หอมหัวใหญ่
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Allium cepa L.
ชื่อวงค์
AMARYLLIDACEAE
ชื่อสมุนไพร
หอมหัวใหญ่
ชื่ออังกฤษ
Onion
ชื่อพ้อง
Allium angolense Baker
Allium esculentum Salisb.
Allium napus Pall. ex Kunth
Cepa esculenta Gray
ชื่อท้องถิ่น
หอมฝรั่ง, หอมใหญ่
ชื่อ INCI
ALLIUM CEPA BULB EXTRACT
ALLIUM CEPA BULB OIL
ALLIUM CEPA ROOT EXTRACT
ALLIUM CEPA SKIN EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มีถิ่นกำเนิดจากบริเวณแถบเอเชีย และมีการเพาะปลูกในหลายพื้นที่ทั่วโลกทั้งยุโรป อเมริกา และแอฟริกา (4) รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรเพื่อนำมาบริโภคเป็นอาหาร สําหรับแหลงผลิตที่สําคัญ ไดแก จังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดเชียงใหม่ (5-6)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก สูง 30–40 ซม. มีหัวอยู่ใต้ดินแบบเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก รูปกลมแป้นถึงรูปไข่เส้นผ่าศูนย์กลาง 2–15 ซม. เปลือกหุ้มสีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลแกมม่วง แห้งและบาง ใบเดี่ยว รูปดาบ ช่อดอกแบบซี่ร่มแทงขึ้นมาจากลำต้นใต้ดิน ดอกย่อยมีจำนวนมาก กลีบรวมสีขาวขุ่นหรือสีขาว รูปขอบขนานแกมรูปไข่ แต่ละกลีบมีเส้นสีเขียวแกมเทาที่กึ่งกลาง เกสรเพศผู้ยาวกว่ากลีบรวมเล็กน้อย มี 6 อัน แบ่งเป็น 2 วง รังไข่รูปเกือบกลม อยู่เหนือวงกลีบ (3)
การเพาะปลูก
หอมหัวใหญ่เป็นพืชที่มีความสําคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งในโลก มีการใช้บริโภค ประกอบอาหาร และใช้แปรรูปในโรงงานอุตสาหกรรม สําหรับประเทศไทยมีการปลูกหอมหัวใหญ่และให้ผลผลิตได้เพียง 1 ครั้ง ในรอบปีโดยจะเริ่มมีการเก็บเกี่ยวผลผลิต ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเมษายน หลังจากนั้นจะเก็บรักษาผลผลิตตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมไว้ใช้บริโภคจนถึงฤดูปลูกใหม่ เกษตรกรนิยมใช้พันธุ์กราเน็กซ์ ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่นํามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หัวมีลักษณะค่อนข้างกลม คอเล็ก เปลือกสีน้ำตาลปนเหลือง เนื้อมีสีขาวอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 150 วัน นับตั้งแต่วันเพาะเมล็ดการปลูกหอมหัวใหญ่สามารถทําได้หลายวิธีเช่น หยอดเมล็ดในแปลงปลูกโดยตรง และเพาะกล้าปลูก สําหรับในประเทศไทยนิยมเพาะกล้าแล้วย้ายปลูก (4-5) อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีข้อจำกัดในการผลิตหอมหัวใหญ่เช่น ฤดูกาลปลูกมีเพียงปีละครั้งในช่วงฤดูหนาว (กันยายนถึงธันวาคม) และยังต้องใช้เมล็ดพันธุ์นำเข้าราคาสูงจากต่างประเทศเท่านั้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมของประเทศไทยไม่เหมาะสมกับการปรับปรุงพันธุ์และผลิตเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความเย็นในการกระตุ้นการออกดอก การพัฒนาของช่อดอกและเมล็ดการผลิตต้นพันธุ์พืชในระดับอุตสาหกรรมมีการนำเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชมาใช้อย่างแพร่หลาย ในการขยายพันธุ์หอมหัวใหญ่สามารถใช้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชได้เช่นกัน (33)
สำหรับสารสำคัญที่พบใน A. cepa มีรายงานสายพันธุ์ของหอมหัวใหญ่รวมทั้ง Allium spp. บางชนิด มีองค์ประกอบของสาร flavonols ในปริมาณแตกต่างกัน อาจเป็นข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์นำมาสกัดสารสำคัญและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป (8)
ปริมาณสารกลุ่ม flavonols ที่พบได้ใน Allium spp.
Common Name | Scientific Name | Plant Part | Total Flavonol Content |
Red onion | A. cepa | bulb | 415-1,917 mg/kg F.W. |
Yellow onion | A. cepa | bulb | 270-1,187 mg/kg F.W. |
White onion | A. cepa | bulb | 7 mg/kg F.W. |
Italian shallot | A. ascalonicum | bulb | 1,023 mg/kg F.W. |
French shallot | A. ascalonicum | bulb | 1,167 mg/kg F.W. |
Leek | A. porrum | bulb | 246 mg/kg F.W. |
Garlic | A. sativum | cloves | 16.19 mg/kg F.W. |
F.W.: Fresh weight (น้ำหนักสด)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูลการใช้หอมหัวใหญ่ตามภูมิปัญญาไทยทางด้านเครื่องสำอางที่ชัดเจนมีการใช้ทาภายนอกแก้พิษแมลงกัดทาถูนวดให้ร้อนแดงเพื่อให้เลือดมาเลี้ยงมากขึ้น (6)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ quercetin, kaempferol, isorhamnetin, myricetin, fisetin และ morin (8)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ gallic acid,ferulic acid และ protocatechuic acid (7)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ stigmast-8(14)-en-3β-ol, campesterol, ergost-7-en-3β-ol, cycloartanol, sitosterol, fucosterol และ cycloartanol-3β acetate (9)
สารอื่น ๆ ได้แก่ 2,6,10,15-tetramethylheptadecane, pentadecanoic acid, phytol acetate, palmidrol, 6,6,7-trimethyl-3-octene-2,5-dione, n-tetracosanol, allyl ionone, 2-mono linolein, Z-13-docosenamide squalene, kaur-16-en-18-yl acetate และ 6-acetyl-β-D-mannose (9)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols)
สารอื่นๆ
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ สารกลุ่ม phenolic compoundsและ flavonoids (10)
- สารออกฤทธิ์ในการรักษาแผล ได้แก่ สารกลุ่ม flavonoidsได้แก่ สาร quercetinแ ละ
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การวิเคราะห์สารประกอบ phenolic
วิเคราะห์ปริมาณสารประกอบtotal phenolic ด้วยวิธี Folin-Ciocalteucolorimetry ตามวิธีของ Waterhouse (2002) โดยผสมสารละลายตัวอย่าง 100 ไมโครลิตรน้ำกลั่น 7 มล.และสารละลาย Folin-Ciocalteu 500 ไมโครลิตรลงในขวดกำหนดปริมาตรขนาด 10 มล.ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 4 นาที แล้วเติมสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตอิ่มตัว 1.5 มล.แล้วปรับปริมาตรด้วยน้ำกลั่นเป็น 10 มล. เขย่าให้เข้ากันแล้วตั้งทิ้งไว้ในที่มืดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 2 ชั่วโมง และวัดค่าการดูดกลืนแสงของสารละลาย ที่ความยาวคลื่น 765 นาโนเมตรเปรียบเทียบค่าการดูดกลืนแสงที่ได้กับกราฟมาตรฐานของสารละลาย gallic acid (10)
การวิเคราะห์ปริมาณสาร flavovoids
วิเคราะห์ปริมาณสาร flavonoidsด้วยวิธี aluminium chloride colorimetry ตามวิธีของ Zhishen และคณะ (1999) โดยผสมสารละลายตัวอย่าง 2 มล.และสารละลายอะลูมิเนียมคลอไรด์ร้อยละ 2(w/v) ปริมาตร 2 มล.ตั้งทิ้งไว้ในที่มืดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 30 นาที และวัดค่าการดูดกลืนแสงของสารละลายที่ความยาวคลื่น 430 นาโนเมตรเปรียบเทียบค่าการดูดกลืนแสงที่ได้กับกราฟมาตรฐานของสารมาตรฐาน quercetin (10)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
การศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีอาการโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มทดสอบจำนวน 23 คน (เพศชาย 16 คน เพศหญิง 7 คนอายุระหว่าง 5-42 ปี) ได้รับการรักษาด้วยน้ำคั้นหอมหัวใหญ่ (ซื้อจากตลาดพื้นเมือง ไม่ระบุสถานที่) เอาเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปปั่น ทาบริเวณที่ผมร่วง และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำเปล่า (tap water) จำนวน 15 คน (เพศชาย 8 คน เพศหญิง 7 คน อายุระหว่าง 3–35 ปี) โดยทั้งสองกลุ่มจะได้รับการรักษา 2 ครั้ง/วัน เป็นระยะเวลา 2 เดือน พบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยน้ำคั้นหอมหัวใหญ่มีการงอกของเส้นผมหลังจาก 2 สัปดาห์ของการทดสอบ ที่สัปดาห์ที่ 4 พบว่ามีการงอกของเส้นผมในผู้ป่วยจำนวน 17 คน และที่สัปดาห์ที่ 6 พบว่ามีการงอกของเส้นผมในผู้ป่วยจำนวน 20 คนมีค่านัยสำคัญทางสถิติสูงกว่าระหว่างกลุ่มผู้ชายเมื่อเปรียบเทียบกับระหว่างกลุ่มผู้หญิง ในขณะที่กลุ่มควบคุมพบว่ามีการงอกของเส้นผมในผู้ป่วยเพียง 2 คน และไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มของเพศชายและหญิง (11)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ผลต่อการรักษาแผล (S015)
การศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 18 ปี จำนวน 125 คน ที่มีรอยแผลเป็นหลังจากการผ่าตัดที่บริเวณผิวหนัง (post-dermatologic surgery scars) ขนาด 1-10 ซม. ซึ่งอาสาสมัครแต่ละท่านจะถูกสุ่มเลือกทดสอบรอยแผลเป็นจำนวน 2 แผล ในส่วนของร่างกายที่ใกล้เคียงกัน ยกเว้นบริเวณหลังด้านบน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาเรื่องแผลผ่าตัดแยก (scar dehiscence) โดยใช้แผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม (Contractubex® Overnight Intensive Patch, Merz Pharmaceuticals GmbH; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) แปะบริเวณรอยแผลเป็นทิ้งไว้ตลอดทั้งคืน และอีกรอยแผลเป็นจะไม่ได้รับการรักษาใด ๆ ทำการทดสอบเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ ประเมินลักษณะของรอยแผลเป็นในช่วงเริ่มต้นของการทดสอบ เปรียบเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ 6, 12 และ 24 ผลการทดสอบจากการประเมินลักษณะของรอยแผลเป็นด้วย Observer Scar Assessment Scale (POSAS) พบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากจากหอมมีคะแนนที่ลดลงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาในช่วงสัปดาห์ที่ 12 และ 24 ของการทดสอบ และการประเมินด้วย Global Aesthetic Improvement Scale พบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมมีคะแนนที่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา จากการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมมีผลต่อการรักษารอยแผลเป็นจากการผ่าตัดเล็กได้ (12)
การศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครจำนวน 30 คน ที่มีรอยแผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic) และรอยแผลเป็นคีลอยด์ (keloid) หลังจากเกิดรอยแผลไม่เกิน 1 ปี บริเวณต่าง ๆ ได้แก่ คอ ลำตัว แขน และขา และไม่เคยได้รับการรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีใด ๆ มาก่อนเข้ารับการทดสอบ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน กลุ่มทดสอบจะได้รับการทาเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม, allantoin และ pentaglycan(Kaloidon gel, Laboratori Farmacologici Milanesi, Milan, Italy; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับเจลที่มีส่วนผสมสารสกัดจากหอมมีผลลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ (neoangiogenesis) ของรอยแผลเป็นนูนเกินและรอยแผลเป็นคีลอยด์ได้ (13)
การศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครทั้งเพศชายและหญิงอายุระหว่าง 18 -80 ปี จำนวน 60คน ที่มีการประเมินผิวโดย Fitzpatrick skin type I ถึง III ซึ่งเป็นการประเมินจากลักษณะทางกายภาพ และการเปลี่ยนแปลงของผิวเวลาถูกแสงแดด (14) และมีกระเนื้อ (seborrheic keratoses) ขนาดโดยประมาณอย่างน้อย 8 มม. โดยเลือก 2 รอยที่มีขนาดใกล้เคียงกัน บริเวณเหนือระดับหน้าอก ทั้งด้านซ้ายและขวา แล้วทำการผ่าตัดกระเนื้อนั้น หลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์ให้อาสาสมัครกลับมาทดสอบอีกครั้ง โดยอาสาสมัครจำนวน 47 คน ทำการรักษารอยแผลด้านหนึ่งด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม(ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) เปรียบเทียบกับอีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ และเปรียบเทียบกับอาสาสมัครอีก 13 คน ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม (จำนวนแผลที่ได้รับการรักษาด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมทั้งหมด 47 รอยแผล และจำนวนแผลที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมทั้งหมด 73 รอยแผล) ประเมินลักษณะของรอยแผลเป็นในช่วงเริ่มต้นของการทดสอบ เปรียบเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ 2, 4, 6 และ 10 ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม มีผลช่วยปรับปรุงลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ ความนิ่ม (scar softness) ความแดงของแผลเป็น (redness) ความเรียบเนียนของผิว (texture) และรูปลักษณ์ (global appearance) ของรอยแผลเป็นได้ (15)
การศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครสุขภาพดีทั้งหญิงและชายจำนวน 44 คน อายุระหว่าง 18-70 ปี ที่มีกระเนื้อ ขนาดโดยประมาณอย่างน้อย 8 มม. บริเวณระดับหน้าอก ทั้งด้านซ้ายและขวา แล้วทำการผ่าตัดกระเนื้อนั้นออก หลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์ ให้อาสาสมัครกลับมาทดสอบอีกครั้ง โดยทำการรักษารอยแผลด้านหนึ่งด้วยการทาเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม (Merderma® Advanced Scar Gel; Merz Pharmaceuticals, LLC; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) วันละครั้ง เปรียบเทียบกับอีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ทำการประเมินลักษณะของรอยแผลเป็นในช่วงเริ่มต้นของการทดสอบ เปรียบเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ 2, 4 และ 8 ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม มีผลช่วยปรับปรุงรอยแผลเป็นในช่วงหลังจากสัปดาห์ที่ 4 ของการทดสอบได้ (16)
การศึกษาทางคลินิกผลของการใช้เจลที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน (silicone derivative) ร่วมกับสารสกัดจากหอมต่อการบรรเทาการเกิดรอยแผลเป็นนูนเกิน โดยทำการศึกษาในผู้ป่วยหลังจากได้รับการผ่าตัดและมีรอยแผลกึ่งกลางหน้าอก (median sternotomy) ทั้งเพศหญิงและชาย อายุมากว่า 18 ปี จำนวน 60 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้รับเจลที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคนร่วมกับสารสกัดจากจากหอม (Cybele® Scagel, Bangkok Botanica, Bangkok, Thailand; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) และกลุ่มที่ได้รับเจลยาหลอก โดยทาเจลวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับเจลอนุพันธ์ของซิลิโคนร่วมกับสารสกัดจากหอมมีอาการเจ็บปวดและอาการคันน้อยกว่ากลุ่มที่ได้ยาหลอก และพบว่าลักษณะสีผิว (pigmentation) ดีขึ้นแตกต่างจากกลุ่มที่ได้ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่รอยที่เป็นสีแดง (vascularity) ความยืดหยุ่น (pliability) และความสูงของรอยแผล (height) ของทั้งสองกลุ่มไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ ในผู้ป่วย จากผลการทดสอบสรุปได้ว่าการใช้เจลที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคนร่วมกับสารสกัดจากจากหอมมีผลช่วยในการบรรเทาการเกิดรอยแผลเป็นนูนหลังการผ่าตัดได้ (17)
การศึกษาทางคลินิกผลของการใช้เจลสารสกัดจากหอมในอนุพันธ์ของซิลิโคนต่อการป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนเกินและคีลอยด์ในผู้ป่วยเด็กหลังจากได้รับการผ่าตัดหัวใจและมีรอยแผลเป็นกึ่งกลางหน้าอกจำนวน 39 คน อายุเฉลี่ย 4.3 ปี หลังจากผ่าตัดวันที่ 7 ผู้ป่วยเด็กแต่ละรายจะถูกสุ่มแบ่งรอยแผลออกเป็นแผลส่วนบนและแผลส่วนล่าง ให้แผลส่วนหนึ่งได้รับการทาเจล 10% สารสกัดจากหอมที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน (Cybele Scagel, Bangkok Botanica, Bangkok, Thailand; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) และแผลอีกส่วนหนึ่งจะได้รับยาหลอก ทาแผลวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 6 เดือน ประเมินผลจากภาพถ่าย และอัตราการเกิดแผลเป็น (Vancouver Scar Scale; VSS) ผลการทดสอบพบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการทาเจลสารสกัดจากหอมที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน มีจำนวนผู้ป่วยที่ไม่เกิดรอยแผลเป็นจำนวน 6 คน (ร้อยละ 20) มากกว่ากลุ่มยาหลอกที่มี 1 คน (ร้อยละ 3.3) และผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการทาเจลสารสกัดจากหอมที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน มีจำนวนผู้ป่วยที่เกิดแผลเป็นนูนจำนวน 9 คน น้อยกว่ากลุ่มยาหลอกซึ่งมี 18 คน สำหรับการเกิดแผลคีลอยด์ในทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากการประเมินคะแนน VSS ของทั้งสองกลุ่มไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการตรวจติดตามรอยแผลเป็นทั้งหมด พบอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วย 1 ราย มีตุ่มหนองขนาดเล็กขึ้นในบริเวณที่ทาเจลสารสกัดจากหอมที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน จากผลการทดสอบสรุปได้ว่าเจลสารสกัดจากหอมที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน มีผลในการป้องกันการเกิดแผลเป็นในผู้ป่วยเด็กได้ส่วนหนึ่ง และช่วยบรรเทาการเกิดแผลเป็นนูนเกินได้ อย่างไรก็ตามไม่มีผลในการบรรเทาการเกิดแผลคีลอยด์ (18)
การศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีรอยแผลเป็นหลังจากการผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic surgical scars) จำนวน 60 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้รับการทาเจลซิลิโคนและกลุ่มที่ได้รับเจลที่มีสารสกัดจากหอมเป็นส่วนผสม (Contractubex; Merz Pharma, Frankfurt, Germany; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) โดยทาเจลวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยการทดสอบจะประเมินรอยแผลด้วย VSS และถ่ายรูปแผล (Image Panel Scale) รวมทั้งการประเมินด้วยแบบสอบถาม (Body Image Scale และ Cosmetic Scale) ผลการทดสอบพบว่าทั้งสองกลุ่มให้ผลการประเมินใกล้เคียงกัน จากผลการศึกษาครั้งนี้จึงสรุปได้ว่าเจลสารสกัดจากหอมมีผลในการบรรเทาการเกิดรอยแผลเป็นใกล้เคียงกับเจลซิลิโคน (19)
การศึกษาทางคลินิกผลของการใช้เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมในการป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากการเลเซอร์เพื่อลบรอยสักที่ผิวหนัง ในอาสาสมัครจำนวน 120 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 60 คน กลุ่มทดสอบจะได้รับการทาเจล (Contractubex gel; Merz Pharma, Frankfurt, Germany; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) ที่มีส่วนผสมของ10% สารสกัดน้ำจากหอม (components: 10% aqueous onion extract, 50 Uheparin per gram of gel, 1% allantoin) โดยทาเจลวันละ 2 ครั้ง ในระหว่างการทำเลเซอร์ เป็นระยะเวลา 8-10 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาใด ๆ ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยเจลสารสกัดจากหอมพบอัตราอาสาสมัครที่เกิดรอยแผลเป็นจากการเลเซอร์ลบรอยสักน้อยกว่ากลุ่มควบคุม โดยพบว่าอาสาสมัครกลุ่มทดสอบจำนวน 52 คน 61 รอยสัก สามารถลบรอยสักได้คิดเป็น 82.3±11.6% และพบอาสาสมัครจำนวน 7 คน 7 รอยสัก เกิดเป็นรอยแผลเป็น ในขณะที่กลุ่มควบคุมจำนวน 55 คน 68 รอยสัก สามารถลบรอยสักได้คิดเป็น 80.4±11.3% พบอาสาสมัคร14 คน 16 รอยสัก เกิดเป็นรอยแผลเป็น (20)
การศึกษาทางคลินิกผลของการใช้ triamcinolone acetonide (TAC) ร่วมกับเจลสารสกัดจากหอมในผู้ที่มีแผลเป็นนูนเกินหรือแผลคีลอยด์ ทั้งหญิงและชายจำนวน 27 คน อายุ 15-73 ปี แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะได้รับการฉีดแผล (intralesionally) TAC ความเข้มข้น 40 มก./มล. บริเวณแผลเป็นในปริมาณที่แตกต่างกันไปขึ้นกับขนาดรอยแผล ทุก ๆ 4 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 16 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการฉีด TAC ร่วมกับการใช้เจลที่มีส่วนผสมของ 10 % สารสกัดน้ำจากหอม (Contractubex gel (Merz Pharma, Frankfurt, Germany; components: 10% aqueous onionextract, 50U heparin per gram of gel, 1% allantoin; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) โดยทาเจลวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 เดือน ผลการทดสอบพบว่าการใช้ TAC ร่วมกับเจลสารสกัดจากหอม มีผลช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวด อาการคัน และความนูนของแผลเป็นได้มากกว่าการฉีด TAC เพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีผลในการช่วยลดอาการผื่นแดงและความนูนแข็ง (induration) ของแผลเป็นได้ (21)
การศึกษาทางคลินิกในผู้หญิงจำนวน 20 คน ที่มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดทำคลอด (Pfannenstiel’s cesarean) โดยเริ่มทำการรักษาแผลในวันที่ 7 หลังจากได้รับการผ่าตัด ในแต่ละรายจะแบ่งรอยแผลออกเป็นส่วนที่ได้รับการทาด้วยเจลที่มีส่วนผสมของ 12% สารสกัดจากหอม (Erase gel, ABCA Pharma Lab Co., Ltd., Nonthaburi, Thailand; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) ส่วนรอยแผลอีกข้างหนึ่งจะได้รับยาหลอก ทาเจลวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าค่าความสูงของแผลและค่าเฉลี่ยอาการของแผลเป็นในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากหอมต่ำกว่ากลุ่มยาหลอก แต่ความแดงของแผลและความยืดหยุ่นของแผลเป็นของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน (22)
การศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยจำนวน 17 คน ที่มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดด้วยวิธี Mohs surgery โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มทดสอบให้รักษาแผลเป็นด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม (Contractubex, Merz, Frankfurt, Germany; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) ทาแผลวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่รักษาด้วยปิโตรลาทัมอีมอลเลียนท์ (petrolatum emollient) ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากหอมไม่ได้ผลในการรักษาการเกิดผื่นแดง (erythema) และอาการคัน (pruritus) เมื่อเปรียบเทียบกับ petrolatum emollient ซึ่งจะให้ผลในการรักษาได้ดีกว่า (23)
การศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยทั้งหญิงและชาย อายุเฉลี่ย 65 คน จำนวน 24 คน ที่มีแผลเป็นจากการผ่าตัดด้วยวิธี Mohssurgery ความยาวอย่างน้อย 4 ซม. แล้วแบ่งแผลออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะได้รับการรักษาด้วยสารสกัดจากหอม (Mederma, Merz Pharmaceuticals, Greensboro, NC, USA; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) และอีกส่วนหนึ่งจะได้รับการรักษาด้วยpetrolatum ointment โดยทาแผลวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากจากหอมไม่มีผลในการรักษาแผลเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับ petrolatum ointment (24)
การศึกษาทางคลินิกผลของการแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของ 10% สารสกัดจากหอม (ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด)allantoin 1% และ pentaglycan 4% ในผู้ป่วย 39 คนที่มีแผลเป็นนูนเกินและผู้ป่วย 7 คนที่มีแผลเป็นคีลอยด์ โดยใช้แผ่นแปะรอยแผลวันละครั้ง ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ ประเมินผลด้วย POSAS scale v 2.0, ultrasonographic และ videocapillaroscopic ในช่วง 6, 12 และ 24 สัปดาห์ของการทดสอบผลการทดสอบพบว่าการประเมิน POSAS มีผลทำให้แผลดีขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่ 12 ของการทดสอบ การประเมิน ultrasonographic และ videocapillaroscopicมีผลทำให้ความหนาของแผลเป็นและการสร้างเส้นเลือดใหม่ (vascularization) หลังจากสัปดาห์ที่ 12 ของการทดสอบจนกระทั่งสัปดาห์ที่ 24 ดีขึ้น จากผลการทดสอบสรุปได้ว่าการใช้แผ่นแปะมีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมallantoin และ pentaglycan วันละครั้ง ต่อเนื่องกัน 8 ชั่วโมง มีผลในการปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นในช่วง 24 สัปดาห์ (25)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากหอม ได้แก่ หอมหัวใหญ่ (A. cepa)และหอมแดง (A. ascalonicum L.) ซื้อจากตลาดสด ในจังหวัดกรุงเทพฯ ปอกเปลือกและล้างทำความสะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปทำให้แห้งแบบแช่เยือกแข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส) เป็นเวลา 24 ชั่วโมงจากนั้นบดตัวอย่างและเก็บในอะลูมิเนียมฟอยล์ภายใต้ภาวะสุญญากาศ และเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียสสกัดสารโดยใช้ตัวทำละลายเอทานอลร้อยละ 95 อัตราส่วน ตัวอย่าง: เอทานอลเท่ากับ 10 ก.:100 มล. เขย่าที่ 200 rpm เป็นเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นนำตัวอย่างมากรองผ่านด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 ระเหยตัวทำละลายเอทานอลด้วยเครื่องระเหยภายใต้สุญญากาศ (rotary evaporator) ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส และปรับปริมาตรของสารสกัดที่ได้ด้วยน้ำกลั่นให้มีปริมาตร 10 มล.วิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ปริมาณสารฟลาโวนอยด์ทั้งหมด และวิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ferric ion reducing antioxidant power (FRAP) และ2, 2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging activity (DPPH) ผลการทดสอบพบว่าหอมแดงมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสารฟลาโวนอยด์ทั้งหมดและฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP และ DPPH สูงสุด(17.22±2.24 µmol gallic acid /g DW, 3.10±0.23 µmol quercetin/g DW, 5.65±0.44 µmol trolox/g DW และ 6.27± 0.21 mg vit C/g DW ตามลำดับ)รองลงมาคือหอมหัวใหญ่ (17.17±0.60 µmol gallic acid/g DW, 2.38±0.14 µmol quercetin/g DW, 4.32 ± 1.09 µmol trolox/g DW และ 5.76 ± 0.45 mg vit C/g DW ตามลำดับ)ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากหอมให้ผลสอดคล้องกับปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดและสารฟลาโวนอยด์ทั้งหมด (10)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเปลือกของหอมหัวใหญ่ ใช้หอมหัวใหญ่จากตลาดกลาง เมืองเดจอน (Daejeon) ประเทศเกาหลีใต้ ช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2017 ตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงงานวิจัย เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พืช Herbarium of the College of Pharmacy, Daegu Catholic University, Korea (A voucher specimen CUD-0814-1) ผึ่งเปลือกของหอมหัวใหญ่ 10 กก. ให้แห้ง สกัดด้วยเมทานอล (10 ล. × 3 ครั้ง) แล้วนำไประเหยให้แห้งในภาวะสุญญากาศ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองด้วย DPPH และ ABTS พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 4.25 - 8.88 และ 7.12 - 8.14 ไมโครโมล ตามลำดับ และมีฤทธิ์ในการยับยั้งα-glucosidase และ protein tyrosine phosphatase 1B (PTP1B) ซึ่งมีค่า IC50เท่ากับ 0.89 - 6.80 และ1.13 - 6.82 ไมโครโมล ตามลำดับ (26)
1.2 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
การศึกษากระบวนการทางชีวสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลโปรตีนเป้าหมายข้อมูลปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนการอักเสบ การวิเคราะห์เครือข่ายบนพื้นฐานโมดูล และการแปลผลทางชีวภาพ (Module-Based Protein Interaction Network Analysis) จากการศึกษาพบว่าสารออกฤทธิ์ที่พบจากหอมทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับวิถีการส่งสัญญาณ MAPK และ NF-κB ซึ่งเป็นวิถีที่ควบคุมกระบวนการภายในเซลล์และการผลิตสารสื่อกลางการอักเสบ ผ่านการออกฤทธิ์ที่โปรตีนการอักเสบที่เป็นโปรตีนเป้าหมายจำนวน 5 ชนิด ได้แก่ MAPK14, NF-κB1, NOS2, PTGS2 และ TNF ซึ่งโปรตีนเหล่านี้จะถูกนำมาพิจารณาสำหรับการเป็นโปรตีนเป้าหมายเพื่อยืนยันผลในระดับห้องปฏิบัติการต่อไป (27)
การทดสอบในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดเมทานอลของหอมหัวใหญ่ (Korea Plant Extract Bank, Ref no: PB2051.2) ใน microglial cells ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสารสกัดเมทานอลหอมหัวใหญ่มีผลป้องกันการหลั่งของ NO และเพิ่มการแสดงออกของ iNOS ป้องกันการแสดงออกของ COX-2 ป้องกันการกระตุ้นการเพิ่มของ proinflammatory cytokines ได้แก่ TNF-α, IL-6 และ IL-1βเพิ่มantiapoptotic gene (Bcl-2)ในเซลล์ N27-A (rat dopaminergic cell line) และการแสดงออกของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ HO-1, NQO1และ catalaseยับยั้ง MPP+ ที่จะกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์ (28)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบและแก้ปวดของน้ำคั้นหอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ (ตัวอย่างจาก Zanjan, Iran) ตรวจสอบทางพฤกษศาสตร์ด้วย Herbarium of School of Pharmacy, Zanjan University of Medical Sciences นำมาปอกเปลือก แล้วคั้น กรองด้วยกระดาษกรองที่ปลอดเชื้อขนาด 40 micrometers ใช้น้ำคั้นหอมหัวใหญ่สดเพื่อการทดสอบภายใน 2 ชั่วโมง ทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยการฉีด carrageenan บริเวณอุ้งเท้า โดยแบ่งหนูออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มทดสอบ3 กลุ่ม ได้รับน้ำคั้นหอมหัวใหญ่ขนาด 5, 7.5 และ 10 มล./กก. ตามลำดับ ฉีดเข้าทางช่องท้องครึ่งชั่วโมงก่อนถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ กลุ่มควบคุมลบได้รับน้ำเกลือ กลุ่มควบคุมบวกได้รับยา diclofenac 10 มก./กก. และอีกกลุ่มได้รับ morphine 5 มก./กก.ผลการทดสอบพบว่าน้ำคั้นหอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ลดอาการบวมของอุ้งเท้า (paw thickness) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งให้ผลดีกว่ากลุ่มที่diclofenac และmorphine และทดสอบฤทธิ์แก้ปวดด้วย hot plate testในหนูเม้าส์โดยแบ่งหนูออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มทดสอบ3 กลุ่ม ได้รับน้ำคั้นหอมหัวใหญ่ขนาด 5, 7.5 และ 10 มล./กก. ฉีดเข้าทางช่องท้อง เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมลบที่ได้รับน้ำเกลือ กลุ่มควบคุมบวกได้รับยาmorphine 5 มก./กก. และอีกกลุ่มได้รับnaloxone 4 มก./กก. 10 นาที ก่อนได้รับน้ำคั้นหอมหัวใหญ่ และหลังจากนั้น 15 นาทีวางหนูลงบน hot plateประเมินการเลียและยกเท้าหนีของหนูเม้าส์ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำคั้นหอมหัวใหญ่มีผลในการแก้ปวดใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับ morphine (29)
1.3 ฤทธิ์ในการรักษาแผล (S015)
การศึกษาในหลอดทดลองเกี่ยวกับผลของสารสกัดจากหอมและสาร quercetin ต่อการแบ่งตัวของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (human skin fibroblasts) การแสดงออกของ collagen type I และ matrix metalloproteinase-1 (MMP-1) โดยทดสอบใช้สารสกัดจากหอม 1 - 2.5% v/vและสาร quercetin 10 - 40 ไมโครโมล กับเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (5x104 cells/ml ในจานเพาะเลี้ยงเซลล์) เป็นเวลา 7 วัน ผลการทดสอบพบว่าอัตราการแบ่งตัวของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ลดลงขึ้นอยู่กับปริมาณของสารสกัดจากหอมและสาร quercetin และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของ collagen type I ที่น่าสนใจคือทั้งสารสกัดจากหอมและสาร quercetin มีฤทธิ์กระตุ้นการแสดงออกของเอนไซม์ MMP-1 และการทดสอบในหนูเม้าส์ (hairless mice SKH-1) โดยใช้ครีมผสมสาร quercetin 0.05 และ 1% บริเวณผิวหนังในหนูเม้าส์ 3 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์พบว่ามีฤทธิ์กระตุ้นการแสดงออกของเอนไซม์ MMP-1 เช่นเดียวกัน จากผลการทดสอบครั้งนี้นักวิจัยสรุปว่าทั้งสารสกัดจากหอมและสาร quercetin มีผลกระตุ้นการแสดงออกของเอนไซม์ MMP-1 ซึ่งเอนไซม์กลุ่ม matrix metalloproteinases (MMPs) นี้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรักษาบาดแผลโดยช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นนูน (hypertropic scar or keloid formation) (30)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารมีสีที่สกัดได้จากหอมหัวใหญ่ (onion coat colorant) ในหนูเม้าส์ทั้งสองเพศ โดยให้สารมีสีที่สกัดได้จากหอมหัวใหญ่ขนาด 2,500, 5,000, 7,500และ10,000 มก./กก.นน.ตัว ผ่านทางสายให้อาหาร (gavage) แก่หนูเพศผู้ 5 หรือ 6 ตัว และหนูเพศเมีย 6 หรือ 7 ตัว ในแต่ละกลุ่มเป็นเวลา 14 วัน พบว่าหนูเพศเมีย 6 ตัว จากหนูที่ทดสอบทั้งหมด12 ตัว ที่ได้รับสารมีสีที่สกัดได้จากหอมหัวใหญ่ขนาด 10,000 มก./กก.นน.ตัว และหนูเพศเมีย 3 ตัว จากหนูที่ทดสอบทั้งหมด 11 ตัว ที่ได้รับสารที่มีสีที่สกัดได้จากหอมหัวใหญ่ขนาด 7,500 มก./กก.นน.ตัว ตายก่อนที่จะสิ้นสุดการทดสอบ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสรุปขนาดของสารมีสีที่สกัดได้จากหอมหัวใหญ่ที่หนูทดลองทนได้อยู่ระหว่าง 5,000 – 7,500 มก./กก.นน.ตัว การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันในหนูเม้าส์ทั้งสองเพศจำนวน 123 ตัวเพศผู้ 62 ตัว เพศเมีย 61 ตัว โดยให้อาหารผสมสารมีสีที่สกัดได้จากหอมหัวใหญ่ขนาด 5, 2.5, 1.25, 0.6 และ 0.3% เป็นเวลา 90 วัน พบว่าหนูสามารถทนต่อสารทุกขนาด และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูทั้งสองเพศ ลักษณะทางพยาธิวิทยาพบว่าเกิด hyperplasia ที่esophagus, fore-stomach, pancreas, cervix และ endometrium ทั้งในกลุ่มที่ได้รับสารมีสีจากหอมหัวใหญ่และกลุ่มควบคุม นักวิจัยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับสารมีสีจากหอมหัวใหญ่นอกจากนี้เฉพาะกลุ่มที่ได้รับสารมีสีจากหอมหัวใหญ่พบการเกิด spontaneous ovarian teratoma (31)
การทดสอบความเป็นพิษผลของสารสกัดจากหอมต่อปอดและตับของหนูแรท โดยให้สารสกัดจากหอมทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องขนาด 50 มก./กก. แก่หนูแรท พบการเปลี่ยนแปลงของปอดและตับเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม และเมื่อให้สารสกัดจากหอมในขนาดสูง 500 มก./กก. จะพบการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาของปอดและตับ การให้สารในขนาดสูงโดยการฉีดเข้าช่องท้องจะทำให้เกิดความเสียหายของปอดและตับมากกว่าการให้ทางปากและพบอัตราการตาย (mortality rate) 25% ในกลุ่มทดสอบจากผลการทดสอบครั้งนี้นักวิจัยสรุปว่าสารสกัดจากหอมในขนาดต่ำไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษ (32)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
ผลต่อการรักษาแผล
แผ่นแปะที่มีสารสกัดจากหอม (Contractubex® Overnight Intensive Patch, Merz Pharmaceuticals GmbH; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัดและความเข้มข้น) โดยแปะบริเวณรอยแผลเป็นหลังจากการผ่าตัดที่บริเวณผิวหนัง (post-dermatologic surgery scars) ขนาด 1 - 10 ซม. ทิ้งไว้ตลอดทั้งคืนเป็นระยะเวลา24 สัปดาห์ พบว่าแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมมีผลต่อการรักษารอยแผลเป็นจากการผ่าตัดเล็กได้ (12)
เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม, allantoin และpentaglycan (Kaloidon gel, Laboratori Farmacologici Milanesi, Milan, Italy; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัดและความเข้มข้น) โดยทาบริเวณรอยแผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic) และรอยแผลเป็นคีลอยด์ (keloid) หลังจากเกิดรอยแผลไม่เกิน 1 ปีวันละ2 ครั้งเป็นระยะเวลา24 สัปดาห์ พบว่าเจลที่มีส่วนผสมสารสกัดจากหอมมีผลลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ (neoangiogenesis) ของรอยแผลเป็นนูนเกินและรอยแผลเป็นคีลอยด์ได้ (13)
เจลที่มีสารสกัดจากหอม (ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัดและความเข้มข้น) โดยทาเจลหลังจากผ่าตัดกระเนื้อ (seborrheic keratoses) ขนาดโดยประมาณอย่างน้อย8 มม. บริเวณเหนือระดับหน้าอก 2 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าเจลที่มีสารสกัดจากหอมมีผลช่วยปรับปรุงลักษณะต่างๆได้แก่ความนิ่ม (scar softness) ความแดงของแผลเป็น (redness) ความเรียบเนียนของผิว (texture) และรูปลักษณ์ (global appearance) ของรอยแผลเป็นได้ (15)
เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอม (Merderma® Advanced Scar Gel; Merz Pharmaceuticals, LLC; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัดและความเข้มข้น)โดยทาเจลหลังจากผ่าตัดกระเนื้อขนาดโดยประมาณอย่างน้อย 8 มม. บริเวณเหนือระดับหน้าอก 2 สัปดาห์ วันละครั้งเป็นระยะเวลา8 สัปดาห์ พบว่าเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหอมมีผลช่วยปรับปรุงรอยแผลเป็นในช่วงหลังจากสัปดาห์ที่ 4 (16)
เจลที่มีอนุพันธ์ซิลิโคนร่วมกับสารสกัดจากจากหอม10% (Cybele® Scagel, Bangkok Botanica, Bangkok, Thailand; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด)โดยทาเจลวันละ 2 ครั้งเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์พบว่ามีผลช่วยในการบรรเทาการเกิดรอยแผลเป็นนูนหลังการผ่าตัดได้ (17)
เจลที่มีสารสกัดจากหอมที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์ซิลิโคน 10% (Cybele Scagel, Bangkok Botanica, Bangkok, Thailand; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด)โดยทาแผลเป็นนูนเกินและคีลอยด์ในผู้ป่วยเด็กหลังจากได้รับการผ่าตัดหัวใจและมีรอยแผลเป็นกึ่งกลางหน้าอก วันละ 2 ครั้งเป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่ามีผลในการป้องกันการเกิดแผลเป็นในผู้ป่วยเด็กได้ส่วนหนึ่งและช่วยบรรเทาการเกิดแผลเป็นนูนเกินได้อย่างไรก็ตามไม่มีผลในการบรรเทาการเกิดแผลคีลอยด์ (18)
เจลที่มีสารสกัดจากหอม (Contractubex; Merz Pharma, Frankfurt, Germany; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) โดยทาเจลวันละ2 ครั้งเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์พบว่าช่วยบรรเทารอยแผลเป็นหลังจากการผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic surgical scars) ได้ (19)
เจลที่มีสารสกัดน้ำจากหอม10% (Contractubex; Merz Pharma, Frankfurt, Germany; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) โดยทาเจลวันละ2 ครั้งในระหว่างการทำเลเซอร์เพื่อลบรอยสักที่ผิวหนังเป็นระยะเวลา8 - 10 สัปดาห์ พบว่าช่วยบรรเทาการเกิดรอยแผลเป็นจากการเลเซอร์ได้ (20)
เจลที่มีสารสกัดน้ำจากหอม 10 % (Contractubex; Merz Pharma, Frankfurt, Germany; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) โดยทาเจลวันละ 3 ครั้งเป็นระยะเวลา 3 เดือน ร่วมกับการฉีดแผล (intralesionally) ใช้ triamcinolone acetonide (TAC) ในผู้ที่มีแผลเป็นนูนเกินหรือแผลคีลอยด์พบว่าการใช้ TAC ร่วมกับเจลสารสกัดจากหอมมีผลช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวดอาการคันและความนูนของแผลเป็นได้แต่ไม่มีผลในการช่วยลดอาการผื่นแดงและความนูนแข็ง (induration) ของแผลเป็น (21)
เจลที่มีสารสกัดจากหอม12% (Erase gel, ABCA Pharma Lab Co., Ltd., Nonthaburi, Thailand; ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) โดยทาเจลบริเวณรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดทำคลอด (Pfannenstiel’s cesarean) โดยเริ่มทำการรักษาแผลในวันที่ 7 หลังจากได้รับการผ่าตัดทาเจลวันละ 3 ครั้งเป็นระยะเวลา12 สัปดาห์พบว่าค่าความสูงของแผลและค่าเฉลี่ยอาการของแผลเป็นลดลง (22)
แผ่นแปะที่มีสารสกัดจากหอม 10% (ไม่ระบุขั้นตอนวิธีการเตรียมสารสกัด) allantoin 1% และ pentaglycan 4% โดยใช้แผ่นแปะรอยแผลเป็นนูนเกินและคีลอยด์ วันละครั้งต่อเนื่องกันอย่างน้อย8 ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ พบว่ามีผลในการปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นในช่วง 24 สัปดาห์ (25)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
หอมหัวใหญ่เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มีการเพาะปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และนำมาใช้ประโยชน์ในการบริโภค และมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในทางเครื่องสำอาง สารสำคัญที่พบได้ในหอมหัวใหญ่คือสารกลุ่ม flavonolsได้แก่ สาร quercetinและมีข้อมูลการศึกษาทางคลินิกของหอมหัวใหญ่พบว่ามีผลในการรักษาแผลเป็น โดยเฉพาะแผลเป็นนูนเกินและแผลคีลอยด์ และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญคือฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบเป็นข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาการใช้สารสกัดจากหอมหัวใหญ่มาใช้ประโยชน์ในทางเครื่องสำอางต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Allium cepa L. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from:http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-295261.
3. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (5). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2543.
4. Allium cepa Common Onion (PROSEA). [cited 2021 April 20]. Available from: https://uses.plantnet-project.org/en/Allium_cepa_Common_Onion_(PROSEA).
5. หอมหัวใหญ่. กรมส่งเสริมการเกษตร [อินเตอร์เนต]. [เข้าถึงเมื่อ15 เมษายน 2564]. เข้าถึงจาก: https://www.arda.or.th/kasetinfo/north/plant/onion.html.
6. หอมหัวใหญ่. กรมส่งเสริมการเกษตร [อินเตอร์เนต]. [เข้าถึงเมื่อ 15 เมษายน 2564]. เข้าถึงจาก: http://eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/herb_gar/hom_hua.pdf
7. Teshika JD, Zakariyyah AM, Zaynab T, Zengin G, Rengasamy KR, Pandian SK, et al. Traditional and modern uses of onion bulb (Allium cepa L.): a systematic review. Crit Rev Food Sci Nutr. 2019;59(sup1):S39-S70.doi: 10.1080/10408398.2018.1499074.
8. Kothari D, Lee WD, Kim SK. Allium flavonols: Health benefits, molecular targets, and bioavailability. Antioxidants (Basel). 2020;9(9):888. doi:10.3390/antiox9090888.
9. Erukainure OL, Narainpersad N, Salau VF, Singh M, Koorbanally NA, Islam MS. Phytochemical constituents of sterol-rich fraction from Allium cepa L. and its cytotoxic effect on human embryonic kidney (HEK293) cells. J Food Biochem. 2021;45(3):e13586. doi:10.1111/jfbc.13586.
10. กิติพงศ์ อัศตรกุล, นฤมล หิมะสุทธิเดช. ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์การยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียของสารสกัดจากหัวหอมและการประยุกต์ใช้ในน้ำผักและผลไม้ผสม. วารสารเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยสยาม.2560;12(1):71-83.
11. Sharquie KE, Al-Obaidi HK. Onion juice (Allium cepa L.), a new topical treatment for alopecia areata. J Dermatol. 2002;29(6):343-6.doi: 10.1111/j.1346-8138.2002.tb00277.x.
12. Prager W, Gauglitz GG. Effectiveness and safety of an overnight patch containing Allium cepa extract and allantoin for post-dermatologic surgery scars. Aesthetic Plast Surg. 2018;42(4):1144-50.doi: 10.1007/s00266-018-1172-4.
13. Campanati A, Savelli A, Sandroni L, Marconi B, Giuliano A, Giuliodori K,et al. Effect of Allium cepa-allantoin-pentaglycan gel on skin hypertrophic scars: clinical and video-capillaroscopic results of an open-label, controlled, nonrandomized clinical trial. Dermatol Surg. 2010;36(9):1439-44.doi: 10.1111/j.1524-4725.2010.01654.x.
14. ชญาดา ชัยบุตร, ศาณีรัตน์ พรธารักษ์เจริญ, ศักดา อาจองค์ วัลลิภากร. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวบริเวณใน-นอกร่มผ้าในเชิงปริมาณกับการจําแนกสีผิวตามความไวแสงในคนไทย. วารสารโรคผิวหนัง.2559;32:167-78.
15. Draelos ZD.The ability of onion extract gel to improve the cosmetic appearance of postsurgical scars. J Cosmet Dermatol. 2008;7(2):101-4. doi: 10.1111/j.1473-2165.2008.00371.x.
16. Draelos ZD, Baumann L, Fleischer AJ, Plaum S, Avakian EV, Hardas B. A new proprietary onion extract gel improves the appearance of new scars: a randomized, controlled, blinded-investigator study. J Clin Aesthet Dermatol. 2012;5(6):18-24.
17. Jenwitheesuk K, Surakunprapha P, Jenwitheesuk K, Kuptarnond C, Prathanee S, Intanoo W. Role of silicone derivative plus onion extract gel in presternal hypertrophic scar protection: a prospective randomized, double blinded, controlled trial. Int Wound J. 2012;9(4):397-402.doi: 10.1111/j.1742-481X.2011.00898.x.
18. Wananukul S, Chatpreodprai S, Peongsujarit D, Lertsapcharoen P. A prospective placebo-controlled study on the efficacy of onion extract in silicone derivative gel for the prevention of hypertrophic scar and keloid in median sternotomy wound in pediatric patients. J Med Assoc Thai. 2013;96(11):1428-33.
19. Song T, Kim KH, Lee KW. Randomised comparison of silicone gel and onion extract gel for post-surgical scars. J Obstet Gynaecol. 2018;38(5):702-7. doi: 10.1080/01443615.2017.1400524.
20. Ho WS, Ying SY, Chan PC, Chan HH. Use of onion extract, heparin, allantoin gel in prevention of scarring in Chinese patients having laser removal of tattoos: a prospective randomized controlled trial. Dermatol Surg. 2006;32(7):891-6. doi: 10.1111/j.1524-4725.2006.32192.x.
21. Koc E, Arca E, Surucu B, Kurumlu Z. An open, randomized, controlled, comparative study of the combined effect of intralesional triamcinolone acetonide and onion extract gel and intralesional triamcinolone acetonide alone in the treatment of hypertrophic scars and keloids. Dermatol Surg. 2008;34(11):1507-14. doi: 10.1111/j.1524-4725.2008.34314.x.
22. Chanprapaph K, Tanrattanakorn S, Wattanakrai P, Wongkitisophon P, Vachiramon V. Effectiveness of onion extract gel on surgical scars in Asians. Dermatol Res Pract. 2012;2012:212945. doi:10.1155/2012/212945.
23. Jackson BA, Shelton AJ. Pilot study evaluating topical onion extract as treatment for postsurgical scars. Dermatol Surg. 1999;25(4):267-9.
24. Chung VQ, Kelley L, Marra D, Jiang SB. Onion extract gel versus petrolatum emollient on new surgical scars: prospective double-blinded study. Dermatol Surg. 2006;32(2):193-7.doi: 10.1111/j.1524-4725.2006.32045.x.
25. Campanati A, Ceccarelli G, Brisigotti V, Molinelli E, Martina E, Talevi D, et al. Effects of in vivo application of an overnight patch containing Allium cepa, allantoin, and pentaglycan on hypertrophic scars and keloids: Clinical, videocapillaroscopic, and ultrasonographic study. Dermatologic Therapy. Dermatol Ther. 2021;34:e14665.doi: 10.1111/dth.14665.
26. Vu NK, Kim CS, Ha MT, Ngo QT, Park SE, Kwon H, et al. Antioxidant and antidiabetic activities of flavonoid derivatives from the outer skins of Allium cepa L. J Agric Food Chem. 2020;68(33):8797-811.doi: 10.1021/acs.jafc.0c02122.
27. จิดาภา สอนศิริ, พิทักษ์ สูตรอนันต์. การสำรวจกลไกการยับยั้งการอักเสบของสารออกฤทธิ์จากหัวหอม
28. โดยการวิเคราะห์เครือข่ายปฏิสัมพันธ์ของโปรตีนบนพื้นฐานโมดูล. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา. 2563;25(2):417-36.
29. Jakaria M, Azam S, Cho DY, Haque ME, Kim IS, Choi DK. The methanol extract of Allium cepa L. protects inflammatory markers in LPS-induced BV-2 microglial cells and upregulates the antiapoptotic gene and antioxidant enzymes in N27-A cells. Antioxidants (Basel). 2019;8(9):348.doi:10.3390/antiox8090348.
30. Nasri S, Anoush M, Khatami N. Evaluation of analgesic and anti-inflammatory effects of fresh onion juice in experimental animals.Afr J Pharm Pharmacol. 2012;6(23):1679-84.
31. Cho JW, Cho SY, Lee SR, Lee KS. Onion extract and quercetin induce matrix metalloproteinase-1 in vitro and in vivo. Int J Mol Med. 2010;25(3):347-52.doi: 10.3892/ijmm_00000351.
32. Kojima T, Tanaka T, Mori H, Kato Y, Nakamura M. Acute and subacute toxicity tests of onion coat, natural colorant extracted from onion (Allium cepa L.), in (C57BL/6 x C3H)F1 mice. J Toxicol Environ Health. 1993;38(1):89-101.doi: 10.1080/15287399309531703.
33. Thomson M, Alnaqeeb MA, Bordia T, Al-Hassan JM, Afzal M, Ali M. Effects of aqueous extract of onion on the liver and lung of rats. J Ethnopharmacol. 1998;61(2):91-9.doi: 10.1016/s0378-8741(98)00004-x.
34. พิมพ์ผกา ส่างกวาง, นพมณี โทปุญญานนท์, ปวีณา ภูมิสุทธาผล. การขยายพันธุ์หอมหัวใหญ่ในสภาพปลอดเชื้อและอัตราการเพิ่มปริมาณต้นด้วยระบบไบโอรีแอคเตอร์จมชั่วคราว. วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร. 2557;45(2):105-12.