มะคำดีควาย
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Sapindus rarak DC.
ชื่อวงค์
SAPINDACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะคำดีควาย
ชื่ออังกฤษ
Soap nut tree
ชื่อพ้อง
Dittelasma rarak (DC.)
ชื่อท้องถิ่น
ซะเหล่เด ประคำดีควาย มะซัก ส้มป่อยเทศ หมากซัก
ชื่อ INCI
SAPINDUS RARAK FRUIT EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
พบตามป่าดิบชื้น อินเดียตะวันออก เมียนมา ภูมิภาคอินโดจีน ไต้หวัน และพบได้มากในมาเลเซีย ประเทศจีนตอนใต้ ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงปาปัวนิกินี แอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันออก ในไทยมีรายงานทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ (4-8)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ยืนต้นสูง 5 - 10 ม. เปลือกต้นสีน้ำตาลแกมเทา ใบประกอบแบบขนนกยาวได้ถึง 30 ซม. เรียงสลับ ใบย่อย 5 - 9 คู่ รูปใบหอก กว้าง 2 - 3 ซม. ยาว 6 - 10 ซม. เนื้อใบหนา เกลี้ยง โคนใบสอบและเบี้ยว ปลายใบสอบเรียวแหลม ดอกช่อแยกแขนงออกที่ปลายกิ่งกลีบดอกสีขาวหรือเหลืองอ่อน ผลสดรูปทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. เมล็ดรูปทรงกลม สีดำ แข็งมาก (3)
การเพาะปลูก
การเพาะปลูก (7)
ลักษณะพื้นที่ พื้นที่สวนผลไม้ป่าเบญจพรรณทั่วไป หัวไรปลายนา
ภาค ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
จังหวัด ทุกจังหวัดของประเทศไทย
การคัดเลือกพันธุ์ (พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย)
พันธุ์ที่ใช้เป็นยา พันธุ์พื้นบ้านทั่วไป
พันธุ์ที่ใช้เป็นอาหาร พันธุ์พื้นบ้านทั่วไป
การขยายพันธุ์ (7)
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เมื่อมะคำดีควายแก่ผลจะมีสีดำ และมีเนื้อเยื่อสีดำ เอาเมล็ดไปแช่น้ำ 2-3 คืน แล้วนำมาล้างน้ำเอาเนื้อเยื่อออก และเอาเมล็ดไปตากแดด จึงนำไปเพาะในถุงเพาะชำถุงละ 1 -2 เมล็ด ประมาณ 45 วันจะงอกออกมาเป็นต้นกล้าต่อไป
การปลูก/สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก (7)
ฤดูกาลเพาะปลูก ปลูกได้ทุกฤดูกาล และต้องมีน้ำรดในระยะแรก แต่นิยมปลูกในช่วงฤดูฝนเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม
การเตรียมดิน โดยการขุดหลุมกว้าง 50 ซม. ยาว 50 ซม. ลึก 50 ซม.รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ควรปลูกห่างกัน 4 -5 ม.
วิธีการปลูก เมื่อมะคำดีควายอายุ 1 - 2 ปีนำลงปลูกลงหลุมที่เตรียมไว้กลบดินปักไม้ผูกเชือก ควรรดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
การปฏิบัติดูแลรักษา
การให้ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยคอกพร้อมพรวนดินหลังจากปลูก 6 เดือน และใส่ปุ๋ยปีละ 1 -2 ครั้ง
การให้น้ำ ถ้าปลูกฤดูฝนปล่อยตามธรรมชาติก็ได้
การกำจัดวัชพืช ควรทำพร้อมกับการพรวนดินและใส่ปุ๋ย
การป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรู มะคำดีควายจะมีแมลงกัดกินบ้าง ให้ใช้สารเคมีฉีดพ่นในระยะปีแรก
การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยว (7)
ฤดูกาลการเก็บเกี่ยว มะคำดีควายจะออกดอกออกผลเมื่ออายุ 7 - 10 ปีขึ้นไป และจะออกผลในช่วงฤดูฝน ผลจะแก่ในช่วงเดือนธันวาคม - มีนาคม
วิธีการเก็บเกี่ยว จะเก็บเกี่ยวโดยใช้ไม้สอย ผลที่แก่จัดใน 1 พวง จะสุก 1 - 2 ผล สอยได้หมด โดยใช้ผ้าใบรองโคนต้น แล้วใช้ไม้สอยให้ร่วงหล่นลงมาผ้าใบที่เตรียมไว้จะเก็บได้สะดวกขึ้น
การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว เมื่อได้มะคำดีควายมาแล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปตากแดดทันทีประมาณ 7 - 10 วัน จนแห้ง แล้วนำไปอบอีกครั้งจนแห้งสนิท
การบรรจุและการเก็บรักษา เมื่อได้มะคำดีควายแห้งมาแล้ว นำมาบรรจุใส่กระสอบเพื่อส่งจำหน่าย ต่อไป หรือจะเก็บใส่กระสอบโปร่ง ๆ หรือถุงปุ๋ยใหม่ควรเก็บไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ
การจำหน่าย
ผลมะคำดีควายแก่แห้ง ราคากิโลกรัมละ 80 - 200 บาท (7)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ผล แก้โรคผิวหนัง แก้รังแค แก้สิว (3)
ผลใช้ต้มเอาน้ำชโลมผม แก้ชันนะตุ (โรคผิวหนังพุพองบนศีรษะเด็ก) แก้เชื้อรา แก้รังแค
แต่ไม่ควรทิ้งไว้นานเกินไป ระวังอย่าให้เข้าตา จะทำให้แสบตา ตาอักเสบได้ (5)
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
รักษาชันตุ ใช้ผล 4 - 5 ผล แกะเอาแต่เนื้อ ต้มกับน้ำประมาณ 1 ถ้วย ใช้น้ำทาศีรษะที่เป็น ชันตุ วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น หรือใช้เนื้อ 1 ผล ตีกับน้ำสะอาดจนเป็นฟอง ใช้สระผมที่เป็น ชันตุ วันละ 1 ครั้ง จนกว่าจะหาย
รักษาผิวหนังพุพอง น้ำเหลืองเสีย ใช้ผล 10 - 15 ผล ต้มกับน้ำพอประมาณ นำเฉพาะน้ำมา ชะล้าง หรือแช่บริเวณที่เป็นแผลนาน 5 นาที ทั้งเวลาเช้าและเย็น (5)
เมล็ด แก้โรคผิวหนัง (3)
ไม่ระบุส่วนที่ใช้ รักษาสิว (3)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
6. สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
จากการศึกษาส่วนประกอบทางเคมีของผลมะคำดีควายสามารถแยกสารต่าง ๆ ได้ดังนี้
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) แบบไตเทอร์ปีนอยด์ไกลโคไซด์ (triterpenoid glycosides) ได้แก่ hederagenin 3-O-(4-O-acetyl-β-D-xylopyranosyl)-(1→3)-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L-arabinopyranoside(mukurozi-saponin E1), 23-O-acetyl-hederagenin 3-O-(4-O-acetyl-β-D-xylopyranosyl)-(1→3)-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L-arabinopyranosideและ23-O-acetyl-hederagenin 3-O-β-D-xylopyranosyl)-(1→3)-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L- arabinopyranoside, hederagenin 3-O-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L-arabinopyranoside(α-hederin), hederagenin 3-O-β-D-xylopyranosyl-(1→3)-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L-arabinopyranoside(sapindoside B) (9) rarasaponins IV, V, และ VI (10)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) แบบสเตอรอยดอลไกลโคไซด์(steroidal glycosides) ได้แก่ β-sitosteryl-3-O-β-D-glucopyranosideและ stigmasteryl-3-O-β-D-glucopyranoside (9)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีน (triterpenes) ได้แก่ hederagenin (9)
สารกลุ่มเซสควิเทอร์พีนไกลโคไซด์ (sesquiterpeneglycosides) ได้แก่ mukuroziosidesIa, Ib, IIaและ IIb (11-12)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins)
ไตรเทอร์ปีนอยด์ไกลโคไซด์ (triterpenoid glycosides)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีน (triterpenes)
สารกลุ่มเซสควิเทอร์พีนไกลโคไซด์ (sesquiterpeneglycosides)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์ต้านเชื้อรา ได้แก่ สาร a-hederin, sapindoside B (9)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย ได้แก่ สารmukuroziosidesIa, Ib, IIa และ Iib (11)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การวิเคราะห์สารกลุ่ม saponins
การวิเคราะห์ด้วย Thin-Layer chromatography (TLC) มีตัวอย่างการศึกษาดังนี้ (14)
Stationary Phase: Silica gel GF254 (Alufolien, Merck, Germany)
Mobile phase: Chloroform : Methanol : Distilled water 20:5:0.25
Detection: Anisaldehyde sulfuric acid
การวิเคราะห์สาร hederagenin
การวิเคราะห์ด้วย Ultra High Performance Liquid Chromatograph มีตัวอย่างการศึกษาดังนี้ (15)
Stationary Phase: BEH C18, 1.7 mm, 2.1 mm x 100 mm.
Mobile phase: acetonitrile : 0.2% acetic acid อัตราส่วน65 : 35 โดยปริมาตร
Detection:Photodiode array scan wavelength: 200 - 400 nm และ detection wavelength: 210 nm
Flow rate: 0.4 mL/min
Injection volume: 2 µL
Run time: 8 นาที
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ทำความสะอาดเส้นผม/แชมพู (H001)
การทดสอบสารสกัดมะคำดีควายเพื่อใช้ในแชมพูสระผม นำผลมะคำดีควาย (จากร้านเจ้ากรมเป๋อ กรุงเทพฯ) มาแกะเมล็ดออกแล้วนำเปลือกผลที่ได้สกัดด้วยน้ำ โดยเปลือกผลมะคำดีควาย 200 ก. แช่น้ำกลั่น 600 มล. 24 ชม. เก็บไว้ในตู้เย็น แล้วนำมาขยี้และกรอง ทำให้แห้งด้วยการ freeze dryและนำสารสกัดน้ำของเปลือกผลมะคำดีควายที่ทำให้แห้งด้วยการ freeze dry ผสมในแชมพูโดยผสมสารสกัดความเข้มข้น 5 มก./มล. ใช้กับอาสาสมัครที่ไม่มีอาการคันศีรษะ ผสมสารสกัดความเข้มข้น 10 มก./มล. ใช้กับอาสาสมัครที่มีอาการคันศีรษะอยู่บ้างหรือเป็นประจำ โดยบรรจุแชมพูที่ผสมสารสกัดลงไปในขวดพลาสติกขนาด 10 มล. อาสาสมัครจะได้รับแชมพู base 2 ขวด เพื่อเป็น control และแชมพูผสมสารสกัด 4 ขวด ให้ใช้สระผมเหมือนปกติ โดย 1 ขวด ใช้เพียง 1 ครั้ง ของการสระผม ทุกครั้งหลังการสระผมให้อาสาสมัครกรอกข้อมูลลงในแบบสอบถาม ผลการทดสอบพบว่าไม่พบความแตกต่างระหว่างการใช้แชมพูที่ผสมมะคำดีควายและแชมพูที่ใช้เป็นประจำ ผู้ใช้ค่อนข้างพอใจในปริมาณฟอง ทำให้เส้นผมสะอาดและอาการคันศีรษะลดลง จากการทดสอบครั้งนี้พบว่าให้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่อาสาสมัครมีจำนวนน้อย และความเข้มข้นของแชมพูที่ใช้มีเพียง 2 ความเข้มข้น รวมทั้งแบบสอบถามไม่สมบูรณ์ จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป (16)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (H008)
การทดสอบสารสกัดผลมะคำดีควาย (จากร้านเจ้ากรมเป๋อ กรุงเทพฯ) จำนวน 5 กก. นำมาแกะเมล็ดออก ได้เปลือกผลประมาณ 2.8 กก. นำเปลือกผลที่ได้ชั่งน้ำหนักและเก็บไว้ในตู้เย็น
การสกัดแบบที่ 1 มะคำดีควาย 200 ก. แช่น้ำกลั่น 600 มล.24 ชม. เก็บไว้ในตู้เย็น แล้วนำมาขยี้และกรอง ทำให้แห้งด้วยการ freeze dry
การสกัดแบบที่ 2 ตำมะคำดีควาย 200 ก. แช่น้ำกลั่น 600 มล. 24 ชม. เก็บไว้ในตู้เย็น แล้วนำมาขยี้และกรอง ทำให้แห้งด้วยการ freeze dry
การสกัดแบบที่ 3 มะคำดีควาย 100 ก. แช่น้ำกลั่น 600 มล. เติม ethanol 200 มล. ทิ้งไว้ 24 ชม. แล้วนำมาขยี้และกรอง นำไประเหย
การสกัดแบบที่ 4 มะคำดีควาย 100 ก. บรรจุใน soxhlet apparatus (สกัดต่อเนื่องด้วย ethanol) จนหมดจด นำสารละลายไประเหยเอาตัวทำละลายออก
ผลการทดสอบพบว่าการสกัดด้วย ethanol จะให้ปริมาณของสารสกัดมากกว่าการสกัดด้วยน้ำ เมื่อนำสารสกัดไปทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา Candida albicans, Trichophyton rubrum, Epidermophyton floccosum และ Microsporum gypseum (เป็นเชื้อราที่เจริญบริเวณภายนอกของเส้นผม สาเหตุของโรคกลากที่ศีรษะ; Tineacapitis (16)) โดยใช้สารสกัดความเข้มข้น 1 มก./มล. ปริมาตร 20 ไมโครลิตร/จานเพาะเชื้อ พบว่าสารสกัดที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลายเท่านั้นที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราให้ผลในการยับยั้งเชื้อราทุกชนิดที่ใช้ในการทดสอบ (16)
การทดสอบฤทธิ์ของสาร α-hederin และ sapindoside B ของสารสกัดผลมะคำดีควาย (ไม่ระบุวิธีการสกัด) พบว่ามีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา Candida albicans ATCC 10230, C. krucei, T. mentagophyte (เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลากที่หนวด - เครา; Tineabarbae), T. rubrum, และ Acremonium spp. ในขณะที่ α-hederin มีฤทธิ์ดีในการต้านเชื้อ T. mentagophyte, T. rubrum, และ Acremonium spp. อย่างไรก็ตาม hederageninและสารกลุ่ม acetylated triterpene glycosides ได้แก่mukurozi-saponin E1, 23-O-acetyl-hederagenin 3- O-(4-O-acetyl-β-D-xylopyranosyl)-(1→3)-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L-arabinopyranosideและ23-O-acetyl-hederagenin 3-O-β-D-xylopyranosyl)-(1→3)-α-L-rhamnopyranosyl-(1→2)-α-L-arabinopyranosideไม่แสดงฤทธิ์ต่อเชื้อทุกชนิดที่นำมาทดสอบ จากผลที่ได้แสดงให้เห็นว่า acetoxy group ที่แทนที่ hydroxyl group บนน้ำตาล ทำให้ความสามารถในการต้านเชื้อราของสารหมดไป และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารที่ทำให้เกิดการออกฤทธิ์ (9)
*โรคกลากที่ศีรษะ (Tineacapitis) ลักษณะทางคลินิกที่พบบ่อยคือจะมีผมร่วงเป็นหย่อม ๆเส้นผมเปราะหักง่าย ผื่นมีขอบเขตชัดเจน มีขนาดที่แตกต่างกันพบขุยสีขาวอมเทามักไม่ค่อยพบอาการอักเสบเมื่อตรวจสอบด้วย UV-light (Wood’slamp) อาจพบการเรืองแสงสีเขียวอมน้ำเงินของสาร pteridine จากการติดเชื้อ Microsporumcanis ซึ่งเชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือ T. tonsurans, T. violaceum, T. verrucosum, M. canis, M.audouinii และ T. schoenleiniiเป็นต้น
โรคกลากที่หนวด - เครา (Tineabarbaeหรือ Barber’s itch) ส่วนมากพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง บางครั้งเชื้อก่อโรคสามารถแทรกตัวลงไปตามรูขุมขน (Hair follicle) ลักษณะผื่นจะเป็นตุ่มแดงหรือมีหนองตามรูขุมขน มีขุยสีขาว ลักษณะวงผื่นไม่ชัดเจน เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือ T. mentagrophytes, T. verrucosumและM. canis (17-18)
1.2 ฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ของสมุนไพรไทยจำนวน 17 ชนิด ที่มีการใช้ในตำรับพื้นบ้านสำหรับรักษาเส้นผม ได้แก่ คำฝอย มะขามป้อม ตะไคร้ ข่า ขิง อัญชัน มะกรูด บวบขม บอระเพ็ด ผักบุ้ง มะเฟือง ฟ้าทะลายโจร ขี้เหล็ก ส้มป่อย เทียนกิ่ง ทองพันชั่งสำหรับมะคำดีควายเลือกใช้ผล ซื้อจากตลาดพื้นเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ นำมาทำให้แห้งใน hot air oven ที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส นำสมุนไพรมาบด สกัดด้วย 95% เอทานอล นำไประเหยด้วยเครื่องระเหยภายใต้สุญญากาศ (rotary evaporator) ผลการทดสอบพบว่าคำฝอยมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase รองลงมา คือ มะขามป้อม ส่วนมะคำดีควายมีค่า finasteride equivalent 5α-reductase inhibition ability: FEA value เท่ากับ 12.81 ± 0.84 มก.ของ finasteride/สารสกัด 1 ก. (19)
*เอนไซม์ 5α-reductase มีทำหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเพศ testosterone เป็นฮอร์โมนdihydrotestosteroneหรือ DHT ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลทำให้ให้รูขุมขนบริเวณหนังศีรษะมีขนาดเล็กลงเกิดไขมันอุดตันรูขุมขน ยับยั้งกระบวนการสร้างของเส้นผมและทำให้เส้นผมที่ผลิตขึ้นมีลักษณะบางและสั้น จึงทำให้เกิดอาการผมบางและผมหลุดร่วง
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
การทดสอบสารสกัดเปลือกผลมะคำดีควาย (ไม่ระบุแหล่งที่มา) 452 ก. สกัดด้วยเมทานอล 3 ครั้ง ด้วยวิธีการสกัดแบบไหลย้อนกลับ (reflux) เป็นเวลา 3 ชม. ทดสอบแยกสาร mukuroziosidesIa, Ib, IIa และ IIb และทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลองในการยับยั้ง tumor necrosis factor-α (TNF-α) ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความเป็นพิษของเซลล์ L929 (normal fibroblast cell)และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการอักเสบพบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ในการยับยั้ง TNF-α ที่ความเข้มข้น 30 - 100 ไมโครโมล (11)
การทดสอบสารสกัดเปลือกผลมะคำดีควายซื้อจากตลาดพื้นเมืองดอยมูเซอ จังหวัดตาก ประเทศไทย ช่วงเดือนมิถุนายน 2563 ตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงงานวิจัย เก็บรักษาไว้ที่ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (voucher specimens SR001) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ใช้เปลือกผลมะคำดีควาย 50 ก. หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ สกัดด้วยน้ำกลั่น อัตราส่วน 1:10 เป็นเวลา2 ชม. ใน water bath กรองของเหลว แล้วแยกต่อด้วย adsorption-desorption columm chromatography macropororus resin (Diaion HP-20, Mitsubishi Chemical Industry, Japan) ชะล้างด้วยเอทานอล อัตราส่วน 1:0,1:1,0:1 (500×3 มล./ครั้ง solvent proportion) ตรวจสอบส่วนของสารสกัดที่แยกได้ด้วย TLC ใช้ silica gel GF254 (Alufolien, Merck, Germany) เป็น stationary phase และตัวทำละลายผสม chloroform:methanol:water อัตราส่วน 20:5:0.25 เป็น mobile phase และสารละลาย anisaldehyde sulfuric acid เป็น detection reagent ส่วนสกัดที่เหมือนกันของ saponin mixture นำมารวมกัน แล้วทำให้แห้งได้ 3.32 ก./เปลือกผล 50 ก. ทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้หูอักเสบด้วย croton oil 3.6 มคล. ละลายใน acetone 20 มคล. และแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้รับสารสกัดมะคำดีควายขนาด 1.25, 2.5 และ 5 มคก./20 มคล. บริเวณหู และยา diclofenac 5 มก./20 มคล. ละลายใน 70% เอทานอล ให้สารหลังจาก croton oil 120 นาที วัดอาการบวมของหูที่ 1, 2, 3 และ 4 ชม. ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดมะคำดีควายขนาด 1.25 และ 2.5 มก. ที่ 4 ชม. มีผลลดอาการบวมของหู คิดเป็น percentage inhibition เท่ากับ 43.67 และ 39.40% ตามลำดับ ในขณะที่ยา diclofenac มี percentage inhibition เท่ากับ 50% (14)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดผลมะคำดีควาย (เมือง Bandung, Indonesia ตัวอย่างได้มีการพิสูจน์ความถูกต้องโดย Herbarium Bandungense, School of Life Sciences and Technology, Institute of Technology Bandung, Indonesia) นำผลมะคำดีควายมาผึ่งให้แห้ง สกัดด้วย 95% เอทานอล โดยใช้ Soxhlet apparatus สารละลายที่ได้ระเหยตัวทำละลายออกและทำให้แห้งด้วยrotary evaporatorและ water bath แล้วทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันโดยการให้สารสกัดขนาด 2 และ 5ก./กก.นน.ตัว ครั้งเดียว ทางปาก ในหนูแรทเพศเมียสุขภาพดี สังเกตอาการใน 24 ชม. และ 14 วัน และทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง โดยให้สารสกัดขนาด 50, 100 และ 500 มก./กก.นน.ตัว/วัน เป็นเวลา 28 วัน ในหนูแรททั้งเพศผู้และเพศเมีย ผลการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันไม่พบการตายของหนูแรทและการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา มีค่า LD50 มากกว่า 5ก./กก.นน.ตัว การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรททั้งเพศผู้และเพศเมีย ไม่พบความผิดปกติของการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งพฤติกรรม ค่าการทำงานของไต ค่าเม็ดเลือด เยื่อบุกระเพาะอาหาร และการตรวจเนื้อเยื่อ ไม่พบการตายของหนูแรทเช่นเดียวกัน สารสกัดขนาด 500 มก./กก. มีผลเพิ่มค่า SGOT ลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำหนักตัวในหนูทั้งเพศผู้และเมีย และมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อจากการตรวจทางจุลกายวิภาคศาสตร์ในหัวใจและตับ (20)
การทดสอบฤทธิ์ในการคุมกำเนิด (antifertility effect) ในหนูแรทของสารสกัดเอทานอลจากผลมะคำดีควาย (ตรวจสอบความถูกต้องโดย Department of Biology, Faculty of Mathematic and Science, Tanjungpura University, Pontianak, Indonesia) ทำให้ผลมะคำดีควายแห้งที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส สกัดด้วย 95% เอทานอล โดยใช้ Soxhlet apparatus การทดสอบฤทธิ์ในการคุมกำเนิดในหนูแรทเพศเมียระยะเป็นสัด (estrus phase) ผสมกับหนูแรทเพศผู้ในอัตราส่วน 4:1 ในวันต่อมาตรวจการเกิด vagina plug ที่แสดงถึงการได้รับการผสมพันธุ์ ถ้าไม่พบ vagina plug ให้ตรวจ vaginal smear ใต้กล้องจุลทรรศน์ หากตรวจพบสเปิร์มแสดงว่าเกิดการผสมพันธุ์ ให้นับเป็นวันที่ 0 ของการตั้งครรภ์โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุมลบให้ carboxymethylcellulose กลุ่มควบคุมบวกให้ ethinylestradiol และกลุ่มทดสอบให้สารสกัดมะคำดีควายขนาด 50 และ 100 มก./กก.นน.ตัว ตามลำดับ ทางปาก โดยให้สารเป็นเวลา 11 วัน ตั้งแต่วันที่ 0 ถึงวันที่ 10 ที่หนูตั้งครรภ์ ในวันที่ 20 ของการทดสอบให้ผ่าเปิดช่องแยกรังไข่ออกมาประเมินการฝังตัวของตัวอ่อนประเมินผลในระยะก่อนการฝังตัวของตัวอ่อน (pre-implantation) และระยะหลังการฝังตัวของตัวอ่อน (post implementation) ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดมะคำดีควายที่ขนาด 50 มก./กก.นน.ตัว ทำให้ระยะก่อนการฝังตัวของตัวอ่อนลดลง 0% และระยะหลังการฝังตัวของตัวอ่อนลดลง 10.53% สารสกัดมะคำดีควายที่ขนาด 100 มก./กก.นน.ตัว ทำให้ระยะก่อนการฝังตัวของตัวอ่อนลดลง 47.50% และระยะหลังการฝังตัวของตัวอ่อนลดลง 28.57% (21)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
อาจทำให้เกิดการระคายเคือง (4)
อาการไม่พึงประสงค์
อาจทำให้เกิดการระคายเคือง (4)
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
แชมพูผสมสารสกัดน้ำเปลือกมะคำดีควายความเข้มข้น 10 มก./มล. โดยใช้แชมพูสระผม 4 ครั้ง ครั้งละ 10 มล. มีผลทำให้เส้นผมสะอาดและอาการคันศีรษะลดลง (16)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
มะคำดีควายเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีการนำทั้งผลและเปลือกผลมาใช้แก้ชันนะตุ แก้เชื้อรา แก้รังแค มีการนำมาผสมกับน้ำทำให้เกิดฟองใช้สระผม ซึ่งสารที่ทำให้เกิดฟองนั้นก็คือสารกลุ่ม saponinsและมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่ามีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ ยับยั้งเชื้อราก่อโรคกลากที่ศีรษะ ยับยั้งเอนไซม์สาเหตุการหลุดร่วงของเส้นผม และมีการศึกษาใช้มะคำดีควายผสมแชมพูสระผม อย่างไรก็ตามข้อมูลการศึกษาวิจัยค่อนข้างน้อย แต่ข้อมูลงานวิจัยเบื้องต้นสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ของมะคำดีควายตามภูมิปัญญาไทย จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้ประโยชน์จากมะคำดีควายในทางเครื่องสำอาง
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มาสมราน สุดดีบรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Sapindus rarak DC. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-28601622.
3. นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพรบรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2542.
4. Lemmens RHMJ, Bunyapraphatsara N, Labadie RP. PROSEA: Plant resources of South-East Asia volume: 12.3. Medicinal and Poisonous Plants 3. Backhuys Publishers, Leiden, The Netherlands. 2003. 664 pp.
5. มะคำดีควาย. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 30 เมษายน 2564]. เข้าถึงจาก: http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=103
6. มะคำดีควาย. สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้ [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 30 เมษายน 2564]. เข้าถึงจาก:http://biodiversity.forest.go.th/index.php?option=com_dofplant&view=showone&id=1937
7. มะคำดีควาย. กลุ่มงานพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 30 เมษายน 2564 ]. เข้าถึงจาก:https://www.dnp.go.th/botany/bkf_qr/index.html?code=Sapi006
8. มะคำดีควาย. คู่มือการปลูกสมุนไพร สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 30 เมษายน 2564 ]. เข้าถึงจาก: https://58.97.11.98/thaiherbs/herb_pdf/0086.pdf
9. Chunet C. Chemistry and some biological activities of fruits of Sapindus rarak A.DC. [วิทยานิพนธ์ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ].Ramkhamhaeng University; 2003.
10. Asao Y, Morikawa T, Xie Y, Okamoto M, Hamao M, Matsuda H, et al. Structures of acetylated oleanane-type triterpene saponins, rarasaponins IV, V, and VI, and anti-hyperlipidemic constituents from the pericarps of Sapindusrarak. Chem Pharm Bull (Tokyo). 2009;57(2):198-203. doi: 10.1248/cpb.57.198.
11. Morikawa T, Xie Y, Ninomiya K, Okamoto M, Muraoka O, Yuan D, et al. Inhibitory effects of acylated acyclic sesquiterpeneoligoglycosides from the pericarps of Sapindus rarak on tumor necrosis factor-alpha-induced cytotoxicity. Chem Pharm Bull (Tokyo). 2010;58(9):1276-80.doi: 10.1248/cpb.58.1276.
12. Karim AA, Azlan A. Fruit pod extracts as a source of nutraceuticals and pharmaceuticals. Molecules. 2012;17(10):11931-46.doi: 10.3390/molecules171011931.
13. Aryanti N, Nafiunisa A, Kusworo TD, Wardhani DH. Micellar-enhanced ultrafiltration using a plant-derived surfactant for dye separation in wastewater treatment. Membranes (Basel). 2020;10(9):220. doi: 10.3390/membranes10090220.
14. Khayungarnnawee A, Jarikasem S, Sematong T, Laovithayanggoon S, Khapang J.Topical anti-inflammatory activity of saponin rich extract from Sapindus rarak. Thai J Pharm Sci. 2012;36:41-3.
15. กุลธิดาศิริวัฒน์, บรรณาธิการ. มาตรฐานสมุนไพรไทยทางเครื่องสำอางเล่ม 1. กรุงเทพฯ : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
16. อุมาภัณฑ์ เอี่ยมศิลป์อุษณีย์ อนุวรรตวรกุล. การสกัดมะคำดีควาย (Sapindus rarak) เพื่อใช้ในแชมพูสระผม. โครงการพิเศษปริญญาเภสัชศาสตร์บัณฑิต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2539.
17. Luplertlop N, Suwanmanee S. Dermatophytosis: from bench to bedside. J Trop Med Parasitol. 2013;36:75-87.
18. Pumirat P, Tunyong W, Luplertlop N. Medical mycology. J Med Health Sci. 2013;20(2):32-44.
19. Kumar N, Rungseevijitprapa W, Narkkhong NA, Suttajit M, Chaiyasut C. 5a-Reductase inhibition and hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. J Ethnopharmacol. 2012;139:765-71.doi: 10.1016/j.jep.2011.12.010.
20. Fajriaty I, Adnyana K, Fidrianny I. Acute and sub-chronic (28 days) repeated oral toxicity test of ethanol extract of lerak (Sapindus rarak. DC) fruits in Wistarrats. Int J Pharm Pharm Sci. 2014;6(11):487-92.
21. Fajriaty I, Hariyanto IH, Haryanto Y. Anti-fertility effect of ethanol extract of lerak (Sapindus rarak DC) fruits in female Sprague Dawley Rats. Nus Biosci. 2017;9(1):102-6.doi: 10.13057/nusbiosci/n090118.