มะละกอ
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Carica papaya L.
ชื่อวงค์
CARICACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะละกอ
ชื่ออังกฤษ
Papaya Pawpaw, Melon tree
ชื่อพ้อง
Papaya communis Noronha
Papaya cubensis (Solms) Kuntze
Papaya cucumerina Noronha
Papaya edulis Bojer
ชื่อท้องถิ่น
ก้วยลา แตงต้น บักหุ่ง มะก้วยเทศ มะเต๊ะ ลอกอ สะกุยเล่ หมักหุ่ง หมาก ซางพอ
ชื่อ INCI
CARICA PAPAYA FRUIT
CARICA PAPAYA FRUIT EXTRACT
CARICA PAPAYA FRUIT JUICE
CARICA PAPAYA FRUIT WATER
CARICA PAPAYA LEAF EXTRACT
CARICA PAPAYA SEED OIL
ENTEROCOCCUS FAECALIS/AMYLASE/GLUCOSE/PAPAYA
FRUIT/PROTEASE FERMENT FILTRATE
HYDROLYZED PAPAYA FRUIT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มะละกอเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกากลางได้แก่ประเทศเม็กซิโก
และคอสตาริกาโดยสเปนเอาพันธุ์มะละกอมาจากฝั่งทะเลแคริบเบียนของปานามาและโคลัมเบียมาเผยแพร่ราวพ.ศ. 2069ตรงกับยุคต้นกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่2 โดยเริ่มทดลองปลูกที่หมู่เกาะฟิลิปปินส์ก่อนและชาวโปรตุเกสเอาพันธุ์มะละกอเข้ามาปลูกที่เมืองมะละกาของประเทศมาเลเซียเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2314 ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่เมื่อถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ชาวสยามถึงเริ่มรู้จักพืชชนิดหนึ่งที่ได้พันธุ์จากเมืองมะละกาจึงเรียกพืชชนิดนั้นว่ามะละกาแต่เพี้ยนเป็นมะละกอจนมาถึงปัจจุบัน (5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น สูง 3–6 ม. ลำต้นอวบน้ำ มียางขาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปฝ่ามือเว้าเป็นแฉกลึก 5–9 แฉก ขนาดใหญ่ ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ดอกเพศผู้ ไม่มีก้านดอก กลีบดอก เชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็นแฉก รูปใบหอก สีครีมแกมสีเหลือง เกสรเพศผู้มี 10 อัน สั้น 5 อัน ยาว 5 อัน ดอกเพศเมีย ลักษณะคล้ายดอกเพศผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า รังไข่ รูปไข่ ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอก เชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็นแฉก รูปขอบขนาน เกสรเพศผู้มี 5 หรือ 10 อัน ดอกเพศเมียและดอกสมบูรณ์เพศเป็นดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุก มีดอกย่อย 2–3 ดอก สีขาวนวล ผลสด รูปรียาว รูปทรงกระบอก รูปไข่แกมทรงกระบอกหรือรูปกลม เมล็ดมีจำนวนมาก สีดำ รูปรี (4)
การเพาะปลูก
การเลือกพื้นที่ปลูกมะละกอ
มะละกอเป็นไม้ผลที่ชอบดินร่วนปนดินทรายดินเหนียวปนดินร่วนหรือดินร่วนที่มีการระบายนํ้าดีมีอินทรีย์วัตถุมากไม่ชอบนํ้าขังและควรมีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 ม.ช่วงระดับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสมคือ 5.5-7 มะละกอไม่ทนดินเกลือและไม่ทนลมแหล่งปลูกจึงควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรงถ้าหลีกเลี่ยงในการเลือกพื้นที่ที่มีลมแรงไม่ได้ควรทำแนวไม้กันลมโดยรอบมะละกอจะเจริญเติบโตได้ดีถ้าได้รับแสงแดดเต็มที่มะละกอมีก้านใบยาวและกลุ่มใบจะมีมากที่ยอดจึงไม่ควรปลูกมะละกอให้ชิดกันเกินไปจะทำให้ไม่สะดวกในการป้องกันกำจัดศัตรูของมะละกอระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 4 x 3 ม.หรือ 3 x 3 ม.หรือ 2.5 x 3 ม.แหล่งปลูกมะละกอควรอยู่ใกล้เมืองหรือมีทางคมนาคมสะดวกเนื่องจากผิวมะละกอบางทำให้เกิดการชอกชํ้าในการขนส่งได้ง่ายกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
การเตรียมแปลงปลูก
1. ไถพื้นที่ปราบวัชพืช 2 ครั้งๆแรกด้วยไถ 3 ผานหรือ 4 ผานครั้งที่ 2 ให้ย่อยดินให้เล็กด้วยผาน 7
2. วัดระยะแปลงปลูกตามความต้องการควรปักหลักเล็กๆ ห่างจากหลักหลุมปลูกอีก 2 หลักโดยปักให้ห่างข้างละ 50 ซม.
3. ขุดหลุมปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้ขอบหลุมห่างจากหลักกลางประมาณ 25 ซม.และขุดลึก 50 ซม. เอาดินขึ้นไว้บนปากหลุมอย่าให้โดนหลักเล็กทั้ง 2 ซึ่งจะเป็นหลักบังคับ
4. ใส่ปุ๋ยคอกเก่าๆประมาณ 1 พลั่วหรือครึ่งบุ้งกี๋ลงบนดินที่ขุดขึ้นมาและใส่ร๊อกฟอสเฟตลงไปอีก 100 ก.ถ้าไม่มีร๊อกฟอสเฟตให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ใส่แทนจำนวน20 ก.หรือประมาณ 2 ช้อนแกงต่อหลุมคลุกเคล้าดินกับปุ๋ยให้เข้ากันดีแล้วใช้จอบกลบดินลงหลุมให้เสมอปากหลุม
5. ก่อนปลูกหาไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 ม.ทำเครื่องหมายที่ตำแหน่ง 0.00, 0.50 ม.และ 1 ม.เป็นเครื่องหมายต้นปลูกเพื่อให้แถวปลูกตรงกันทุกด้าน
วิธีการปลูก
ให้นำต้นกล้าเรียงกระจายไว้ตามหลุมต่างๆหลุมละหนึ่งถุงหลังจากนั้นกรีดถุงพลาสติกออกเอาต้นกล้าวางให้ตรงตำแหน่งระยะปลูกกลางหลุมกลบดินให้แน่นโดยเฉพาะรอบๆโคนต้นเพื่อให้รากจับดินใหม่ได้เร็วต้นจะตรงกันทุกแถวแล้วรดนํ้าให้ชุ่มถ้าเกษตรกรปลูกมะละกอช่วงต้นฤดูฝนจะช่วยประหยัดทุนและแรงงานในการให้นํ้าโดยเฉพาะในช่วงปลูกใหม่ๆ จะต้องให้นํ้ากับต้นกล้ามะละกอจนตั้งตัวได้โดยรดนํ้า 2-3 ครั้งต่อวันและที่สำคัญคือช่วงที่มะละกอออกดอกติดผลเป็นช่วงที่ต้องการนํ้ามากการขาดนํ้าจะทำให้ดอกร่วงผลร่วงผลไม่สมบูรณ์การให้นํ้ากับต้นมะละกออย่างสมํ่าเสมอจึงทำให้มะละกอมีผลผลิตสูงโดยเฉพาะมะละกอที่ปลูกในที่ดอนหรือในเขตจังหวัดในแถบภาคะวันออกเฉียงเหนือ
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ carpaine, β-carpaine, dehydrocarpaine I, dehydrocarpaine II, pseudocarpaine (6)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ acetyl p-coumaryl quinic acid (7), chlorogenic acid (6,8), feruloyl quinic acid, n-methyl feruloyl quinic acid, p-coumaryl trimethyl glycoside, syringic acid hexoside, 5-hydroxy caffeic quinic acid, 5-hydroxy feruloyl quinic acid (7), butyl 4-hydroxybenzoate (butylparaben), isopropyl 2,5-dihydroxybenzoate, trans-caffeic acid (9)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ cyanidin-3-O-glucoside, kaempferol-3-O-rhamnoside, quercetin-3-O-glycoside, quercetin-3-O-rhamnoside (7)
สารกลุ่มไกลโคไซด์ (glycosides) ได้แก่ benzyl-β-D glucoside, carposide (6,10)
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ได้แก่ β-carotene 6),lycopene (8)
สารกลุ่มเอนไซม์ (enzymes) ได้แก่ chymopapains A-C, glutamine cyclotransferase, papain, peptidase A-B เป็นต้น (6, 10)
สารกลุ่มไอโซไทโอไซยาเนต (isothiocyanate) ได้แก่ benzyl isothiocyanate (8)
สารกลุ่มฟูแรน (furan) ได้แก่ 5-hydroxymethylfurfuraldehyde (9)
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มไกลโคไซด์ (glycosides)
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids)
สารกลุ่มเอนไซม์ (enzymes)
สารกลุ่มไอโซไทโอไซยาเนต (isothiocyanate)
สารกลุ่มฟูแรน(furan)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย ได้แก่ acetyl p-coumaryl quinic acid, chlorogenic acid, feruloyl quinic acid, kaempferol-3-O-rhamnoside, n-methyl feruloyl quinic acid, p-coumaryltrimethyl glycoside, quercetin-3-O-glycoside, quercetin-3-O-rhamnoside, cyanidin-3-O-glucoside, syringic acid hexoside, 5-hydroxy caffeic quinicacid และ5-hydroxy feruloyl quinic acid (7), isopropyl 2,5-dihydroxybenzoate (9)
- สารที่กระตุ้นการงอกของเส้นผม ได้แก่ isopropyl 2,5-dihydroxybenzoate (9)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของใบมะละกอ มีหลายการศึกษา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การศึกษาที่ 1 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ LCMS system วิเคราะห์สารกลุ่มphenolic สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (11)
column : Phenomonex Phase C-18 columns (25ซม. x 2.5มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 25oC
mobile phase : ใช้ binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วย A : น้ำ และ B : อะเซทโตรไนไตรด์ ในอัตราส่วน 80:20
flow rate : 1.5มล./นาที
การศึกษาที่ 2 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC system ร่วมกับ diode array detector (DAD) ที่ความยาวคลื่น250 - 380 nm วิเคราะห์สารกลุ่มphenolic สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (12)
column : Xterra C18 reverse phase column (Waters) (4.6 × 250 มม, 5 มคม) อุณหภูมิคอลัมน์ 25 oC
mobile phase : ใช้binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วยA : กรดฟอร์มิก : น้ำ (1 : 99 ปริมาตร/ปริมาตร) และB : อะเซทโตรไนไตรด์ โดยค่อยๆปรับสัดส่วนของ B จาก 2 - 100% ในเวลา 0 - 60 นาที
flow rate : 0.5 มล./นาที
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ย้อมสีผม (H003)
การศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 6 คน (ไม่ได้ระบุรายละเอียด) ที่ใช้สูตรยาย้อมผมแบบแท่งทั้งหมด 6 สูตรที่มีส่วนผสมของผงเมล็ดมะละกอ 25, 35, 45% และสูตรที่มีส่วนผสมของสารสกัดเมล็ดมะละกอด้วย 70% แอลกอฮอล์ ขนาด 2.5, 3.5 และ 4.5% (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) พบว่าสูตรยาย้อมผมที่มีส่วนผสมของสารสกัดแอลกอฮอล์เมล็ดมะละกอ4.5% ได้ผลดีในการใช้เป็นยาย้อมสีผม และค่อนข้างปลอดภัย ในขณะที่สูตรอื่นๆ ไม่ได้ผล (13)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
การศึกษาแบบไปข้างหน้า (prospective study) ในผู้ป่วยแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก 10 - 60% ของร่างกาย ระดับ 2 และ 3 ทั้งเพศชายและหญิง อายุระหว่าง 15 -60 ปี โดยใช้ผลมะละกอดิบ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ที่ผ่านการเข้าเครื่อง autoclave (หม้อนึ่งแรงดันไอน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค) นาน 10 นาที แล้วนำมาป้ายลงบนเปลือกมันฝรั่งที่ต้มสุกแล้ว จากนั้นนำไปปิดที่แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกหลังทำความสะอาดแผล วันละ 1 ครั้ง นาน 7 วัน (เปลี่ยนเนื้อมะละกอที่ปิดบนแผลทุกวัน) พบว่าวันที่ 5 หรือวันที่ 6 ของการศึกษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกจะมีการผลัดเซลล์ผิวใหม่ มีการสลายตัวของเซลล์เก่า และการไหลเวียนของเลือดบริเวณบาดแผลดีขึ้น ทำให้แผลเป็นสีชมพูเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (14)
3 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1 ฤทธิ์น้ำยาบ้วนปาก (L001)
การศึกษาในผู้ที่มีกลิ่นปากทั้งหมด 30 คน ไม่ได้ระบุอายุและเพศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพฟันดี แต่มีกลิ่นปาก กลุ่มที่ 2เป็นกลุ่มที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ และมีกลิ่นปาก กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่เป็นโรคปริทนต์ และมีกลิ่นปาก โดยให้ทุกคนใช้น้ำยาบ้วนปากเมล็ดมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) (เมล็ดมะละกอแห้ง 1,000 ก. ผสมกับ 90% เอทานอล 2,000 มล.) ครั้งละ 10 มล. กลั้วปาก วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น นาน 14 วัน หลังจากนั้นอีก 14 วัน ตรวจสภาพฟัน พบว่าน้ำยาบ้วนปากเมล็ดมะละกอสามารถลดกลิ่นปากได้ในทุกกลุ่ม และสามารถลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ในกลุ่มที่เป็นโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทนต์ (15)
การศึกษาแบบสุ่มปกปิดฝ่ายเดียว (single-blind, randomized trial) ในผู้ที่มีสุขภาพดีแต่มีเลือดออกตามไรฟัน จำนวน 100 คน อายุระหว่าง 18 – 26 ปี แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบมะละกอ40%(ตัวอย่างจากประเทศสเปน) กลุ่มที่ 2 ให้แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำใบมะละกอร่วมกับอมกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำใบมะละกอ กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มควบคุมให้แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่เตรียมให้ กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มควบคุมให้แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่เตรียมให้ ร่วมกับน้ำยาบ้วนปาก โดยทุกกลุ่มแปรงฟันเหมือนกันคือวันละ 2 ครั้ง และอมกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก 20 มล. นาน 30 วินาที ศึกษานาน 4 สัปดาห์ พบว่าเลือดออกตามไรฟันลดลงในทุกกลุ่ม อยู่ในช่วง 54 - 75% และเมื่อเปรียบเทียบกันในกลุ่มที่ได้สารสกัดใบมะละกอ พบว่ากลุ่มที่แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีสารสกัดใบมะละกอร่วมกับอมกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบมะละกอจะมีเลือดออกที่เหงือกน้อยกว่ากลุ่มที่แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีสารสกัดใบมะละกออย่างเดียว (21% vs 32%) (16)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
สาร isopropyl 2,5-dihydroxybenzoate ที่ได้จากการหมักผลมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ขนาด 10 มคก./มล. เมื่อนำไปทดสอบกับเซลล์เส้นผมของคนที่ผมร่วงปกติ human hair follicle dermal papilla cells (HFDPC) พบว่าสารดังกล่าวสามารถกระตุ้นการงอกของเซลล์เส้นผมได้เพิ่มขึ้น 112.53 ± 2.74% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (9)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ฤทธิ์ต้านสิวบนใบหน้า (F006)
สารสกัดใบมะละกอด้วย 70% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เมื่อนำมาผสมในสูตรเจลรักษาสิวในขนาด 5, 10 และ15% และนำมาทดสอบในหลอดทดลองด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสูตรเจลรักษาสิวในขนาด10 และ 15% สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียPropionibacterium acnes ที่ก่อให้เกิดสิวได้โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 6.05 + 0.02 และ 6.80 + 0.35มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยา erythromycin ความเข้มข้น 0.0025 % ซึ่งบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 20.40+ 0.45 มม. (17)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 ฤทธิ์ทำความสะอาดผิว (S002)
มีรายงานว่าสบู่มะละกอที่ใช้ทำความสะอาดผิวกาย ที่มีส่วนผสมของเอนไซม์ปาเปน (papain) 1.5%และเนื้อผลมะละกอสุก 30% (น้ำหนัก/ปริมาตร) สามารถช่วยกำจัดสิ่งสกปรกตามร่างกายได้ดีกว่ากลุ่มที่ใช้สบู่ที่ไม่มีส่วนผสมของมะละกอ สบู่มะละกอสูตรที่ใช้ในการศึกษาพบว่าความเข้มข้นที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ13,657 ppm อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวังเนื่องจากสบู่มะละกอมีส่วนผสมเอนไซม์ปาเปน (papain) ซึ่งได้มาจากยางมะละกอ อาจทำให้เกิดการแพ้ เช่น อาการคัน บวม ผื่นแดง การอักเสบที่ผิวหนังได้ (18)
3.2 ฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบมะละกอด้วยน้ำ (สูตรเจลขนาด 30 มล. มีสารสกัดใบมะละกอ 24 มล.) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธีdisc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus (S. aureus) โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10.67 มม. (19)
สารสกัดใบมะละกอด้วยอะซีโตนและน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่า MIC (Minimum Inhibition Concentration) ต่อเชื้อ S. aureus เท่ากับ 40 และ 50 มก./มล. ตามลำดับนอกจากนี้ยังพบว่าค่า MBC (Minimum Bactericidal Concentration) ต่อเชื้อ S. aureus เท่ากับ 50 และ 60 มก./มล. ตามลำดับ (20)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเอทิลอะซิเตทและเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ที่พบในแปรงสีฟัน โดยมีค่า MIC ต่อเชื้อ S. aureus เท่ากันคือ 50 มก./มล. (21)
สารสกัดใบมะละกอตัวผู้และตัวเมียด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่า MIC เท่ากัน คือ 6.25 มคก./มล. และค่า MBC เท่ากัน คือ 25 มคก./มล. (22)
สารสกัดน้ำผงแห้งใบมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 6.75 ± 0.85 มม. (23)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่ามี MIC เท่ากับ 3.125 มก./มล. (24)
สารสกัดใบมะละกอด้วยน้ำร้อนและน้ำเย็น (ตัวอย่างจากประเทศกาน่า) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10±0.28 และ 9±0.56 มม. ตามลำดับ (25)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 14.3 มม. ในขณะที่สารสกัดอัลคาลอยด์ที่แยกได้บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 12.6 มม. (26)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่าMIC เท่ากับ 10 มก./มล. (27)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอล และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) ที่ความเข้มข้น 100 มก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 24±0.45 และ 12±0.29 มม. ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับยา ciprofloxacin ขนาด 10 มก./มล.บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 23±0.82 มม. จะเห็นได้ว่าสารสกัดเมทานอลใบมะละกอมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับยา ciprofloxacin (28)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเอทานอล เมทานอล เอทิลอะซิเตท คลอโรฟอร์ม และน้ำร้อน(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 8.20±0.20, 7.00±0.00, 7.17±0.29, 8.07±0.12 และ 7.00 ±0.21 มม. ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับยา ciprofloxacin ขนาด 10 มคก./มล. บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 29.83±0.76 มม. (29)
สารสกัดลำต้น ผล ใบ กิ่งมะละกอ ด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียmethicillin resistant Staphylococcus aureus (MRSA)โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 18, 16, 16 และ 26 มม.ตามลำดับ (30)
สารสกัดสบู่เปลือกผลมะละกอด้วยน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 13 มม. เมื่อเปรียบเทียบกับยา penicillin ที่บริเวณการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ12มม. (31)
สารสกัดเมล็ดมะละกอด้วย 70% เมทานอล (ด้วยวิธีการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอูกานดา) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ATCC 25923 พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่า MIC เท่ากับ 100 มคก./มล.ในขณะที่ยา amoxicillin มีค่า MIC เท่ากับ 0.4 มคก./มล. แต่เมื่อใช้ร่วมกันระหว่างสารสกัดเมล็ดมะละกอและยา amoxicillin ค่า MIC เท่ากับ 1 มคก./มล. (32)
สารสกัดเมล็ดมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่าMIC เท่ากับ 200 มคก./มล. และค่า MBC เท่ากับ 400 มคก./มล. ตามลำดับ (33)
สารสกัดน้ำเมล็ดมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 3.3 ± 1.8 มม. ในขณะที่ยา ciprofloxacin บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 17.8 ± 2.2 มม.(34)
สารสกัดเมล็ดมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศโตโก) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยมีค่าMIC เท่ากับ 25 มก./มล. และค่า MBC เท่ากับ 50 มก./มล. ตามลำดับ (35)
3.3 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย
สาร isopropyl 2,5-dihydroxybenzoate ที่ได้จากการหมักผลมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี oxygen radical absorbance capacity (ORAC) assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ0.19 ± 0.01 มิลลิกรัมสมมูลของTrolox (Trolox equivalent)/มก.สาร (9)
สารสกัดอัลคาลอยด์จากใบมะละกอสารสกัดใบมะละกอด้วยอะซิโตน น้ำ และ 70% เมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ 0.98 ± 0.07, 0.85 ± 0.01, 0.60 ± 0.02 และ 0.53 ± 0.01 มคก./มล. ตามลำดับจะเห็นได้ว่าสารสกัดใบมะละกอด้วย 70% เมทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (36)
สารสกัดน้ำของเมล็ด ผล ใบ ราก และลำต้นใบมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 3.11 ± 0.11, 3.36 ±0.13, 13.31±0.48, 13.87 ±0.08 และ 39.48 ±0.40 มก./มล. ตามลำดับจะเห็นได้ว่าสารสกัดน้ำของเมล็ดมะละกอมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดและจากการศึกษาพบว่า สารฟีนอลิกที่พบในเมล็ดได้แก่ syringic acid hexoside, 5-hydroxy caffeic quinicacid, 5-hydroxy feruloyl quinic acid, acetyl p-coumaryl quinic acid, feruloyl quinic acid, p-coumaryltrimethyl glycoside, kaempferol-3-O-rhamnoside, n-methyl feruloyl quinic acid,quercetin-3-O-glycoside, quercetin-3-O-rhamnoside, chlorogenic acid และ cyanidin-3-O-glucoside (7)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 3 - 110 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีค่าเท่ากับ 32.19 - 66.85 % เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 23.03 - 63.19 % (37)
สารสกัดใบอ่อน ผลดิบ ผลสุก และเมล็ดด้วย 80% เมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (EC50) มีค่าเท่ากับ 1.0 ± 0.08, 4.3 ± 0.01, 6.5 ± 0.01และ7.8 ± 0.06 มก./มล. ตามลำดับจะเห็นได้ว่าสารสกัดใบอ่อนมะละกอมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด แต่น้อยกว่าวิตามินซี (ใน paper ไม่ได้บอกค่า EC50) ของวิตามินซี (38)
สารสกัดน้ำใบมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศบูร์กินาฟาโซ) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 23 มคก./มล. (39)
สารสกัดน้ำเมล็ดมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) ความเข้มข้น 1– 20 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีค่าเท่ากับ 12.4 - 81.2% เมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 31.7 - 91.9% (34)
สารสกัดน้ำใบมะละกอที่สกัดด้วยวิธี reflux, ultrasonic-assisted extraction (UAE) และagitation (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 0.236, 0.377 และ 0.404 มก./มล. ตามลำดับ (40)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอล, สารสกัดใบมะละกอด้วยวิธี supercritical carbon dioxide และสารสกัดใบมะละกอด้วยวิธีsupercritical carbon dioxide ด้วย 5% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าIC50 มีค่าเท่ากับ 151.36 ±4.38, 92.32±3.58 และ 69.05±11.47 มคก./มล.ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ butylated hydroxytoluene (BHT) IC50 มีค่าเท่ากับ 89.1 ±0.90มคก./มล. (41)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอลและเอทิลอะซิเตท(ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 5.96 และ 6.79 มคก./มล. ตามลำดับเมื่อเทียบกับ วิตามินซี IC50 มีค่าเท่ากับ2.16มคก./มล. (42)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี) สายพันธุ์เรดเลดี้ แขกดำ และฮอลแลนด์ เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 0.18, 0.24 และ 0.44 มก./มล. ตามลำดับ (43)
สารสกัดน้ำใบมะละกอ (ใบแก่และใบอ่อน) (ตัวอย่างจากประเทศเซเนกอล) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 0.072 และ 0.080 มก./มล. ตามลำดับ (44)
สารสกัดน้ำใบมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 400 มคก./มล. ในขณะที่วิตามินซี IC50 มีค่าเท่ากับ300 มคก./มล. (45)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าIC50 มีค่าเท่ากับ 213.68 มคก./มล. ในขณะที่วิตามินซีIC50 มีค่าเท่ากับ 1.02 มคก./มล. (46)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 100.0±0.07 ppm. (47)
สารสกัดใบมะละกอด้วยเมทานอล และเอทานอล ของสายพันธุ์เวียดนาม และฟิลิปปินส์ (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลีใต้) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าIC50 มีค่าเท่ากับ 86.99 ± 0.82 และ93.33 ± 1.13 มคก./มล. ตามลำดับ ของสายพันธุ์เวียดนาม และ 77.91 ± 0.23 และ91.41 ± 1.04 มคก./มล. ตามลำดับของสายพันธุ์ฟิลิปปินส์ (48)
สารสกัดน้ำใบและเมล็ดมะละกอ (ตัวอย่างจากประเทศเอธิโอเปีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 55.35 และ 100.67 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่วิตามินซี มีค่า IC50 เท่ากับ 47.61 มคก./มล. (49)
สารสกัดใบมะละกอด้วยคลอโรฟอร์ม เมทานอล และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 55.20, 58.48 และ 80.72 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่วิตามินซีมีค่า IC50 เท่ากับ 8.34 มคก./มล. (50)
เมื่อป้อนสารสกัดใบมะละกอด้วย 80% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอียิปต์) ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดพิษที่ตับด้วยคาร์บอนเตดตระคลอไรด์ขนาด100 และ200 มก./กก. พบว่าสามารถลดเอนไซม์glutathione ได้ 35.1 ± 0.6 และ 36.7 ± 1.1 มก./ดล. ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดพิษที่ตับด้วยคาร์บอนเตดตระคลอไรด์ร่วมกับวิตามินอีขนาด 7.5 มก./กก. ที่สามารถลดเอนไซม์ glutathione ได้ 36.6± 0.8มก./ดล. (51)
สารสกัดเนื้อผลสุกมะละกอด้วย 70% เอทานอล สารสกัดเนื้อผลสุกมะละกอด้วยวิธี freeze dry และ สารสกัดเนื้อผลสุกมะละกอด้วยวิธี spray dry (ตัวอย่างจากประเทศบราซิล) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 0.56 ± 0.05, 0.61 ± 0.03 และ 0.51 ± 0.01 มิลลิกรัมสมมูล Trolox (Troloxequivalent)/กรัมสารสกัด (52)
สารสกัดน้ำเปลือกผล เมล็ด และเนื้อผลมะละกอที่ยังไม่โตเต็มวัย (immature) สายพันธุ์โซโล 8 (ตัวอย่างจากประเทศโกตดิวัวร์) ที่ความเข้มข้น 2 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 84.01 ± 0.93, 82.53 ± 0.55 และ 81.05 ± 0.61% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสาร Trolox ที่ความเข้มข้นเท่ากันสามารถต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 92.29 ± 0.41%ในขณะที่สารสกัดดังกล่าวช่วงที่โตเต็มวัยแล้วมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้น้อยกว่า โดยที่ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 58.06 ± 0.75, 52.24 ± 0.48 และ 55.17 ± 0.51% (53)
สารสกัดน้ำของเปลือกผล และเมล็ดมะละกอที่ไม่สุก (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีFerric-reducing antioxidant power (FRAP) assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 112.35±0.20 และ 102.78±0.21มิลลิกรัมสมมูลของกรดแอสคอร์บิก/100 กรัมสารสกัด (54)
3.4 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
เมื่อป้อนสารสกัดใบมะละกอด้วยเอทานอล (ตัวอย่างประเทศไนจีเรีย) ขนาด 25, 50, 100 และ 200 มก./กก. วันละ 1 ครั้ง นาน 10 วันให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าหลังการศึกษา 5 ชม. สารสกัดใบมะละกอสามารถยับยั้งการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูได้ 77.1, 83.3, 85.4 และ 93.8% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับยา indomethacin ขนาด 5 มก./กก.สามารถยับยั้งการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูได้ 81.3% (55) เมื่อป้อนสารสกัดเมล็ดมะละกอด้วยเมทานอล (ตัวอย่างประเทศไนจีเรีย) ขนาด 5, 10, และ 20 มก./กก. ครั้งเดียวให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าหลังการศึกษา 2 ชม. สารสกัดเมล็ดมะละกอขนาด 20 มก./กก. สามารถยับยั้งการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูได้ 57.1% เมื่อเปรียบเทียบกับยา indomethacin ขนาด 10 มก./กก. สามารถยับยั้งการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูได้ 45% แต่หลังจากนั้นฤทธิ์ต้านการอักเสบก็จะลดลงเรื่อยๆ แสดงว่า สารสกัดเมล็ดมะละกอด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีในช่วง 2 ชม. แรกเท่านั้นและสารที่ออกฤทธิ์คือสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ และฟีนอลิก (56)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำใบมะละกอให้กับหนูแรทในขนาด 2,000 มก./กก. น้ำหนักตัววันละ 1 ครั้งนาน 14 วัน (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย) พบว่าไม่มีหนูตายแสดงว่าสารสกัดน้ำใบมะละกอไม่ทำให้เกิดพิษในขนาดดังกล่าว (57)
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำใบมะละกอให้กับหนูเม้าส์ในขนาด 2,000 มก./กก.น้ำหนักตัววันละ 1 ครั้ง นาน 14 วัน (ตัวอย่างจากประเทศบูร์กินาฟาโซ) พบว่าไม่มีหนูตาย แสดงว่าสารสกัดน้ำใบมะละกอไม่ทำให้เกิดพิษในขนาดดังกล่าว (39)
เมื่อป้อนสารสกัดผลมะละกอด้วยเอทานอล และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ให้หนูแรทกินนาน 7 วัน พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 2,426.37 และ 2,516.53 มก./กก. ตามลำดับ (58)
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำผลมะละกอดิบ (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ให้หนูแรทกินครั้งเดียว และสังเกตุอาการภายใน 24 ชม. พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 2,520 มก./กก. (59)
เมื่อป้อนสารสกัดใบและเมล็ดมะละกอด้วย 70% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศแคมเมอรูน) ให้ลูกไก่กินนาน 14 วันพบว่า LD50 มีค่ามากกว่า 5,120 มก./กก. ตามลำดับ (60)
การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำผลมะละกอดิบ (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ให้หนูแรทกินขนาด 50, 100, 150, 200 และ 250 มก./กก.น้ำหนักตัววันละ 1 ครั้งนาน 42 วัน พบว่าไม่มีหนูตายและไม่มีความผิดปกติที่อวัยวะใดๆแสดงว่าสารสกัดน้ำผลมะละกอดิบไม่ทำให้เกิดพิษกึ่งเฉียบพลัน (59)
เมื่อป้อนสารสกัดใบและเมล็ดมะละกอด้วย 70% เอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศแคมเมอรูน) ให้ลูกไก่กินนาน 42 วัน พบว่า LD50 มีค่ามากกว่า 640 มก./กก. ตามลำดับ (60)
การทดสอบความเป็นพิษเรื้อรัง
เมื่อป้อนสารสกัดเมล็ดมะละกอด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ให้กับหนูแรทกินขนาด 50, 100, 250 และ 500มก./กก.น้ำหนักตัววันละ 1 ครั้ง นาน 52 สัปดาห์พบว่าไม่มีหนูตาย และไม่มีความผิดปกติที่อวัยวะใดๆ แสดงว่าสารสกัดเมล็ดมะละกอด้วยเมทานอล ไม่ทำให้เกิดพิษ (61)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
สบู่มะละกอที่ใช้ทำความสะอาดผิวมีส่วนผสมเอนไซม์ปาเปน (papain) ซึ่งได้มาจากยางมะละกออาจทำให้เกิดการแพ้เช่นอาการคันบวมผื่นแดงการอักเสบที่ผิวหนังได้ควรระมัดระวังในการใช้ (18)
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
สูตรยาย้อมผมที่มีส่วนผสมของสารสกัดด้วย 70% แอลกอฮอล์ของเมล็ดมะละกอ 4.5% (จากรายงาน ไม่ระบุขนาดที่ใช้) เป็นสูตรที่ได้ผลดีที่สุด เพื่อใช้เป็นยาย้อมผม (13)
ยาสีฟันที่มีสารสกัดด้วยน้ำของใบมะละกอ (จากรายงานไม่ระบุความเข้มข้น) ร่วมกับอมกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดใบมะละกอ (จากรายงานไม่ระบุความเข้มข้น)โดยในการทดสอบให้อมกลั้วปากครั้งละ 20 มล. นาน 30 วินาที วันละ 2 ครั้ง หลังแปรงฟัน นาน 4 สัปดาห์ (16)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
จากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยของมะละกอส่วนใหญ่จะเป็นใบมากกว่าผล ซึ่งฤทธ์ที่มีข้อมูลสนับสนุนค่อนข้างมากจะเป็นฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้มีการศึกษาเกี่ยวกับการทำเป็นน้ำยากบ้วนปาก สบู่มะละกอที่ใช้ทำความสะอาดผิว และอื่นๆ อีกซึ่งมะละกอมีศักยภาพที่จะใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางได้ อย่างไรก็ตามก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับสบู่มะละกอเพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2542.
3. Carica papaya L. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2700919.
4. พร้อมจิต ศรลัมพ์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ จำกัด; 2535.
5. แหล่งกำเนิดมะละกอ. [cited 2021 March 30]. Available from: https://pokpokpapaya.wordpress.com/แหล่งกำเนิดมะละกอ/.
6. Chandra V, Kumar S, Verma NK. Chemical ingredients and pharmacological properties of Carica papaya: A review. Asian J Pharm Clin Res. 2019;7(3):129-40.
7. Zunjara V, Mammena D, Trivedia BM. Antioxidant activities and phenolicsprofiling of different parts of Carica papaya by LCMS-MS. Nat Prod Res. 2014.doi: /10.1080/14786419.2014.986658.
8. Pusporini R, Baabdullah HO, Andyka V. Quantification of quercetin and chlorogenic acid in papaya seed ethanol extract. Asian J Pharm Clin Res. 2020;13(1):151-3. doi: 10.22159/ajpcr.2020.v13i1.36242.
9. Ashour A, Amen Y, Nakagawa T, Niwa Y. A new aliphatic ester of hydroxysalicylic acid from fermented Carica papaya L.preparation with a potential hair growth stimulating activity. Nat Prod Res. 2020;34(12):1750-55.doi: 10.1080/14786419.2018.1530231.
10. Heena D, Sunil T. Carica papaya: Potential implications in human health. Curr Tradit Med. 2019;5:321-36.doi:10.2174/2215083805666190705170022.
11. Akhila S, Vijayalakshmi NG. Phytochemical studies on Carica papaya leaf juice. Inter J Pharm Sci Res. 2015;6(2):880-3. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.6(2).880-83.
12. Rivera-Pastran DM, Yahiab EM, Gonz´alez-Aguilara GA. Phenolic and carotenoid profiles of papaya fruit (Carica papaya L.) and their contents under low temperature storage. J Sci Food Agric. 2010;90:2358-65.doi: 10.1002/jsfa.4092.
13. Megantara S, Mustarichie R. Formulation of black hair dyes in the form of sticks from papaya seed extracts and powder. Int Res J Pharm. 2018;9(12):69-74. doi: 10.7897/2230-8407.0912295.
14. Jayarajan RC, Narayanan PV, Adenwalla HS. Papaya pulp for enzymatic wound debridement in burns. Indian J Burns. 2016;24(1):24-8. doi:10.4103/0971-653X.195533.
15. Rangaraju VM, Mousin S, Babu HM, Dasappa S. Efficacy of Carica papaya seed extract on periodontitis: A clinico-microbiological study. Int J Oral Care Res. 2019;7(2):35-42. doi:10.4103/INJO.INJO_28_19.
16. Saliasi I, Llodra JC, Bravo M, Tramini P, Dussart C, Viennot S,et al. Effect of a toothpaste/mouthwash containingCarica papaya leaf extract on interdental gingival bleeding: A randomized controlled trial.Int J Environ Res. 2018;15:2660.doi:10.3390/ijerph15122660.
17. Pertiwi D, Hafiz I, Salma R. Antibacterial activity of gel of ethanol extract of papaya leaves (Carica papaya L.) gel against P. acnes. Indones J Pharm Clin Res. 2019;2(1):1-6.doi:10.32734/idjpcr.v2i1.869.
18. Setiadi P, Anindia F. Manufacture of solid soap based on crude papain enzyme andantioxidant from papaya. 2nd international Tropical Renewable Energy Conference (i-TREC) 2017. doi:10.1088/1755-1315/105/1/012048.
19. Sravani G, Pratyusha, Akila, Rose ME. Advancement of hand sanitizer gel for killing bacteria using natural extractsof leaves of Carica papaya. Int J Res Pharm Sci. 2020;11 (SPL4):772-6. doi: 10.26452/ijrps.v11iSPL4.4066.
20. Ajiboye AE, Olawoyin RA. Antibacterial activities and phytochemical screening of crude extract of Carica papaya leaf againstselected pathogens. GJPAS. 2020;26:165-70. doi: 10.4314/gjpas.v26i2.8.
21. Ani SE, Iroha IR, Moses IB, Ugbo EN, Nwakaeze EA, Okoli SC, et al. Antibacterial activities of ethyl acetate and methanol leaf extracts of Psidium guajava and Carica papaya onbacterial pathogens isolated from manual toothbrushes. J Med Plants Res. 2020;14(10)559-69. doi: 10.5897/JMPR2020.7013.
22. AwahNS, Agu KC, IIkedinmaJC, Uzoechi AN, Eneite HC, Victor-Aduloju AT et al. Antibacterial activities of the aqueous and ethanolic extracts of the male and female Carica papaya leaves on some pathogenic bacteria. J Biosci Bioeng. 2017;5(2):25-9. doi: 10.13189/bb.2017.050201.
23. Paray AR, Bhakat M, Mohanty TK, Behare P, Lone SA, Parry UR, et al. Antimicrobial activity of crude aqueous extracts of Moringa oleifera, Azadirachta indica, Carica papaya, Tinospora cordifolia and Curcuma longa against certain bacterial pathogens. J Pharmacogn Phytochem. 2018;7(4):984-94.
24. Mbah-omeje KN, Ugwu CC, Ezugwu RI, Iloputaife EJ. Antimicrobial and phytochemical studies of Carica papaya leaves against Escherichia coli andStaphylococcus aureus.World J Pharm Pharm Sci. 2018;7(1):180-9. doi: 10.20959/wjpps20181-10626.
25. Adetunde L, Ninkuu V, Sacky, I. Evaluating the antimicrobial potency of crude extractsof Psidium guajava bark, leaves of Vernonia amygdalina, Carica papaya and whole plant ofPhyllanthus niruri against specific pathogenic bacteria. Afr J BacteriolRes. 2017;9(3):15-20. doi: 10.5897/JBR2015.0188.
26. Prasetya AT, Mursiti S, Maryan S, Jati NK. Isolation and identification of active compounds frompapaya plants and activities as antimicrobial. The 12th Joint Conference on Chemistry. IOP Conf. Series: Materials Science and Engineering 349 (2018) 012007 doi:10.1088/1757-899X/349/1/012007.
27. Alexander P, Sudi IY, Tizhe M. Phytochemical and antimicrobial studies of the crude extracts of the leaves of Carica papaya Linn. (pawpaw) and Psidium guajava Linn. (guava). Microbio Res J Inter. 2019;28(1):1-7. doi:10.9734/mrji/2019/v28i130120.
28. Callixte C, Baptiste NJ, Arwati H. Phytochemical screening and antimicrobial activities ofmethanolic and aqueous leaf extracts ofCarica papaya grown in Rwanda. Mol Cell Biomed Sci. 2020;4(1): 39-44. doi: 10.21705/mcbs.v4i1.74.
29. Baskaran C, Ratha bai V, Velu S, Kumaran K. The efficacy of Carica papaya leaf extract on some bacterial and a fungalstrain by well diffusion method. Asian Pac J Trop Dis. 2012;S658-62.doi:10.1016/S2222-1808(12)60239-4.
30. Saleem M, Cheema MTHassan A, Shaukat S, Sajid I. Endophytes and plant extracts of Carica papaya Linn. exhibitpromising antibacterial and in-vitro antitumor activity. J Anim Plant Sci.2020;30(4):1037-46.doi: 10.36899/JAPS.2020.4.0118.
31. Fonseca MAAR, Karpe AN, Keerthi PS, Mendes RM. Fruit peel soap and its antibacterial properties in skin care. Int J Curr Pharm Res. 2019;11(3):17-20. doi: 10.22159/ijcpr.2019v11i3.34086.
32. Bridge M, Montero GD, Valladares MB,Katawera V, Nkwangu D, Noah JOO. Antibacterial effect of crude methanol Carica papayaL. (papaya) extract and amoxicillin combination. Rev Cubana Plant Med. 2015;20(4):453-64.
33. Abirami S, Antony VS, Emilin RR, Kanchana S, Noorudeen MB, Yamunadevi K, et al. Anti-microbial activity of seed extract of Cucumis sativus L., Carica papaya L.and Annona squamosa L. Int J Res Pharm Sci. 2020;11(4): 6719-26. doi: 10.26452/ijrps.v11i4.3603.
34. Wijesooriya AA, Deraniyagala SA, Hettiarachchi CM. Antioxidant, anti-inflammatory and antibacterial activities of the seeds of a Sri Lankan variety of Carica papaya. Biomed Pharmacol J. 2019;12(2):539-47. doi: 10.13005/bpj/1673.
35. Salou M, Siliadin ABW, Dossim S, Djeri B, Anani K, Sadji A, et al. In vitro evaluation of the antibacterial activities ofZea mays’stigma and Carica papaya seeds hydro-ethanolic extracts. Microbiol Res J Inter. 2018;26(5):1-7.doi:10.9734/MRJI/2018/v26i530078.
36. Adedayo BC, Oyeleye S, Okeke BM, Oboh G. Anti-cholinesterase and antioxidant properties of alkaloid andphenolic-rich extracts from pawpaw (Carica papaya) leaf: Acomparative study. Flavour Fragr J. 2021;36:47-54. doi: 10.1002/ffj.3615.
37. Thakuria P, Nath R, Sarmah S, Dutta M, Barman C. Antioxidant activities of Artocarpus heterophyllus, Terminalia bellerica and Carica papaya leaves in methanolic extract. Int J Chem Stud. 2017;5(2):208-11.
38. Maisarah AM, Nurul AB, Asmah R, Fauziah O. Antioxidant analysis of different parts of Carica papaya.Inter Food Res J. 2013;20(3):1043-8.
39. Brigitte QM, Kiendrebeogo M, Nacoulma OG. Antioxidant potential and acute toxicity of aqueous extracts toa plant from Caricaceae’s Family: Carica papaya L., used in traditional medicine in Burkina Faso. World Appl Sci J. 2018;36 (5):710-4.doi: 10.5829/idosi.wasj.2018.710.714.
40. Soib HH, Ismail HF, Husin F, Abu Baka MH, Yaakob H, Sarmidi, HR. Bioassay-guided different extraction techniques of Carica papaya (Linn.) leaves on in vitro wound-healing activities. Molecules. 2020;25:517; doi:10.3390/molecules25030517.
41. Khor BK, Chear NJY, Azizi J, Khaw KY. Chemical composition, antioxidant and cytoprotective potentials of Carica papaya leaf extracts: A comparison of supercritical fluid and conventional extraction methods. Molecules. 2021,26,1489. doi:10.3390/molecules26051489.
42. Foyzun T, Aktar K. Comparison and evaluation of total phenolic, flavonoid content and antioxidant activity of crude methanol and ethyl acetate extracts of Carica papaya Leaves. J Pharm Phyto. 2017;6(2):117-24.
43. Chaithada P, Whenngean P, Fungfueng R, Maungchanburee S. Correlation between total flavonoid content and total phenolic content on antioxidant activity of ethanol extracts from three cultivars of papaya leaves. J Res Pharm Sci. 2020;11(2),1883-7. doi: 10.26452/ijrps.v11i2.2099.
44. Gaye AA, Cisse OIK, Ndiaye B, Ayessou NI,Cisse M, Diop CM. Evaluation of phenolic content and antioxidantactivity of aqueous extracts of three Carica papaya varieties cultivated in Senegal. Food Nutr Sci. 2019;10:276-89. doi: 10.4236/fns.2019.103021.
45. Sangeetha M, Venkatalakshmi P. In vitro antioxidant activity of the aqueous extract of Andrographis paniculata and Carica papaya leaves. World J Pharm Pharm Sci. 2017;6(5):1631-43. doi: 10.20959/wjpps201705-9229.
46. Aboobacker HK, Valoth G, Kizhedath S. In vitro study on the antioxidant activity of methanolic leaf extract of Carica papaya. Int J Basic Clin Pharmacol. 2020;9(4):652-6.doi: 10.18203/2319-2003.ijbcp20201194.
47. Farida Y, Iswahyuni I. Isolation, identification, and antioxidant activity of chemical compound inethanol extract of papaya leaves (Carica papaya L.). Asian J Pharm Clin Res. 2018;11(1):118-21. doi: 10.22159/ajpcr.2018.v11s1.26583.
48. Ima S-Y, Janga K-H, Farooqb M, Leea DJ. Physico-chemical properties and antioxidant potential ofpapaya (Carica papaya). J Herbs Spices Med Plants. 2016;22(4):327-36. doi: 10.1080/10496475.2016.1221869.
49. Weldegebriel HH, Regasa MB, Fayisa HG. Phytochemical screening and evaluation of 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging of some selected edible fruits of Nekemte town in Ethiopia. J Pharm Res. 2018;12(5):721-5.
50. Hoque N, Al-Faysal A, Ahmed I, Chowdhury NS. Phytochemical screening and in vitro bioactivities of the various extracts of Carica papaya leaves available in Bangladesh. IJRPP. 2015;4(3):341-8.
51. Abdel-Halim S, Ibrahim M, Mohsen MA, Abou-Setta L, Sleem A, El-Missiry M. Phytochemical and biological investigation of Carica papaya Linn. leaves cultivated in Egypt (Family Caricaceae). J Pharmacogn Phytochem. 2020;9(5):47-54.doi: 10.22271/phyto.2020.v9.i5a.12421.
52. Gomes WF, França FRM, Denadai M, Andrade JKS, da Silva Oliveira EM, de Brito ES, et al. Effect of freeze- and spray-drying on physico-chemicalcharacteristics, phenolic compounds and antioxidant activityof papaya pulp. Food Sci Technol. 2018;55(6):2095-102. doi: 10.1007/s13197-018-3124-z.
53. Larissa E, Yapo T, Hubert K, Parfait Eugène NJ. Impact of maturity stage on antioxidant activity andphytochemical properties of different parts from pawpaw:Carica papaya L. var solo 8. J Food Engineer. 2020;19(3):199-209.
54. Dada FA, Nzewuji FO, Esan AM, Oyeleye SI, Adegbola VB. Phytochemical and antioxidant analysis of aqueous extracts of unripe pawpaw (Carica papaya Linn.) fruit’s peel and seed. IJRRAS. 2016;27(3):69-71.
55. Owoyele BV, Adebukola OM, Funmilayo AA, Soladoye AO. Anti-inflammatory activities of ethanolic extract of Carica papayaleaves. Inflammopharmacology. 2008;16:168-73. doi: 10.1007/s10787-008-7008-0.
56. Anaga AO, Onehi EV. Antinociceptive and anti-inflammatory effects of the methanol seed extract of Carica papaya in mice and rats. AJPP. 2010;4(4):140-4.
57. Halim SZ, Abdullah NR, Afzan A, Rashid BAA, Jantan I, Ismail Z. Acute toxicity study of Carica papaya leaf extract inSprague Dawley rats. J Med Plants Res. 2011;5(20):1867-72.
58. Jayakar B, Kavimani S, Murugesh N. Effect of dried fruits of Carica papaya Linn. on hepatotoxicity. Biol Pharm Bull. 2002;25(12):1645-6.
59. Oduola T, Adeniyi FAA, Ogunyemi EO, Bello IS, Idowu TO, Subair HG. Toxicity studies on an unripe Carica papaya aqueousextract: biochemical and haematological effects inWistar albino rats. J Med Plants Res. 2007;1(1):1-4.
60. Nghonjuyi NW, Tiambo CK, Taïwe GS, Toukala JP, Lisita F, Juliano RS, et al. Acute and sub-chronic toxicity studies of three plants used in Cameroonian ethnoveterinary medicine: Aloe vera (L.) Burm.f. (Xanthorrhoeaceae) leaves, Carica papaya L. (Caricaceae)seeds or leaves,and Mimosa pudica L. (Fabaceae) leaves in Kabir chicks. J Ethnopharmacol. 2016;178:40-9. doi: 10.1016/j.jep.2015.11.049.
61. Goyal S, Manivannan B, Ansari AS, Jain SC, Lohiya NK. Safety evaluation of long term oral treatment of methanol sub-fraction of the seeds of Carica papaya as a male contraceptive in albino rats. J Ethnopharmacol. 2010;127:286-91.doi:10.1016/j.jep.2009.11.007.
62. การปลูกมะละกอ. [cited 2021 March 30]. Available from: https://sites.google.com/site/papayazap/withi-kar-pluk-laea-karte-ri-ym-din.