ย่านาง
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Tiliacora triandra (Colebr.) Diels
ชื่อวงค์
MENISPERMACEAE
ชื่อสมุนไพร
ย่านาง
ชื่ออังกฤษ
-
ชื่อพ้อง
-
ชื่อท้องถิ่น
จ้อยนาง เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว ยาดนาง
ชื่อ INCI
TILIACORA TRIANDRA LEAF/VINE EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย (รัฐอัสสัม) พม่า แถบอินโดจีน ประเทศไทย และคาบสมุทรมาลายู พบได้ในทุกภาคของประเทศไทย มักขึ้นตามเขาหินปูน ในป่าดิบใกล้ทะเล ตามริมน้ำในป่าละเมาะ ตามที่รกร้าง ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึงที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300 ม. (4, 5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อย มีเนื้อไม้ ยาว 10–15 ม. ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่แกมรูปใบหอก กว้าง 2–4 ซม. ยาว 5–12 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบมน เนื้อใบคล้ายกระดาษ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ช่อดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ 3 อัน รูปกระบอง ช่อดอกเพศเมีย มีเกสรเพศเมีย 8–9 อัน มีขนาดเล็ก ยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้านชู ผลเป็นผลกลุ่ม รูปไข่กลับ ผิวเกลี้ยง สีเขียว เมื่อสุกเป็นสีแดง (2, 3)
การเพาะปลูก
ย่านางเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดและปลูกได้ทุกฤดู ขยายพันธุ์โดยใช้เถา ราก และการเพาะเมล็ด การปลูกโดยใช้เถาจะปักชำเถาท่อนพันธุ์ที่มีความยาว 3-4 ข้อ หรือมีตากิ่งอย่างน้อย 3 ตา ตัดใบออกจากกิ่งเล็กน้อย ทาปูนแดงบริเวณปลายกิ่งที่ตัดออกนำกิ่งพันธุ์ลงปลูกในถุงเพาะชำวางถุงเพาะชำไว้ในร่มที่มีแสงแดดรำไรรดน้ำให้ชุ่มจนกิ่งปักชำออกราก จึงนำไปปลูก หรือใช้รากที่เป็นหัวปลูกในดินหรือใช้การเพาะเมล็ด จนได้ต้นกล้า จากนั้นนำไปปลูกลงดิน เตรียมค้างให้เถาเลื้อยพัน (3)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารที่พบในใบ ส่วนเหนือดิน และรากของย่านาง ประกอบด้วย
- สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ dinklacorine (6), magnoflorine, nortiliacorine A (7), nortiliacorinine A (6, 8-10), 2′-nortiliacorinine (11), norisoyanangine, noryanangine (7), oxoano-lobine (12), tiliacorine, tiliacorinine (6, 8-11, 13), tiliacorinin-2′-N-oxide (7-9), tilianangine (6), tilitriandrine (14), yanangcorinine (8)
- สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ protocatechuic acid, vanillic acid (15) p-hydroxybenzoic acid, minecoside (16), tannic acid (17), gallic acid (17, 18)
- สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ catechin, isoquercetin, quercetin, rutin (17), epi-gallocatechingallate (18)
- สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids) และอนุพันธุ์ของกรดไขมัน ได้แก่ linoleic acid (19), oleic acid (20), palmitic acid (19-21), 5,7-dihydroxy-oxoheptadecanoic acid (22-24), ethyl-5,7-dihydroxy-6-oxooctadecanoate, ethyl linoleate, ethyl linolenate (22), ethyl oleate (19)
- น้ำมันหอมระเหย (essential oil) ประกอบด้วย isophytol, linalool, alpha-terpineol, p-vinylguaiacol (21)
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มกรดไขมัน(fatty acids) และอนุพันธุ์ของกรดไขมัน
องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหย(essential oil)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารสำคัญได้แก่ tiliacorine, tiliacorinine (6, 8-11, 13)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ 5,7-dihydroxy-6-oxoheptadecanoic acid (24)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่gallic acid, epigallocatechingallate (18)
- สารออกฤทธิ์ต้านสิว ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (21)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (tiliacorinine และ yanangcorinine): วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือUltra performance liquid chromatography (UPLC) (25) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : Hypersil BDS C18 (2.4 m, 2.1x50 มม.), อุณหภูมิคอลัมน์ 40 oC
mobilephase : ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลายA คือ 0.1% formic acid ในน้ำ (Milli-Q water) และตัวทำละลายB คือ 0.1% formic acid ใน acetonitrile/methanol (50:50) โดยโปรแกรม คือ 0-3 นาที (10-35% B), 3-3.5 นาที (35%B), 3.5-4 นาที (35-40% B), 4-5 นาที (40% B), 5-6 นาที (40-100% B), 6-7 นาที (100-10%B) และ 7-8 min (10%B)
flow rate : 0.6มล./นาที
injection volumes : 1 มคล.
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 288 นาโนเมตร
2 สารกลุ่มสารประกอบฟีนอลิก วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ Liquid chromatography-electrospray ionization-mass spectrometer (LC-ESIMS) (16) สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : Pinnacle II C18 (5m, 150 x 2.1 มม.)
mobile phase : ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย A คือ น้ำ และตัวทำละลาย B คือ aceto-nitrile โดยโปรแกรม คือ 0-1 นาที (5-10% B), 1-30 นาที (10-70% B), 30-40 นาที (70% B), 40-43 นาที (70-100% B), 43-50 นาที (100% B), 50-55 นาที (100-0% B) และ 55-60 นาที (0% B)
flow rate : 0.3 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : mass spectrometer ion trap ร่วมกับ electrospray ionization (ESI) โดยใช้เป็น negative mode: [M-H]-
3 สารกลุ่มสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC (26) สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column :BrownleeTM C18 (5 m, 250 × 4.6 มม), อุณหภูมิ 35 oC
mobile phase : ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย A คือ 0.1 phosphoric acid,ตัวทำละลาย B คือ methanol และ ตัวทำละลาย C คือ acetonitrile โดยโปรแกรม คือ 0 นาที (A:B:C [95:0:5]), 10 นาที (A:B:C [80:10:10]), 20 นาที (A:B:C [70:15:15]), 30 นาที (A:B:C [0:0:100]), 35 นาที (A:B:C [0:0:100])
flow rate : 1.0มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector :Photodiode array (PDA) ที่ความยาวคลื่น 280 และ 360 นาโนเมตร
4 สารกลุ่มสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือHPLC/Diode array dectector (DAD)/Mass spectrometry (MS) (17) สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC condition
column : LiChroCART RP-18e (5 mm, 150 × 4.6 มม), อุณหภูมิ 40oC
mobile phase : ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย A คือ น้ำที่ทำให้เป็นกรดด้วย 10 มิลลิโมลาร์ammonium formate buffer pH4 และตัวทำละลาย B คือacetonitrile โดยโปรแกรม ดังนี้ 0-5 นาที (100% A); 5-10 นาที (0-20% B); 10-20 นาที (20% B) และ 20-60 นาที (20-40% B)
flow rate : 1.0 มล./นาที
detector : DAD ที่ความยาวคลื่น 270, 330, 350 และ 370 นาโนเมตร
MScondition : MSD SL ion trap mass spectrometerร่วมกับ API-ES interface
capillary voltage : -3500 และ 4000 V
N2nebulizer gas pressure :60 psi
dry temperature : 320oC
analysis : scan ที่ค่ามวลต่อประจุ (m/z) = 100-700
การศึกษาทางคลินิก
ยังไม่มีรายงาน
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สารสกัด 95% เอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) ที่เตรียมด้วยวิธีการแช่สกัด มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-reductase โดยมีค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เทียบเท่ากับสาร finasteride (finasteride equivalent 5-reductase inhibitory activity) เท่ากับ 0.79 ± 0.01 มก. สมมูลของ finasteride/ก. นน.สด (27)
1.2 ฤทธิ์ป้องกันผมหงอก (H006)
สารสกัดจากใบย่านาง (ไม่ระบุแหล่งที่มาของตัวอย่าง) ซึ่งเตรียมด้วยวิธีPercolation ด้วยตัวทำละลาย 4 ชนิด ได้แก่ น้ำ เอทิลอะซีเตท เมทานอล และเฮกเซน เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าสารสกัดทุกชนิด ความเข้มข้น 50 มก./มล. มีฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ ซึ่งสารสกัดเอทิลอะซีเตทจะมีฤทธิ์ดีที่สุด โดยมีค่าร้อยละของการกระตุ้น (% stimulation) เท่ากับ 94.34% ในการศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เมลาโนไซท์ในเซลล์เพาะเลี้ยง mouse melanoma B16F10 ของสารสกัดทั้ง 4 ชนิดพบว่าสารสกัดน้ำที่ความเข้มข้น 0.75 มคก./มล. มีฤทธิ์ดีที่สุด และดีกว่าสารมาตรฐาน theophylline โดยมีค่าดัชนีการเพิ่มจำนวนของเซลล์(proliferation index) เท่ากับ 1.6 (28)
สารสกัดเอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.ปทุมธานี) ซึ่งสกัดด้วยวิธีการแช่สกัดและการสกัดแบบแบทช์(batch stirring extraction) ที่อุณหภูมิ 30 °C และ 40 °C ความเข้มข้น 2-10 มก./มล. มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ โดยสารสกัดที่มีฤทธิ์ดีที่สุดคือ สารสกัดจากการสกัดแบบแบทช์ที่อุณหภูมิ 30 °C ค่าความเข้มข้นที่สามารถกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ได้ร้อยละ 50 (SC50) ของสารสกัดจากวิธีการแช่สกัด, การสกัดแบบแบทช์ที่อุณหภูมิ 30 °C และ อุณหภูมิ 40 °C มีค่าเท่ากับ 3.74±0.05, 3.46±0.01 และ 3.97± 0.02 มก./มล. ตามลำดับนอกจากนี้สารสกัดจากการสกัดแบบแบทช์ที่อุณหภูมิ 30 °C ความเข้มข้น 0.05-1มก./มล. ยังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเมลานินได้ 128.69-131.46%เมื่อทดสอบในเซลล์mela-nomaB16F10 โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 0.1 มก./มล จะมีฤทธิ์ดีที่สุด (29)
สารสกัดน้ำและสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากย่านาง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แหล่งที่มา และวิธีการสกัด)ความเข้มข้น 250 มคก./มล. มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเมลานินได้ 40.5% และ 36.50% ตามลำดับ เมื่อทดสอบในเซลล์melanoma B16F10 ขณะที่สารมาตรฐาน theophylline มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเมลานินได้ 55.05% เมื่อนำสารสกัดมากักเก็บในนีโอโซม(niosomes) ที่ประกอบด้วย Tween 61/cholesterol ในอัตราส่วนโมลาร์ 1:1 และทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเมลานิน พบว่านีโอโซมที่กักเก็บสารสกัดไม่มีผลกระตุ้นการสร้างเมลานิน อาจเนื่องจากเซลล์ melanoma B16F10 ไม่สามารถย่อยนีโอโซมได้ จึงทำให้เซลล์ไม่สามารถนำสารสกัดที่เก็บกักในนีโอโซมเข้าสู่เซลล์ และส่วนประกอบของนีโอโซมอาจทำให้เกิดพิษต่อเซลล์ จึงทำให้เซลล์มีการเจริญลดลง และไม่สามารถสร้างเมลานินได้ (30)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและหนอง ได้แก่ Propionibacterium acnes, Staphylococcus epidermidis และ Staphylococcus aureus โดยวิธี disc diffusion และ broth dilution ของสารสกัดจากรากย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.ฉะเชิงเทรา) ซึ่งเตรียมโดยการแช่ใน 95%เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อ P. acnes ได้ โดยมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (MIC) เท่ากับ 5 มคก./มล.แต่มีฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา clindamycin (ค่าMIC 0.05 มคก./มล.) และไม่มีผลต่อเชื้อS.epidermidis และ S. aureus (31)
สารสกัด 95% เอทานอลจากรากย่านาง(ตัวอย่างจาก จ.ฉะเชิงเทรา) ซึ่งเตรียมโดยการแช่สกัด (maceration) ใน 95% เอทานอล ความเข้มข้น 20 มก./แผ่น และสารสกัดน้ำจากรากที่เตรียมโดยการต้มในน้ำ ความเข้มข้น 4 มก./แผ่น เมื่อทดสอบด้วยวิธี disc diffusion พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus และ methicillin-resistant S. aureus (MRSA) ได้ซึ่งค่าของโซนใส (inhibition zone) ของสารสกัด 95% เอทานอล และสารสกัดน้ำต่อเชื้อS. aureusเท่ากับ9.3±2.3 และ 6.7±0.3 มม.ตามลำดับ และค่าของโซนใสของสารสกัด 95% เอทานอล และสารสกัดน้ำต่อเชื้อ MRSA เท่ากับ 6.8±0.3 และ 7.3±0.6 มม. ตามลำดับ โดยมีตัวควบคุมที่ให้ผลบวก (positive control) คือ ยา gentamicin ความเข้มข้น 10 มคก./แผ่น (32)
สารสกัดเอทานอลจากรากย่านาง(ไม่ระบุแหล่งที่มาของตัวอย่าง วิธีการสกัด และความเข้มข้นที่ใช้) มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ได้ โดยค่าของโซนใสของสารสกัด เท่ากับ 11.12 มม. (33)
การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของส่วนสกัดเฮกเซนและเอทิลอะซีเตทจากใบและกิ่งย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.พัทลุง; voucher specimens: TT-010) ซึ่งเตรียมโดยการแช่สกัดใบและกิ่งในเอทานอล จากนั้นนำสารสกัดเอทานอลมาทำการสกัดแยกส่วน (partition)ด้วยเฮกเซนและเอทิลอะซีเตท พบว่าส่วนสกัดเอทิลอะซีเตทจากใบ, ส่วนสกัดเฮกเซนจากกิ่ง และส่วนสกัดเอทิลอะซีเตทจากกิ่ง สามารถต้านเชื้อ S.aureus ได้ โดยมีค่า MIC เท่ากับ 3.125 มก./มล. และค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (MBC) เท่ากับ 12, 12 และ 6 มก./มล. ตามลำดับ (34)
การศึกษาประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบย่านาง (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ซึ่งสกัดด้วยวิธีการกลั่นพร้อมสกัด (simultaneous distillation/extraction) พบว่าน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ได้ โดยมีค่าของโซนใสเท่ากับ 16 มม. และค่า MIC เท่ากับ 6.25 มคล./มล. จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหย พบว่าประกอบด้วยสารทั้งหมด 19 ชนิด ซึ่งสารประกอบหลัก คือ isophytol, n-hexadecanoic acid, linoleic acid, linalool และ -terpineol (21)
สารสกัดจากเปลือกต้นย่านาง (ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ; voucher specimen: MR-01) เตรียมโดยแช่ตัวอย่างใน 80% เมทานอล เป็นเวลา 15 วัน ความเข้มข้น 250 และ 500 มคก./แผ่นมีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusได้ โดยมีค่าของโซนใสของสารสกัด เท่ากับ 12 และ 16 มม. ตามลำดับ ซึ่งสารสกัดที่ความเข้มข้น 500 มคก./แผ่น จะให้ผลเทียบเท่ากับยา kanamycin ความเข้มข้น 30 มคก./แผ่น (ค่าโซนใส 16 มม.) สารสกัดมีค่า MIC และ MBC ต่อเชื้อ S. aureus เท่ากับ 125 และ >125 มคก./มล. ตามลำดับ (35)
2.2ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากราก ลำต้น และใบย่านาง (ตัวอย่างจากจ. สุพรรณบุรี ราชบุรี และนครปฐม) ซึ่งสกัดด้วย2% กรดไฮโดรคลอริกในเมทานอลทดสอบโดยวิธี 2,2-diphenyl-1-picryhydrazyl assay (DPPH) พบว่าสารสกัดจากราก ลําต้น และใบย่านาง มีเปอร์เซ็นต์ในการกําจัดอนุมูลอิสระเท่ากับ16.57, 48.58 และ 68.76% ตามลําดับ โดยสารสกัดจากใบย่านางสามารถต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด ค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (IC50) เท่ากับ 549.72 มคก./มล.จากการวิเคราะห์ปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมของสารสกัดจากราก ลําต้น และใบจากทั้ง 3 จังหวัด พบว่ามีปริมาณเฉลี่ยเท่ากับ 145.29±0.007, 116.66±0.005 และ 4,348.40±0.004 มก. สมมูลของกรดแกลลิก (gallic acid equivalent; GAE)/ก. สารสกัด ตามลําดับ ซึ่งสารสกัดจากใบจะมีปริมาณของสารกลุ่มฟีนอลิกรวมสูงที่สุด(36)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของย่านาง ซึ่งเก็บตัวอย่างมาจากอำเภอต่างๆ ใน จ.นครสวรรค์ ได้แก่ อำเภอเมือง ตาคลี เก้าเลี้ยว บรรพตพิสัย และลาดยาว เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการแช่สกัดในเฮกเซน คลอโรฟอร์ม และเมทานอล ทดสอบฤทธิ์ด้วยวิธี DPPH และ 2,2′-azinobis-(3-ethylbenzthia-zoline-6-sulfonic acid) (ABTS) พบว่าสารสกัดเฮกเซนของตัวอย่างจาก อ.บรรพตพิสัย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS มีค่า IC50 2.94 มก./มล. และสารสกัดเมทานอลของตัวอย่างจาก อ.ตาคลี สามารถต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH ค่า IC50 0.36 มก./มล. (37)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบย่านาง(ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม)ซึ่งสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆ ได้แก่ ปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน เอทิลอะซีเตท และเมทานอล โดยใช้เครื่องSoxhlet extractor และสกัดโดยการหมักด้วยน้ำกลั่น พบว่าสารสกัดเมทานอลจะมีฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อเทียบกับสารสกัดอื่นๆ ในการทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ferric reducing antioxidant power (FRAP) มีค่าความเข้มข้นที่ทำให้จำนวนของอนุมูลอิสระลดลงครึ่งหนึ่ง (EC50)และ FRAP value เท่ากับ 9.63±0.57 ppm และ 0.73±0.13 มิลลิโมล Fe2+/มก. สารสกัด ตามลำดับ แต่มีฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซี (ค่าEC50และ FRAP value เท่ากับ 5.26±0.57 ppm และ 1.38±0.24 มิลลิโมล Fe2+/มก. สารสกัด ตามลำดับ)การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดเมทานอลจากใบ พบว่าประกอบด้วยสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ แทนนิน และซาโปนิน และมีปริมาณของสารกลุ่มฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 18.67±0.28มก. สมมูลของเคอร์ซิติน (quercetin equivalent)/ก. สารสกัด (38)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.อุบลราชธานี) ซึ่งสกัดด้วยอะซีโตน เอทานอล และน้ำ โดยการเขย่า (shaking) ที่อุณหภูมิ 25 oC เป็นเวลา 15 นาที ด้วยวิธี DPPH, FRAP และ ABTS พบว่าสารสกัดน้ำมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 วิธี รองลงมาคือ สารสกัดเอทานอลและสารสกัดอะซีโตน ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัดน้ำสูงกว่าที่พบในสารสกัดเอทานอลและสารสกัดอะซีโตน (97.899, 26.703 และ 16.456 มก.GAE)/ก. ตามลำดับ) การกักเก็บสารสำคัญในสารสกัดจากใบย่านางด้วยวิธีกักเก็บให้อยู่ในรูปของแคปซูล (encapsulation) โดยการทำแห้งแบบพ่นฝอย (spray drying) พบว่าสภาวะที่เหมาะสมซึ่งทำให้มีปริมาณของสารกลุ่มฟีนอลิกรวม, สารกลุ่มแคโรทีนอยด์รวม, สารกลุ่มคลอโรฟิลรวมสูงสุด และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด คือ การใช้กัมอารบิก (gum Arabic) ความเข้มข้น 10% เป็นสารห่อหุ้ม, อัตราส่วนของสารสกัดต่อกัมอารบิก เท่ากับ 1:4และใช้อุณหภูมิขาเข้าเครื่องอบแห้งแบบพ่นฝอย (inlet temperature)เท่ากับ 160 oC (39)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบย่านาง (ไม่ระบุแหล่งที่มาของตัวอย่าง) ที่สกัดด้วยวิธี Percolation โดยใช้ตัวทำละลาย 4 ชนิด ได้แก่ เฮกเซน เอทิลอะซีเตท เมทานอล และน้ำพบว่าสารสกัดเมทานอลจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH มีค่า EC50เท่ากับ 61.80±22.16มคก./มล. และวิธี ABTS มีค่า trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) และ vitamin C equivalent antioxidant capacity (VEAC) เท่ากับ 0.77±0.03และ2.00±0.03 ตามลำดับในการทดสอบด้วยวิธี FRAP พบว่าสารสกัดเมทานอลมีฤทธิ์ดีที่สุด มีค่า FRAP valueเท่ากับ 546.99±0.01 มิลลิโมลาร์ และการทดสอบฤทธิ์ป้องกันสารอนุมูลอิสระไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ในเซลล์ melanoma B16F10 พบว่าสารสกัดน้ำความเข้มข้น 2 มิลลิโมลาร์ มีฤทธิ์ป้องกันเซลล์ได้ดีที่สุด โดยมีค่าร้อยละของการรอดชีวิตของเซลล์ (% viability)เท่ากับ 83.14 รองลงมาคือ สารสกัดเอทิลอะซีเตท60.09%เมื่อวิเคราะห์ปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมของสารสกัด พบว่าสารสกัดเมทานอลมีปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมสูงสุด คือ8 2.75±0.02 มคก. GAE/มก. นน.แห้ง (28)
ส่วนสกัดเฮกเซนและเอทิลอะซีเตทจากใบและกิ่งย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.พัทลุง; voucher speci- mens: TT-010) ซึ่งเตรียมโดยการแช่สกัดในเอทานอล จากนั้นนำสารสกัดเอทานอลมาทำการสกัดแยกส่วนด้วยเฮกเซนและเอทิลอะซีเตท เมื่อนำส่วนสกัดทั้งหมดมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, ABTS, FRAP และ nitric oxide scavenging assay พบว่าส่วนสกัดเอทิลอะซีเตทจากกิ่งมีฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH (IC50เท่ากับ 424.16 มคก./มล.) และ FRAP (FRAP value 1116.54ไมโครโมลาร์Fe2SO4/มก.สารสกัด) ในการทดสอบด้วยวิธี ABTS พบว่าส่วนสกัดเอทิลอะซีเตทจากใบและส่วนสกัดเอทิลอะซีเตทจากกิ่ง จะมีฤทธิ์ดีที่สุด(IC50เท่ากับ 18.7และ 21.62 มคก./มล. ตามลำดับ)ขณะที่ส่วนสกัดเฮกเซนจากกิ่งสามารถยับยั้งไนตริกออกไซด์ได้ดีที่สุด (IC50เท่ากับ 30.5 มคก./มล.) (34)
สารสกัดเมทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.อุบลราชธานี) ซึ่งเตรียมโดยแช่ตัวอย่างใน perco-lator ด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ปานกลางในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH มีค่า IC50เท่ากับ68.83±3.97 มคก./มล. ขณะที่สารมาตรฐาน คือ วิตามินซี กรดแกลลิก และเคอร์คูมินอยด์ มีค่า IC50 เท่ากับ 3.48±0.09, 1.17±0.04 และ9.64±0.11มคก./มล. ตามลำดับ (40)
สารสกัดเมทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจากกรุงเทพฯ และ จ.ชลบุรี) เตรียมโดยการแช่ในเมทา-นอล และเขย่าด้วยอัตราเร็ว 200รอบต่อนาที ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 24 ชม. ความเข้มข้น 400 มก./มล. มีฤทธิ์อ่อนในการต้านอนุมูลอิสระเมื่อเทียบกับวิตามินอี จากการทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยค่า EC50 ของสารสกัดและวิตามินอี เท่ากับ 3,903.9±32.9และ 322.4±0.6 มคก. สารสกัด/มก. DPPH ตามลำดับ (41)
สารสกัดเมทานอลจากใบย่านาง(ตัวอย่างจากประเทศไทย) ไม่ระบุวิธีการสกัด ความเข้มข้น 0.625, 1.25, 2.5 และ10 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ของสารสกัด มีค่า EC50เท่ากับ 8.4 มก./มล. (20)
สารสกัดเมทานอลจากใบย่านาง (ไม่ระบุแหล่งที่มาของตัวอย่าง) เตรียมโดยการแช่สกัดด้วยเมทานอล เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งแยกสารสกัดออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ละลายน้ำ และส่วนที่ไม่ละลายน้ำ ความเข้มข้น 1,000 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยค่า IC50ของสารสกัดส่วนที่ละลายน้ำ และส่วนที่ไม่ละลายน้ำ เท่ากับ 499.4 และ 772.63 มคก./มล. ตามลำดับ ขณะที่วิตามินซีและวิตามินอี มีค่า IC50เท่ากับ 9.34 และ 15.91 มคก./มล. ตามลำดับ (42)
สารสกัด 70% เอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.ปทุมธานี) เตรียมโดยการแช่สกัดใบย่านางสดด้วย 70% เอทานอล เป็นเวลา 4 วัน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH (ค่า EC50เท่ากับ 132.33±4.04 มคก./มล.) และวิธี FRAP (ค่า FRAP value เท่ากับ2281.39±45.90 มคก. FeSO4/มล.) ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด มีค่าเท่ากับ 6,663.89 มก. GAE/100ก. สารสกัด ซึ่งสารสำคัญหลักที่พบ คือกรดแกลลิก และ epigallocatechingallate (18)
สารสกัด 70% เอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่อง Soxhlet extractor มีฤทธิ์อ่อนในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS, DPPH และ superoxide anion radical scavenging (43)
สารสกัด 95% เอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่)ที่เตรียมด้วยวิธีการแช่สกัดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS, DPPH, hydrogen peroxide scavenging และ FRAP มีค่าความสามารถในการตานอนุมูลอิสระของสารสกัด เท่ากับ 2210.31±37.49, 27.57±3.23, 27.14±0.15, 101.91±2.31มก. สมมูลของวิตามินซี (vitamin C equivalents)/100 ก. นน.สด ตามลำดับ ปริมาณของสารแทนนินรวมในสารสกัด เท่ากับ 2.94±0.04 มก. สมมูลของกรดแทนนิก (tannic acid equivalent)/ก. นน.สด และปริมาณสารฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 9.82±0.32มก. สมมูลของเคอร์ซิติน/ก. นน.สด (27)
สารสกัด 95% เอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม)ซึ่งเตรียมด้วยวิธีการแช่สกัด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่า EC50เท่ากับ 14.51±0.67 มคก./มล. ขณะที่วิตามินซี ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐาน มีค่าEC50เท่ากับ 5.61±0.37มคก./มล. (44)
สารสกัดเอทานอลจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.ปทุมธานี) ซึ่งสกัดด้วยวิธีการแช่สกัดและการสกัดแบบแบทช์(batch stirring extraction) ที่อุณหภูมิ 30 °C และ40 °C ความเข้มข้น 0.06-0.18 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยสารสกัดจากการสกัดแบบแบทช์ที่อุณหภูมิ 30 °C จะมีปริมาณของสารกลุ่มฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด ปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมของสารสกัดจากวิธีการแช่สกัด, การสกัดแบบแบทช์ที่อุณหภูมิ 30 °C และ 40 °C เท่ากับ 5015.00±3.82, 5802.22±4.11 และ 5913.06±4.81 มก. GAE/100 ก. สารสกัด ตามลำดับ และมีค่า IC50เท่ากับ 0.1007±0.01, 0.0968±0.01 และ 0.1131±0.01 มก./มล. ตามลำดับ) (29)
สารสกัดเอทานอลจากใบย่านาง ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากบริษัท Specialty Natural Product จำกัด) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 17.77±0.22 และ 21.16±1.06 มก./มล. เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS ตามลำดับ และมีค่า FRAP value เท่ากับ30.58±1.13มิลลิโมลาร์/ก. สารสกัด เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP (45)
สารสกัดเอทานอลและอะซีโตนจากใบย่านาง (ไม่ระบุแหล่งที่มา และวิธีการสกัด) มีฤทธิ์จับกับอนุมูลอิสระได้ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 0.126 และ 0.077 มก. GAE/มล. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับวิตามินซีและสาร butylated hydroxytoluene (BHT) ซึ่งมีค่า IC50เท่ากับ 0.048 และ 0.267 มก./มล. ตามลำดับ สารสกัดเอทานอลมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระโดยรวม (total antioxidant activity) ได้ดีกว่าสารสกัดอะซีโตน เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP (IC50เท่ากับ 0.033 และ 0.014 มิลลิโมล/ก.) ขณะที่วิตามินซี และ BHTมีค่า IC50 เท่ากับ 0.058 และ 0.254 มิลลิโมล/ก.ตามลำดับ (15)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.พิษณุโลก; PNU herba-riumคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร; voucher specimen No. 003800) ที่เตรียมโดยต้มในน้ำเดือด 100oC นาน 1 ชม. และทำแห้งด้วยวิธีการทำแห้งแบบพ่นฝอย (spray drying) เปรียบเทียบผลกับสารสกัดน้ำซึ่งเก็บไว้ที่อุณหภูมิ -20 oC เป็นเวลา 3 เดือนเพื่อทดสอบความคงตัวของสารสกัด พบว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดทั้ง 2 ชนิด ให้ผลไม่แตกต่างกัน โดยค่า EC50ของสารสกัดที่เตรียมสดและสารสกัดที่เก็บนาน 3 เดือน เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH เท่ากับ 22.8±0.9 และ 18.98±0.10มคก./มล. ตามลำดับ และวิธี ABTS มีค่าเท่ากับ 337.5±2.73 และ 297.4±3.32 มคก./มล. ตามลำดับ แสดงว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดยังคงอยู่แม้จะเก็บไว้นาน 3 เดือน (46)
น้ำคั้นจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.พิษณุโลก) ที่เตรียมโดยปั่นใบย่านางสดในน้ำ อัตราส่วน 6:100 (นน./ปริมาตร) เป็นเวลา 3 นาที กรองเอาแต่น้ำนำมาทำให้แห้งด้วยการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophili-zation) จากนั้นนำผงน้ำคั้นแห้งมาสกัดโดยใช้คลื่นความถี่สูง (sonication; 40 kHz, กำลังไฟ 150 วัตต์) เป็นเวลา 30 นาที ด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำร้อน (90-95 oC), เอทานอล, อะซีโตน และตัวทำละลายผสมระหว่างเอทานอล, น้ำ และอะซีโตน ในอัตราส่วน 60:20:20 ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดแต่ละชนิดด้วยวิธี DPPH พบว่าสารสกัดด้วยน้ำร้อนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด (ยับยั้งได้ 90.95%) รองลงมา คือ สารสกัดเอทานอล (77.61%), สารสกัดตัวทำละลายผสมระหว่างเอทานอล, น้ำ และอะซีโตน (70.07%) และสารสกัดอะซีโตน (35.72%) โดยสารสกัดตัวทำละลายผสมระหว่างเอทานอล, น้ำ และอะซีโตน จะมีปริมาณของสารกลุ่มฟีนอลิกรวมและสารกลุ่มฟลาโวนอยด์รวมสูงสุด เท่ากับ 126.34 มก. GAE/ก. และ 29.76 มก. สมมูลของรูติน (rutin equivalent; RE)/ก. ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารกลุ่มฟีนอลิกรวมในน้ำคั้นจากใบย่านาง พบว่าประกอบด้วยสารสำคัญหลัก ได้แก่ กรดแทนนิก, กรดแกลลิก และรูติน (17)
การศึกษาผลของกระบวนการเตรียมสารสกัดจากใบย่านาง(ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม)ต่อปริมาณของสารกลุ่มฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยปั่นใบย่านางสดในน้ำ (อัตราส่วน 1:12) ด้วยเครื่องปั่น ความเร็ว 32,000 รอบต่อนาที ที่อุณหภูมิ 60, 70 และ 80oC เป็นเวลา 15 นาที ทำการประเมินผลที่เวลา0, 1, 3, 6, 9, 12 และ15นาที พบว่าในช่วงระยะเวลา 15 นาที ปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมของสารสกัดอยู่ระหว่าง 526.33±28.79 ถึง638.93 ±29.69 มก. GAE/100 มก. นน.แห้ง และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่าง 92.86±1.66 ถึง136.41±5.70 มคก. สมมูลของ BHT/มล. ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นและเวลาที่เพิ่มขึ้นในการสกัด มีผลทำให้ปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดลดลง (47)
การเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของชาจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.กาญจนบุรี) กับชาจากใบชา (Camellia sinensis) ได้แก่ชาเขียว ชาดำ และชาอู่หลง ที่เตรียมโดยการต้มตัวอย่างในน้ำที่ปราศจากไอออน (deionized water) อุณหภูมิ 95oCเป็นเวลา 5 นาที พบว่าชาใบย่านางมีฤทธิ์ต้านอนุมุลอิสระน้อยกว่าชาเขียว ชาดำและชาอู่หลง เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS และ FRAP ส่วนการทดสอบด้วยวิธี Ferrous ion chelating (FIC) พบว่าชาใบย่านางสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าชาอู่หลง แต่น้อยกว่าชาเขียวและชาดำ (48)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารกลุ่มฟีนอลิกรวมของชาใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.อ่างทอง) เตรียมโดยแช่ชาใบย่านาง 1 ซอง (มีใบย่านางอบแห้ง 2 ก./ซอง) ในน้ำร้อน100 มล. นาน 2 นาที เขย่าถุงชา 10 ครั้ง ทุกๆ 1 นาที ทดสอบด้วยวิธี FRAP และ DPPH เปรียบเทียบกับชาใบย่านางผสมดอกเก๊กฮวยและชาใบย่านางผสมใบเตยในสัดส่วน7:1 พบว่าน้ำชาใบย่านางทั้ง3 สูตรมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารกลุ่มฟีนอ-ลิกรวมที่แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ(p>0.05)โดยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP และ DPPH อยู่ระหว่าง 2.30-3.11 และ 6.34-6.60 มก. สมมูลของโทรลอกซ์ (trolox equivalents)/100 มล. ตามลำดับ ส่วนสารกลุ่มฟีนอลิกรวมมีค่าระหว่าง 0.72-1.39 มก. GAE)/100 มล. (49)
2.3 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
สารสกัด 95% เอทานอลจากรากย่านาง (ตัวอย่างจาก จ. สุพรรณบุรี) ซึ่งเตรียมโดยการแช่สกัดใน 95% เอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ (nitric oxide) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เมื่อทดสอบในเซลล์ macrophage RAW264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วยlipopolysaccharide(LPS) โดยค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่มีฤทธิ์ยับยั้งได้ร้อยละ 50(IC50)เท่ากับ 54.65±5.34 มคก./มล. แต่มีฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยามาตรฐาน indomethacin (IC50 20.32 มคก./มล.) (50)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำคั้นจากใบย่านาง (ตัวอย่างจาก จ. พิษณุโลก) ที่เตรียมโดยปั่นใบย่านางสดในน้ำ อัตราส่วน 6:100 (นน./ปริมาตร) เป็นเวลา 3 นาที กรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมาทำให้แห้งด้วยการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophilization) โดยทดสอบในเซลล์macrophage RAW264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS พบว่าผงน้ำคั้นแห้ง ขนาด 25-500 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนไตรท์ (nitrite) ได้ โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ซึ่งผงน้ำคั้นแห้งที่ความเข้มข้น 500 มคก./มล. สามารถยับยั้งการสร้างไนไตรท์ได้ 56% นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งการแสดงออกของเอนไซม์ inducible nitric oxide synthase (iNOS) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) (17)
การศึกษาในหนูแรทที่เลี้ยงด้วยอาหารไขมันสูงและถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วยstreptozoto- cinซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ได้รับสารสกัดเอทานอลจากใบและกิ่งย่านาง (ไม่ระบุวิธีการสกัด; ตัวอย่างจาก จ. พัทลุง)ขนาด 100 และ 400 มก./กก. กลุ่มที่ได้รับสาร5,7-dihydroxy-6-oxoheptadecanoic acid (DHA) (แยกจากสารสกัดเอทานอลด้วยวิธี column chromatography และ reversed-phase high-performance liquid chromatography) ขนาด 25 มก./กก. เป็นเวลา 30 วัน เปรียบเทียบผลกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด พบว่าสารสกัดและสาร DHA มีผลลดระดับของinterleukin (IL)-1, IL-6 และ tumor necrosis factor (TNF)-ในไตและอัณฑะของหนูที่เป็นเบาหวานได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (24)
สารสกัดน้ำจากใบย่านาง(ตัวอย่างจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย)ที่เตรียมโดยการต้มในน้ำ เป็นเวลา 30 นาที ขนาด 1 ก./กก.ไม่มีผลลดการอักเสบในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วย carrageenan (51)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษ
การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดน้ำจากทั้งต้นของย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.สงขลา; voucher specimen: SBK 0018) ในหนูแรททั้ง 2 เพศ โดยป้อนสารสกัดขนาด 5 ก./กก. เพียงครั้งเดียว และการทดสอบพิษกึ่งเรื้อ รังของสารสกัด โดยป้อนสารสกัดขนาด 300, 600 และ 1,200 มก./กก. เป็นเวลา 90 วันพบว่าสารสกัดไม่ก่อให้เกิดพิษ หรือทำให้หนูตาย และไม่มีผลต่อพฤติกรรมของหนูทั้ง 2 เพศ (52)
การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัด 95% เอทานอลจากรากย่านาง (ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม) เตรียมโดยแช่สกัดตัวอย่างด้วย 95% เอทานอล(อัตราส่วน 1:4) เป็นเวลา 7 วันทดสอบในหนูแรทเพศผู้ โดยป้อนสารสกัดขนาด 2,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้หนูตาย และไม่พบอาการความเป็นพิษหลังจากให้สารสกัดภายใน 24 ชั่วโมง และเมื่อสังเกตอาการต่อเป็นเวลา 14 วัน พบว่าสารสกัดไม่ทำให้หนูตาย และมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่แตกต่างกันส่วนการทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน เมื่อป้อนสารสกัดขนาด 2,000 มก./กก. ทุกวัน เป็นเวลา 14 วัน พบว่าสารสกัดไม่ทำให้หนูตายไม่มีผลต่อการทำงานของไต แต่พบอาการความเป็นพิษต่อตับโดยค่าของเอนไซม์ที่บ่งบอกการทำงานของตับได้แก่ aspartate aminotransferase (AST), alanine aminotransferase (ALT) และ alkaline phosphatase (ALP)มีค่าสูงขึ้นและจากการศึกษาลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของตับ พบว่าลักษณะของเซลล์ตับหนูที่ได้รับสารสกัดมีภาวะไขมันพอกตับ (fatty liver) ซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคตับ จากผลการศึกษาแสดงว่า การได้รับสารสกัดจากรากย่านางในขนาดสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับได้ (53) เมื่อป้อนหรือฉีดสารสกัด 50% เอทานอลจากใบย่านาง (ไม่ระบุแหล่งที่มาและวิธีการสกัด) เข้าใต้ผิวหนังหนูเม้าส์ ขนาด 10 ก./กก. ไม่พบความเป็นพิษ (54)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ไม่มีข้อมูลเนื่องจากยังไม่มีรายงานการศึกษาในคนมีแต่การศึกษาในหลอดทดลองหรือสัตว์ทดลอง
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
สรุป
ย่านางมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่น่าสนใจ ซึ่งจะสนับสนุนการนำสารสกัดจากย่านางมาใช้ประโยชน์ในทางเครื่องสำอางได้ เช่นฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต้านการอักเสบ โดยเฉพาะฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเส้นผมและหนังศีรษะ เช่น ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5a-reductaseกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส กระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เมลาโนไซท์ และกระตุ้นการสร้างเมลานิน ซึ่งอาจจะสามารถพัฒนาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์สำหรับลดการหลุดร่วงของเส้นผม และผมหงอกก่อนวัยได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สักนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. พร้อมจิตศรลัมพ์,รุ่งระวีเต็มศิริฤกษ์กุล,วงศ์สถิตย์ฉั่วกุลและคณะ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟจำกัด, 2535:257หน้า.
3. มาโนชวามานนท์,เพ็ญนภาทรัพย์เจริญ. ผักพื้นบ้าน : ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2538:256หน้า.
4. Lemmens RHMJ, Bunyapraphatsara N, eds. Plant resources of south-east Asia No 12(3): Medicinal and poisonous plants 3. Leiden: Backhuys Publishers, 2003:664 pp.
5. พรทิพย์เติมวิเศษนงนภัส เลาหวิจิตร มณทิรา เกษมสุข, บรรณาธิการ. คู่มือการกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ในทางเภสัชกรรมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2558:304 หน้า.
6. Pachaly P, Tan TJ. Alkaloids from Tiliacora triandra Diels (Menispermaceae), III: tilianagine, a new bisbenzylisoquinoline alkaloid. Arch Pharm (Weinheim). 1986;319 (10):872-7.doi: 10.1002/ardp.19863191003.
7. Pachaly P, Khosravian H. New bisbenzylisoquinoline alkaloids from Tiliacora triandra. Planta Med. 1988;54(5):433-7.doi: 10.1055/s-2006-962491.
8. Pachaly P, Tan TJ, Khosravian H, Klein M. Alkaloids from Tiliacora triandra Diels (Menispermaceae), I: The structure of the new bisbenzylisoquinoline alkaloid yanang-corinine. Arch Pharm (Weinheim). 1986;319(2):126-33.
9. ดาลัด พรศิริประเสริฐ, วิบูลย์ ฤทธิ์ทิศ, ฉวีวรรณ จั่นสกุล,พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา. สารเคมีจากต้นย่านางและฤทธิ์ในการลดความดันในโลหิตในหนู. การประชุมวิชาการเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ ครั้งที่ 8, 1982, กรุงเทพฯ, หน้า 371-2.
10. Dechatiwongse T, Chavalittumrong P, Nutakul W. Isolation of the in vitro antimalarial principles from Tiliacora triandra Diels. Bull Dept Med Sci.1987;29(1):33-8.
11. Sureram S, Senadeera SPD, Hongmanee P, Mahidol C, Ruchirawat S, Kittakoop P. Antimycobacterial activity of bisbenzylisoquinoline alkaloids from Tiliacoratriandra against multidrug-resistant isolates of Mycobacterium tuberculosis. Bioorg Med Chem Lett. 2012;22:2902-5.doi:10.1016/j.bmcl.2012.02.053.
12. Rattana S, Cushnie B, Taepongsorat L, Phadungkit M. Chemical constituents and in vitro anticancer activity of Tiliacora triandra leaves. Pharmacogn J. 2016;8(1):1-3.doi:10.5530/pj.2016.1.1.
13. Saiin C, Markmee S. Isolation of anti-malarial active compound from Yanang (Tiliacora triandra Diels). Kasetsart J (Nat Sci). 2003;37:47-51.
14. Pachaly P, Khosravian H. Tilitriandrine: a new bisbenzylisoquinoline alkaloid from Tiliacora triandra.Planta Med. 1988;54(6):516-9.doi: 10.1055/s-2006-962534.
15. Singthong J, Oonsivilai R, Oonmetta-Aree J, Ningsanond S. Phytochemical profiles, antioxidant activity, and cytotoxicity of Tiliacora triandra (Colebr.) Diels (Yanang) extract on Caco-2 cells. 5th Thailand Congress of Nutrition, 5-7 September 2011, Bangkok, p. 186.
16. ปานทิพย์ บุญส่ง ณัฏฐา เลาหกุลจิตต์ อรพิน เกิดชูชื่น. การวิเคราะห์สารประกอบ polyphenolics และสารให้สีจากใบ Tiliacora triandra (Diels). วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร.2552;40(3) (พิเศษ):13-6.
17. Weerawatanakorn M, Rojsuntornkitti K, Pan MH, Wongwaiwech D. Some phytochemi- cals and anti-inflammation effect of juice from Tiliacora triandra leaves. J Food Nutr Res. 2018;6(1):32-8.doi: 10.12691/jfnr-6-1-6.
18. Soradech S, Kajsongkram T, Rotamporn S, Panapong K, Kusolkumbot P, Kuson S, et al. Phytochemical constituent and antioxidant activity of Yanang (Tiliacora triandra) leave ethanolic extract.Thai J Pharm Sci. 2017;41(suppl.):165-8.
19. Naibaho NM, Laohankunjit N, Kerdchoechuen O. Physicochemical properties of plant extracts from Yanang (Tiliacora triandra) leaves. Agricultural Sci J. 2012;43(2)(suppl.): 533-6.
20. Chaveerach A, Lertsatitthanakorn P, Tanee T, Puangjit N, Patarapadungkit N, Sudmoon R.Chemical constituents, antioxidant property, cytotoxicity and genotoxicity of Tiliacora triandra. Int J Pharmacogn Phytochem Res. 2016;8(5):722-9.
21. Naibaho NM, Laohankunjit N, Kerdchoechuen O. Volatile composition and antibac-terial activity of essential oil from Yanang (Tiliacoratriandra) leaves.Agricultural Sci J. 2012;43(2)(suppl.):529-32.
22. Makinde EA, Ovatlarnporn C, Sontimuang C, Herbette G, Olatunji OJ. Chemical constituents from the aerial part of Tiliacora triandra (Colebr.) Diels and their a-glucosidase and a-amylase inhibitory activity. Nat Prod Commun. 2020;15(1):1-4. doi: 10.1177/1934578x19899595.
23. An C, Wang L, Liu Y, Makinde EA, Li H, Olatunji OJ. Therapeutic effects of 5,7-dihydroxy-6-oxoheptadecanoic acid on dysglycemia, dyslipidemia, and other compli-cations in diabetic rats. Nat Prod Commun. 2020;15(7):1-7.doi: 10.1177/1934578x20937203.
24. Song P, Sun C, Li J, Long T, Yan Y, Qin H, et al. Tiliacoratriandra extract and its major constituent attenuates diabetic kidney and testicular impairment by modulating redox imbalance and pro-inflammatory responses in rats. J Sci Food Agric. 2020.doi: 10.1002/jsfa.10779.
25. Nutmakul T, Pattanapanyasat K, Soonthornchareonnon N, Shiomi K, Mori M, Prathan-turarug S. Antiplasmodial activities of a Thai traditional antipyretic formulation, Bencha-Loga-Wichian: A comparative study between the roots and their substitutes, the stems. J Ethnopharmacol. 2016;193:125-32.doi: 10.1016/j.jep.2016.07.013
26. Pasachan T, Duangjai A, Ontawong A, Amornlerdpison D, Jinakote M, Phatsara M, et al. Tiliacoratriandra (Colebr.) Diels leaf aqueous extract inhibits hepatic glucose production in HepG2 cells and type 2 diabetic rats. Molecules. 2021;26,1239.doi: 10.3390/molecules26051239.
27. Kumar N, Chaiyasut C. Health promotion potential of vegetables cultivated in northern Thailand: a preliminary screening of tannin and flavonoid contents, 5a-reductase inhibition, astringent activity, and antioxidant activities. J Evid Based Complement Altern Med. 2017;22(4):573-9.doi: 10.1177/2156587216686689.
28. กฤตติญารัตน์ สมวงศ์,ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา. ฤทธ์ต้านออกซิเดชันและฤทธ์กระตุ้นการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินของสารสกัดสมุนไพรไทยพื้นบ้านบางชนิดเพื่อใช้สำหรับผมหงอกก่อนวัย.การประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานระดับชาติ The 4th Annual Northeast Pharmacy Research Conference of 2012, “Pharmacy Profession in Harmony”. 11-12กุมภาพันธ์ 2555, ขอนแก่น, หน้า 125-34.
29. Soradech S, Kusolkumbot P, Thubthimthed S. Development and characterization of microemulsions containing Tiliacora triandra Diels as an active ingredient for anti-oxidant and melanogenesis stimulating activities. J App Pharm Sci. 2018;8(3):46-54.doi: 10.7324/japs.2018.8307.
30. อรัญญา มโนสร้อย, ภักวดี ไชยกุล, ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา, ลักษณา เจริญใจ, วันดี รังสีวิจิตร- ประภา, วรผกา มโนสร้อย และคณะ. ฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเมลานินและโปรตีนของเซลล์มะเร็งหนู B16F10 ของสารสกัดจากสมุนไพรไทยที่เก็บกักในนีโอโซม. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. 2553;8(2) (ฉบับเสริม):52.
31. สุมนา จินดาพงษ์ สุมาลี ปานทอง อรุณพร อิฐรัตน์.การศึกษาฤทธิ์การต้านจุลชีพที่ก่อให้เกิดสิวของสารสกัดสมุนไพรในตำรับเบญจโลกวิเชียร.การประชุมเครือข่ายวิชาการบัณทิตศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 1, 18 ธันวาคม 2555, ปทุมธานี.
32. Nuaeissara S, Kondo S, Itharat A. Antimicrobial activity of the extracts from benchalo-kawichian remedy and its components. J MedAssoc Thai. 2011;94(suppl. 7):S172-S177.
33. Itharat A, Reuangnoo S, Panthong S, Sangrapee C, Khantham S, Chatsuwan J, et al. Antimicrobial and cytotoxic activities of five Thai plants used as antipyretic drug. Planta Med. 2010;76(12):P106.doi: 10.1055/s-0030-1264404.
34. Makinde EA, Ovatlarnporn C, Adekoya AE, Nwabor OF, Olatunji OJ. Antidiabetic, antioxidant and antimicrobial activity of the aerial part of Tiliacora triandra. S Afr J Bot. 2019;125:337-43.doi: 10.1016/j.sajb.2019.08.012.
35. Rahman MM, Shamsuzzaman M, Khatun M, Rahman MM, Hossain ASMS, Alam AHMK. Phytochemical and antimicrobial properties of Tiliacora triandra stem bark. Br J Pharm Res. 2017;17(2):1-9.doi:10.9734/bjpr/2017/34059.
36. นภาพร แก้วดวงดี. ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของย่านาง. ก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์. 2556;13(1):159-71.
37. Sanseera D, Liawruangrath B, Liawruangrath S. Antioxidant and anticancer activities of the extract from Tiliacora triandra Diels. inNakhonsawan province. UTK Res J. 2561; 12(2):73-8.
38. Rattana S, Phadungkit M, Cushnie B. Phytochemical screening, flavonoid content and antioxidant activity of Tiliacora triandra leaf extracts. The 2nd Annual International Conference of Northeast Pharmacy Research 2010, 13-14 February 2010, Mahasa-rakham, p. 60-3.
39. Singthong J, Oonsivilai R,Oonmetta-aree J, Ningsanond S. Bioactive compounds and encapsulation of Yanang (Tiliacora triandra) leaves.Afr J Tradit Complement Altern Med. 2014;11(3):76-84.doi: 10.4314/ajtcam.v11i3.11.
40. อ้อมใจ แต้เจริญวิริยะกุล,เมที บัวสาย,อิทธิชัย รัตนาตรานุรักษ์,เพียงหทัย ศรียอด, สุภารัตน์ จันทร์เหลือง. ฤทธิ์ต้านแซนทีนออกซิเดสของพืชสมุนไพร. วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ 2554;6(1):1-6.
41. Nanasombat S, Teckchuen N. Antimicrobial, antioxidant and anticancer activities of Thai local vegetables. J Med Plant Res. 2009;3(5):443-9.
42. บังอร วงศ์รักษ์ ศศิลักษณ์ ปิยะสุวรรณ์. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผักพื้นบ้าน. โครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล, 2549.
43. Chaiyasut C, Kesika P, Chaiyasut K, Sittiyuno P, Peerajan S, Sivamaruthi BS. Total phenolic content and free radical scavenging activity of representative medicinal plants of Thailand. Asian J Pharm Clin Res. 2017;10(11):137-41.doi: 10.22159/ajpcr.2017.v10i11.20741.
44. Phadungkit M, Somdee T, Kangsadalampai K. Phytochemical screening, antioxidant and antimutagenic activities of selected Thai edible plant extracts. J Med Plants Res. 2012;6(5):662-6.doi:10.5897/jmpr11-517.
45. Arjin C, Pringproa K, Hongsibsong S, Ruksiriwanich W, Seel-audom M, Mekchay S, et al. In vitro screening antiviral activity of Thai medicinal plants against porcine repro-ductive and respiratory syndrome virus. BMC Vet Res. 2020;30;16(1):102.doi: 10.1186/s12917-020-02320-8.
46. Pasachan T, Ontawong A, Duangjai A, Boonphang O, Pongchaidecha A, Amornlerd-pison D, et al. In vitro free radical scavenging activity and anti-hyperglycemic effect of Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in type 2 diabetic rats. CAS Journal. 2561;8(suppl.):436-47.
47. Eadmusik S, Phungamngoen C, Choosuk N. Kinetic degradation of total phenolic content, DPPH radical scavenging and xanthine oxidase inhibitory activities in Yanang (Tiliacora triandra) leaf extract during preparation process. Malaysian J Anal Sci. 2019;23(3):516-23.doi: 10.17576/mjas-2019-2303-16.
48. Deetae P, Parichanon P, Trakunleewatthana P, Chanseetis C, LertsiriS. Antioxidant and anti-glycation properties of Thai herbal teas in comparison with conventional teas. Food Chem. 2012;133:953-9.doi:10.1016/j.foodchem.2012.02.012.
49. จิราภัทร โอทอง,จิราภรณ์ ทองตัน, ทัศนีย์ ลิ้มสุวรรณ. การพัฒนาชาสมุนไพรย่านางและสมบัติด้านเคมีกายภาพ ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ และสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด. เรื่องเต็มการประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 53: สาขาพืช, สาขาสัตว์, สาขาสัตวแพทยศาสตร์, สาขาประมง, สาขาส่งเสริมการเกษตรและคหกรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2558:544-51.
50. Juckmeta T, Itharat A. Anti-inflammatory and antioxidant activities of Thai traditional remedy called “Ya-ha-rak”. J Health Res. 2012;26(4):205-10.
51. ปณต ตั้งสุจริต วีรพล คู่คงวิริยพันธุ์ ยุพา คู่คงวิริยพันธุ์ วันชัย ไอยารัตน์. การตรวจสอบฤทธิ์ระงับปวดและฤทธิ์ต้านอักเสบของพืชผักพื้นบ้านอีสาน. ศรีนครินทร์เวชสาร. 2549;21(4):305-10.
52. Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacoratriandra (Colebr.) Diels in rats. Songklanakarin J Sci Technol. 2008;30(5):611-9.
53. ธีรพร กทิศาสตร์,สุรพงศ์ รัตนะ. ความเป็นพิษเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลันของสารสกัดด้วยเอทานอลจากรากย่านางในหนูขาวเพศผู้. ววิทย มข. 2561;46(2):212-8.
54. มงคล โมกขะสมิต, กมล สวัสดีมงคล, ประยุทธ สาตราวาหะ. การศึกษาพิษของสมุนไพรไทย.วารสารของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. 2514;13(1):36-66.