาดของแผลลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยที่ขนาดแผลของกลุ่มที่ได้รับครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำผลแตงกวาที่ 2.5% ขนาดของแผลมีความกว้างเท่ากับ 217.70 ± 3.62 และ 214.68 ± 3.21 มม.2 ในวันที่ 16 และ 20 ของการศึกษา ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำผลแตงกวาที่ 5 และ 10% ขนาดของแผลมีความกว้างเท่ากับ 242.52 ± 8.15, 200.88 ± 6.78, 164.93 ± 8.023, 109.9 ± 8.19, 89.05 ± 4.90 มม.2และ 225.45 ± 7.16, 165.10 ± 10.52, 116.69 ± 7.72, 57.82 ± 7.51, 33.35 ± 4.37 ในวันที่ 4, 8, 12, 16 และ 20 ของการศึกษาตามลำดับ ส่วนกลุ่มควบคุมขนาดของแผลมีความกว้างเท่ากับ 281.86 ± 5.44, 269.91 ± 6.76, 265.41 ± 5.02, 256.86 ± 5.54, 251.30 ± 9.0, 243.55 ± 7.51 และ 244.6 ± 7.54 ในวันที่เริ่มการศึกษา 2, 4, 8, 12, 16 และ 20 ของการศึกษาตามลำดับ จะเห็นได้ว่าสูตรครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำผลแตงกวาขนาด 10% (นน./นน.) ให้ผลในการรักษาแผลดีที่สุด (28)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน
เมื่อป้อนผลแตงกวาปั่นละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันขนาด 0.5, 1.0, 1.5, 3.0 และ 5 มล./กก. (ตัวอย่างประเทศไนจีเรีย) ให้กับหนูเม้าส์ พบว่าไม่มีหนูตาย แสดงว่าค่อนข้างปลอดภัย (27)
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำผลแตงกวาให้หนูเม้าส์กิน (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) และสังเกตอาการนาน 14 วัน พบว่าขนาดที่ปลอดภัยและไม่เป็นพิษกับหนู คือไม่มีอาการอ่อนเพลีย ชัก หายใจลำบาก มีค่ามากกว่า 5,000 มก./กก. (28)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ผู้ที่มีประวัติแพ้คื่นไฉ่ แครอท และแตงโม ก็อาจจะแพ้แตงกวาได้เช่นกัน (29)
อาการไม่พึงประสงค์
สูตรครีมที่ใช้กับใบหน้าที่มีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลของผลแตงกวาตั้งแต่ 0.5 - 1.5% (นน./นน.) ทั้งหมด 7 สูตร พบว่าสูตรครีมที่มีสารสกัดเอทานอลของผลแตงกวาที่ 1.5% (สูตรที่ 4 และ 5) ซึ่งมีค่า pH เท่ากับ 6.4 และ 6.5 ตามลำดับ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ไม่ได้ระบุรายละเอียดกลุ่มทดลอง เมื่อนำครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดแตงกวาทาที่หลังมือกว้างประมาณ 1 ซม. 2 สังเกตอาการภายใน 24 ชม. พบว่าหลังการศึกษาไม่มีผื่นแดง บวม การอักเสบ หรือระคายเคืองระหว่างการศึกษา แสดงว่าสูตรครีมดังกล่าวค่อนข้างปลอดภัย (30)
มีรายงานผู้หญิงอายุ 76 ปี เมื่อรับประทานผลแตงกวา ภายใน 5 นาที มีอาการมึนเวียนศีรษะ อาเจียน หายใจลำบาก มีผื่นแดงที่หน้าอก และคันที่ช่องคลอด เมื่อสืบประวัติย้อนหลังไป 3 เดือน พบว่ามีประวัติแพ้ยางมะละกอ แล้วทำให้เกิดผื่นคล้ายลมพิษ จากข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วยรายนี้สรุปได้ว่าคือการแพ้ยางมะละกอ และแพ้ยางแตงกวา (31)
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ครีมทาผิวในรูปอิมัลชันที่มีส่วนผสมของสารสกัดผลแตงกวา 3% (สารสกัดด้วยไฮโดรอัลกอฮอล์) โดยในการทดลองทาครีมที่แก้มวันละ 2 ครั้ง นาน 60 วันเพื่อทำให้ผิวขาว (13)
ครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดผลแตงกวา 20% w/w (จากรายงาน ไม่ระบุชนิดสารสกัด) โดยในการทดลองทาครีมบริเวณที่ฉายรังสีวันละ 1 ครั้ง ทุกวันตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉายรังสีจนครบครั้งสุดท้ายการฉายรังสีและทาต่อไปอีก 1 เดือน เพื่อการรักษาแผล (14)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
จากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยของแตงกวาจะเห็นได้ว่า แตงกวามีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะมีผลช่วยในเรื่องทำให้ผิวขาว นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส เอนไซม์ อีลาเตส และคอลลาจีเนส ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ดังนั้นแตงกวาน่าจะมีศักยภาพในการที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางได้ แต่อย่างไรก็ตามก็มีข้อควรระวังในผู้ที่มีประวัติแพ้คื่นไฉ่แครอทและแตงโมก็อาจจะแพ้แตงกวาได้เช่นกัน
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Cucumis sativus L. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2747062
3. ลีนา ผู้พัฒนพงศ์. สมุนไพรไทย ตอนที่ 3. กรุงเทพฯ: หจก. ฟันนี่พับลิชชิ่ง จำกัด, 2525
4. แตงกวา (Cucumber). [cited 2021 April 30]. Available from: https://vegetweb.com.
5. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร (บรรณาธิการ). สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2542ลีนา ผู้พัฒนพงศ์. สมุนไพรไทย ตอนที่ 3. กรุงเทพฯ: หจก. ฟันนี่พับลิชชิ่ง จำกัด, 2525:289 หน้า.
6. Mukherjee PK, Nema NK, Maity N, Sarkar BK. Phytochemical and therapeutic potential of cucumber. Fitoterapia. 2013;84:227-36. doi: 10.1016/j.fitote.2012.10.003.
7. Dutta K. Physicochemical characterization of Cucumis sativus L. seed oil. IJRASET. 2018;6(5):624-30.doi:10.22214/ijraset.2018.5105.
8. Kai H, Baba M, Okuyama T. Inhibitory effect of Cucumis sativus on melanin production in melanoma B16 cells by downregulation of tyrosinase expression. Planta Med. 2008;74:1785-8.doi: 10.1055/s-0028-1088338.
9. Nash RJ, Bartholomew B, Penkova YB, Rotondo D, Yamasaka F, Stafford GP. Iminosugar idoBR1 Isolated from cucumber Cucumis sativus reduces inflammatory activity. doi: 10.1021/acsomega.0c02092.
10. Doshi GM, Kanade PP. Identification and quantification of g-tocopherol in Cucurbita pepo, Cucumis melo and Cucumis sativus seeds extracts by high performance liquid chromatography. J Pharmacogn Phytochem. 2017;6(2):192-6.
11. Uthpala TGG, Marapana RAUJ, Lakmini KPC, Wettimuny DC. Nutritional bioactive compounds and health benefits of fresh and processed cucumber (Cucumis sativus L.). J Biotechnol. 2020;3(,9):75-82.doi:10.13140/RG.2.2.17510.04161.
12. Nema NK, Maity N, Sarkar B. Cucumis sativus fruit-potential antioxidant, anti-hyaluronidase and anti-elastase agent. Arch Dermatol Res. 2011;303:247-52. doi: 10.1007/s00403-010-1103-y.
13. Akhtar N, Mehmood A, Khan BA, Mahmood T, Muhammad H Khan S et al. Exploring cucumber extract for skin rejuvenation. Afr J Biotechnol. 2011;10(7):1206-16.
14. Thanthong S, Nanthong R, Kongwattanakul S, Laebua K, Trirussapanich P, Pitiporn S. Prophylaxis of radiation-induced dermatitis in patients with breast cancer using herbal creams: A prospective randomized controlled trial. Integr Cancer Ther. 2020;19:1-9. doi: 10.1177/1534735420920714.
15. Garg C, SINGH R, GARG M. In vitro screening of antioxidant and antiaging potential of Cucumis sativus fruit extract. Asian J Pharm Clin Res. 2020;13(5):187-90. doi: 10.22159/ajpcr.2020.v13i5.37358.
16. Abirami S, Samrot AV, Emilin Renitta R, Kanchana S, Noorudeen MB, Yamunadevi K, et al. Anti-microbial activity of seed extract of Cucumis sativus L., Carica papaya L. and Annona squamosa L. Int J Res Pharm Sci. 2020;11(4):6719-26. doi: 10.26452/ijrps.v11i4.3603.
17. Begum HA, Asad F, Sadiq A, Mulk S, Ali K. Antioxidant, antimicrobial activity and phytochemical analysis of the seeds extract of Cucumis sativus Linn. doi: 10.19045/bspab.2018.700202.
18. Akeel RA, Al-Sheikh Y, Mateen A, Syed R, Janardhan K, Gupta VC. Evaluation of antibacterial activity of crude protein extracts from seeds of six different medical plants against standard bacterial strains. Saudi J Biol Sci. (2013), doi: 10.1016/j.sjbs.2013.09.003.
19. Akeel RA, Mateen A, Alharbi KK, Alyousef AA, Al-Mandeel HM, Syed R. Purification and MIC analysis of antimicrobial proteins from Cucumis sativus L. seeds. BMC Complement Altern Med. 2018;18:121:1-6. doi: 10.1186/s12906-018-2176-y.
20. Tuama AA, Mohammed AA. Phytochemical screening and in vitro antibacterial and anticancer activities of the aqueous extract of Cucumis sativus. Saudi J Biol Sci. 2019;26:600-4.doi:10.1016/j.sjbs.2018.07.012.
21. Chen S, Huang H, Huang G. Extraction, derivatization and antioxidant activity of cucumber polysaccharide. Int J Biol Macromol. 2019;140:1047-53.doi: 10.1016/j.ijbiomac.2019.08.2030141-8130/©.
22. Sarwar N, Ahmed T, Ahmad M. Bioactive compounds and antioxidant activity of common vegetables and spices available in Bangladesh. Adv J Food Sci Technol. 2019;17(3):43-7.doi:10.19026/ajfst.17.6011.
23. Nwezoku U, Milala MA, Gidado AA. Cholesterolemic and antioxidant effects of extracts of some locally consumed fruits in Maiduguri. World J Pharm Pharm Sci. 2018;8(1):193-201. doi: 10.20959/wjpps20191-12669.
24. John S, Priyadarshini S, Monica SJ, Sivaraj C, Arumugam P. In vitro antioxidant and antimicrobial properties of Cucmis sativus peel extracts. Int Res J Pharm. 2018;9(1):56-60. doi: 10.20959/wjpps20191-12669.
25. Sotiroudis G, Melliou E, Sotiroudis TG, Chinou I. Chemical analysis, antioxidant and antimicrobial activity of three greek cucumber (Cucumis sativus) cultivars. J Food Biochem. 2010;34:61-78. doi: 10.1111/j.1745-4514.2009.00296.x.
26. Kumar R, Arora S, Singh S. Formulation and development of herbal cucumber gel for sunscreen and anti-oxidant activities. World J Pharm Pharm Sci. 2016;5(6):747-58. doi: 10.20959/wjpps20166-6556.
27. Agatemor UM, Nwodo OC, Anosike CA. Phytochemical and proximate composition of cucumber (Cucumis sativus) fruit from Nsukka, Nigeria. Afr J Biotechnol. 2017;17(38):1215-9. doi: 10.5897/AJB2018.16410.
28. Patil MVK, Kandhare AD, Bhise SD. Pharmacological evaluation of ameliorative effect of aqueous extract of Cucumis sativus L. fruit formulation on wound healing in Wistar rats. Chron Young Sci. 2011;2(4):207-13. doi: 10.4103/2229-5186.93026.
29. Jordan-Wagner DL, Whisman BA, Goetz DW. Cross-allergenicity among celery, cucumber, carrot, and watermelon. Ann Allergy. 1993;71(1):70-9.
30. Rajvanshi A, Sharma S, Khokra SL, Sahu RK, Jangde R. Formulation and evaluation of Cyperus rotundus and Cucumis sativus based herbal face cream. Pharmacologyonline. 2011;2:1238-44.
31. Vlaicu PC, Rusu LC, Ledesma A, Vicente M, Cuevas M, Zamorano M. Cucumber anaphylaxis in a latex-sensitized patient. J Investig Allergol Clin Immunol. 2011;21(3):236-9.
32. วิธีปลูกแตงกวา (Cucumber). [Internet]. [cited 2021 April 30]. Available from: https://www.plookphak.com/how-to-plant-cucumber/.