มะหาด
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Artocarpus lacucha Buch.-Ham.
ชื่อวงค์
MORACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะหาด
ชื่ออังกฤษ
-
ชื่อพ้อง
Artocarpus ficifolius W.T.Wang
Artocarpus lakoocha Roxb.
Artocarpus yunnanensis H.H.Hu
Saccus lakoocha (Roxb.) Kuntze
ชื่อท้องถิ่น
กาแย ตาแป ตาแปง หาด มะหาดใบใหญ่
ชื่อ INCI
ARTOCARPUS LAKOOCHA WOOD EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
พบได้ทั่วไปในป่าดงดิบและป่าเบญจพรรณ โดยเฉพาะบริเวณที่โล่งแจ้ง ที่กึ่งโล่งแจ้ง ป่าเต็งรัง ป่าคืนสภาพ ป่าหินปูน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,800 ม. ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และทางภาคใต้ของประเทศไทย ต่างประเทศพบในประเทศภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย และหมู่เกาะสุมาตรา (4-5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น สูงประมาณ 30 ม. ทรงพุ่มแผ่กว้าง เปลือกต้นสีน้ำตาลแกมสีแดง มีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปวงรี กว้าง 8–10 ซม. ยาว 10–20 ซม. ผิวใบด้านบน มีขนหยาบ เป็นมันสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านล่าง มีขนหยาบ สีเขียวแกมสีเทา ช่อดอกแบบช่อกระจุก ออกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้ รูปกลม ออกเป็นช่อเดี่ยวที่ซอกใบ กลีบเลี้ยงหยักเป็นสองแฉก กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ช่อดอกเพศเมีย รูปไข่ กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ ผลเป็นผลรวม สีเหลือง ผิวขรุขระ มีขนนุ่ม (3)
การเพาะปลูก
ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติโดยเมล็ด การปลูกใช้ได้ทั้งเมล็ดและกิ่งตอน (3)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูลการใช้มะหาดตามภูมิปัญญาไทยทางด้านเครื่องสำอางที่ชัดเจน มีเพียงข้อมูลการใช้ภายนอกกับผิวหนัง ดังนี้
แก่น แก้ผื่นคัน
เนื้อไม้ แก้ผดผื่นคัน แก้โรคผิวหนัง
ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แก้โรคผิวหนัง (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของแก่นไม้มะหาดพบสารประกอบ polyphenolics ต่าง ๆ ได้แก่
สารกลุ่มสติลบินอยด์ (stilbenoids) ได่แก่ oxyresveratrol(6-8,10-16) และ prenylated derivatives of 2,4,3′,5′-tetrahydroxystilbene (จากเซลล์เพาะเลี้ยง callus cultures) (12)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ rutin, quercetin, catechin (10-11),prenylated derivatives of 5,7,2′,4′-tetrahydroxyflavones (จากเซลล์เพาะเลี้ยง callus cultures) (12)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ pyrogallol, gallic acid, resorcinol และ caffeic acid (11)
สารกลุ่มสติลบินอยด์ (stilbenoids)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ สาร oxyresveratrol (6-9)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่สาร oxyresveratrol (17)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ สาร catechin (21)
- สารออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก ได้แก่ สาร oxyresveratrol (19)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
มีการศึกษาคุณสมบัติทางเภสัชเวท (pharmacognostic) ของเครื่องยาแก่นมะหาดจากร้านขายยาแผนโบราณ 13 แห่ง ใน 5 พื้นที่ของประเทศไทย ตามคู่มือการจัดทำมาตรฐานสมุนไพรขององค์การอนามัยโลก ลักษณะทางจุลทรรศน์ของผงแก่นมะหาด พบ parenchyma และ fiber ของเนื้อไม้ ในขณะเดียวกันพบท่อลำเลียงน้ำแบบรูที่มีขอบ (bordered pit vessels) ค่าเฉลี่ยของปริมาณสิ่งแปลกปลอม (foreign matter) เถ้าไม่ละลายในกรด (acid-insoluble ash) เถ้ารวม (total ash) ความชื้น (moisture) และปริมาณสาร oxyresveratrol มีค่าร้อยละ 0.04, 2.06, 2.51, 9.57 และ 1.44 ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดเอทานอล (ethanol-soluble extractive) สารสกัดน้ำ (water-soluble extractive) และน้ำหนักที่หายไปเมื่อทำให้แห้ง (loss on drying) ร้อยละ 7.93, 5.27 และ 9.79 ตามลำดับ และมีรายงานการวิเคราะห์สารสำคัญของมะหาด ดังต่อไปนี้ (20)
การวิเคราะห์สาร oxyresveratrol
การวิเคราะห์ด้วย Thin-Layer chromatography (TLC) มีตัวอย่างการศึกษาดังนี้
การศึกษาที่ 1 สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ (7)
วัฏภาคคงที่: Silica gel 60 F254 TLC plate10x10 ซม.
วัฏภาคเคลื่อนที่: dichloromethane : methanol (85 : 15)
Injection volumes: 20 ไมโครลิตร
Detector: TLC scanner ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (15)
วัฏภาคคงที่: Silica gel 60 F254 TLC plate 20×10 ซม.
วัฏภาคเคลื่อนที่: dichloromethane : methanol (85 : 15)
Injection volumes: 20 ไมโครลิตร
Detector: TLC scanner ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 3 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (17)
วัฏภาคคงที่: Silica gel 60 F254 plates
วัฏภาคเคลื่อนที่: hexane : ethyl acetate : acetone (2 : 2 : 1 v/v/v)
Detector: UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 และ 365 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 4 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (20)
วัฏภาคคงที่: Silica gel GF254 20x20 ซม.
วัฏภาคเคลื่อนที่: chloroform : methanol (9 : 1)
Injection volumes: 10 ไมโครลิตร
Detector: UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 และ 366 นาโนเมตร
การวิเคราะห์ด้วย High-performance liquid chromatography (HPLC) มีตัวอย่างการศึกษาดังนี้
การศึกษาที่ 1 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (10)
วัฏภาคคงที่: Ultra HPLC columns 250×4.60 มม., C18 column packing, 5 µm particle size
วัฏภาคเคลื่อนที่: 35% methanol
Injection volumes: 20 ไมโครลิตร
Flow rate: 0.8 มล./นาที
Detector: UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (13)
วัฏภาคคงที่: An RP-18 column LiChroCART®, 125×4 มม., 5 µm particle size
วัฏภาคเคลื่อนที่: 20% aqueous acetonitrile containing 0.5% acetic acid
Flow rate: 1 มล./นาที
Detector: PerkinElmer 785A UV/VIS detector ที่ความยาวคลื่น 320 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 3 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (14)
วัฏภาคคงที่: Hypersil BDS C18 column 4.6×100 มม., 3.5 µm, C18 guard column
วัฏภาคเคลื่อนที่: (A) 0.5% acetic acid in water, (B) methanol
Injection volumes: 10 ไมโครลิตร
Detector: UV detector ที่ความยาวคลื่น 325 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 4 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (17)
วัฏภาคคงที่: Alltech Altima C18 column 250×4.6 มม., 5 µm, C18 guard column (Phenomenex 40×3.0 มม.)
วัฏภาคเคลื่อนที่: (A) water, (B) 1% acetic acid in 35% methanol
Flow rate: 1.0 มล./นาที
Detector: UV detector ที่ความยาวคลื่น 280 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 5 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (18)
วัฏภาคคงที่: C18 column 250×4.6 มม., 5 µm
วัฏภาคเคลื่อนที่: (A) 1% acetic acid in water, (B) 100% acetonitrile
Injection volumes: 10 ไมโครลิตร
Flow rate: 0.7 มล./นาที
Detector: UV detector ที่ความยาวคลื่น 330 นาโนเมตร
การวิเคราะห์ด้วย capillary zone electrophoresis
ผงแก่นมะหาด 2 ก. สกัดด้วยเมทานอล 250 มล. ใน soxhletนาน 5 ชม. นำสารสกัด 250 มล. ใส่ใน volumetric flask เจือจางสารสกัดด้วย running buffer (Borate buffer 25 mM, pH 9.24) ที่อัตราส่วน 1:4 v/v โดยใช้สารสกัดมาตรฐาน oxyresveratrol 1.0 มก./มล. ในเมทานอล ใช้ benzoic acid 1.0 มก./มล. ในน้ำกลั่นเป็น internal standard เลือกใช้ syringe filter ที่ pore size ขนาด 0.45 ไมครอน
Instrument: P/ACE System 5010 Beckman
Buffer solution: Borate buffer 25 mM, pH 9.24 เตรียมจาก sodium tetraborate
Capillary column: Uncoated fused silica capillary 57 cm length (50 cm to detector) x 50µm i.d., thermostated 25°C, voltage 30 kV
Detector:UV detector at 280 nm
Sample, Standard and Internal Standard injection: 2 seconds from each vial (20)
การวิเคราะห์สาร trans-oxyresveratrolและ trans-resveratrol
การวิเคราะห์ด้วย Ultra High Performance Liquid Chromatography (22)
วัฏภาคคงที่: BEH C18, 1.7 µm, 2.1 mm x 100 mm
อุณหภูมิ: 40 องศาเซลเซียส
วัฏภาคเคลื่อนที่: A: methyl alcohol B: 0.1% acetic acid
Injection volumes: 1ไมโครลิตร Run time: 7 นาที
Detector: Photodiode array
scan wavelength: 250 - 400 nm และ detection wavelength: 325 nm
การวิเคราะห์สาร total phenolic
การวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Folin-Ciocalteu method
สารสกัดมะหาดในน้ำกลั่น 20 ไมโครลิตร ผสมกับ Folin-Ciocalteu reagent 100 ไมโครลิตร และ sodium carbonate ความเข้มข้น 15 ก./ล. 80 มล. ทดสอบใน 96-well plate แล้ว incubate สารผสมที่ 50 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที ต่อด้วยที่อุณหภูมิห้อง 30 นาที วัดค่าการดูดกลืนแสงที่ 750 นาโนเมตรคำนวณหาปริมาณสาร total phenolic ในหน่วย gallic acid equivalents (GAE) (10)
การวิเคราะห์ total flavonoids
การวิเคราะห์ด้วยด้วยเทคนิค aluminum chloride colorimetric method
ผสมสารสกัด 95% เอทานอลแก่นมะหาด 60 ไมโครลิตร 4% AlCL3 10 ไมโครลิตร 0.4 M CH3COOK 10 ไมโครลิตร และน้ำกลั่น 100 ไมโครลิตร ใน 96-well plate แล้ว incubate ที่อุณหภูมิห้อง 40 นาที วัดค่าการดูดกลืนแสงที่ 415 นาโนเมตร คำนวณหาปริมาณสาร total flavonoids ในหน่วยquercetin equivalent (QE) (10)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบสารสกัดน้ำแก่นมะหาด (ไม่ระบุแหล่งที่มา) โดยต้มชิ้นเล็ก ๆ ของแก่นมะหาด ในน้ำเดือด นำไปทำให้แห้งได้ผงสีเหลือง วิเคราะห์สาร oxyresveratrol ในสารสกัดแห้งทดสอบในอาสาสมัครเพศหญิงอายุระหว่าง 20 - 48 ปี จำนวน 60 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน กลุ่มแรกจะได้รับสารละลาย (solution) ที่เตรียมจากสารสกัดมะหาด 0.25% w/v 5 หยด ที่ละลายใน propylene glycol ทาบริเวณต้นแขนด้านนอกข้างหนึ่ง 2 ครั้ง/วัน อีกข้างหนึ่งให้ทา propylene glycol เพียงอย่างเดียว (self-control) ทำการทดสอบเป็นเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มที่ 2 ได้รับสารละลายที่เตรียมจากสารสกัดชะเอมเทศ (Glycyrrhizaglabra; licorice) 0.25% และกลุ่มที่ 3 ได้รับสารละลายที่เตรียมจาก 3% kojic acid ทดสอบในรูปแบบเดียวกัน วัดปริมาณเม็ดสีเมลานินในทุกสัปดาห์ของการทดสอบด้วยเครื่อง Mexameter MX16 (Courage and Khazaka, Germany) วัดร้อยละการลดลงของปริมาณเม็ดสีเมลานิน (% reduction in melanin content) เปรียบเทียบกับช่วงเริ่มการทดสอบ นำมาคำนวณหาร้อยละของความขาวของผิว (% whitening) ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดมะหาดมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นในระยะเวลาสั้นที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นั่นคือมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นหลังจากทดสอบ 4 สัปดาห์ รองลงมาคือกลุ่มที่ได้รับ kojic acid (6 สัปดาห์) และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดชะเอมเทศ (10 สัปดาห์) และทำการทดสอบต่อในอาสาสมัครเพศหญิงกลุ่มละ 25 คน โดยเตรียมตำรับโลชันชนิดไขมันในน้ำ (oil in water emulsion) ผสมสารสกัดมะหาด 0.1% w/w ทาผิวต้นแขนด้านหนึ่งวันละครั้ง อีกด้านหนึ่งให้ทาโลชันที่ไม่มีส่วนผสมของสารสกัด (lotion base) และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับโลชันผสมสารสกัดชะเอมเทศ 0.1% w/w ทดสอบในรูปแบบเดียวกัน วัดปริมาณเม็ดสีเมลานินทุกสัปดาห์จนกระทั่งสัปดาห์ที่ 4 ของการทดสอบ และทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งในอาสาสมัครเพศหญิงกลุ่มละ 15 คน แต่เปลี่ยนจากการทดสอบบริเวณผิวต้นแขนมาเป็นการทาโลชันบริเวณแก้มแบ่งออกเป็นข้างซ้าย - ขวา ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับโลชันผสมสารสกัดมะหาดมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นมากกว่า lotion base จากการทดสอบบริเวณต้นแขน % whitening เพิ่มขึ้นจาก 1.00% ที่สัปดาห์ที่ 1 เป็น 1.51% และ 2.23% ที่สัปดาห์ที่ 2 และ 3 ตามลำดับ และที่สัปดาห์ที่ 4 มีค่า 2.21% ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับโลชันผสมสารสกัดชะเอมเทศมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นช้ากว่า พบว่าที่สัปดาห์ที่ 3 มีค่า % whitening เท่ากับ 1.76% และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่สัปดาห์ที่ 4 มีค่าเท่ากับ 2.12% โดยไม่พบอาสาสมัครที่มีอาการผื่นผิวหนัง (skin rashes) หรืออาการแพ้รุนแรงใด ๆ (hypersensitivity reactions) จากการทดสอบบริเวณแก้มกลุ่มที่ได้รับสารสกัดมะหาดมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นเล็กน้อยมีค่า % whitening ที่สัปดาห์ที่ 3 และ 4 เท่ากับ 1.47% และ 1.63% ตามลำดับ ใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับสารสกัดชะเอมเทศมีค่า % whitening ที่สัปดาห์ที่ 3 และ 4 เท่ากับ 1.31% และ 1.85% ตามลำดับ (6)
การทดสอบทางคลินิกการพัฒนาตำรับโลชันทาตัวที่เตรียมจาก “ปวกหาด” ซึ่งได้จากการนำแก่นมะหาด (ไม่ระบุแหล่งที่มา) มาต้มเคี่ยวกับน้ำทำให้เกิดฟองขึ้น เมื่อช้อนฟองออกมาตากแห้งจะได้ผงสีนวลจับกันเป็นก้อน นำไปย่างไฟจนเหลือง เรียกก้อนที่ได้ว่า “ปวกหาด” ทำการศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 30 คน ให้ทาโลชันที่เตรียมจากปวกหาด (ความเข้มข้น 0.1% ในตำรับ) บริเวณต้นแขนด้านนอก วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ และประเมินผลการทดสอบโดยใช้เครื่อง cutometerร่วมกับหัววัด corneometer (วัดความชุ่มชื้น) และหัววัด mexameter (วัดปริมาณเม็ดสีเมลิน) ก่อนและหลังใช้โลชัน รวมทั้งให้อาสาสมัครประเมินความพึงพอใจต่อสี กลิ่น และความเนียนของเนื้อโลชัน ความหนืดของเนื้อโลชัน การกระจายบนผิวหนัง และการดูดซึมของโลชันเข้าสู่ผิวหนัง หลังจากใช้โลชันที่เตรียมจากปวกหาดเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าอาสาสมัครทุกคนมีความชุ่มชื้นของผิวหนังเพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างจากก่อนใช้ นอกจากนี้ในอาสาสมัครที่ไม่มีปัจจัยรบกวน ได้แก่ การขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ การเล่นกีฬา การทำกิจกรรมกลางแจ้ง การสวมเสื้อแขนสั้นหรือเสื้อกล้ามจำนวน 16 คน พบว่าจำนวนเม็ดสีเมลานินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อใช้โลชันเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ การประเมินความพึงพอใจของอาสาสมัครพบว่าอาสาสมัครส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อกลิ่น ความเนียน ความหนืด การกระจายตัว การดูดซึมของโลชันเข้าสู่ผิวหนัง และความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก (7)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseซึ่งเป็นเอนไซม์เร่งปฏิกิริยาตั้งต้นของกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินและเป็นสาเหตุทำให้ผิวคล้ำ และทดสอบฤทธิ์การลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน รวมทั้งการวัด DPPH scavenging เพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ของสารสกัดมะหาด (Artocarpuslakoocha; AI) และชะเอมเทศ (Glycyrrhizaglabra; Gg) ในเซลล์ melanoma B16 โดยเลือกซื้อแก่นมะหาดและรากชะเอมเทศ จากร้านเวชพงศ์โอสถ กรุงเทพฯ ใช้สมุนไพรอย่างละ 1 กก. แช่สกัดข้ามคืนใน 70% หรือ 90% เอทานอล ที่อุณหภูมิห้องสำหรับมะหาด และที่อุณหภูมิ 48 องศาเซลเซียสสำหรับรากชะเอมเทศ หลังจากสกัด 3 รอบ นำสารสกัดมากรองและระเหยแห้ง ได้ปริมาณสารสกัด (yields of crude extracts) A170, A195, Gg70 และ Gg95 เท่ากับ 9.703%, 8.675%, 8.46% และ 8.153% ตามลำดับ นำ AI หรือ Gg และสารผสมระหว่าง A195 และ Gg95 มาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase (tyrosinase from mushroom; SLBJ5647, activity of 5771 unit/mg) และฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์ melanoma B16 ผลการทดสอบพบว่า A195 มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseและลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน รวมทั้งการต้านอนุมูลอิสระที่สูง และมีปริมาณสาร oxyresveratrol ที่สูง สารสกัด Gq95 มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระและ tysosinase สูงกว่า Gg70 และมี glabridinในปริมาณสูง สารผสมระหว่าง A195 และ Gg95 ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ melanoma B16 ที่น่าสนใจคือสารผสมระหว่าง A195 และ Gg95 ที่อัตราส่วน 9:1 ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้สูงถึง 53% ผ่านกลไกการยับยั้งการแสดงออกของ microphthalmia-associated transcription factor (MITF), tyrosinase และ tyrosinase-related protein-2 (TRP-2) จากผลการทดสอบครั้งนี้นักวิจัยสรุปได้ว่าสารผสมของสารสกัด AI และ Gg อาจมีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อบรรเทาอาการจุดด่างดำได้ (8)
การทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดน้ำแก่นมะหาด (ไม่ระบุแหล่งที่มา) โดยต้มชิ้นเล็ก ๆ ของแก่นมะหาด ในน้ำเดือด นำไปทำให้แห้งได้ผงสีเหลือง วิเคราะห์สาร oxyresveratrol ในสารสกัดแห้ง ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ในเห็ด (mushroom tyrosinase; EC 1.14.18.1) พบว่าสารสกัดแก่นมะหาดและสาร oxyresveratrol มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseมีค่า IC50เท่ากับ 0.76 และ 0.83 มคก./มล. ตามลำดับ (6)
การทดสอบโลชันสมุนไพรเพื่อผิวขาว โดยทําการคัดเลือกสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ มะหาด ชะเอมเทศ และรังไหม (Bombyxmori) มาเตรียมเป็นสารสกัดมะหาด สารสกัดชะเอมเทศ และสารสกัดรังไหม (ไม่มีข้อมูลส่วนที่ใช้และวิธีการสกัด) แล้วนํามาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ด้วยวิธี dopachromeพบว่าสารสกัดดังกล่าวที่ความเข้มข้น 1 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseเท่ากับ 87.88±0.31%, 74.24±0.62% และ 5.19±0.61% ตามลําดับ และมีค่า IC50 เท่ากับ 50, 140 และ >1,000 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่ kojic acid ความเข้มข้น 1 มก./มล. (สารมาตรฐาน) มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseเท่ากับ 83.30±0.51% และมีค่า IC50 เท่ากับ 130 มคก./มล. จากนั้นนําสารสกัดดังกล่าวมาพัฒนาเป็นตํารับโลชันสมุนไพรเพื่อผิวขาว พบว่าสารสกัดดังกล่าวในปริมาณ 1.03 , 0.42 และ 0.20 ก. ในโลชันสมุนไพร 100 มล. ตามลําดับ มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseเท่ากับ 98.60±0.45% ตํารับที่ได้มีสีน้ำตาล มีกลิ่นแอลกอฮอล์เล็กน้อย นอกจากนี้ เมื่อนําตํารับที่ได้มาทดสอบความความคงตัวโดยนําไปเก็บที่อุณหภูมิห้อง (28 – 30 องศาเซลเซียส) ตู้เย็น (4 องศาเซลเซียส) และตู้อบ (45องศาเซลเซียส) เป็นเวลา 4 สัปดาห์ แล้วทําการตรวจสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase สารสําคัญ สีและกลิ่น โดยตรวจสอบวันที่ 0, 7, 14, 21 และ 28 ของการเตรียมตํารับ พบว่าการเก็บที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสเท่านั้น ที่ทําให้ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseมีค่าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาการเก็บ นอกจากนี้ การตรวจสารสําคัญ สีและกลิ่น พบว่ามีชนิดของสารสําคัญ สีและกลิ่นไม่แตกต่างกันในทุกสภาวะการเก็บตลอดระยะเวลาที่กําหนด (9)
1.2 ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากแก่นมะหาด ผงแห้งของแก่นมะหาดจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี สกัดโดยใช้ผงแห้งแก่นมะหาด 100 ก. สกัดด้วย 80% เอทานอล 1,000 มล. เขย่าตลอดทั้งคืน ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส นำไปปั่นเหวี่ยงที่ 3,000 rpm เป็นเวลา 10 นาที นำส่วนของเหลวเหนือตะกอนไปกรอง นำไประเหยด้วย rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ทำให้แห้งด้วย lyophilization เก็บไว้ที่ -20 องศาเซลเซียส ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย ABTS, DPPH และ H2O2scavenging ให้ค่าเท่ากับ 128.30 ± 0.13, 55.86 ± 0.01 และ 463.49 ± 0.01 ไมโครโมล Trolox/ก.สารสกัด ตามลำดับ วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญพบว่าสารสกัด 1 ก. ประกอบด้วย total phenol 325.63 ± 2.99 มก. (gallic acid) สาร flavonoids 521.98 ± 0.01 มก. (quercetin) และสาร tannins 124.03 ± 0.46 ก. (tannic acid) รวมทั้งสาร rutin และ resorcinol และยังพบว่ามีฤทธิ์ในการยับยั้งmalondialdehyde และเพิ่ม glutathione (11)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการ glycationซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมสภาพของเซลล์ และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดแก่นมะหาดที่ซื้อจากบริษัท Thai Lanna Herbal Industry Company Ltd. ต. แม่หอพระ อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่ ในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ตัวอย่างสมุนไพรได้มีการพิสูจน์ความถูกต้องโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้แก่นมะหาด 2 กก. ทำให้แห้งที่ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชม. ย่อยให้เป็นผง แช่สกัดด้วย 95% เอทานอล เป็นเวลา 6 ชม. ทำการสกัด 3 รอบ นำไประเหยภายใต้สภาวะลดความดัน ที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส จะได้สารสกัดหยาบน้ำหนัก 538 ก. ทำการวิเคราะห์แยกสาร oxyresveratrol และทดสอบฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการ glycationพบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 2.0±0.03 มคก./มล. และทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิค DPPH และ TBARS มีค่า IC50 เท่ากับ 0.1±0.01 มก./มล. และ 0.43±0.03 มก./มล. ตามลำดับ (17)
1.3 ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดแก่นมะหาดซื้อจากบริษัท Thai Lanna Herbal Industry Company Ltd. จังหวัดเชียงใหม่ ตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงงานวิจัย เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พืช คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาเชียงใหม่ (voucher specimen number 006973, herbarium code: CMU) ทำให้แห้งที่ 50 องศาเซลเซียส ใน hot air oven เป็นเวลา 24 ชม. ย่อยให้เป็นผง แช่ใน 95% เอทานอล นาน 6 ชม. ทำการสกัด 3 รอบ นำไประเหยแห้งด้วย rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส นำสารสกัดไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่ามีฤทธิ์ลดการสร้างและการหลั่ง cytokines และ chemokine และ IL-6, TNF-α และ MCP-1 รวมทั้งยับยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) ยับยั้ง nuclear translocation of nuclear factor-kappa B (NF-κB) สารสกัดมีฤทธิ์ลดการแสดงออกของโปรตีน iNOSและ COX-2 ยับยั้ง LPS ในการกระตุ้น Akt สารสกัดมีผลเล็กน้อยในการกระตุ้น mitogen-activated protein kinase (MAPK) pathways เมื่อ incubate เซลล์กับสารสกัดเป็นเวลา 3 ชม. พบการยับยั้งของ phosphorylation ของAktแต่ไม่มีผลต่อ ERK1/2 เมื่อนานขึ้นเป็น 24 ชม. สารสกัดมีผลลด phosphorylation ของ ERK1/2, p38 และ JNK MAPKs จากผลการทดสอบบ่งชี้ว่าสารสกัดมะหาดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบผ่านการยับยั้งการส่งสัญญาณ PI3K/Aktและ NF-κB (18)
การทดสอบฤทธิ์แก้ปวดของเปลือก (ไม่ระบุว่าเป็นปลือกจากส่วนใด) ของมะหาดจากSonargoan, Narrayangonj, Bangladesh ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 ตัวอย่างสมุนไพรได้มีการพิสูจน์ความถูกต้องโดย Bangladesh National Herbarium, Mirpur, Dhaka ตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงงานวิจัย (voucher specimen) number DACB: 42083 สกัดโดยนำเปลือกมะหาดมาทำให้แห้งย่อยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้ผงเปลือก 1 กก. ผสมกับเมทานอลในอัตราส่วน 80:20 ปริมาณ 400 มล. แช่สกัดเป็นเวลา 10 วัน กรอง นำไประเหยด้วย rotary evaporator ที่ 40 องศาเซลเซียส และ 5 rpm ทำให้แห้งด้วย lyophilization ได้สารสกัด 82 ก. ของสารสกัดแห้ง (yield 8.20%) และทำการวิเคราะห์แยกสาร (+)-catechinทดสอบฤทธิ์แก้ปวดในหนูเม้าส์ โดยใช้เทคนิค hot plate test การเหนี่ยวนำให้เกิดการปวดด้วย acetic acid และ formalin และการเหนี่ยวนำให้เกิดอาการบวมที่บริเวณฝ่าเท้าด้วย carrageenan โดยแบ่งหนูออกเป็นกลุ่มที่ได้รับสารสกัด (+)-catechinหรือสารสกัดเปลือกมะหาดขนาด 50, 100 หรือ 200 มก./กก.นน.ตัว ทางปาก เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ให้ morphine 5 มก./กก.นน.ตัว หรือ diclofenac sodium 10 มก./กก.นน.ตัวโดยการฉีดเข้าช่องท้อง ผลการทดสอบพบว่าการให้สารสกัดมะหาดขนาด 50-200 มก./กก.นน.ตัว มีผลลดอาการปวดจากการทดสอบ hot plate test ทั้งสารสกัดเปลือกมะหาดและสาร (+)-catechinมีผลลดอาการปวดจากการเหนี่ยวนำด้วย acetic acid และ formalin และจากการเหนี่ยวนำให้เกิดอาการบวมด้วย carrageenan (21)
2 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
2.1 ฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคในช่องปากและต้านการอักเสบของสาร oxyresveratrol (ไม่ระบุที่มา) สารสำคัญที่พบได้ในแก่นมะหาดในหลอดทดลอง พบว่าสาร oxyresveratrol มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในช่องปาก Porphyromonas gingivalis มีค่า minimal inhibitory concentration (MIC) และ minimal bactericidal concentration (MBC) เท่ากับ 0.07 และ0.16 มก./มล. ตามลำดับ และยับยั้งเชื้อ Aggregatibacteractinomycetemcomitans มีค่า MIC และ MBC เท่ากับ 0.08 และ 0.16 มก./มล. ตามลำดับ และทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เอ็นยึดปริทันต์ในช่องปากมนุษย์ (human periodontal ligament; hPDL) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย LPS พบว่าสาร oxyresveratrolมีผลในการยับยั้ง IL-6, IL-8 และ IL-1β (19)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ Candida เชื้อก่อโรคของร่างกายมนุษย์ รวมทั้งการก่อโรคในช่องปาก และการทดสอบการยับยั้ง biofilm ของสารสกัดเปลือกต้นมะหาด (stem bark) (ไม่ระบุแหล่งที่มา) โดยนำเปลือกต้นมะหาดชิ้นเล็ก ๆ มาต้มในน้ำเดือด นำสารสกัดน้ำมาทำให้แห้งได้ผงสีเหลืองน้ำตาล พบว่าสารสกัดมะหาดมีฤทธิ์ยับยั้ง Candida strains มีค่า MIC จาก 0.05 ถึง 3.12 มก./มล. และค่า minimal fungicidal concentration (MFC) จาก0.10 ถึง 25 มก./มล. และมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกิด biofilm จากการทดสอบด้วย 3-[4, 5-dimethyl-2-thiazolyl]-2, 5-diphenyl-2H-tetrazolium-bromide (MTT) assay เป็นข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค candidiasis (23)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของเปลือก (ไม่ระบุว่าจากส่วนใด) ของมะหาดจากSonargoan, Narrayangonj, Bangladesh ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 ตัวอย่างสมุนไพรได้มีการพิสูจน์ความถูกต้องโดย Bangladesh National Herbarium, Mirpur, Dhaka ตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงงานวิจัย (voucher specimen) number DACB: 42083 สกัดโดยนำเปลือกมะหาดมาทำให้แห้งย่อยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้ผงเปลือก 1 กก. ผสมกับเมทานอลในอัตราส่วน 80:20 ปริมาณ 400 มล. แช่เป็นเวลา 10 วัน กรองสารสกัด นำไประเหยด้วย rotary evaporator ที่ 40 องศาเซลเซียส และ 5 rpm ทำให้แห้งด้วย lyophilizationทำการทดสอบในหนูเม้าส์แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ตัว ให้สารสกัดขนาด 50, 100, 500, 1,000, 2,000 และ 3,000 มก./กก. ตามลำดับ ทางปาก สังเกตอาการในระยะเวลา 14 วัน วันที่ 15 ทำการผ่าหนูเม้าส์เพื่อประเมินอวัยวะภายใน ได้แก่ หัวใจ ตับ ปอด กระเพาะอาหาร ไต ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ผลการทดสอบ ไม่พบการตายของหนู ไม่พบอาการแพ้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไม่พบการถูกทำลายของอวัยวะภายในต่าง ๆ หรืออาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ (21)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ขนาดที่มีการศึกษาว่ามีผลต่อการทำให้ผิวขาวคือ
สารละลาย (solution) ที่เตรียมจากสารสกัดน้ำแก่นมะหาด 0.25% w/v ที่ละลายในpropylene glycol ทาบริเวณต้นแขนด้านนอก 2 ครั้ง/วันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ (6)
โลชันชนิดไขมันในน้ำ (oil in water emulsion) ที่มีสารสกัดน้ำแก่นมะหาด 0.1% w/w ทาผิวต้นแขนวันละครั้งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ (6)
โลชันทาตัวที่เตรียมจาก “ปวกหาด”ซึ่งได้จากการนำแก่นมะหาดมาต้มเคี่ยวกับน้ำทำให้เกิดฟองขึ้นเมื่อช้อนฟองออกมาตากแห้งจะได้ผงสีนวลจับกันเป็นก้อนนำไปย่างไฟจนเหลืองเรียกก้อนที่ได้ว่า “ปวกหาด”ให้ทาโลชันที่เตรียมจากปวกหาด (ความเข้มข้น0.1% ในตำรับ) บริเวณต้นแขนด้านนอกวันละ2 ครั้งเช้าและเย็นเป็นเวลา4 สัปดาห์ (7)
โลชันชนิดไขมันในน้ำที่มีสารสกัดน้ำแก่นมะหาด 0.1% w/w ทาบริเวณแก้มวันละครั้งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ (6)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
สรุป
มะหาดเป็นสมุนไพรที่มีการนำแก่นไม้มาใช้ประโยชน์ แก่นมะหาดประกอบด้วยสารสำคัญคือ สาร oxyresveratrol และมีการศึกษาทางคลินิกพบว่ามีผลในการทำให้ผิวขาว รวมทั้งการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่ามีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseซึ่งเป็นเอนไซม์เร่งปฏิกิริยาตั้งต้นของกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวคล้ำ จึงส่งผลช่วยลดปริมาณเม็ดสีเมลานินของผิวหนัง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาทางคลินิก จึงเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารสกัดมะหาด ความเข้มข้นที่เหมาะสมของสารสกัดมะหาดในตำรับต่าง ๆ รวมทั้งการทดสอบความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ รวมทั้งฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อก่อโรคในช่องปาก
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Artocarpus lacucha Buch.-Ham. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2654005.
3. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร (บรรณาธิการ). สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2542.
4. สุธรรม อารีกุล. องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของประเทศไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน);2552.
5. เอื้อมพร วีสมหมาย, ปณิธาน แก้วดวงเทียน. ไม้ป่ายืนต้นของไทย 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ เอช เอ็น กรุ๊ป จำกัด;2552.
6. Tengamnuay P, Pengrungruangwong K, Pheansri I, Likhitwitayawuid K. Artocarpus lakoocha heartwood extract as a novel cosmetic ingredient: evaluation of the in vitro anti-tyrosinase and in vivo skin whitening activities. Int J Cosmet Sci. 2006;28(4):269-76.doi: 10.1111/j.1467-2494.2006.00339.x.
7. Poonsuk P, Lueangingkhasut P, Mekjaruskul C. Development of body lotions prepared from `Puag-Haad´. IJPS. 2016;11:61-9.
8. Panichakul T, Rodboon T, Suwannalert P, Tripetch C, Rungruang R, Boohuad N, et al. Additive effect of a combination of Artocarpus lakoocha and Glycyrrhiza glabra extracts on tyrosinase inhibition in melanoma B16 cells. Pharmaceuticals (Basel). 2020;13(10):310.doi: 10.3390/ph13100310.
9. จิรัชดาภา ปลื้มลมัย, ศุภมาส สาทนิยม. โลชันสมุนไพรเพื่อผิวขาว. โครงการพิเศษปริญญาเภสัชศาสตร์บัณฑิต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2550.
10. Wongon M, Limpeanchob N. Inhibitory effect of Artocarpus lakoocha Roxb. andoxyresveratrol on α-glucosidase and sugar digestion in Caco-2 cells. Heliyon. 2020;6(3):e03458. doi: 10.1016/j.heliyon.2020.e03458.
11. Singhatong S, Leelarungrayub D, Chaiyasut C. Antioxidant and toxicity activities of Artocarpus lakoocha Roxb. heartwood extract. J Med Plants Res. 2010;4(10):947-53.
12. Maneechai S, De-Eknamkul W, Umehara K, Noguchi H, Likhitwitayawuid K. Flavonoid and stilbenoid production in callus cultures of Artocarpus lakoocha. Phytochemistry. 2012;81:42-9.doi: 10.1016/j.phytochem.2012.05.031.
13. Kitisripanya T, Inyai C, Krittanai S, Likhitwitayawuid K, Sritularak B, Ploypradith P, et al. A monoclonal antibody-based immunoassay for the determination of oxyresveratrol from Artocarpus lacucha Buch.-Ham. J Nat Med. 2017;71(3):523-30.doi: 10.1007/s11418-017-1083-8.
14. Duangdee N, Chamboonchu N, Kongkiatpaiboon S, Prateeptongkum S. Quantitative 1 HNMR spectroscopy for the determination of oxyresveratrol in Artocarpus lacucha heartwood. Phytochem Anal. 2019;30(6):617-22.
15. Maneechai S, Likhitwitayawuid K, Sritularak B, Palanuvej C, Ruangrungsi N, Sirisa-Ard P. Quantitative analysis of oxyresveratrol content in Artocarpus lakoocha and 'Puag-Haad'. Med PrincPract. 2009;18(3):223-7.doi: 10.1002/pca.2834.
16. Songoen W, Phanchai W, Brecker L, Wenisch D, Jakupec MA, Pluempanupat W, et al. Highly aromatic flavan-3-ol derivatives from palaeotropical Artocarpus lacucha Buch.-Ham possess radical scavenging and antiproliferative properties. Molecules. 2021;26(4):1078.doi: 10.3390/molecules26041078.
17. Povichit N, Phrutivorapongkul A, Suttajit M, Leelapornpisid1 P. Antiglycation and antioxidant activities of oxyresveratrol extracted from the heartwood of Artocarpus lakoocha Roxb. MaejoInt J Sci Technol. 2010;4(03), 454-61.
18. Hankittichai P, Buacheen P, Pitchakarn P, Na Takuathung M, Wikan N, Smith DR, et al. Artocarpus lakoocha extract inhibits LPS-induced inflammatory response in RAW 264.7 macrophage cells. Int J Mol Sci. 2020;21(4):1355. doi: 10.3390/ijms21041355.
19. Phoolcharoen W, Sooampon S, Sritularak B, Likhitwitayawuid K, Kuvatanasuchati J, Pavasant P. Anti-periodontal pathogen and anti-inflammatory activities of oxyresveratrol.Nat Prod Commun. 2013;8(5):613-6.doi: 10.1177/1934578X1300800518
20. Palanuve C, Issaravanich S, Tunsaringkarn T, Rungsiyothin A, Vipunngeun N, Ruangrungsi N, et al. Pharmacognostic study of Artocarpus lakoocha heartwood. J Health Res. 2007;21(4): 257-62.
21. Islam S, Shajib MS, Rashid RB, Khan MF, Al-Mansur MA, Datta BK, et al. Antinociceptive activities of Artocarpus lacucha Buch-ham (Moraceae) and its isolated phenolic compound, catechin, in mice. BMC Complement Altern Med. 2019;19(1):214.doi: 10.1186/s12906-019-2565-x.
22. กุลธิดา ศิริวัฒน์, บรรณาธิการ. มาตรฐานสมุนไพรไทยทางเครื่องสำอาง เล่ม 1. กรุงเทพฯ : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
23. Senapong S, Puripattanavong J, Teanpaisan R. Anticandidal and antibiofilm activity of Artocarpus lakoocha extract. Songklanakarin J. Sci. Technol.2014;36(4):451-7.