หม่อน
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Morus alba L.
ชื่อวงค์
MORACEAE
ชื่อสมุนไพร
หม่อน
ชื่ออังกฤษ
mulberry tree, white mulberry
ชื่อพ้อง
Morus multicaulis (Perr.) Perr.
Morus intermedia Perr.
Morus atropurpurea Roxb.
ชื่อท้องถิ่น
-
ชื่อ INCI
HYDROLYZED MORUS ALBA LEAF EXTRACT
MORUS ALBA BARK EXTRACT
MORUS ALBA CALLUS CULTURE EXTRACT
MORUS ALBA CALLUS EXTRACT
MORUS ALBA EXTRACT
MORUS ALBA FRUIT EXTRACT
MORUS ALBA LEAF EXTRACT
MORUS ALBA LEAF POWDER
MORUS ALBA ROOT BARK EXTRACT
MORUS ALBA ROOT EXTRACT
MORUS ALBA ROOTWATER
MORUS ALBA STEM EXTRACT
MORUS ALBA TWIG EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย พม่า แถบคาบสมุทรอินโดจีน จีน และญี่ปุ่น ปัจจุบันพบกระจายทั่วไปตามประเทศภูมิอากาศแบบอบอุ่นและแบบร้อนชื้น (5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดกลาง เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านไม่มากนัก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ หรือรูปไข่กว้าง ขอบเรียบหรือหยักเว้าเป็นพู ขึ้นกับพันธุ์ กว้าง 8 - 14 ซม. ยาว 12 - 16 ซม. ผิวใบสากคาย ปลายเรียวแหลมยาว ฐานใบกลม หรือรูปหัวใจ หรือค่อนข้างตัด ใบอ่อนขอบจักเป็นพูสองข้างไม่เท่ากัน ขอบพูจักเป็นซี่ฟัน ก้านใบเล็กเรียว ยาว 1.0 - 1.5 ซม. หูใบรูปแถบแคบปลายแหลม ยาว 0.2 - 0.5 ซม. ดอกช่อ รูปทรงกระบอกออกที่ซอกใบ และปลายยอด แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างช่อกัน วงกลีบรวมสีขาวหม่น หรือสีขาวแกมเขียว ช่อดอกเป็นหางกระรอก ยาวประมาณ 2 ซม. ดอกเพศผู้ วงกลีบรวมมี 4 แฉก เกลี้ยง เกสรเพศเมีย วงกลีบรวมมี 4 แฉก เกลี้ยง ขอบมีขน เมื่อเป็นผลจะอวบน้ำ รังไข่เกลี้ยง ก้านเกสรเพศเมียมี 2 อัน ผลเป็นผลรวม รูปทรงกระบอก มีสีเขียว เมื่อสุกสีม่วงแดงเข้ม เกือบดำ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว (3-4)
การเพาะปลูก
การขยายพันธุ์ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น เพาะเมล็ด ติดตา และปักชำ โดยวิธีที่นิยมที่สุดคือการปักชำ โดยนำกิ่งพันธุ์อายุ 6 เดือน-1 ปี ตัดเป็นท่อน ความยาว 15-20 ซม. และมีตาอย่างน้อย 5-6 ตา ท่อนพันธุ์ส่วนปลายให้ตัดเฉียงแบบปากฉลามบริเวณต่ำกว่าข้อตาประมาณ 1.5-20 ซม. ส่วนผสมของดินเพาะชำมีอัตราส่วน ดินหรือหน้าดิน 1 ส่วนแกลบเผา 3 ส่วน (1:3) ผสมให้เข้ากันโดยเนื้อดินและแกลบเผามีลักษณะ เล็กละเอียด ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน- 3 เดือนครึ่ง จะเกิดรากและสามารถย้ายลงปลูกในแปลง
การปลูก พื้นที่เหมาะสมควรเป็นที่ดอน น้ำไม่ท่วมขัง แต่มีแหล่งน้ำที่เพียงพอสำหรับหม่อนในฤดูแล้งลักษณะดิน เป็นดินร่วนปนทราย อุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำดี หน้าดินลึกมากกว่า 30 ซม. มีความเป็นกรดด่างของดินระหว่าง 5.5 – 6.5 ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 1 x 2.20-2.50 ม.ฤดูกาลที่เหมาะสมในการปลูก คือ ช่วงต้นฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่ดินมีความชุ่มชื้นสูง หม่อนสามารถเจริญเติบโตได้ดีแต่บางพื้นที่ ต้นฤดูฝนพบปัญหาน้ำขัง เช่น ในพื้นที่ดินทรายละเอียด ต้องปลูกช่วงปลายฤดูฝน เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม
การดูแลรักษาแปลงหม่อน 1) การไถพรวน การไถพรวนดินระหว่างแถวหม่อน หลังตัดแต่งหม่อน การกำจัดวัชพืชและไถกลบปุ๋ยทุกครั้ง เพื่อให้ดินร่วนโปร่ง ระบายอากาศดี เพิ่มออกซิเจน ทำให้ดินร่วนซุยและสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้นในช่วงฤดูฝนไม่ควรไถพรวนลึก เพราะเป็นช่วงที่หม่อนกำลังเจริญเติบโต หรือ ขณะที่รากใหม่กำลังหาอาหาร จะทำให้เกิดการชะงัก หรือ รถไถอาจทำให้กิ่งหม่อนหักเสียหายได้ 2) การจัดการวัชพืชโดยการไถกลบ การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชร่วม การปลูกพืชคลุมดิน (48)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่พบสรรพคุณพื้นบ้านเกี่ยวกับการใช้ทางเครื่องสำอาง
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
ใบ กิ่ง เปลือกต้นและรากของหม่อนพบสารหลายกลุ่ม ได้แก่
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids) ได้แก่ betulnic acid, ursolic acid, uvaol (6)
สารกลุ่มอิมิโนชูการ์ (imino sugar) ได้แก่ calystegins B2, calystegins C1,1-deoxynojirimycin, 1, 4-dideoxy-1, 4-imino-D-arabinitol, 1,4-dideoxy-1, 4-imino-D-ribitol, 1,4-dideoxy-1, 4-imino-(2-O-β-pD-glucopyranosyl)-d-glucopyranosyl)-D-arabinitol, fagomine, 3-epi-fagomine, N-methyl-1-deoxynojirimycin (7)
- สารกลุ่มชาลโคน (chalcones) ได้แก่ isobavachalcone, kuwanon J, morachalcone A, morachalcone B, morachalcone C, mulberroside A (6, 8-11)
- สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ 6-geranylapigenin, 6-geranylnorartocarpetin, 5,7,2′-trihydroxyflavanone-4′-O-β-D-glucoside, (S)-5,5′,7-trihydroxy-2′,4′-dimethoxy-6-methylflavanone, 7,2′, 4′, 6′-tetrahydroxy-6-geranylflavanone, 7-methoxyl-8-ethyl-2′,4′-dihydroxylflavane-2′′-O-β-D-glucopyranoside, 7-methoxyl-8-hydroxyethyl-2′,4′-dihydroxylflavane, 8-geranylapigenin, astragalin, atalantoflavone, cyclomorusin, cyclomulberrin, euchrenone a7, isoquercitrin, kaempferol, kaempferol 3-O-β-D-glucopyranoside, kaempferol 3-O-β-D-rutinoside, kuwanon A, kuwanon B, kuwanon C, kuwanon E, kuwanon H, kuwanon G, kuwanon S, kuwanon T, morusin, norartocarpetin, oxydihydromorusin, quercetin, quercetin 3-(6-malonylglucoside), quercetin 3,7-di-O-β-D-glucopyranoside, quercetin 3,7-diglucoside, quercetin 3-glucoside, rutin, sanggenon F, sanggenon G, sanggenon J, sanggenon N, sanggenon O, sanggenon U, sanggenon V, sanggenon W, steppogenin, trans-dihydromorin (6, 10, 12-26)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ 2,4-dihydroxybenzaldehyde,
4-O-caffeoylquinic acid, 5-O-caffeoylquinic acid, m-coumaric acid, chlorogenic acid, gallic acid, hydroxybenzoic acid, protocatechuic acid, protocatechuic aldehyde, resorcinol, syringaldehyde, syringic acid, vanillic acid (27-28)
- สารกลุ่มสติลบินอยด์ (stilbenoids) ได้แก่ 2,4,3′-trihydroxydihydrostilbene,artoindonesianin O, dihydrooxyresveratol, oxyresveratrol, oxyresveratrol 2-O-β-D-glucopyranoside, resveratrol (6, 9,10, 23, 25)
สารกลุ่มคูมาริน (coumarins) ได้แก่ 5, 7-dihydroxycoumarin 7-O-β-D-apiofuranosyl-(1→6)-O-β-D-glucopyranoside, 5, 7-dihydroxycoumarin 7-O-β-D-glucopyranoside, isoscopoletin 6-(6-O-β-apiofuranosyl-β-glucopyranoside), mulberroside B, scopoline, skimmin (6, 12, 25)
- สารกลุ่มเอริลเบนโซฟูแรน (arylbenzofurans) ได้แก่ 3′,5′-dihydroxy-6-methoxy-7-prenyl-2-arylbenzofuran, albanol A, albanol B, albafuran A,albafuran C, moracin C, moracin D, moracin M, moracin N, moracins O, moracin P, moracin R, moracin V, moracin W, moracin X, moracin Y, morunigrol C, mulberrofuran L, muberofuran Y, mulberroside F,wittifuran E (6, 10, 15, 22, 29)
- สารกลุ่มไกลโคไซด์ (glycosides) ได้แก่ benzyl D-glucopyranoside, roseoside (12)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids)
สารกลุ่มอิมิโนชูการ์ (imino sugar)
สารกลุ่มชาลโคน(chalcones)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มสติลบินอยด์(stilbenoids)
สารกลุ่มคูมาริน(coumarins)
สารกลุ่มเอริลเบนโซฟูแรน (arylbenzofurans)
สารกลุ่มเอริลเบนโซฟูแรน (arylbenzofurans) (ต่อ)
สารกลุ่มไกลโคไซด์ (glycosides)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้แก่(2R)/(2S)-7-methoxyl-8-ethyl-2′,4′-dihydroxylflavane-2′′-O-β-D-glucopyranoside, (2R)/(2S)-7-methoxyl-8-hydroxyethyl-2′,4′-dihydroxylflavane,(2S)-7-methoxyl-8-hydroxyethyl-4′-hydroxylflavane-2′-O-β-D-glucopyranoside, (2S)-8-hydroxyethyl-7,4′ -dimethoxylflavane-2′-O-β-D-glucopyranoside, (2S)-7-hydroxyl-8-hydroxyethyl-4′-methoxylflavane-2′-O-β-D-glucopyranoside, (S)-5,5′,7-trihydroxy-2′,4′-dimethoxy-6-methylflavanone,2-(3,5-dihydroxyphenyl)-5,6-dihydroxybenzofuran, 2,4,3′-trihydroxydihydrostilbene,2,4-dihydroxybenzaldehyde, 7,4′-dihydroxy-5,3’-dimethoxyflavone,aurantiamide acetate, chalcomoracin, dihydrooxyresveratol, euchrenone a7, kaempferide3-O-β-D-glucoside, kaempferol, kaempferol-3,7-di-O-α-L-rhamnopyranoside, kuwanon C, kuwanon G, kuwanon H, moracin C, moracin D, moracin Jmoracin M, moracin M 6-(β-D-glucopyranoside), moracin N, morunigrol C, morusin, mulberroside A, mulberroside F, norartocarpetin, oxyresveratrol, oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucoside, quercetin, resorcinol, steppogenin trans-dihydromorin, wittifuran E (10, 15, 25, 29-31)
สารออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ได้แก่2,4,3′-trihydroxydihydrostilbene, 2,4-dihydroxybenzaldehyde, dihydrooxyresveratol, kuwanon C, kuwanon G, kuwanon H, morachalcone A, moracin M,morusin, mulberroside A, oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucoside, resorcinol, trans-dihydromorin, wittifuran E (10, 28, 31)
สารออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อก่อสิว ได้แก่ oxyresveratrol (32)
สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ albafuran C, mulberroside A, oxyresveratrol (33-35)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 การตรวจสอบสารประกอบฟีนอลิก ด้วยวิธี high performance liquid chromatography (HPLC)
สภาวะทดลองที่ 1
column: Cosmosil 5C18-AR (5 มคม.; 4.6x250 มม.) อุณหภูมิ 25ºC
mobile phase: 60 mM KH2PO4 (pH 4.4) (A), H2O/CH3OH/CH3CN:20/40/40 (v/v) (B) โดยอัตราส่วนจะปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system) คือ 0–5 min, 95–80% A, 5–20% B; 5–15 min, 80–70% A, 20–30% B; 15–20 min, 70–65% A, 30–35% B; 20–30 min, 65–55% A, 35–45% B; 30–35 min, 55–40% A, 45–60% B; 35–45 min, 40–35% A, 60–65% B;45–50 min, 35–0% A, 65–100% B; และ 50–65 min, 0% A, 100% B.
flow rate: 0.8 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode array 254 นาโนเมตร (36)
สภาวะทดลองที่ 2
column: Hypersil Gold C-18 (5 มคม.; 4.6x250 มม.) อุณหภูมิ 25ºC
mobile phase: 0.1% formic acid in water (B) and methanol (A), โดยอัตราส่วนจะปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system) คือ 5% (A) to 28% (A) for 50 min followed by 28% (A) for 10 min was used. After 60 min, the mobile phase concentration was brought back to 5% (A) and held for 10 min for column equilibration
flow rate: 0.7 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: UV 270 นาโนเมตร (27)
2 การตรวจสอบปริมาณสาร1-deoxynojirimycin ด้วยวิธี high performance liquid chromatography (HPLC)
สภาวะทดลองที่ 1
column: Eclipse XDB-C18 (5 มคม.; 4.6x150 มม.)
mobile phase: acetonitrite และ 0.1%trifluroacetic acid อัตราส่วน 45:55
flow rate: 1 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: UV 254 นาโนเมตร (37)
3 การตรวจสอบปริมาณสาร oxyresveratrol ด้วยวิธี high performance liquid chromatography (HPLC)
สภาวะทดลองที่ 1
column: Gemini C18 (5 มคม.; 4.6x150 มม.)
mobile phase: acetonitrite และ 0.0125 M phosphate buffer pH 3 อัตราส่วน 1:3
flow rate: 1 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: UV 320 นาโนเมตร (35)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ลดเลือนฝ้า (F002)
การศึกษาทางคลินิกแบบ randomized, single-blind, placebo-controlled ถึงประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้าของสารสกัดจากหม่อนในประเทศฟิลิปปินส์ ทำการทดสอบในอาสาสมัครเพศชายและหญิง จำนวน 50 คน อายุ 18-60 ปี (อายุเฉลี่ย 44.5±7.5 ปี) ที่มีระดับสีผิวตามเกณฑ์ของ Fitzpatrick ระดับ III-V และมีการสะสมของฝ้าอย่างน้อย 50% ของใบหน้าเมื่อทดสอบด้วย Wood′s light examination ในการทดสอบทำการสุ่มแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ได้รับน้ำมันมะพร้าวที่มีส่วนผสมของสารสกัดหม่อน 75% (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัด) และกลุ่มที่ 2 ได้รับยาหลอก (น้ำมันมะพร้าวที่ไม่มีส่วนผสมของสารสกัดหม่อน) กำหนดให้อาสาสมัครทาน้ำมันบนผิวหน้าที่เวลา 30 นาที ก่อนทาครีมกันแดดSFP30 ทาวันละ 2 ครั้งติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ประเมินผลโดยใช้ประเมิน Mexameter ตรวจวัดสีผิว ผื่นแดง ปริมาณเม็ดสีเมลานิน และความถี่ในการเกิดฝ้าด้วย melasma area and severity index (MASI) scoreสอบถามความพึงพอใจและคุณภาพชีวิตด้วย MelasQOL Score เมื่อครบ 8 สัปดาห์พบว่า MASI score ในกลุ่มที่ได้รับน้ำมันสารสกัดหม่อนมีค่าลดลงจาก 4.07 เหลือ 2.88 (ลดลง 1.19) ในขณะที่กลุ่มยาหลอกมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย จาก 3.48 เหลือ 3.39 (ลดลง 0.06) ผลการประเมินปริมาณเม็ดสีโดยใช้ Mexameter พบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำมันสารสกัดหม่อนมีปริมาณเม็ดสีลดลงจาก 355.56 เหลือ 312.52 ในขณะที่กลุ่มยาหลอกไม่พบการเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงของระดับเม็ดสีเมลานิน และผลการประเมินคุณภาพชีวิตของอาสาสมัครโดยใช้ MelasQOL Score ระบุว่าอาสาสมัครมีความพึงพอใจและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น (38)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
ยับยั้ง prostaglandin D2 synthase
การศึกษาด้วยวิธีจำลองโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (In silico) ถึงความสามารถของสารสำคัญในสมุนไพรที่พบการใช้มากในประเทศจีนจำนวน 12 ชนิด ต่อการทำงานของเอนไซม์prostaglandin D2 synthase (PGD2) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของเส้นผมและทำให้เกิดหนังศีรษะล้าน ทำการทดสอบความสามารถในการจับกับPGD2ด้วยโปรแกรม Surflex docking และประเมินคุณลักษณะของสารที่เหมาะสมต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผิว เช่น การซึมผ่านผิวหนัง อาการระคายเคือง ความกัดกร่อนผิว ผลต่อการก่อกลายพันธุ์ และระบบสืบพันธุ์ ผลการทดสอบพบว่าสารสำคัญที่พบในหม่อน ได้แก่ สาร mulberoside F, mulberrofuran M, sanggenol N, kaempferol-3-O-β-D-glucosides และ folinic acid สามารถในการจับกับ PGD2 ด้วยค่าความสามารถในการจับกับเอนไซม์อยู่ระหว่าง 73.2-85.3 คะแนนและไม่พบรายงานว่าก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิว อย่างไรก็ตามสารสำคัญจากหม่อนมีความสามารถในการซึมผ่านผิวหนังต่ำจึงควรมีศึกษาและพัฒนาวิธีการนำเข้าสู่ผิวต่อไปในอนาคต (39)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ทำให้หน้าขาว (F001)
ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบเอทานอลของหม่อน ทำการศึกษาในหม่อน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ุ์นครราชสีมา 60 และ พันธุ์สกลนคร (ไม่ระบุที่ตัวอย่างพืชและ voucher specimens) เตรียมสารสกัดหยาบด้วยวิธีการแช่ส่วนใบ ราก และต้นหม่อนแบบสด และแบบแห้ง ใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 7 วัน ผลการทดสอบความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ด้วยวิธี dopachrome พบว่าหม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 มีเปอร์เซ็นต์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสอยู่ระหว่าง 84.46-211.78%โดยรากหม่อนแห้งและรากหม่อนสดมีเปอร์เซ็นต์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสสูงสุดคือ 211.78 และ 202.52% ตามลำดับ ส่วนหม่อนพันธุ์สกลนครมีค่าการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสอยู่ระหว่าง 97.03-213.18% โดยส่วนต้นและใบหม่อนสดมีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสไม่แตกต่างกัน ส่วนรากหม่อนแห้งมีค่าการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสสูงที่สูงที่สุดคือ 213.18% (40)
สารสกัดจากต้นหม่อนสายพันธุ์บุรีรัมย์ 60 (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดตาก voucher no. 004069) ที่เตรียมด้วยวิธีการแช่สกัดใน 80% เอทานอล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง มีฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส จากการทดสอบด้วยวิธี dopachrome ด้วยค่า IC50เท่ากับ 5.76±1.58 มคก./มล. ซึ่งมีความแรงกว่าสารมาตรฐาน kojic acid (IC50 30.61±13.35 มคก./มล.) (32)
การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดจากกิ่งและรากต้นหม่อน (ตัวอย่างพืชจากประเทศไต้หวัน ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดโดยใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสด้วยวิธี dopachrome ผลพบว่าที่ความเข้มข้น 60 มคก./มล. สารสกัดเอทานอลจากส่วนกิ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดีกว่าส่วนราก โดยให้ผลการยับยั้งเท่ากับ 78% และ 62% ตามลำดับ (36)
การศึกษาเปรียบเทียบผลของการสกัดใบหม่อนด้วยการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ (pulsed electric field:PEF) กับสารสกัดด้วยวิธีการสกัดแบบดั้งเดิม (conventional maceration method) ต่อองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของใบหม่อน ในการทดสอบใช้ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ สกลนคร และบุรีรัมย์ (ไม่ระบุ voucher specimen)เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการสกัด 2 แบบ คือ วิธีที่ 1 การสกัดโดยใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ (pulsed electric field extraction: PEF) ที่มี 95% เอทานอล โดยกำหนดแรงดันของสนามไฟฟ้า 10 kV/cm ความถี่ 5 กิโลเฮิรตซ์กระแสพัลส์ 1 µs เป็นเวลา 20 นาที วิธีที่ 2 การสกัดแบบตั้งเดิมด้วยวิธีแช่สกัดใน 95% เอทานอล อัตราส่วน 1:5 โดยน้ำหนัก เป็นเวลา 24 ชม. แล้วทำให้แห้งด้วยเครื่องกลั่นระเหยสารแบบหมุน ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากวิธี PEF มีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสสูงกว่าสารสกัดแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อทำการการเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสของตัวอย่างสารสกัดด้วยการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ของใบหม่อนจาก 3 แหล่ง ได้แก่ เชียงใหม่ สกลนคร และบุรีรัมย์ พบว่าสารสกัดใบหม่อนจากบุรีรัมย์แสดงฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อทดสอบด้วยการใช้ L-tyrosine และ L-DOPA เป็นสารตั้งต้น ด้วยค่า IC50เท่ากับ 54.1±5.4 และ 32.2±3.4 มคก./มล. ตามลำดับ ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับสารมาตรฐานกรดโคจิก (IC50=28.0±5.1 มคก./มล.) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดสารจากใบหม่อนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส (37)
การศึกษาคัดกรองฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสของสมุนไพรในประเทศกรีซ โดยคัดกรองจากสมุนไพร 450 ชนิด (ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดโดยวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลายแบบเร่ง (accelerated solvent extraction) ที่ใช้เมทานอลและเอทานอลเป็นตัวทำละลาย ทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลองด้วยวิธี dopachromeผลพบว่าสารสกัดเมทานอลและสารสกัดเอทานอลจากต้นหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ด้วยค่า IC50เท่ากับ 0.4±0.02 และ 1.63±0.1 มคก./มล.ตามลำดับโดยสารสกัดเมทานอลจากต้นหม่อนมีความแรงมากกว่าสารมาตรฐาน kojic acid ประมาณ 5 เท่า(IC50เท่ากับ 1.9±0.01 มคก./มล.) จึงคัดเลือกมาทำการศึกษาต่อในเซลล์มะเร็งเม็ดสี (B16F10 melanoma cells) ด้วยการบ่มสารสกัดความเข้มข้น 0.2 มก./มล. กับเซลล์ เป็นเวลา 48 ชม. พบว่าการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในเซลล์ลดลงเหลือเพียง 35% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารใดผลการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีพบสารสำคัญ 12 ชนิด ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้แก่oxyresveratrol, kuwanon C, mulberroside A, resorcinol, dihydrooxyresveratol, trans-dihydromorin, 2,4,3′-trihydroxydihydrostilbene, kuwanon H, 2,4-dihydroxybenzaldehyde, morusin, moracin Mและ kuwanon G โดยสาร dihydrooxyresveratrolมีความแรงมากที่สุดด้วยค่า IC50เท่ากับ 0.3±0.5 มคก./มล. (28)
การพัฒนาวิธีการสกัดแยกสารออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากใบหม่อน(ตัวอย่างพืชจากประเทศจีน voucher no. MA090916) ทำการเตรียมสารสกัดโดยแช่ใบหม่อนใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทำสารสกัดให้เข้มข้นด้วยวิธีลดความดัน จากนั้นนำสารสกัดดังกล่าวสกัดต่อด้วยวิธีสกัดตามลำดับส่วนด้วยปิโตรเลียมอีเธอร์ เอธิลอะซีเตท และบิวทานอล ตามลำดับ ผลการทดสอบเบื้องต้นในหลอดทดลองพบว่าสารสกัดหยาบ ส่วนสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ ส่วนสกัดเอธิลอะซีเตท และส่วนสกัดบิวทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ด้วยค่า IC50เท่ากับ 65.8, 14.8, 11.9, 213 มคก./มล. ตามลำดับ คัดเลือกนำส่วนสกัดเอธิลอะซีเตทไปทำให้บริสุทธิ์ขึ้นด้วยหลักการ bioassay-guided isolation พบสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ทั้งหมด 15 ชนิด ได้แก่ (2R)/(2S)-7-methoxyl-8-ethyl-2′,4′-dihydroxylflavane-2′′-O-β-D-glucopyranoside[1a/1b], (2S)-8-hydroxyethyl-7,4′-dimethoxylflavane-2′-O-β-D-glucopyranoside[2], (2S)-7-hydroxyl-8-hydroxyethyl-4′-methoxylflavane-2′-O-β-D-glucopyranoside[3], (2S)-7-methoxyl-8-hydroxyethyl-4′-hydroxylflavane-2′-O-β-D-glucopyranoside[4], (2R)/(2S)-7-methoxyl-8-hydroxyethyl-2′,4′-dihydroxylflavane [5a/5b], (2R)/(2S)-euchrenone a7 [6a/6b], chalcomoracin [7], moracin C [8], moracin D [9], moracin N [10], moracin M 6-(β-D-glucopyranoside) [11], kaempferol [12], quercetin [13], norartocarpetin [14] และ aurantiamide acetate [15]โดยสาร 10 ชนิด ได้แก่ 1a/1b, 4, 5a/5b, 6a/6b, 8-10, 12-14มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดีกว่าสารมาตรฐาน kojic acid (IC50 = 15.9 ไมโครโมลาร์) ด้วยค่า IC50เท่ากับ0.616, 9.27, 0.528, 0.260, 2.27, 12.0, 0.924, 7.15, 0.523, 0.0824 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ (15)
การวิเคราะห์สารที่เป็นองค์ประกอบในสารสกัดใบหม่อนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ทำการเตรียมสารสกัดโดยการแช่ใบหม่อนใน 80% เอทานอล (อัตราส่วน 1:5) เป็นเวลา 24 ชั่วโมง (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimens) จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ แยกเป็น 4 ส่วน และทำการแยกสกัดอีกครั้งด้วยเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทานอล และบิวทานอล และนำส่วนสกัดที่ได้ไปวิเคราะห์แยกองค์ประกอบทางเคมี พบสารสำคัญ 20 ชนิด ประกอบด้วย สารกลุ่ม 2-phenylbenzofurans, moracin M, 2-(3,5-dihydroxyphenyl)-5,6-dihydroxybenzofuran, wittifuran E, moracin N, moracin C, albafuran A, oracin X, morunigrol C สารกลุ่มฟลาโวนอยด์: norartocarpetin, kaempferol, quercetin, isorhamnetin, kuwanon C, steppogenin, 7,2′,4′-trihydroxyflavanone, astragalin, quercetin-3-O-β-D-glucopyranoside, kaempferide 3-O-β-D-glucoside สารกลุ่ม stilbenoid: oxyresveratrol และสารกลุ่ม chalcone, morachalcone A การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลอง พบว่าที่ความเข้มข้น 50-100 มคก./มล. สาร kaempferide 3-O-β-D-glucoside มีฤทธิ์ดีที่สุด รองลงมาคือสาร 2-(3,5-dihydroxyphenyl)-5,6-dihydroxybenzofuran, wittifuran E, moracin N และ morunigrol C ตามลำดับ และการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสารสำคัญที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าการสกัดโดยใช้เมทานอล 85.2% เป็นตัวทำละลาย อุณหภูมิการสกัด 53.2 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชม.จะได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสสูงที่สุด คือ 74.8% และมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกประมาณ 24.8 มคก. สมมูลกรดแกลลิค/ก. สารสกัด (10)
การศึกษาฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดใบหม่อน (ตัวอย่างพืชจากประเทศเวียดนาม voucher no. SMP-2017-0016) สารสกัดเตรียมด้วยวิธีแช่ผงใบหม่อนในเมทานอล เป็นเวลา 48 ชม. จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ไปสกัดต่อด้วยเฮกเซนเอธิลอะซีเตทและน้ำ ผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี พบสาร 3 ชนิด คือ kaempferol-3,7-di-O-α-L-rhamnopyranoside, 7,4′-dihydroxy-5,3′-dimethoxyflavone และ (S)-5,5′,7-trihydroxy-2′,4′-dimethoxy-6-methylflavanone โดยสารทั้ง 3 ชนิดสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลองได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ และพบค่า IC50เท่ากับ 70.79, 46.77 และ 15.48 มคก./มล. ตามลำดับ (26)
การศึกษาวิเคราะห์แยกสารประกอบที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดเอทานอลใบหม่อน (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้, voucher no. CNU 16004-1) เตรียมสารสกัดใบหม่อนด้วยวิธีการสกัดแบบย้อนกลับที่มี 70% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย จากนั้นนำสารละลายที่ได้มาทำการสกัดซ้ำด้วยเฮกเซน เอทานอล บิวทานอล และน้ำผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดดังกล่าวพบสารสำคัญ 12 ชนิด ได้แก่ norartocarpetin, moracin B, moracin J, moracin M, moracin M 3′-O-β-glucopyranoside, moracin M 6-O-β-D-glucopyranoside, mulberroside F, steppogenin, astragalin, isoquercitrin, rutin, morin 3-O-β-D-glucopyranoside การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลองด้วยการตรวจวัดการทำงานของ 3,4-dihydroxyphenylalanine (DOPA) oxidase activity พบว่าสารสกัดหยาบเอทานอลจากใบหม่อน ความเข้มข้น 15-60 มคก./มล. และ สาร norartocarpetin,moracin J และ steppogenin ความเข้มข้น 5-20 มคก./มล. มีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ (30)
การศึกษาผลของสาร mulberroside A ที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลของรากหม่อนและสาร oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucoside ที่ได้จากปฏิกิริยาการหมักโดยอาศัยเอนไซม์Pectinex® (enzymatic hydrolysis) ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าสาร oxyresveratrol แสดงฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสดีกว่าสาร arbutin, mulberroside A และ oxyresveratrol-3-O-glucoside โดยที่ความเข้มข้น 2% มีค่าการยับยั้งเท่ากับ 62.6±1.4%, 83.4±1.5%, 78.9±1.1% และ 77.7±2.8%ตามลำดับ และที่ความเข้มข้น 5% มีค่าการยับยั้งเท่ากับ 58.1±1.7, 82.4±2.4%, 78.6±0.4%, และ 64.6±1.0% ตามลำดับ (31)
การศึกษาในประเทศเกาหลีใต้ พบว่าสารสกัด 85% เมทานอลจากใบหม่อน (ไม่ระบุ voucher specimen) ที่เตรียมด้วยวิธีการสกัดด้วยคลื่นอัลตร้าโซนิค มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส เมื่อทดสอบด้วยวิธี dopachrome และเมื่อนำสารสกัดดังกล่าวไปทำให้บริสุทธิ์ขึ้นด้วยหลักการ bioassay-guided isolation พบสารชื่อ mulberroside F ที่มีฤทธิ์อย่างแรงในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ดในหลอดทดลอง ด้วยค่า IC50เท่ากับ 0.29 มคก./มล. ซึ่งมีความแรงมากกว่าสารมาตรฐาน kojic acid ถึง 4 เท่า (IC50=1.30 มคก./มล.)และการทดสอบกับเอนไซม์ไทโรซิเนสในเซลล์เพาะเลี้ยงมะเร็งเม็ดสีของมนุษย์ (HM3KO human melanoma cell line) พบว่าสาร mulberroside F มีฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์น้อยกว่า kojic acid โดยพบค่า IC50เท่ากับ 68.3 และ 58.5 มคก./มล. ตามลำดับ (29)
ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
การศึกษาในประเทศกรีซพบว่าสารสกัดเมทานอลจากต้นหม่อน (ไม่ระบุ voucher specimen)ที่เตรียมสารสกัดโดยวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลายแบบเร่ง (accelerated solvent extraction) มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส จึงนำสารสกัดดังกล่าวมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินในตัวอ่อนปลาม้าลาย ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดเมทานอลจากต้นหม่อน ความเข้มข้น 70 มคก./มล. แสดงฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด ผลจากการแยกองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัด พบสาร 12 ชนิด ได้แก่ oxyresveratrol, kuwanon C, mulberroside A, resorcinol, dihydrooxyresveratol, trans-dihydromorin, 2,4,3′-trihydroxydihydrostilbene, kuwanon H, 2,4-dihydroxybenzaldehyde, morusin, moracin Mและ kuwanon G เมื่อนำสารบริสุทธิ์ดังกล่าวมาทดสอบฤทธิ์การยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน พบว่าสารบริสุทธิ์แสดงฤทธิ์การยับยั้งน้อยกว่าการใช้ในรูปแบบของสารสกัด จึงอาจเป็นไปได้ว่าฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานินของต้นหม่อนเป็นผลมาสารสำคัญหลายชนิดออกฤทธิ์ร่วมกัน (28)
การวิเคราะห์สารที่เป็นองค์ประกอบในสารสกัดใบหม่อนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ทำการเตรียมสารสกัดโดยการแช่ใบหม่อนใน 80% เอทานอล (อัตราส่วน 1:5) เป็นเวลา 24 ชั่วโมง (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimens) จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ แยกเป็น 4 ส่วน และทำการแยกสกัดอีกครั้งด้วยเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทานอล และบิวทานอล ผลการวิเคราะห์แยกองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัด พบสารสำคัญ 20 ชนิด ประกอบด้วยmoracin M, 2-(3,5-dihydroxyphenyl)-5,6-dihydroxybenzofuran, wittifuran E,moracin N, moracin C, albafuran A, oracin X, morunigrol C, norartocarpetin, kaempferol, quercetin, isorhamnetin, kuwanon C, steppogenin, 7,2′,4′-trihydroxyflavanone, astragalin, quercetin-3-O-β-D-glucopyranoside, kaempferide 3-O-β-D-glucoside,oxyresveratrol และmorachalcone A เมื่อทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินของสารบริสุทธิ์ทั้ง 20 ชนิดในเซลล์มะเร็งเม็ดสี (B16F10 melanoma cells) ผลพบว่าสาร wittifuran E และ morachalcone A ความเข้มข้น 10 ไมโครโมลาร์ มีผลยับยั้งการสังเคราะห์เมลานินในเซลล์อย่างมีนัยสำคัญ และไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ (10)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานินในเซลล์มะเร็งเม็ดสี (B16-F10 melanoma cell) ของสาร norartocarpetin, moracin B, moracin J, moracin M, moracin M 3′-O-β-glucopyranoside, moracin M 6-O-β-D-glucopyranoside, mulberroside F, steppogenin, astragalin, isoquercitrin, rutin, morin 3-O-β-D-glucopyranoside สารสำคัญที่พบในสารสกัดใบหม่อนที่เตรียมด้วยวิธีการสกัดแบบย้อนกลับที่มี 70% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้, voucher no. CNU 16004-1) ผลพบว่าสาร norartocarpetinที่ความเข้มข้น 20 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน รองลงมาคือสารmoracin J และ steppogenin ตามลำดับ แต่ให้ฤทธิ์น้อยกว่าสารมาตรฐาน arbutin ขนาด 4 มิลลิโมลาร์ การศึกษาการทำงานของโปรตีนภายในเซลล์ด้วยวิธี Western blot พบว่าสารสำคัญที่พบในใบหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานินผ่านกลไกการยับยั้งการแสดงออกของ microphthalmia-associated transcription factor (MITF)ร่วมกับลดการทำงานเอนไซม์ไทโรซิเนสและโปรตีนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่tyrosinase related protein-1 และ tyrosinase related protein-2 (30)
การศึกษาในประเทศเกาหลีใต้ พบว่าสารสกัด 85% เมทานอลจากใบหม่อน (ไม่ระบุ voucher specimen) ที่เตรียมด้วยวิธีการสกัดด้วยคลื่นอัลตร้าโซนิค มีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน การทดสอบในเซลล์ผิวหนังของตัวอ่อนหนูเม้าส์ (melan-a cells) ด้วยการบ่มสาร mulberroside F, phenylthiourea (PTU) และ kojic acid ความเข้มข้น 1 มคก./มล. แก่เซลล์ เป็นเวลา 3 วัน พบว่ามีผลลดการสังเคราะห์เมลานินในเซลล์ลง 30.6, 46.7 และ 4.3% ตามลำดับ (29)
การศึกษาผลของสาร mulberroside Aที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลของรากหม่อนและสาร oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucosideที่ได้จากปฏิกิริยาการหมักโดยอาศัยเอนไซม์Pectinex®(enzymatic hydrolysis) ต่อการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน ทำการทดสอบในหนูตะเภาที่เหนี่ยวนำให้เกิดภาวะผิวสีเข้ม (hyperpigmentation) ด้านหลังลำตัวด้วยการใช้รังสี UVB ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน แบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มความเข้มข้น 2% โดยกำหนดพื้นที่ด้านหลังหนูตะเภาออกเป็น 5 ส่วน คือ ส่วนควบคุม ส่วนที่ทาด้วย arbutin 2% และสาร mulberroside A, oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucoside (ละลายในเมทานอล:propylene glycolอัตราส่วน1:9) ความเข้มข้น 2% ตามลำดับ และกลุ่มที่ 2 กลุ่มความเข้มข้น 5%โดยกำหนดทาผิวหนังด้วย arbutin 5% และสาร mulberroside A, oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucoside (ละลายในเมทานอล:propylene glycolอัตราส่วน1:9) ทาวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 5 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารใด และกลุ่มที่ได้รับ arbutin ประเมินผลด้วยการตรวจวัดระดับความเข้มผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าความเข้มผิวของหนูตะเภาทั้ง 5 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารใดเลย กลุ่ม arbutin กลุ่มmulberroside Aกลุ่ม oxyresveratrol และกลุ่ม oxyresveratrol-3-O-glucoside ความเข้มข้น 2% มีค่าเท่ากับ 719.0±6.2, 694.7±3.8, 627.7±12.3, 572.0±8.7, และ 585.0±8.7 ตามลำดับ และปริมาณเม็ดสีเมลานินในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารใดเลย กลุ่ม arbutin กลุ่มmulberroside Aกลุ่ม oxyresveratrol และกลุ่ม oxyresveratrol-3-O-glucoside ความเข้มข้น 5% มีค่าเท่ากับ 684±34.7, 655±12.5, 591.3±30.4, 521.0±7.9 และ570.7±7.0 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการย้อมสีเนื้อเยื่อด้วย Fotana-Masson พบว่าปริมาณเม็ดสีเมลานินในผิวหนังชั้น epidermis ในกลุ่มที่ได้รับสารสำคัญจากหม่อนมีค่าลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยลดลงมากที่สุดในเนื้อเยื่อที่ได้รับสาร oxyresveratrol 5% การศึกษาผลของสาร mulberroside A, oxyresveratrol, oxyresveratrol-3-O-glucoside ต่อการสังเคราะห์เมลานิน พบว่าสาร oxyresveratrol สามารถยับยั้งการสังคราะห์เมลานินดีกว่าสาร arbutin, mulberroside A และ oxyresveratrol-3-O-glucoside โดยที่ความเข้มข้น 2% พบจำนวนเมลานินเท่ากับ 59.3±3.9, 83.2±1.9, 83.7±1.3และ79.4±2.3% ตามลำดับ และที่ความเข้มข้น 5% พบจำนวนเมลานินเท่ากับ 46.0±3, 279.9±5.1, 69.6±4.6, และ 66.8±5.5 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าสารสำคัญจากหม่อนทั้ง 3 ชนิดมีผลลดระดับการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการสังเคราะห์เมลานิน ได้แก่ เอนไซม์ไทโรซิเนส, tyrosinase-related protein 1 (TRP-1) และ melanocyte inducing transcription factor (MITF) อย่างมีนัยสำคัญ (31)
2.2 ต้านเชื้อก่อสิวบนใบหน้า (F006)
การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากต้นหม่อนต่อการรักษาสิวอักเสบ (acne vulgaris) เตรียมสารสกัดจากต้นหม่อนสายพันธุ์บุรีรัมย์ 60 (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดตาก voucher no. 004069) ด้วยวิธีการแช่สกัดใน 80% เอทานอล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ทำการทดสอบฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียที่ก่อสิว ได้แก่ P. acnesDMST 14916, Staphylococcus epidermidis ATCC 12228 และ S. aureus ATCC 25923 ด้วยวิธี disc diffusion ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดเมทานอลจากต้นหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ P. acnes ได้ดีที่สุด รองลงมาคือ S. epidermidis และ S. aureus ตามลำดับ ด้วยค่าโซนใสการยับยั้งเท่ากับ 20.44±1.74, 14.78±0.83 และ 11.89±0.22 มม. ตามลำดับ แต่ให้ฤทธิ์น้อยกว่ายา clindamycin และ gentamicin ค่าความเข้มข้นต่ำสุดของสารสกัดต้นหม่อนที่สามารถยับยั้งเชื้อ P. acnes คือ 3.125 มก./มล. และค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อ P. acnes คือ 12.5 มก./มล. และการศึกษาผลของสารสกัดจากหม่อนต่อการต้านการอักเสบที่เกิดจากเชื้อก่อสิวในเซลล์แมคโครฟาจ พบว่าเมื่อบ่มเซลล์แมคโครฟาจกับสารสกัดหยาบต้นหม่อนความเข้มข้น 50 มคก./มล. และสาร oxyresveratrol ความเข้มข้น 7.5 มคก./มล. เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide สามารถต้านการอักเสบในเซลล์ โดยยับยั้งการสร้างสารสื่อการอักเสบ prostaglandin E2ในเซลล์อย่างมีนัยสำคัญ (32)
2.3 ต้านอนุมูลอิสระ (F007)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากกิ่งและรากต้นหม่อน (ตัวอย่างพืชจากประเทศไต้หวัน ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดโดยใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl (DPPH) assay พบว่าสารสกัดเอทานอลจากกิ่งต้นหม่อน และสารสกัดเอทานอลจากรากหม่อน ความเข้มข้น 100 มคก./มล. ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 86% และ 37% ตามลำดับ โดยสารสกัดจากส่วนต้นมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดจากราก 2.32 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณสารกลุ่มโพลีฟีนอลและสารฟลาโวนอยด์ที่พบในส่วนต้นมากกว่าส่วนราก โดยสารสกัดเอทานอลจากส่วนต้นพบสารโพลีฟีนอลลิก เท่ากับ 60.25 มก. สมมูลกรดแกลลิค/ก. สารสกัดแห้ง และพบสารฟลาโวนอยด์ เท่ากับ 23.50 มก.สมมูลรูติน/ก. สารสกัดแห้งเมื่อสารสกัดจากส่วนต้นไปทำการแยกองค์ประกอบทางเคมี พบว่าประกอบด้วยสารกลุ่มโพลีฟีนอลิก 5 ชนิด ได้แก่ maclurin, rutin, isoquercitrin, resveratrol, และ morinและการทดสอบความสามารถในการยับยั้งอนุมุลอิสระของสารทั้ง 5 ชนิด ด้วยวิธีsuperoxide scavenging capacity reducing พบค่าการยับยั้งเท่ากับ 17.9-46.2% ค่าความสามารถในการรีดิวซ์ (reducing activity) เท่ากับ 20.1-30.1 มคก. สมมูลกรดแอสคอบิก/มล. ค่าความสามารถในการจับกับโลหะไอออนเท่ากับ13.4-44.8% และค่าการยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของ liposomeเท่ากับ 3.9-58.1% (36)
การศึกษาเปรียบเทียบผลของการสกัดใบหม่อนด้วยการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ (pulsed electric fieldextraction:PEF) กับสารสกัดด้วยวิธีการสกัดแบบดั้งเดิม (conventional maceration method) ต่อองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของใบหม่อนในการทดสอบนี้ใช้ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ สกลนคร และบุรีรัมย์ (ไม่ระบุ voucher specimen)เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการสกัด 2 แบบ คือ วิธีที่ 1 การสกัดโดย PEF ที่มี 95% เอทานอล โดยกำหนดแรงดันของสนามไฟฟ้า 10 kV/cm ความถี่ 5 กิโลเฮิรตซ์กระแสพัลส์ 1 µs เป็นเวลา 20 นาที วิธีที่ 2 การสกัดแบบดั้งเดิมด้วยวิธีแช่สกัดใน 95% เอทานอล อัตราส่วน 1:5 โดยน้ำหนัก เป็นเวลา 24 ชม. แล้วทำให้แห้งด้วยเครื่องกลั่นระเหยสารแบบหมุน ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากวิธี PEF มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสารสกัดใบหม่อนจากจังหวัดบุรีรัมย์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด พบค่าการยับยั้งอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH เท่ากับ 45.3±0.8% ค่าการต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วย 2,2′-azinobis -3-ethylbenzothiazoline-6-sulphonate (ABTS) เท่ากับ 115.1±2.8 มก.โทรลอกซ์/ก. สารสกัด และค่าความสามารถในการรีดิวซ์ เท่ากับ 52.4±0.5 มก.เฟอร์รัสซัลเฟต/ก. สารสกัด สอดคล้องกับผลการหาปริมาณสารสำคัญในสารสกัดใบหม่อนทั้ง 3 แหล่ง ที่พบว่าการสกัดด้วยวิธีแช่สกัดจะมีสาร1-deoxynojirimycin มากกว่าแต่การสกัดด้วยสนามไฟฟ้าแบบพัลส์ให้ปริมาณสารสารกลุ่มฟีนอลลิกรวมมากกว่าซึ่งมีผลต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบหม่อน (37)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบเอทานอลของหม่อน ทำการศึกษาในหม่อน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ุ์นครราชสีมา 60 และพันธุ์สกลนคร (ไม่ระบุที่มาตัวอย่างพืชและ voucher specimens) เตรียมสารสกัดหยาบด้วยวิธีการแช่ส่วนใบ ราก และต้นหม่อนแบบสด และแบบแห้ง ใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 7 วัน ผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของหม่อนนครราชสีมา 60 มีค่าระหว่าง 31.28-93.72% โดยพบสูงที่สุดในสารสกัดส่วนรากแบบแห้งและแบบสด ด้วยค่าการยับยั้ง 93.72 และ 92.75% ตามลำดับ (มีปริมาณเทียบเคียงกับวิตามินซี 77.54 และ 76.74 มก./มล. ตามลำดับ) หม่อนพันธุ์สกลนครพบค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระระหว่าง 45.38-92.86% โดยพบสูงสุดในส่วนของรากแห้งและใบสด ด้วยค่าการยับยั้ง 92.86 และ 55.72 % ตามลำดับ (มีปริมาณเทียบเคียงวิตามินซีเท่ากับ 76.83 และ 45.94 มก./มล. ตามลำดับ) การหาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี reducing power พบว่าหม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 มีความสามารถในการรีดิวซ์อยู่ระหว่าง 57.68-1,403.48 มคก./มล. โดยผลหม่อนสดและรากหม่อนสดมีความสามารถในการรีดิวซ์มากที่สุดคือ 1,403.482 และ 490.51มคก./มล.ตามลำดับ และหม่อนพันธุ์สกลนครมีความสามารถในการรีดิวซ์อยู่ระหว่าง 65.60-292.30 มคก./มล. โดยรากหม่อนแห้งและใบหม่อนสดมีความสามารถในการรีดิวซ์มากที่สุดคือ 292.30 และ 121.67 มคก./มล.ตามลำดับและการหาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS พบว่าหม่อนทั้ง 2 สายพันธุ์มีค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ไม่ต่างกัน โดยหม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 มีค่าอยู่ระหว่าง 90.27-97.72% และหม่อนพันธุ์สกลนครมีค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่าง 90.84-97.88% โดยพบฤทธิ์สูงที่สุดในส่วนต้นทั้งแบบสดและแบบแห้งของทั้ง 2 สายพันธุ์ (40)
การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากต้นหม่อน โดยเตรียมสารสกัดจากต้นหม่อนสายพันธุ์บุรีรัมย์ 60 (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดตาก voucher no. 004069) ด้วยวิธีการแช่สกัดใน 80% เอทานอล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตรวจสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, superoxide radical scavenging assay และ nitric oxide radical scavenging assay พบค่า IC50ของสารสกัดต่อการต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 วิธี เท่ากับ 32.07, 67.29 และ 12.12 มคก./มล. ตามลำดับ และค่าความสามารถในต้านอนุมูลอิสระของสาร oxyresveratrol สารสำคัญที่พบในสารสกัดเอทานอลต้นหม่อน เท่ากับ 7.12, 194.30 และ 2.39 มคก./มล. ตามลำดับ (32)
2.4 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (F008)
ยับยั้งเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส
การศึกษาเปรียบเทียบผลของการสกัดใบหม่อนด้วยการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ (pulsed electric field:PEF) กับสารสกัดด้วยวิธีการสกัดแบบดั้งเดิม (conventional maceration method) ต่อองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของใบหม่อนในการทดสอบนี้ใช้ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ สกลนคร และบุรีรัมย์ (ไม่ระบุ voucher specimen)เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการสกัด 2 แบบ คือ วิธีที่ 1 การสกัดโดยใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ (pulsed electric field extraction: PEF) ที่มี 95% เอทานอล โดยกำหนดแรงดันของสนามไฟฟ้า 10 kV/cm ความถี่ 5 กิโลเฮิรตซ์กระแสพัลส์ 1 µs เป็นเวลา 20 นาที วิธีที่ 2 การสกัดแบบดั้งเดิมด้วยวิธีแช่สกัดใน 95% เอทานอล อัตราส่วน 1:5 โดยน้ำหนัก เป็นเวลา 24 ชม. แล้วทำให้แห้งด้วยเครื่องกลั่นระเหยสารแบบหมุน ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากวิธี PEF มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไฮยารูโรนิเดสสูงกว่าสารสกัดแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อทำการเปรียบเทียบตัวอย่างสารสกัดด้วยการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์ของใบหม่อนจาก 3 แหล่ง ได้แก่ เชียงใหม่ สกลนคร และบุรีรัมย์ (ไม่ระบุ voucher specimen) พบว่าสารสกัดใบหม่อนจากสกลนครแสดงฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไฮยารูโรนิเดสดีที่สุด ด้วยเปอร์เซ็นต์การยับยั้ง 83.6±9.1% ซึ่งใกล้เคียงกับกรดโอลีนโนลิก (oleanolic acid) ซึ่งมีค่าการยับยั้งเท่ากับ 81.3±2.9% การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการใช้สนามไฟฟ้าแบบพัลส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดสารจากใบหม่อนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสและชะลอความแก่ของวัย (37)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 ต้านการอักเสบ (S014)
การศึกษาสารสกัดต้นหม่อนต่อการบรรเทาผิวหนังอักเสบจากไรฝุ่น เตรียมสารสกัดจากต้นหม่อน (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ voucher no. 2008-ST12) โดยวิธี sonicationใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 60 นาที การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจ (RAW264.7) พบว่าสารสกัดต้นหม่อน ความเข้มข้น 100 มคก./มล.ยับยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) และ prostaglandin E2(PGE2) จากการเหนี่ยวนำด้วย lipopolysaccharide (LPS) โดยระดับของ NOลดลงจาก 51.01±2.1 เหลือ 24.20±1.18 นาโนกรัม/มล.ซึ่งมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน L-NMMA 100 ไมโครโมลาร์ และระดับของ PGE2 ลดลงจาก 9.90 ± 0.957 เหลือ 6.28 ± 0.10 นาโนกรัม/มล. ซึ่งดีกว่าการใช้ยา indomethacin 2 นาโนกรัม/มล.การทดสอบในเซลล์ keratinocyte (HaCaT cells) พบว่าสารสกัดจากต้นหม่อนขนาด 20, 50 และ 100 มคก./มล. มีผลยับยั้งการสร้าง thymus and activation-regulated chemokine (TARC/CCL17) จากการเหนี่ยวนำด้วย tumor necrosis factor-α(TNF-α) และ interferon-γ ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยระดับของ TARC ในเซลล์ลดลงจาก 24.43±0.87 เหลือ 12.79±1.95, 3.69±0.83และ1.83±0.89 พิโคกรัม/มล. ตามลำดับความเข้มข้นจากน้อยไปมากและที่ขนาด 100 มคก./มล. ให้ผลดีกว่าสารมาตรฐาน silymarin 50 มคก./มล. การศึกษาเพิ่มเติมถึงประสิทธิภาพของสารสกัดจากต้นหม่อนในการบรรเทาอาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่มีสาเหตุมาจากไรฝุ่นโดยทดสอบในหนูเม้าส์ที่เหนี่ยวนำให้เกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนังบริเวณใบหูและด้านหลังลำตัวด้วย Biostir-ADจากนั้นแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม กลุ่มที่ 2 ได้รับยาขี้ผึ้ง tacrolimus 50 มคก. และกลุ่มที่ 3-4 ได้รับสารสกัดจากหม่อนความเข้มข้น 10 และ 20 มก./กก. ที่ละลายใน 70% เอทานอล/PBS อัตราส่วน 1:9 ตามลำดับ ทาบนผิวหนังวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากหม่อนสามารถบรรเทาอาการผิวแห้ง อาการผื่นแดง การมีเลือดออกอาการบวม และลดความหนาของผิวหนังจากภาวะผื่นภูมิแพ้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสารสกัดจากต้นหม่อนมีผลยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์เยื่อบุผิว (epidermal hyperplasia) และลดการแทรกผ่านระหว่างเซลล์ของสารก่อการอักเสบ (cellular infiltration) อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ยังพบว่าระดับของ IgE และสาร histamine ซึ่งเพิ่มขึ้นจากภาวะอักเสบมีแนวโน้มลดลงในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดต้นหม่อน แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (41)
สารสกัด 96% เอทานอลจากรากหม่อนที่เตรียมด้วยวิธีแช่สกัด (ตัวอย่างพืชจากสาธารณรัฐเช็กvoucher no.MA-11A)พบสารสำคัญ 2 ชนิด คือ oxyresveratrol และ albafuran C เมื่อทำการทดสอบผลของสารดังกล่าวต่อการทำงานของเอนไซม์ cyclooxygenase-1 (COX-1)และ cyclooxygenase-2(COX-2) ในหลอดทดลอง พบว่าสาร oxyresveratrol และ albafuran Cยับยั้งการทำงานของเอนไซม์COX-1ด้วยค่า IC50เท่ากับ 7.45±1.34 และ 13.98±1.25 ไมโครโมลาร์ และยับยั้งการทำงานของ COX-2 ด้วยค่า IC50เท่ากับ 15.85±1.13 และ 3.77±1.12 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับซึ่งฤทธิ์ยับยั้ง COX-2 ของสารดังกล่าวมีความแรงมากกว่ายา indomethacin (27.04±1.07 ไมโครโมลาร์) การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบในสัตว์ทดลอง พบว่าเมื่อป้อนสารmulberrofuran B ขนาด 10 และ 20 มก./กก. ให้แก่หนูเม้าส์ ก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน มีผลลดอาการบวม และการแพร่ผ่านของสารก่อการอักเสบได้ใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับยา indomethacin 5 มก./กก. คะแนนการรักษาโดยรวมของสัตว์ทดลองในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดขนาด 20 มก./กก. มีค่าสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับยา indomethacin (3.4 และ 3.6 ตามลำดับ) (33)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร mulberroside A และ oxyresveratol ซึ่งแยกได้จากสารสกัดน้ำจากเปลือกต้นหม่อน (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimen) การทดสอบในหนูแรทพบว่าเมื่อป้อนสาร oxyresveratol ขนาด 7.5 และ 10 มก./กก. และสาร mulberroside Aขนาด 37.5 และ 50.0 มก./กก. ก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน สามารถลดขนาดการบวมของอุ้งเท้าได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยพบว่าที่เวลา 3 ชม. สาร mulberroside A ขนาด 37.5 และ 50.0 มก./กก. มีผลยับยั้งการบวมได้เท่ากับ 24.1 และ 56.6% ตามลำดับ และสาร oxyresveratol ยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าได้ 37.5 และ 63.3% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารทั้ง 2 ชนิดมีความแรงน้อยกว่ายา indomethacin ขนาด 7.5 มก./กก. จากการศึกษากลไกในการต้านการอักเสบของสาร oxyresveratol ในเซลล์แมคโครฟาจ พบว่าสาร oxyresveratol สามารถยับยั้งการสะสมของสาร nitrite ในเซลล์ และลดการแสดงออกของ inducible nitric oxide synthase (iNOS) แต่ไม่มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ นอกจากนี้ยังพบว่าสาร oxyresveratol ยับยั้งการเคลื่อนที่เข้าสู่นิวเคลียสของ nuclear factor-κB p65 (NF-κB) และการทำงานของ COX-2 (34)
สารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้นหม่อน พันธุ์บุรีรัมย์ 60 (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดตาก voucher no. 004067) ที่เตรียมด้วยวิธีการแช่เปลือกต้นหม่อน ใน 80% เอทานอล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นนำสารสกัดมาทำการวิเคราะห์แยกสาร oxyresveratolด้วยวิธี HPLC และนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจ (RAW 264.7 cell) ผลการศึกษาพบว่าสารสกัด 80% เอทานอลจากเปลือกต้นหม่อน ขนาด 5-50 มคก./มล. และสาร oxyresveratol ขนาด 0.75-15 มคก./มล. ยับยั้งการสร้าง NO จากการเหนี่ยวนำด้วย LPS อย่างมีนัยสำคัญ และให้ผลยับยั้ง PGE2ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ และการศึกษาในเซลล์กระดูกอ่อนของมนุษย์ (human chondrocyte cell)พบว่าสารสกัดเปลือกต้นหม่อนความเข้มข้น 25-50 มคก./มล. และสาร oxyresveratol ขนาด 0.75-15 มคก./มล. มีผลยับยั้ง PGE2 และ COX-2 ได้ตามขนาดของสารสกัด อย่างไรก็ตามฤทธิ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ดีกว่าglucosamine sulfate ขนาด 10 มคก./มล. แต่น้อยกว่ายา diclofenac sodium ขนาด 10 มคก./มล. (35)
การศึกษากลไกต้านการอักเสบของใบหม่อน เตรียมสารสกัดด้วยการแช่ผงใบหม่อน ใน 70% เอทานอล (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimen) ผลการศึกษาพบว่าสารสกัด 70% เอทานอลจากใบหม่อน ขนาด 10-50 มคก./มล. ยับยั้งการสร้าง NO และPGE2 ในเซลล์แมคโครฟาจที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย LPS โดยลดการแสดงออกของเอนไซม์ที่เป็นสารตั้งต้นของสารก่อการอักเสบ ได้แก่ iNOS และ COX-2 ทั้งในระดับ mRNA และระดับโปรตีน ลดการสังเคราะห์ mRNA ของ TNF-α และการหลั่งสารสื่อการอักเสบinterleukin-1β (IL-1β) และ IL-6 นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากใบหม่อนมีผลลดการเคลื่อนที่เข้าสู่นิวเคลียสของ NF-κB ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ แต่ไม่มีผลต่อmitogen-activated protein kinase (MAPK), extracellular-signal-regulated kinases (ERK) 1/2, p38kinase และ c-Jun N-terminal kinases (JNK) (42)
4 การศึกษาเกี่ยวกับช่องปาก
4.1 ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อในช่องปาก (L001)
การศึกษาผลของสารสกัดจากต้นหม่อนต่อการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคในช่องปาก Porphyromonas gingivalis และ Aggregatibacter actinomycetemcomitans เตรียมสารสกัดโดยวิธีแช่ลำต้นหม่อนใน 80% เอทานอล เป็นเวลา 2 วัน (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดตาก ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการทดสอบฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar diffusion ผลพบว่าสารสกัดต้นหม่อน ความเข้มข้น 50 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ P. gingivalis และ A. actinomycetemcomitans ด้วยค่าโซนใสการยับยั้งเท่ากับ 10.00±0.33 และ 17.33±0. 58 มม. ตามลำดับ ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน 0.2% chlorhexidine ที่มีค่าการยับยั้งเท่ากับ 10.33±0.58 และ18.33±0.58 มม. ตามลำดับ ค่าความเข้มข้นต่ำสุดของสารสกัดที่สามารถยับยั้งเชื้อ (MIC) ทั้ง 2 ชนิด คือ 62.5 และ 250 มคก./มล. ตามลำดับ และค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อได้ (MBC) คือ 62.5 และ 500 มคก./มล. ตามลำดับ การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์จากเนื้อเยื่อเหงือกมนุษย์จากเอ็นยึดปริทันต์ (Human Periodontal Ligament (hPDL) fibroblasts) ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์เมื่อใช้ที่ความเข้มข้นระหว่าง 0-5 มคก./มล. และสารสกัดจากต้นหม่อนยังแสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจจากการเหนี่ยวนำด้วย LPS จาก P. gingivalis โดยพบว่าสารสกัดขนาด 1.25-5 มคก./มล. มีผลยับยั้งการสร้างสารก่อการอักเสบ IL-6 และ IL-8 ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากต้นหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อก่อโรคในช่องปาก และลดการอักเสบในช่องปากได้ (43)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดน้ำจากใบหม่อน ด้วยการป้อนสารสกัดขนาด 15 15 ก./กก. (เท่ากับ 600 เท่าของขนาดที่แนะนำให้ใช้ในมนุษย์) ให้แก่หนูแรทกินแบบครั้งเดียว ไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และไม่พบอาการพิษ (44) การป้อนสารสกัดจากใบ (ไม่ระบุชนิดตัวทำละลาย) ขนาด 4 และ 5 ก./กก. ให้แก่หนูแรททางช่องท้อง และป้อนทางปาก ไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย อย่างไรก็ตามพบการป้อนทางปากที่ขนาดสูง (5 ก./กก.) มีผลกดระบบประสาทและการหายใจของหนูแรท แต่อาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 15-30 นาทีหลังการป้อน (45)
การศึกษาความเป็นพิษด้วยการป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของผงใบหม่อนความเข้มข้น 1 และ 5% เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ให้แก่หนูแรท (46) และการป้อนสารสกัดจากใบหม่อน (ไม่ระบุชนิดตัวทำละลาย) ขนาด 1, 2 และ 3 ก./กก. ติดต่อกันนาน 60 วัน ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติของสัตว์ทดลอง (45)
เมื่อป้อนสารสกัดเอทานอลจากใบ ขนาด 300 และ 2000 มก./กก. ให้แก่หนูเม้าส์ เป็นเวลา 14 วัน พบว่าที่ขนาดสูง (2,000 มก.) ก่อให้เกิดความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง มีผลลดค่าเฉลี่ยปริมาตรเม็ดเลือดแดง (MCV) และค่าเฉลี่ยระดับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (MCHC) และมีผลเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ alanine aminotransferase และ alkaline phosphatase ในตับ (47) การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน ด้วยการป้อนสารสกัดน้ำจากใบหม่อน ขนาด 1.88, 3.75, 7.5 ก./กก./วัน (เทียบเท่ากับ 75, 150 และ 300 ของขนาดที่แนะนำให้ใช้ในคนตามลำดับ) ให้แก่หนูแรทเป็นเวลา 30 วัน ไม่พบสัตว์ทดลองตาย อย่างไรก็ตามสารสกัดที่ขนาด 3.75 ก./กก. มีผลทำให้หนูแรทเพศเมียกินอาการได้น้อยลง แต่ไม่พบความผิดปกติของค่าทางชีวเคมีและอวัยวะอื่นในสัตว์ทดลอง (44)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยน้ำมันมะพร้าวและสารสกัดหม่อน 75% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด)โดยทาน้ำมันบนผิวหน้าที่เวลา 30 นาที ก่อนทาครีมกันแดด SFP30 ทาวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์สามารถลดความถี่ในการเกิดฝ้า และลดปริมาณเม็ดสีเมลานินในผิวหน้า (38)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
หม่อนถือเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพทางเครื่องสำอางสูง โดยรายงานการศึกษาทางคลินิกพบว่าสารสกัดจากหม่อนช่วยลดเลือนฝ้าในอาสาสมัคร และพบรายงานฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ได้แก่ ฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการทำงานของเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบของผิว ต้านเชื้อแบคทีเรียก่อสิว นอกจากนี้ยังมีรายงานที่น่าสนใจจากการศึกษาด้วยการจำลองโปรแกรมคอมพิวเตอร์ว่าสารสำคัญจากหม่อนอาจมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดศีรษะล้าน ซึ่งอาจมีการศึกษาต่อยอดเพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและหนังศีรษะได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Morus alba L. The Plant List. [Internet]. 2013 [cited 2020 December 8]. Available from: http://www.the plantlist.org.
3. วีระชัย ณ นคร, บรรณาธิการ. หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 3. กรุงเทพฯ:โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮาส์, 2544.
4. นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 5. กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชน จำกัด, 2543: 508 หน้า.
5. de Padua LS, Bunyapraphatsara N, Lemmens RHMJ (Editors): Plant Resources of South-East Asia No 12(1): Medicinal and poisonous plants 1. PROSEA Foundation, Bogor, Indonesia.
6. Yang ZG, Matsuzaki K, Takamatsu S, Kitanaka S. Inhibitory effects of constituents from Morus alba var. multicaulis on differentiation of 3T3-L1 cells and nitric oxide production in RAW264.7 cells. Molecules. 2011;16(7):6010-22. doi:10.3390/molecules16076010.
7. Asano N, Oseki K, Tomioka E, Kizu H, Matsui K. N-containing sugars from Morus alba and their glycosidase inhibitory activities. Carbohydr Res. 1994;259(2):243-55. doi: 10.1016/0008-6215(94)84060-1.
8. Yang Y, Zhang T, Xiao L, Yang L, Chen R. Two new chalcones from leaves of Morus alba L. Fitoterapia. 2010 Sep;81(6):614-6. doi: 10.1016/j.fitote.2010.03.005.
9. Seo KH, Lee DY, Jeong RH, Lee DS, Kim YE, Hong EK, Kim YC, Baek NI, et al Neuroprotective effect of prenylated arylbenzofuran and flavonoids from Morus alba fruits on glutamate-induced oxidative injury in HT22 hippocampal cells. J Med Food. 2015;18(4):403-8.doi: 10.1089/jmf.2014.3196.
10. Jeong JY, Liu Q, Kim SB, Jo YH, Mo EJ, Yang HH, et al. Characterization of melanogenesis Inhibitory constituents of Morus albaleaves and optimization of extraction conditions using response surface methodology. Molecules. 2015;20(5):8730-41.doi: 10.3390/molecules20058730.
11. Nomura T, Hano Y, Fukai T. Chemistry and biosynthesis of isoprenylated flavonoids from Japanese mulberry tree. Proc Jpn Acad Ser B Phys Biol Sci. 2009;85(9):391-408. doi: 10.2183/pjab.85.391.
12. Dat NT, Binh PT, Quynh le TP, Van Minh C, Huong HT, Lee JJ. Cytotoxic prenylated flavonoids from Morus alba. Fitoterapia. 2010;81(8):1224-7. doi: 10.1016/j.fitote.2010.08.006.
13. Doi K, Kojima T, Makino M, Kimura Y, Fujimoto Y. Studies on the constituents of the leaves of Morus alba L. Chem Pharm Bull (Tokyo). 2001;49(2):151-3. doi: 10.1248/cpb.49.151.
14. Nomura T, Fukai T, Yamada S, Katayanagi M. Phenolic constituents of the cultivated mulberry tree (Morus alba L.). Chem Pharm Bull, 1976;24(11):2898-900. doi: 10.1248/cpb.24.2898.
15. Yang ZZ, Wang YC, Wang Y, Zhang Y. Bioassay-guided screening and isolation of α-glucosidase and tyrosinase inhibitors from leaves of Morus alba. Food Chem. 2012;131: 617-25.doi: 10.1016/j.foodchem.2011.09.040.
16. Zhang M, Wang RR, Chen M, Zhanng HQ, Sun S, Ahang LY. A new flavanone glycoside with anti-proliferation activity from the root bark of Morus alba. Chin J Nat Med. 2009; 7(2):105-7. doi: 10.1016/S1875-5364(09)60046-7.
17. Kim SY, Gao JJ, Kang HK. Two flavonoids from the leaves of Morus alba induce differentiation of the human promyelocytic leukemia (HL-60) cell line. Biol Pharm Bull. 2000;23(4):451-5.doi: 10.1248/bpb.23.451.
18. Katsube T, Imawaka N, Kawano Y, Yamazaki Ym Shiwaku K, Yamane Y. Antioxidant flavonol glycosides in mulberry (Morus alba L.) leaves isolated based on LDL antioxidant activity. Food Chem. 2006;97:25-31.doi: 10.3892/br.2014.294.
19. Kofujita H, Yaguchi M, Doi N, Koichi S. A novel cytotoxic prenylated flavonoid from the root of Morus alba. J Insect Biotechnol Sericol. 2004;73(3):113-6. doi: 10.11416/jibs.73.113
20. Nomura T, Fukai T, Katayanagi M. Studies on the constituents of the cultivated mulberry tree. III. Isolation of four new flavones, kuwanon a, b, c, and oxydihydromorusin from the root bark of Morus alba L. Chem Pharm Bull. 1978;26(5): 1453-8. doi: 10.1248/cpb.26.1453.
21. Jung JW, Ko JH, Ko WM , Park JH, Baek YS, Kim YC, et al.Isoprenylated flavonoids from the root bark of Morus alba L. and their inhibition effect on NO production in LPS-induced RAW 264.7 cells. J Appl Biol Chem. 2017;60(2):109-11. doi:10.3839/jabc.2017.018.
22. Jung JW, Park JH, Lee YG, Seo KH, Oh EJ, Lee DY, et al. Three New Isoprenylated flavonoids from the root bark of Morus alba. Molecules. 2016;21(9):1112. doi: 10.3390/molecules21091112.
23. Jin WY, Na MK, An RB, Lee HY, Bae KH, Kang SS. Antioxidant compounds from twig of Morus alba. Nat Prod Sci. 2002;8(4):129-32.doi: 10.1002/pca.3072.
24. El-Beshbishy HA, Singab AN, Sinkkonen J, Pihlaja K. Hypolipidemic and antioxidant effects of Morus alba L. (Egyptian mulberry) root bark fractions supplementation in cholesterol-fed rats. Life Sci. 2006;78(23):2724-33. doi: 10.1016/j.lfs.2005.10.010.
25. Rivière C, Krisa S, Péchamat L, Nassra M, Delaunay JC, Marchal A, et al. Polyphenols from the stems of Morus alba and their inhibitory activity against nitric oxide production by lipopolysaccharide-activated microglia. Fitoterapia. 2014 Sep;97:253-60.doi: 10.1016/j.fitote.2014.06.001.
26. Due LV, Thanh TB, Thu HLT, Van BN. Chemical constituents and tyrosinase inhibitory activity of aqueous fraction of the leaves of Morus alba Linn. from Vietnam. IJP. 2018;5(7):399-403. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.IJP.5(7).399-403.
27. Memon AA, Memon N, Luthria DL, Bhanger MI. Phenolic acids profiling and antioxidant potential of mulberry (Morus laevigata W., Morus nigra L., Morus alba L.) leaves and fruits grown in Pakistan. Pol J Food Nutr Sci. 2010;60(1):25-32.
28. Chaita E, Lambrinidis G, Cheimonidi C, Agalou A, Beis D, Trougakos I, et al. Anti-melanogenic properties of Greek plants. A novel depigmenting agent from Morus alba wood. Molecules. 2017;22(4):514. doi: 10.3390/molecules22040514.
29. Lee SH, Choi SY, Kim H, Hwang JS, Lee BG, Gao JJ, Kim SY. Mulberroside F isolated from the leaves of Morus alba inhibits melanin biosynthesis. Biol Pharm Bull. 2002;25(8):1045-8. doi: 10.1248/bpb.25.1045.
30. Li HX, Park JU, Su XD, Kim KT, Kang JS, Kim YR, Kim YH, Yang SY. Identification of anti-melanogenesis constituents from Morus alba L. leaves. Molecules. 2018;23(10):2559.doi: 10.3390/molecules23102559.
31. Park KT, Kim JK, Hwang D, Yoo Y, Lim YH. Inhibitory effect of mulberroside A and its derivatives on melanogenesis induced by ultraviolet B irradiation. Food Chem Toxicol. 2011;49(12):3038-45. doi: 10.1016/j.fct.2011.09.008.
32. Srihaphon K, Wongwat T, Lamlertthon S, Pitaksuteepong T. Investigation on the potential application of Morus alba stem extract for inflammatory acne vulgaris. Songklanakarin J Sci Technol. 2020;42(6):1319-25.
33. Čulenová M, Sychrová A, Hassan STS, Berchová-Bímová K, Svobodová P, Helclová A, et al. Multiple in vitro biological effects of phenolic compounds from Morus alba root bark. J Ethnopharmacol. 2020;248:112296. doi: 10.1016/j.jep.2019.112296.
34. Chung KO, Kim BY, Lee MH, Kim YR, Chung HY, Park JH, et al. In-vitro and in-vivo anti-inflammatory effect of oxyresveratrol from Morus alba L. J Pharm Pharmacol. 2003;55(12):1695-700. doi: 10.1211/0022357022313.
35. Soonthornsit N, Pitaksutheepong C, Hemstapat W, Utaisincharoen P, Pitaksuteepong T. In vitro anti-inflammatory activity of Morus alba L. stem extract in LPS-stimulated RAW 264.7 cells. Evid Based Complement Alternat Med. 2017;2017:3928956.doi: 10.1155/2017/3928956.
36. Chang LW, Juang LJ, Wang BS, Wang MY, Tai HM, Hung WJ, et al. Antioxidant and antityrosinase activity of mulberry (Morus alba L.) twigs and root bark. Food Chem Toxicol. 2011;49(4):785-90.doi: 10.1016/j.fct.2010.11.045.
37. Chaiyana W, Sirithunyalug J, Somwongin S, Punyoyai C, Laothaweerungsawat N, Marsup P, et al. Enhancement of the antioxidant, anti-tyrosinase, and anti-hyaluronidase activity of Morus alba L. leaf extract by pulsed electric field extraction. Molecules. 2020;25(9):2212. doi: 10.3390/molecules25092212.
38. Alvin G, Catambay N, Vergara A, Jamora MJ. A comparative study of the safety and efficacy of 75% mulberry (Morus alba) extract oil versus placebo as a topical treatment for melasma: a randomized, single-blind, placebo-controlled trial. J Drugs Dermatol. 2011;10(9):1025-31.
39. Fong P, Tong HH, Ng KH, Lao CK, Chong CI, Chao CM. In silico prediction of prostaglandin D2 synthase inhibitors from herbal constituents for the treatment of hair loss. J Ethnopharmacol. 2015;175:470-80. doi: 10.1016/j.jep.2015.10.005.
40. วิชุดา จันทร์ข้างแรม. ฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดหยาบเอทานอลจากหม่อน (Morus alba Linn) และกาวไหม (Bombyx mori) เพื่อการตั้งสูตรตำรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขาว. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์. มหาวิทยาลัยบูรพา. 2560.
41. Lim HS, Ha H, Lee H, Lee JK, Lee MY, Shin HK. Morus alba L. suppresses the development of atopic dermatitis induced by the house dust mite in NC/Nga mice. BMC Complement Altern Med. 2014;14:139. doi: 10.1186/1472-6882-14-139.
42. Park E, Lee SM, Lee JE, Kim JH. Anti-inflammatory activity of mulberry leaf extract through inhibition of NF-κB. J Func Food. 2013;5:178-86.doi:10.1016/j.jff.2012.10.002.
43. Yiemwattana I, Chaisomboon N, Jamdee K. Antibacterial and anti-inflammatory potential of Morus albastem extract. Open Dent J. 2018;12:265-74. doi: 10.2174/1874210601812010265.
44. Li Y, Zhang X, Liang C, Hu J, Yu Z. Safety evaluation of mulberry leaf extract: acute, subacute toxicity and genotoxicity studies. Regul Toxicol Pharmacol. 2018;95:220-26. doi: 10.1016/j.yrtph.2018.03.007.
45. Sabsuang A, Phronchirasilp S, Luanratana O, Sirikulchayanonta V, Tiengda C.A Toxicity study of Morus alba L. leaf extract. Thai J Pharm Sci. 2004, 26, 70.
46. Mitsuya M, Suegara N, Kojima Y, Taniguchi K, Abe S, Yamaguchi, et al. Four-week oral toxicity studies of the leaf powder of mulberry (Morus alba L.) in rats. Pharmacometrics. 2001;61:169-76.
47. de Oliveira AM, Mesquita Mda S, da Silva GC, de Oliveira Lima E, de Medeiros PL, Paiva PM, et al. Evaluation of toxicity and antimicrobial activity of an ethanolic extract from leaves of Morus alba L. (Moraceae). Evid Based Complement Alternat Med. 2015;2015:513978. doi: 10.1155/2015/513978.
48. กรมหม่อนไหม. เทคนิคการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 2562.