ส้มป่อย
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Acacia concinna (Willd.) DC.
ชื่อวงค์
FABACEAE
ชื่อสมุนไพร
ส้มป่อย
ชื่ออังกฤษ
soap pod
ชื่อพ้อง
Mimosa concinna Willd.
ชื่อท้องถิ่น
ส้มขอน
ชื่อ INCI
ACACIA CONCINNA FRUIT EXTRACT
ACACIA CONCINNA FRUIT POWDER
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
พบขึ้นทั่วไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ (5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้ต้นขนาดเล็ก กิ่งมีขนกำมะหยี่หรือขนสั้นนุ่ม มีหนามขนาดเล็กแบบหนามกุหลาบ หูใบ รูปไข่แกมรูปหัวใจ ยาว 3–8 มม. ร่วงง่าย ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ใบย่อยมี 15–25 คู่ รูปแถบแกมขอบขนาน ยาว 0.4–1.3 ซม. ไม่มีก้านใบย่อย ก้านใบมีต่อมใกล้ส่วนโคนและบนแกนกลางส่วนปลาย ช่อดอกเป็นช่อกระจุกกลม ออกตามซอกใบ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็นแฉกแหลม สีแดง ผิวเกลี้ยงหรือมีขนละเอียด กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็นแฉก มีขนที่ส่วนปลาย เกสรเพศผู้มี 200–250 อัน รังไข่ ผิวเกลี้ยงหรือมีขนคล้ายไหม ผลแบบฝัก สีน้ำตาล รูปขอบขนาน หรือรูปแถบ ยาว 10–15 ซม. เปลือกหนา แห้งย่น เมล็ดรูปรี ยาว 0.6–1 ซม. สีดำ (4)
การเพาะปลูก
ส้มป่อยเป็นไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี มักพบขึ้นตามป่าคืนสภาพ ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ที่ราบเชิงเขา ริมแม่น้ำ และที่รกร้างทั่วไปขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และการปักชำกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภทที่ระบายน้ำได้ดี ชอบความชื้นปานกลางถึงน้อย และชอบแสงแดด (4, 20)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ฝัก เป็นยาปลูกผม (6)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) ได้แก่ acaciaside, acacic acid lactone, acacidiol, acacinin A-E, albiziasaponin C, concinnin, concinnosides A-E, julibroside A1, julibroside A3, kinmoonosideA-C, sonunin I-II (7-10)
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds) ได้แก่ 5-methylfurfural, 6,10,14-trimethyl-2-pentadecanone, furanoid, furfural, geranylacetone, isopropyl palmitate, linoleic acid, methyl linoleate, methyl palmitate, methyl salicylate, myristic acid, palmitic acid,phenylacetaldehyde, terpinolene (11)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins)
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารที่ทำให้เกิดฟอง ได้แก่ สารกลุ่มซาโปนิน (7-10)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การตรวจสอบสารประกอบฟีนอลิก ด้วยวิธี high performance liquid chromatography (HPLC)
สภาวะทดลองที่ 1
column: inertsil ODS-3 (5 มคม.; 4.6x250 มม.) อุณหภูมิ 27ºC
mobile phase: methanol (A), 0.01% phosphoric acid (B) โดยอัตราส่วนจะปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system) คือ 0-20 min, 90-10% (A), 10-90% (B); 20-21 min, 10% (A), 90% (B)
flow rate: 0.9 มล./นาที
injection volume: 10 ไมโครลิตร
detector: UV 280 นาโนเมตร (12)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ขจัดรังแค (H007)
การศึกษาประสิทธิภาพในการขจัดรังแคของแชมพูฝักส้มป่อย (ตัวอย่างพืชจากประเทศศรีลังกา ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการทดสอบในอาสาสมัครที่มีปัญหารังแคบนหนังศีรษะ จำนวน 70 คน สุ่มแบ่งอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้สระผมด้วยแชมพูฝักส้มป่อยที่เตรียมโดยนำผงฝักส้มป่อย 10 ก. ผสมในน้ำเปล่า 240 มล. กลุ่มที่ 2 ให้สระผมด้วยแชมพูยาหลอกที่เตรียมโดยน้ำสีผสมอาหารเจือจางในน้ำเปล่า กำหนดให้อาสาสมัครสระผมวันเว้นวันทิ้งแชมพูไว้บนหนังศีรษะ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นเวลา 28 วัน ทำการประเมินผลโดยให้อาสาสมัครตอบแบบประเมินอาการทางคลินิก ได้แก่ ขนาดพื้นที่ ความถี่ในการหลุดร่วง และขนาดของรังแค อาการคันบนหนังศีรษะ ภาวะหนังศีรษะแห้ง และความมันของเส้นผม เมื่อสิ้นสุดการศึกษาพบว่าอาสาสมัครกลุ่มแชมพูฝักส้มป่อยหายขาดจากรังแค 62.85% โดยอาสาสมัครระบุว่าแชมพูฝักส้มป่อยมีผลลดความถี่และขนาดของรังแค ลดการหลุดร่วงของเส้นผมอาการคันหนังศีรษะ และความมันของเส้นผมได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (13)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase
การทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase เกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของเส้นขน จึงทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductaseของฝักส้มป่อย ทำการเตรียมสารสกัดด้วยวิธีแช่ผงฝักส้มป่อยใน 95% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน และทำให้แห้งด้วย rotary evaporator (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) ผลตรวจวัดความสามารถของสารสกัดในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase พบว่าสารสกัด 95% เอทานอลจากฝักส้มป่อยมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase โดยมีความแรงเท่ากับ 12.78±0.87 มก.สมมูล finasteride/ก. สารสกัด (14)
1.2 ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (H008)
การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากส้มป่อยในประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ต่อเชื้อ Malasseziaและเชื้อราที่แยกได้จากหนังศีรษะของอาสาสมัคร ทำการเตรียมสารสกัดโดยแช่ผงฝักส้มป่อย 2.5 ก. ใน 95% เอทานอล และบิวทานอล เป็นเวลา 2 วัน นำมาทดสอบความสามารถในการยับยั้งเชื้อด้วยวิธี Agar well diffusion ผลพบว่าสารสกัด 95% เอทานอล และสารสกัดบิวทานอลฝักส้มป่อย ขนาด 200 มคก./มล. มีค่าเฉลี่ยโซนใสในการยับยั้งเชื้อ Malassezia เท่ากับ 11 และ 23 มม. ตามลำดับ และค่าเฉลี่ยโซนใสในการยับยั้งเชื้อราที่แยกได้จากหนังศีรษะของอาสาสมัคร เท่ากับ 26 และ 20 มม. ตามลำดับ (15)
การศึกษาประสิทธิภาพของส้มป่อยต่อเชื้อราก่อโรคบนผิวหนัง (dermatophytes) ที่แยกได้จากผู้ป่วย 35 ราย และประสิทธิภาพต่อเชื้อ Candida albicans, Cryptococcus neoformans และ Penicillium marneffei อย่างละ 20 ไอโซเลต การสกัดใช้วิธีสกัดต่างกัน 3 แบบ คือ แบบที่ 1 การสกัดแบบต่อเนื่องด้วยเครื่อง soxhlet extractor ที่ใช้เอทานอล และคลอโรฟอร์มเป็นตัวทำละลาย และทำให้แห้งด้วยเครื่องระเหยสุญญากาศ แบบที่ 2 การสกัดด้วยวิธีแช่ผงฝักส้มป่อยใน 95% เอทานอล อัตราส่วน 1:4 เป็นเวลา 1 วันและทำให้แห้งด้วยเครื่องระเหยสุญญากาศ แบบที่ 3 การสกัดด้วยวิธีแช่ผงฝักส้มป่อยในน้ำ อัตราส่วน 1:4 เป็นเวลา 1 วัน และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง (lyophilization) นำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราด้วยวิธี agar disc diffusion เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน ketoconazole ประเมินฤทธิ์ของสารสกัดจากค่าเฉลี่ยโซนใสการยับยั้ง ผลพบว่าสารสกัดน้ำมีฤทธิ์ยับยั้งได้ดีที่สุด(ความเข้มข้น 0.08 มก./disc) รองลงมาคือสารสกัดคลอโรฟอร์ม (ความเข้มข้น 0.19 มก./disc) สารสกัดเอทานอลที่ได้จากสกัดแบบต่อเนื่อง (ความเข้มข้น 0.23 มก./disc) และสารสกัดเอทานอลที่ได้จากการแช่สกัด (ความเข้มข้น 0.14 มก./disc) ด้วยค่าเฉลี่ยโซนใส 18.38, 18.34, 16.67 และ 14.06 มม. ตามลำดับ และค่าเฉลี่ยโซนใสของยา ketoconazoleที่ความเข้มเข้น 20 มคก./disc คือ 31.49 มม. (16)
การศึกษาผลของฝักส้มป่อยต่อเชื้อราก่อโรคบนผิวหนังได้แก่ Trichophyton rubrum, T. mentagrophytes, T. violaecum, Microsporum nanum และ Epidermophyton floccosum ทำการเตรียมสารสกัดโดยการแช่ผงฝักส้มป่อยในปิโตรเลียมอีเธอร์ 1 วัน แยกเฉพาะส่วนกากมาทำให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง แล้วแบ่งเป็น 3 ส่วน นำไปสกัดด้วยการแช่สกัดในเอทานอล เอทิลอะซีเตท และเฮกเซน ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียล เป็นเวลา 1 วัน (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย ไม่ระบุ voucher specimen) ทดสอบหาค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัดฝักส้มป่อยที่สามารถยับยั้งเชื้อและที่ฆ่าเชื้อได้(minimum inhibitory concentration, MIC; minimum fungicidal concentration, MFC) ด้วยวิธี microbroth dilution assay ผลพบว่าค่า MIC และ MFC ของสารสกัดเอทานอล สารสกัดเอทิลอะซีเตท และสารสกัดเฮกเซนฝักส้มป่อย เท่ากับ 62.5 มคก./มล. (17)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ทำให้ผิวขาว (F001)
ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
สารสกัดจากฝักส้มป่อย (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) ที่สกัดด้วยวิธีและตัวทำละลายต่างกัน 3 แบบ คือ แบบที่ 1 แช่สกัดผงฝักส้มป่อยใน 95% เอทานอลเป็นเวลา 48 ชม. แล้วนำไประเหยแห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator แบบที่ 2 แช่สกัดผงฝักส้มป่อยใน 50% เอทานอลเป็นเวลา 48 ชม. แบ่งทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (freeze dryer) และเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย (spray drier) แบบที่ 3 สกัดด้วยวิธีต้มผงฝักส้มป่อยในน้ำ เป็นเวลา 1 ชม. แล้วแบ่งทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง และเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย นำสารสกัดที่ได้มาตรวจสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ด ด้วยวิธี 96-well plate ผลการศึกษาพบว่าสารสกัด50% เอทานอลที่ทำแห้งด้วยวิธีพ่นฝอยมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ด้วยค่า IC50เท่ากับ 1.10 มก./มล. รองลงมาคือ สารสกัดน้ำที่ทำแห้งด้วยวิธีพ่นฝอย, สารสกัด 50% เอทานอลที่ทำแห้งด้วยวิธีเยือกแข็ง, สารสกัดน้ำที่ทำแห้งด้วยวิธีเยือกแข็ง และสารสกัด 95% เอทานอล ด้วยค่า IC50เท่ากับ 1.53, 1.64, 1.68 และ 1.70 มก./มล. ตามลำดับ อย่างไรก็ตามสารสกัดจากฝักส้มป่อยทั้ง 5 แบบมีความแรงน้อยกว่าสารมาตรฐาน β-artutin (IC50เท่ากับ 0.28 มก./มล.) (12)
การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดฝักส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชันต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ทำการเตรียมสารสกัดโดยแช่ผงฝักส้มป่อยใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 48 ชม. และทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) และเตรียมสารสกัดส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชัน (MES) ด้วยการเติมสารสกัดข้างต้นลงในตำรับไมโครอิมัลชันซึ่งประกอบด้วยน้ำมันเมล็ดชา, polysorbate 85, เอทานอล และน้ำ (5:40:20:35) จนได้ความเข้มข้น 4% โดยน้ำหนัก สารสกัดส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชันนี้จะมีอนุภาคขนาด 239.77±12.69 นาโนเมตร ค่าความหนืดต่ำ (0.43 ปาสคาล) และมีค่า pH 4.0 เมื่อทำการศึกษาเปรียบเทียบผลการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชันกับสารสกัด 50% เอทานอลผงฝักส้มป่อย โดยพบเปอร์เซนต์การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดในรูปแบบไมโครอิมัลชั้น สารสกัด 50% เอทานอล และ ไมโครอิมัลชันที่ไม่มีสารสกัด เท่ากับ 55.75, 81.49และ 1.54% ตามลำดับ จากนั้นนำสารสกัดและไมโครอิมัลชันที่มีสารสกัดส้มป่อยภายหลังจากเก็บที่อุณหภูมิห้อง, 4°C และ 40°Cนาน 3 เดือน และสลับกับเก็บที่สลับอุณหภูมิร้อนเย็น จำนวน 6 รอบ พบว่าการเตรียมสารสกัดฝักส้มป่อยในรูปไมโครอิมัลชันสามารถป้องกันการลดลงของฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากการเก็บที่อุณหภูมิต่างๆ นาน 3 เดือนได้ (18)
2.2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (F007)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากฝักส้มป่อย (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) ที่สกัดด้วยวิธีและตัวทำละลายต่างกัน 3 แบบ คือ แบบที่ 1 แช่สกัดผงฝักส้มป่อยใน 95% เอทานอล เป็นเวลา 48 ชม. แล้วนำไประเหยแห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator แบบที่ 2 แช่สกัดผงฝักส้มป่อยใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 48 ชม. แบ่งทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (freeze dryer) และเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย (spray drier) แบบที่ 3 สกัดด้วยวิธีต้มผงฝักส้มป่อยในน้ำ เป็นเวลา 1 ชม. แล้วแบ่งทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง และเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2’-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging capacity (DPPH), 2,2'-Azino-bis (3- ethylbenzothiazoline-6-sulfonic acid) cation radical - scavenging assay (ABTS) และ linoleic acid peroxidation assay ผลการทดสอบพบว่าสารสกัด 50% เอทานอลที่ทำแห้งด้วยวิธีพ่นฝอยมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระ โดยพบค่า IC50ต่อการยับยั้งอนุมูลอิสระทั้ง 3 วิธี เท่ากับ 0.87, 0.14 และ 1.87 มก./มล. ตามลำดับ รองลงมาคือ สารสกัด 50% เอทานอลที่ทำแห้งด้วยวิธีเยือกแข็ง, สารสกัดน้ำที่ทำแห้งด้วยวิธีพ่นฝอย, สารสกัดน้ำที่ทำแห้งด้วยวิธีเยือกแข็ง และสารสกัด 95% เอทานอล ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกในสารสกัดด้วยวิธี folin-ciocalteu พบว่าปริมาณสารประกอบฟีนอลิกในสารสกัดมีความสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยพบสูงสุดในสารสกัด 50% เอทานอลที่ทำแห้งด้วยวิธีพ่นฝอย (100.50±0.06 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก.สารสกัด) และพบน้อยที่สุดในสารสกัด 95% เอทานอล เช่นเดียวกับผลการวิเคราะห์สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งพบมากที่สุดในสารสกัด 50% เอทานอลที่ทำแห้งด้วยวิธีพ่นฝอย (33.56±0.03 มก.สมมูลรูติน/ก.สารสกัด) (12)
การศึกษาความคงตัวและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดฝักส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชันโดยแช่ผงฝักส้มป่อยใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 48 ชม. และทำให้สารสกัดแห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบพ่นฝอย (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) และเตรียมสารสกัดส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชัน (MES) ด้วยการเติมสารสกัดข้างต้นลงในตำรับไมโครอิมัลชันซึ่งประกอบด้วยน้ำมันเมล็ดชา, polysorbate 85, เอทานอล และน้ำ (5:40:20:35) จนได้ความเข้มข้น 4% โดยน้ำหนักนำสารสกัด 50% เอทานอล, ไมโครอิมัลชันที่มีสารสกัดส้มป่อยและไมโครอิมัลชันที่ไม่มีสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH และ linoleic acid peroxidation พบว่าสามารถต้านอนุมูลอิสระ DPPH ได้ 99.01, 61.20 และ 14.99% ตามลำดับ และสามารถยับยั้ง linoleic acid peroxidation ได้ 51.69, 42.59 และ 3.42% ตามลำดับ ทำการศึกษาความคงตัวและเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชันกับสารสกัด 50% เอทานอลผงฝักส้มป่อย ภายหลังการเก็บที่อุณหภูมิต่างๆ (4°C, อุณหภูมิห้องและ 40°C) นาน 3 เดือน และการเก็บแบบสลับอุณหภูมิร้อนเย็น จำนวน 6 รอบ ผลพบว่าอัตราการลดลงของฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดส้มป่อยในรูปแบบไมโครอิมัลชันน้อยกว่าสารสกัด 50% เอทานอลเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay, linolenic acid peroxidation assay (18)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบอาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ
การทดสอบฤทธิ์ระคายเคืองต่อหนังศีรษะของแชมพูที่มีส่วนผสมของสารสกัดฝักส้มป่อย (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด) ความเข้มข้น 2% (ค่า pH 7-8) ทำการทดสอบในอาสาสมัคร 30 คนกำหนดให้อาสาสมัครสระผมครึ่งศีรษะด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของฝักส้มป่อยและอีกครึ่งศีรษะด้วยแชมพูเบสที่ไม่มีส่วนผสมของฝักส้มป่อย ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผลจากการเฝ้าสังเกตอาการหลังการสระผม 24 และ 48 ชม. ไม่พบความผิดปกติและอาการระคายเคืองบนหนังศีรษะ จึงสรุปได้ว่าแชมพูที่มีส่วนผสมของสารสกัดฝักส้มป่อยความเข้มข้น 2% มีความปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ (19)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวของสารสกัดน้ำฝักส้มป่อย ด้วยการบ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ (humanperipheral blood mononuclear cell) กับสารสกัดน้ำฝักส้มป่อย ความเข้มข้น 125-2,000 มคก./มล. เป็นเวลา 48. ชม. พบค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ทำให้เซลล์ตาย 20% (IC20) เท่ากับ 280.85±16.53 มคก./มล. ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน ascorbic acid (IC20=295.94±17.58 มคก./มล.) (12)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ผลิตภัณฑ์แชมพูที่เตรียมโดยนำผงฝักส้มป่อย 10 ก. ผสมในน้ำเปล่า 240 มล. สระผมวันเว้นวัน ทิ้งแชมพูไว้บนหนังศีรษะ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นเวลา 28 วัน มีผลลดความถี่และขนาดของรังแค ลดการหลุดร่วงของเส้นผม อาการคันหนังศีรษะ และความมันของเส้นผม (13)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
สรุป
ส้มป่อยเป็นสมุนพไพรที่มีการใช้กับเส้นผมและหนังศีรษะมาเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากในฝักพบสารกลุ่มซาโปนิน ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้เกิดฟอง จากรายงานการวิจัยพบว่าส้มป่อยมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราบนหนังศีรษะซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดรังแค และมีอย่างอ่อนในการยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของเส้นผม จึงอาจนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อบรรเทาอาการรังแลและลดการหลุดร่วงของเส้นผม นอกจากนี้ส้มป่อยยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และต้านอนุมูลอิสระที่อาจนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวได้ อย่างไรก็ตามการศึกษาดังกล่าว ยังเป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลอง จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Lemmans RHML, Bunyapraphatsara N (Editor). Plant Resources of South East Asia 12(2): Medicinal and poisonous plants 2. Leiden: Backhuys Publisher; 2001:664 pp.
3. Acacia concinna (Lam.) Britton & Rose. The Plant List. [Internet]. 2013 [cited 2020 December 8]. Available from: http://www.the plantlist.org.
4. ราชันย์ ภู่มา.สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60พรรษา. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2559.
5. Lemmens RHMJ, Bunyapraphatsara N. (Editors): Plant Resources of South-East Asia No 12(3): Medicinal and poisonous plants 3. PROSEA Foundation: Indonesia; 2003.
6. นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 4. กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชน จำกัด, 2543: 740 หน้า
7. Kiuchi F, Gafar A, Tohoru O, Tachibana A, Tsuda Y, Yoshisuke. Acacia concinna saponins. II. Structures of monoterpenoid glycosides in the alkaline hydrolyzate of the saponin fraction. Chem Pharm Bull. 1997;45(5):807-12.doi: 10.1248/cpb.45.620.
8. Gafar A, Tohoru O, Kiuchi F, Tsuda Y. Acacia concinna saponins. I. Structures of prospogenols, concinnosides A-F, isolated from the alkaline hydrolysate of the highly polar saponin fraction. Chem Pharm Bull. 1997;45:620-5. doi: 10.1248/cpb.45.620.
9. Sharma SC, Walia S. Structures of sonunin I and sonunin II: two new saponins from Acacia concinna D.C. Pharmazie 1983;38(9):632-3.
10. Tezuka Y, Honda K, Banskota A, Maungmaung T, Shigetoshi K. Kinmoonosides A-C, three new cytotoxic saponins from the fruits of Acacia concinna, a medicinal plant collected in Myanmar. J Nat Prod. 2000;63(12):1658-64. doi: 10.1021/np000347f.
11. Sombatsiri P, Chairote G. Volatile compounds from "Som Poy" (Acacia concinna DC.). Acta Horticulturae. 2005;679:189-94.doi: 10.17660/ActaHortic.2005.679.23
12. Poonmanee W, Chaiyana W, Intasai N, Leelapornpisid P. Biological activities and characterization of the pod extracts from sompoi (Acacia concinna Linn) grown in northern Thailand. Int J Pharm Pharm Scy. 2015;7(5):273-41.
13. Ediriweera S. Perera AMHY, Peshala KKVS, Perera KMSP, Editiweera ERHSS. A clinical study on efficacy of siyakkai (Acacia concinna) hair wash on darunaka (pitiriasis capitis). JAHM. 2014;2(7):14-7.
14. Kumar N, Rungseevijitprapa W, Narkkhong N, Suttajit M, Chaiyasut C. 5α-reductase inhibition and hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. J Ethnopharmavol. 2012;139:765-71.doi: 10.1016/j.jep.2011.12.010.
15. Pisal S, Mane V. Studies on antifungal activities of certain plant extract against dandruff causing fungus, Malassezia. Int J Curr Res Buisci Plant Biol. 2015:2(7):206-11. doi:10.21746/ijbio.2016.09.003.
16. Wuthi-udomlert M, Vallisuta O. In-vitro effectiveness of Acacia concinna extract against dermatomycotic pathogens. Pharmacognosy J 2011; 3(19):69-73.doi:10.5530/pj.2011.19.1322
17. Natarajan V, Natarajan S. Antidermatophytic activity of Acacia concinna. Global J of Pharmacol 2009; 3: 6-7.
18. Poomanee W, Chaiyana W, Wickett RR, Leelapornpisi P. Stability and solubility improvement of Sompoi (Acacia concinna Linn.) pod extract by topical microemulsion. Asian J Pharm Sci. 2017;12:386-93.doi: 10.1016/j.ajps.2017.03.001.
19. Final report of the safety assessment of Acacia catechu gum, Acacia concinna fruit extract, Acacia dealbata leaf extract, Acacia dealbata leaf wax, Acacia decurrens extract, Acacia farnesiana extract, Acacia farnesiana flower wax, Acacia farnesiana gum, Acacia senegal extract, Acacia senegal gum, and Acacia senegal gum extract. Int J Toxicol. 2005;24(Suppl 3):75-118. doi:.
20. ส้มป่อย. ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP กรมวิทยาศาสตร์บริการ. [Internet]. 2021.[cited 2021 Apr 18].Available from: http://otop.dss.go.th/index.php/en/home/20- plants-for-shade/7-soap-pod.