เทียนกิ่ง
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Lawsonia inermis L.
ชื่อวงค์
LYTHACEAE
ชื่อสมุนไพร
เทียนกิ่ง
ชื่ออังกฤษ
Henna, Henna tree, Egyptian privet, Mignonette tree
ชื่อพ้อง
Alcanna spinosa (L.) Gaertn.
Lawsonia spinosa L.
Rotantha combretoides Baker
ชื่อท้องถิ่น
เทียนขาว, เทียนแดง, เทียนข้าวเปลือก, เทียนไม้
ชื่อ INCI
HENNA
LAWSONIA INERMIS CALLUS CULTURE EXTRACT
LAWSONIA INERMIS CERA
LAWSONIA INERMIS EXTRACT
LAWSONIA INERMIS FLOWER EXTRACT
LAWSONIA INERMIS FLOWER/FRUIT/LEAF EXTRACT
LAWSONIA INERMIS LEAF EXTRACT
LAWSONIA INERMIS WAX
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
เทียนกิ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศอียิปต์และอินเดีย มีการกระจายพันธุ์ในพื้นที่เขตร้อน ในประเทศเนปาล อาราเบีย ซูดาน อิหร่าน ออสเตรเลีย และอเมริกา ในประเทศไทยพบตามป่าโปร่งในภาคอีสาน และปลูกมากในภาคเหนือ (7)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น สูง 3-6 ม.ลำต้นเกลี้ยง แตกแขนง ปลายกิ่งแหลมคล้ายหนาม เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลแกมสีเทา ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปรีหรือรูปรีแกมรูปใบหอก โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ปลายใบเรียวแหลมเนื้อใบค่อนข้างแข็งช่อดอกกระจุกออกที่ปลายกิ่งดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 4 กลีบ มีรอยย่นสีแดง ผลแห้งแก่แตก เมล็ดมีจำนวนมาก เป็นเหลี่ยม สีน้ำตาลเข้ม (4-6)
การเพาะปลูก
เทียนกิ่งเป็นไม้ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี ขึ้นได้ในสภาพดินเลว มีหินมาก สภาพดินทราย รวมถึงดินเหนียวที่มีความอุดมสมบูรณ์ ตลอดจนในสภาพแห้งแล้ง การปลูกเพื่อการค้าจะใช้เมล็ดหรือกิ่งเนื่องจากเมล็ดมีเปลือกหุ้มเมล็ดหนา จึงต้องทำให้งอกก่อนนำไปปลูก โดยแช่ในน้ำนาน 3-7 วัน เปลี่ยนน้ำทุกวัน หลังจากนั้นนำไปกองให้มีความชื้นและอบอุ่น 2-3 วัน เมื่อเปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนตัวและเมล็ดเริ่มบวมจึงนำไปปลูกในเรือนเพาะชำ รดน้ำทุกวัน จนต้นกล้ามีความสูงประมาณ 40 ซม. สามารถย้ายไปลงแปลงปลูกได้ การปลูกโดยใช้กิ่งปักชำ จะตัดกิ่งให้ตาติดอยู่ 6-8 ตา การเก็บเกี่ยวโดยทั่วไปจะเก็บเกี่ยวปีละ 2 หน เก็บเกี่ยวได้เมื่อเริ่มมีตาดอก (2)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ใบ ใช้ย้อมผม เล็บ ขน (8)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ apigenin (9-11), apigenin 4′-O-β-D-glucopyra-noside (9), apigenin 5-glucoside (12), apigenin 7-O-β -D-glucopyranoside (9), apigetrin (12), apiin (10), catechin (11, 13-16), chrysin (17), cosmosiin (10), diosmetin 7-O-rutinoside (9), diosmetin-3′-O-β-D-glucopyranoside (18), 5,7-dihydroxy-6,8-dimethylflavone (17), 3′,4′-dimethoxyflavone (19), 4′-hydroxyflavanone (11),7-hydroxyflavone (19), epicatechin (13-16), eriodictyol (18), kaempferol (11, 13, 14, 16), kaempferol 3-O-glucoside, kaempferol-acetyl-glycoside (20), lawsochrysin, lawsochrysinin, lawsonaringenin(19), luteolin (9-11, 18), luteolin 4′-O-β-D-glucopyranoside (9, 18), luteolin 7-O-rutinoside (9), luteolin 7-O-β-D-glucopyrano-side (9, 21), luteoloside, moldavoside (18), myricetin (13),4′-O-methylquercetin-3-O-β-D-glucopyranoside (18), naringenin (13), naringin (15), oroxylin a (17), quercetin (11, 13, 14, 16, 18), quercetin 3-O-glucoside (quercetin-3-O-β-D-glucopyranoside) (18, 20), rhoifolin (19), rutin (14-16, 20), sideroxyline (17), spiraeoside (18), syzalterin (17), 3,3′,4′,7-tetrahydroxyflavanone (19), wogonin (17)
สารกลุ่มแนพโทควิโนน (naphthoquinones) ได้แก่ isoplumbagin (22), lawsone (10, 22-31), lawsonol (32), 1,4-naphthoquinone (25), 2-methoxy-3-methyl-1,4-naphthoquinone (10), 3-amino-2-methoxycarbonyl-1,4-naphthoquinone, (4S)-4-hydroxy-α-tetralone, 3S,4R-dihydro-3,4-dihydroxynaphthalen-1(2H)-one (9)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ caffeic acid (16), chlorogenic acid (3-caffeoylquinic acid) (14, 16, 20, 33), dihydrodehydrodiconiferyl alcohol (9), ellagic acid (14, 16), ferulic acid (33),gallic acid (12, 14, 16, 34), lalioside (21), lawsochylin A-C (9), lawsoniaside (21), methyl salicylate (35), p-coumaric acid (10, 16), p-hydroxybenzoic acid, syringic acid (34), 1,2,4-trihy-droxynaphthalene-1-O-β-D-glucopyranoside, 2,4,6-trihydroxy-acetophenone-2-O-β-D-glucopyranoside (21), vanillic acid (34)
สารกลุ่มเบนซีนอยด์ (benzenoids) ได้แก่ benzene-1,2-dicarboxylic acid, caffeoyl alcohol, ethyl 2-ethylbenzoate, ethyl 2-methylbenzoate, inermic acid, inermidioic acid, lawsoiner-mone, methyl 2-ethylbenzoate, methyl 2-methylbenzoate, monomethyl phthalate, (E)-ethyl 3-(4-hydroxyphenyl)acrylate, (E)-methyl 3-(4-hydroxyphenyl)acrylate (25), 4,6-dihydroxy-2-O-(β-D-glucopyranosyl)acetophenone, 4-hydroxybenzaldehyde (9)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids) ได้แก่ linoleic acid (36, 37), α-linolenic acid (37), oleamide (9), oleic acid, palmitic acid (36, 37), propanoic acid (35), stearic acid, (36, 37), 2-butoxysuccinic acid (9)
สารกลุ่มคูมารินส์ (coumarins) ได้แก่ agrimonolide 6-O-β-D-glucopyranoside, daphneside, daphnorin, esculetin, fraxetin (22), isoscopoletin, isofraxidin (17), lacoumarin, scopoletin (22), umbelliferone (16)
สารกลุ่มไอโซคูมารินส์ (isocoumarins) ได้แก่ inermiscarbonates A, inermiscarbonates B (11)
สารกลุ่มแนพทาลีน (naphthalenes) ได้แก่ lawsonaphthoate A-C, 1,2,4-trihydroxynaphthalene-1-O-β-D-glycopyranoside (9)
น้ำมันหอมระเหย (essential oil) สารที่พบในน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ eucaloptol(38), heptadecane, hexadecane(39), linalool (40, 38), α-limonene, β-limonene, β-myrcene (40), α-pinene (38), tetradecane (39)
สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ (terpenoids) ได้แก่ α-ionone (17), dehydrovomifoliol (9, 17),phytol (35,39), 9-hydroxy-4-megastigmen-3-one (9)
สารกลุ่มพทาเลท (phthalates) ได้แก่ diethyl phthalate, dibutyl phthalate, diisooctyl phthalate (35)
สารกลุ่มไดฟีนอล (diphenols) ได้แก่ (Z)-4,4′-(prop-1-ene-1,3-diyl)diphenol (11)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มแนพโทควิโนน (naphthoquinones)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มเบนซีนอยด์ (benzenoids)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids)
สารกลุ่มคูมารินส์ (coumarins)
สารกลุ่มไอโซคูมารินส์ (isocoumarins)
สารกลุ่มแนพทาลีน (naphthalenes)
องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหย (essential oil)
สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ (terpenoids)
สารกลุ่มพทาเลท (phthalates)
สารกลุ่มไดฟีนอล (diphenols)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ diosmetin-3′-O-β-D-glucopyranoside, eriodictyol, luteolin, luteoloside, quercetin, spiraeoside (18)
สารออกฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย ได้แก่ apigetrin, apigenin 5-glucoside, gallic acid (12), lawsonol (32)
สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ apigenin (10, 33), apigetrin, apigenin 5-glucoside (12), apiin (10), caffeic acid(16, 33), 3-caffeoylquinic acid (20), catechin (13-16, 33), chlorogenic acid (14, 16, 33), cosmosiin (10), coumaric acid (16), 3′,4′-dimethoxyflavone (19), ellagic acid(14, 16, 33), epicatechin (13-16), ferulic acid (33), gallic acid (12, 14, 16, 33), 7-hydroxyflavone (19), kaempferol (13, 14, 16), kaempferol 3-O-glucoside, kaempferol-acetyl-glycoside (20), lalioside (21), lawsochrysin, lawsochrysinin, lawsonaringenin(19), lawsone (10), lawsoniaside (21), luteolin (10, 33), luteolin-7-O-β-D-glucopyranoside (21), 2-methoxy-3-methyl-1,4-naphthoquinone (10), myricetin, naringenin (13), naringin (15), p-coumaric acid (10), quercetin (13, 14, 16, 33), quercetin 3-O-glucoside (20), rhoifolin (19), rutin (14-16, 20), 3,3′,4′,7-tetrahydroxyflavanone (19), 1,2,4-trihydroxynaphthalene-1-O-β-D-glucopyranoside, 2,4,6-trihydroxyacetophenone-2-O-β-D-glucopyranoside (21), umbelliferone (16), กรดไขมัน (37), น้ำมันหอมระเหย (38-40)
สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ apigenin (9, 11, 33), 2-butoxysuccinic acid(9), caffeic acid (33), caffeoyl alcohol (25), catechin(11, 33), chlorogenic acid (33), chrysin (17), dibutyl phthalate, diethyl phthalate, diisooctyl phthalate (35), ellagic acid, ferulic acid, gallic acid, (33), 4′-hydroxyflavanone (11), (4S)-4-hydroxy-α-tetralone (9), isofraxidin, isoscopoletin (17), kampferol (11), lawsochylin A (9), lawsoinermone (17), lawsonaphthoate A (9), lawsone(17, 41), luteolin (9, 11, 33), methyl salicylate (35), oroxylin a (17), phytol, propanoic acid (35), (Z)-4,4′-(prop-1-ene-1,3-diyl)diphenol (11), quercetin (11, 33), sideroxyline, syzalterin (17)
สารออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ lawsone (26, 28, 37, 42, 43), กรดไขมัน (37)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
สาร lawsone วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ Ultra high performance liquid chromato- graphy (UHPLC) (7) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : BEH C18 (100×2.1 มม., 1.7 μ) อุณหภูมิคอลัมน์ 40 oC
mobile phase : เมทานอล:0.1% acetic acid (80:20)
flow rate : 0.4 มล./นาที
injection volume : 1 มคล.
detector : Photodiode array detector ที่ความยาวคลื่น 244 นาโนเมตร
สาร lawsone วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC (27) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : C18-ODS (250x4.6 มม., 5 μ) อุณหภูมิคอลัมน์ 40 oC
mobile phase : ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย คือ 0.05% trifluoroacetic acid ในน้ำ (A) และเมทานอล (B) โดยโปรแกรม คือ เวลา 0-10 นาที (30-35% B), 10-20 นาที (35-40% B), 20-30 นาที (40-45% B), 30-40 นาที (45-50% B), 40-50 นาที (50-55% B), 50-60 นาที (55-60% B)
flow rate : 0.7 มล./นาที
injection volume : 1 มคล.
detector : Photodiode array detector ที่ความยาวคลื่น 258 นาโนเมตร
สารประกอบฟีนอลิกและสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC (33)
column : ZORBAX Eclipse Plus C18 (150×4.6 มม., 5μ) อุณหภูมิคอลัมน์ 35 oC
mobile phase : ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย คือ 0.1% trifluoroacetic acid ในน้ำ (A) และเมทานอล (B) โดยโปรแกรม คือ 95-50% A ในเวลา 20 นาที, 50-5% A ในเวลา 20 นาที, 5-95% A ในเวลา 5 นาที, 95% A เป็นเวลา 10 นาที
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : UV detector ที่ความยาวคลื่น 280 และ 320 นาโนเมตร
การศึกษาทางคลินิก
1. การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเทียนกิ่ง และยา minoxidil ในการรักษาอาการผมร่วงทั่วศีรษะ (Telogen effluvium) ซึ่งเป็นภาวะผมร่วง-ผมบางจากการที่มีสาเหตุมากระตุ้นเช่น มีไข้สูง ภาวะหลังคลอดบุตร ภาวะขาดสารอาหาร หรือโปรตีนความเครียด และจากยาบางชนิด เป็นต้น ทำให้ระยะ Telogen ของเส้นผมถูกกระตุ้นให้หลุดล่วงเร็วกว่าปกติโดยศึกษาในผู้ป่วย จำนวน 60 คน อายุ 25-40 ปี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้โลชันเทียนกิ่ง (ไม่ระบุส่วนของพืชที่ใช้, ชนิดของสารสกัด และความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) และกลุ่มที่ใช้ยา minoxidil 2% โดยให้ทาโลชันหรือยา วันละ 2 ครั้งๆ ละ 1 มล. ประเมินผลโดยแพทย์ผิวหนัง และวิธีการดึงเส้นผม (hair pull tests) ทุกๆ สัปดาห์ โดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบเส้นผม จำนวน 20 เส้น แล้วดึงเบาๆ ถ้าผลการทดสอบเป็นลบ (negative test) คือ มีเส้นผมหลุดออกมา 2 เส้นหรือน้อยกว่า แสดงว่าไม่มีภาวะผมร่วง ขณะที่ผลการทดสอบเป็นบวก (positive test) คือ มีเส้นผมหลุดออกมามากกว่า 2 เส้น แสดงว่ายังมีภาวะผมร่วงอยู่ทำการทดสอบจนกระทั่งผลการทดสอบเป็นลบในทั้ง 2 กลุ่ม ผลการศึกษาพบว่าโลชันเทียนกิ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการผมร่วงทั่วศีรษะได้เทียบเท่ากับยา minoxidil และไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้(44)
2. การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ต้านการอักเสบ (S014)
การศึกษาในผู้ที่ใส่ขาเทียมซึ่งมีอาการผิวหนังอักเสบ จำนวน 74 คน อายุ 12-70 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ใช้ขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด 70% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 1% (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) และกลุ่มควบคุมซึ่งใช้ครีมหลอก โดยทาขี้ผึ้งหรือครีมหลอกให้ทั่วผิวบริเวณตอขาซึ่งสัมผัสกับขาเทียม ทุกๆ คืน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าการอักเสบของผิว เช่น อาการบวม คัน เหงื่อออก ผิวบาง และปวด ในกลุ่มที่ใช้ขี้ผึ้งเทียนกิ่งลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ยังพบว่าอาการผิวไหม้ลดลง แต่ผิวมีรอยแดงเพิ่มขึ้น และไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ขี้ผึ้งเทียนกิ่ง(45)
การศึกษาในเด็กทารกที่เป็นผื่นผ้าอ้อมคือ มีการอักเสบของผิวหนังบริเวณที่ผ้าอ้อมปิดอยู่ จำนวน 82 คน อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ขวบ โดยให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากใบเทียนกิ่ง25%(มีปริมาณสาร lawsone อย่างน้อย 0.3%, ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน เปรียบเทียบผลกับกลุ่มที่ใช้ครีม hydrocortisone 1% พบว่าเด็กทารกในทั้ง 2 กลุ่ม มีการอักเสบของผิวหนังลดลง และครีมน้ำมันเทียนกิ่งจะให้ผลในการรักษาได้ดีกว่าครีม hydrocortisone (46)
2.2 รักษาแผล (S015)
การศึกษาในผู้ป่วยที่รักษาตัวในห้อง ICU ซึ่งมีแผลกดทับระดับ 1 จำนวน 72 คน แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทายาผงเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน)เตรียมโดยผสมผงใบและลำต้นแห้ง ปริมาณ 1 ก. กับน้ำกลั่น 10 มล. ที่บริเวณแผล วันละครั้ง เป็นเวลา 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดแผลให้แห้ง เป็นเวลา 7 วัน ประเมินผลโดยวัดขนาดของแผล และประเมินการหายของแผลด้วยเครื่องมือ Pressure Ulcer Scale for Healing (PUSH tool) โดยประเมินจากพื้นที่ของแผล, ปริมาณของสิ่งขับหลั่ง และชนิดของเนื้อเยื่อที่พบบนพื้นผิวของแผลในวันที่ 1, 4 และ 7 ของการศึกษา เปรียบเทียบผลกับกลุ่มควบคุมพบว่าเทียนกิ่งมีผลในการรักษาแผลกดทับได้ โดยทำให้ขนาดของแผลลดลง และแผลหายดีขึ้น (คะแนนของPUSH tool ลดลง) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (47)
การศึกษาในผู้ป่วยที่รักษาตัวในห้อง ICU ที่มีแผลกดทับระดับ 1 จำนวน 108 คน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ให้ทายาผงเทียนกิ่ง (ผงใบและลำต้นแห้ง ปริมาณ 1 ก. ผสมกับน้ำกลั่น 10 มล.)(ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) บริเวณแผลวันละครั้ง เป็นเวลา 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น และเช็ดแผลให้แห้ง กลุ่มที่ 2 ให้ทาน้ำมันมะกอกฝรั่ง (olive oil) ปริมาณ 15 มล. บริเวณแผล วันละครั้ง และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มควบคุม ประเมินการหายของแผลด้วยเครื่องมือ PUSH tool ในวันที่ 1, 4 และ 7 ของการศึกษา พบว่าเทียนกิ่งและน้ำมันมะกอกฝรั่ง สามารถรักษาแผลกดทับได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยเทียนกิ่งจะให้ผลในการรักษาได้ดีกว่าน้ำมันมะกอกฝรั่ง (48)
การศึกษาผลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับของเทียนกิ่งในผู้ป่วยที่รักษาตัวในห้อง ICU ซึ่งยังไม่มีแผลกดทับ จำนวน 80 คน โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทายาผงเทียนกิ่ง (ผงใบแห้ง ปริมาณ 50 ก. ผสมกับน้ำกลั่น 500 มล.)(ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) บริเวณกระเบนเหน็บในขนาดพื้นที่ 15 ซม. วันละครั้ง ทิ้งไว้ 30 นาทีล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วเช็ดผิวให้แห้ง โดยทำควบคู่ไปกับการรักษาแบบมาตรฐานในโรงพยาบาลสำหรับป้องกันแผลกดทับ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ประเมินผลการรักษาโดยประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับด้วยแบบประเมินของบราเดน (Braden’s scale) ในวันที่ 1, 4 และ 7 ของการศึกษา พบว่ามีผู้ป่วยที่ใช้ยาเทียนกิ่ง 1 ราย และผู้ป่วยในกลุ่มควบคุม 6 ราย ที่เกิดแผลกดทับแสดงว่าเทียนกิ่งมีผลป้องกันการเกิดแผลกดทับได้ (49)
การศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด capecitabine หรือ pegylated liposomal doxorubicin ที่เกิดอาการ Hand-Foot syndromeซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา จำนวน 56 คนแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทายาเทียนกิ่ง (เตรียมโดยใช้ผงเทียนกิ่ง, ไม่ระบุส่วนที่ใช้ 40 ก. ผสมกับน้ำ 40 มล.) (ตัวอย่างจากประเทศไซปรัส) บริเวณมือหรือเท้าที่เกิดอาการอักเสบ และสวมถุงมือหรือถุงเท้าเพื่อให้ยาดูดซึมผ่านได้เร็วขึ้น เป็นเวลา 1 ชม. จากนั้นล้างออกด้วยน้ำ ทายาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และกลุ่มควบคุมซึ่งให้ทาผงใบ Cassia obovata (เนื่องจากเมื่อผสมน้ำแล้วจะมีลักษณะคล้ายกับยาเทียนกิ่ง แต่ไม่มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ในการรักษาแผล) ทำการประเมินผลโดยประเมินระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นโดยใช้NCI Common terminology criteria for adverse events version 4.0, ประเมินคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยด้วยแบบประเมิน European organization for research and treatment of cancer-quality of life questionnaire core 30 (EORTC QLQ-C30) และ Hand-foot syndrome 14 (HFS-14), ประเมินสภาวะของผู้ป่วยด้วยEastern co-operative oncology group (ECOG) และประเมินความปวดด้วย Pain-visual analogue scale (VAS) พบว่าผู้ป่วยที่ทายาเทียนกิ่งมีระดับความรุนแรงของอาการลดลง คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นทั้งในด้านคุณภาพชีวิตโดยรวม (global health status), การทำหน้าที่ทางด้านร่างกาย(physical function), ด้านอารมณ์ (emotional function), ด้านสังคม (social function) ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียและอาการปวดลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (50)
รายงานในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 1 ราย ที่ได้รับยา capecitabine ซึ่งเกิดผื่นขึ้นที่เท้าแต่ไม่พบที่มือ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอาการHand-foot syndrome ระดับที่ 3 (ผิวหนังอักเสบเป็นแผล มีอาการปวดและไม่สามารถทำงานได้) ทำให้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ไม่สามารถทำงานหรือเดินได้อย่างสะดวกเนื่องจากมีแผลแตกที่เท้า ผู้วิจัยสังเกตว่าผู้ป่วยได้ทาเทียนกิ่งลงบนมือตามแบบประเพณีโบราณ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้, ตัวอย่างจากประเทศตุรกี) ทำให้ไม่เกิดอาการที่มือ จึงได้แนะนำให้ใช้กับเท้า ปรากฏว่าแผลแห้งแตกที่เท้าลดลงหลังจากทาเทียนกิ่ง 48 ชม. และหายดีหลังจากทาได้ 1 สัปดาห์ ขณะที่มือของผู้ป่วยยังคงไม่เกิดผื่น และไม่จำเป็นต้องลดขนาดของการใช้ยา capecitabine จึงได้แนะนำให้ผู้ป่วยใช้เทียนกิ่งทามือและเท้าทุกสัปดาห์ระหว่างการทำเคมีบำบัด ซึ่งก็ไม่พบอาการมือและเท้าบวมแดงของผู้ป่วยในการทำเคมีบำบัดรอบสอง จากนั้นได้นำเทียนกิ่งมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งอีก 9 ราย ที่มีอาการHand-foot syndrome ระดับ 2 และ 3 โดยผสมผงเทียนกิ่งกับน้ำ แล้วทาลงบนมือและเท้าของผู้ป่วย พันด้วยผ้า ทิ้งไว้ 5-6 ชม. จึงล้างออกด้วยน้ำ พบว่าผู้ป่วยทุกรายมีอาการดีขึ้น ความรุนแรงของอาการลดลง และมีบางรายหายได้ใน 1 สัปดาห์ โดยที่ไม่ต้องลดขนาดของการใช้ยาcapecitabine (51)
รายงาน (case report) ในผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน 1 ราย ที่ได้รับยาcapecitabine และเกิดอาการ Hand-foot syndrome ระดับ 2 (ผิวหนังอักเสบ และมีอาการปวด แต่ไม่รบกวนการทำงาน) ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ใช้เทียนกิ่งรักษาอาการ โดยผสมผงใบเทียนกิ่ง (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ด้วยน้ำ ตั้งทิ้งไว้ 24 ชม. จากนั้นนำมาทาที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง แล้วคลุมด้วยถุงพลาสติกหรือผ้าขนหนู ทิ้งไว้ค้างคืนและล้างออกด้วยน้ำในตอนเช้า โดยทาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พบว่าเทียนกิ่งช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนของผิวได้ในทันที และจากการติดตามผลใน 2 สัปดาห์ พบว่าอาการลดลงเป็นระดับ 0 (ไม่มีอาการHand-foot syndrome) ซึ่งผู้ป่วยสามารถรักษาจนครบ 6 รอบของการให้ยา capecitabine โดยไม่ต้องลดขนาดหรือหยุดการให้ยา (52)
เมื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีแผลที่เท้าทายาผงเทียนกิ่ง (ผงใบแห้ง 1 ก. ผสมกับน้ำกลั่น 10 มล.) (ไม่ระบุแหล่งที่มา) บริเวณแผล จากนั้นพันด้วยผ้าพันแผลเป็นเวลา 4-6 ชม. แล้วล้างออก พบว่าช่วยป้องกันแผลจากความชื้นได้นาน ทำให้ไม่ต้องทายาบ่อย และทำให้แผลแห้ง แตก ที่เท้าของผู้ป่วยดีขึ้น(53)
การเปรียบเทียบผลในการรักษาแผลไฟไหม้ของขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม (Alpha® ointment, ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) กับครีมsilver sulfadiazine1% ในผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ระดับ 2 จำนวน 50 คน โดยให้ทาแผลด้วยขี้ผึ้งเทียนกิ่งหรือครีม silver sulfadiazine 1% วันละครั้ง จนกระทั่งแผลหายดี พบว่าขี้ผึ้งเทียนกิ่งมีผลทำให้แผลหายได้เร็วกว่าและลดอาการปวดแผลได้ดีกว่าครีม silver sulfadiazine 1% โดยระยะเวลาในการรักษาแผล (healing time) ของขี้ผึ้งเทียนกิ่งและครีมsilver sulfadiazine 1% เท่ากับ 4.4 และ 5.9 วัน ตามลำดับ (54)
การศึกษาในหญิงที่คลอดบุตรครั้งแรก(primiparous women) จำนวน 128 คน โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม(Alpha® ointment, ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์)(ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) ขนาด 2 ก. บริเวณแผลฝีเย็บ วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน ร่วมกับการนั่งแช่ก้นในน้ำยาเบตาดีน (Betadine® solution) และกลุ่มควบคุมที่ให้นั่งแช่ก้นในน้ำยาเบตาดีนเพียงอย่างเดียว ประเมินผลการศึกษาด้วยแบบประเมินลักษณะแผลฝีเย็บหลังคลอด (REEDA scale) และแบบประเมินความปวด McGill Pain Index ที่เวลา 24 ชม., 3 และ 7 วัน หลังคลอด พบว่าการใช้ขี้ผึ้งเทียนกิ่งร่วมกับน้ำยาเบตาดีน สามารถรักษาแผลฝีเย็บและลดอาการปวดได้ดีกว่าการใช้ยาเบตาดีนเพียงอย่างเดียว (55) ขณะที่รายงานการศึกษาในหญิงที่คลอดบุตรครั้งแรก จำนวน 70 คน ซึ่งให้ทาขี้ผึ้งชนิดเดียวกันนี้ ขนาด 1 หน่วยปลายนิ้วมือ(fingertip unit) บริเวณแผลฝีเย็บ วันละครั้ง เป็นเวลา 10 วัน เปรียบเทียบผลกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก พบว่าขี้ผึ้งเทียนกิ่งไม่มีผลลดอาการปวดของแผลฝีเย็บ (56)
การศึกษาในหญิงที่คลอดบุตรครั้งแรก จำนวน 160 คน แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ทาขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด 70% เอทานอลจากเทียนกิ่ง5% (ไม่ระบุส่วนของพืชที่ใช้, ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน), กลุ่มที่ทาขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมสารสกัด 70% เอทานอลจากเมล็ด Persian oak (Quercus persica) 2%, กลุ่มที่ทายาหลอก (Eucerin หรือ ครีมเบส) และกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ทาขี้ผึ้งหรือยาหลอก โดยทาขี้ผึ้งหรือยาหลอกในขนาดข้อนิ้วมือบริเวณแผลฝีเย็บ ประเมินผลการรักษาด้วยแบบประเมินREEDA scale และแบบประเมินความปวด Visual analog scale (VAS) ที่เวลาเริ่มต้น (ก่อนใช้ขี้ผึ้ง) และวันที่ 7, 10, 14 หลังการใช้ขี้ผึ้ง พบว่าขี้ผึ้งทั้ง 2 ชนิด สามารถรักษาแผลฝีเย็บและลดอาการปวดได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทายาหลอกและกลุ่มควบคุม (57)
การศึกษาประสิทธิภาพของขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม(Alpha® ointment,ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์)(ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน)ในการรักษาอาการผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสีเปรียบเทียบกับครีม hydrocortisone 1% ทดสอบในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 60 คน โดยให้เริ่มทาขี้ผึ้งหรือครีมบางๆ บริเวณหน้าอกทันทีหลังจากการฉายรังสี วันละ 2 ครั้ง จากนั้นทาทุกวันติดต่อกัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่าขี้ผึ้งเทียนกิ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสีได้ดีกว่าครีม hydrocortisone 1% โดยจะเห็นผลในสัปดาห์ที่ 2 ของการรักษา นอกจากนี้ยังลดอาการปวด อาการคัน และลดปริมาณของหนองด้วย (58)
การศึกษาผลของเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัด 70% เมทานอลจากใบเทียนกิ่ง 10% (มีปริมาณสาร lawsone เท่ากับ 0.62 ก./100 ก.) (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยา capecitabine และ5-fluorouracil (5-FU) และมีอาการ Hand-Foot syndrome จำนวน 18 คน โดยให้ทาเจลสารสกัดใบเทียนกิ่ง ขนาด 0.5-1 ช้อนชา ที่แขนขาด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งให้ทาเจลหลอก วันละ 4 ครั้ง ตั้งแต่เริ่มให้เคมีบำบัด และให้ทาต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าเจลสารสกัดใบเทียนกิ่งมีผลในการรักษาอาการ Hand-Foot syndrome ได้ แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเจลหลอก มีผู้ป่วย 1 ราย ที่เกิดอาการแพ้จากการใช้เจลสารสกัดใบเทียนกิ่ง แต่ไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายในผู้ป่วยรายอื่นๆ (59)
3. การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1 น้ำยาบ้วนปาก (L001)
การประเมินประสิทธิภาพในการต้านเชื้อราของน้ำยาบ้วนปากซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 0.8% (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปากListerine®ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานและใส่ฟันปลอม จำนวน 60 คน โดยให้บ้วนปากวันละ 2 ครั้งๆ ละ 5 มล. นาน 30 วินาที เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ทำการวัดปริมาณของเชื้อรา Candida ในช่องปาก (C. albicans, C. tropicalis) ที่เวลาเริ่มต้น (baseline), 1 ชม. และ 1 สัปดาห์ของการทดสอบ พบว่าน้ำยาบ้วนปากสารสกัดเทียนกิ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อราในปากได้ดีกว่าน้ำยาบ้วนปาก Listerine®และมีอาการแสบร้อนปากน้อยกว่า (60)
การศึกษาในผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบเรื้อรังจำนวน 90 คน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับน้ำยาบ้วนปากซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 0.8% (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)กลุ่มที่ได้รับน้ำยาบ้วนปากซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบทับทิม 0.8% และกลุ่มที่ได้รับผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากสมุนไพรซึ่งจำหน่ายในตลาด (HiOra mouth wash®) โดยให้บ้วนปากวันละ 2 ครั้งๆ ละ 5 มล. นาน 30 วินาที เป็นเวลา 1 สัปดาห์พบว่าน้ำยาบ้วนปากทั้ง 3 ชนิด มีผลลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Streptococci sp., Staphylococcus aureus, Actinobacillus acomitans และ Porphyromonas gingivalis ในช่องปากของผู้ป่วย โดยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดใบทับทิมจะมีผลต้านเชื้อได้ดีที่สุด รองลงมาคือ น้ำยาบ้วนปากสารสกัดใบเทียนกิ่ง และน้ำยาบ้วนปาก HiOra®(61)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1. การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ย้อมสีผม (H003)
สารสกัดจากใบเทียนกิ่งแห้ง (ตัวอย่างจากประเทศไทย) เตรียมโดยการสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆ ได้แก่ น้ำ, 95%เอทานอล, เฮกเซน, 10% และ 20% เฮกไซลีนไกลคอลในน้ำ, 2.5% และ 5% โซเดียมคาร์-บอเนตในน้ำด้วยวิธีการสกัดเย็น(Perculator extraction) โดยแชใบเทียนกิ่งในตัวทำละลายต่างๆ ที่อุณหภูมิหอง เป็นเวลา 2 วัน และวิธีการสกัดร้อนด้วย Soxhlet extractor เมื่อนำสารสกัดที่ได้มาทดสอบการติดสีผมโดยแช่มัดเสนผมสีขาว (มัดละ 20 เสน)ในสารสกัดชนิดต่างๆ ที่ละลายดวยน้ำในอัตราสวน สารสกัด200มก./น้ำ 20มล.เป็นเวลา2ชม. จากนั้นล้างเส้นผมดวยน้ำกลั่น และผึ่งใหแหง ประเมินผลโดยใหผูประเมินทําการใหคะแนนการติดสี เปรียบเทียบกับน้ำคั้นใบเทียนกิ่งสดที่เป็นตัวควบคุม (เตรียมโดยนำใบเทียนกิ่งสดมาหั่นและปนใหละเอียด จากนั้นกรองและคั้นเอาน้ำออกมาใช้) ซึ่งให้มีคะแนนการติดสีเท่ากับ 4 พบว่าสารสกัด95%เอทานอลที่ไดจากวิธีการสกัดรอนสามารถติดสีผมขาวไดดีที่สุด รองลงมาคือ สารสกัด 95% เอทานอลที่ไดจากวิธีการสกัดเย็น และสารสกัด 10% เฮกไซลีนไกลคอลในน้ำที่ไดจากวิธีการสกัดเย็นและรอน (คะแนนการติดสีเท่ากับ 3, 2.7, 2.3 และ 2.3 ตามลำดับ) แตยังติดสีนอยกวาเมื่อเทียบกับน้ำคั้นใบสด (62)
การเปรียบเทียบผลของตัวทำละลายต่างๆ ได้แก่น้ำร้อน (อุณหภูมิ 80 OC), สุราขาว 40ดีกรี, น้ำมะนาวผสมน้ำต้มสุก และน้ำปูนใส ในการสกัดใบเทียนกิ่งสด (ตัวอย่างจาก จ.ชลบุรี) ต่อการติดสีและความคงทนในการติดสีของปอยผมหงอกเตรียมสารสกัดโดยเทตัวทำละลายแต่ละชนิดพอท่วมสมุนไพร ตั้งทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นนำไปห่อผ้าขาวบางแล้วคั้นผ่านกระชอนตาถี่ ทดสอบการติดสีโดยนำปอยผมหงอกแช่ในสารสกัดชนิดต่างๆ เป็นเวลา 15, 30, 45 หรือ 60 นาที จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้ง บันทึกความเข้มสี และทดสอบความคงทนในการติดสี โดยนำปอยผมหงอกที่มีความเข้มสีมากที่สุดในแต่ละสารสกัดมาชำระล้างสี โดยแช่ในแชมพูผสมน้ำกลั่น เป็นเวลา5 นาที เปิดน้ำผ่าน 30 วินาที ซับให้แห้ง ทำซ้ำ 5 รอบ บันทึกความเข้มสีทุกรอบ และบันทึกภาพด้วยกล้องถ่ายภาพ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำร้อนให้ผลในการติดสีดีที่สุด โดยความเข้มของสีจะแปรผันตรงกับเวลาในการแช่ปอยผมและมีความคงทนในการติดสีมากที่สุด เมื่อเทียบกับตัวทำละลายอื่นๆ (63)
1.2 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สารสกัด 95% เอทานอลจากใบ (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) เตรียมโดยการแช่สกัด (maceration) มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ทำให้ผมบางและศีรษะล้านโดยมีค่าความเข้มข้นที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เทียบเท่ากับสาร finasteride(finasteride equivalent 5α-reductase inhibition activity) เท่ากับ 12.58±0.45 มก. finasteride/1ก. สารสกัดหยาบ (64)
1.3 ป้องกันผมหงอก (H006)
การศึกษาผลต่อปริมาณเมลานินของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากจ.ขอนแก่น) ซึ่งเตรียมโดยการแช่สกัดความเข้มข้น 62.5-250 มคก./มล. ทดสอบในเซลล์ melanocyte B16F10พบว่าสารสกัดทุกความเข้มข้นสามารถเพิ่มปริมาณของเมลานินได้ 106.14±4.46 - 129.41±8.17%ขณะที่สารα-melanocyte stimulating hormone ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐาน ความเข้มข้น12.5 มคก./มล.มีผลเพิ่มปริมาณเมลานินได้115.40±14.37% แสดงว่าสารสกัดจากใบเทียนกิ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์ melanocyte ซึ่งอาจนำมาใช้ช่วยบํารุงเส้นผมให้มีผมหงอกน้อยลงได้ (65)
1.4 ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (H008)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อราซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรังแค ได้แก่ Malassezia furfur, M. globosa, M. obtuse, M. restricta, M. slooffiae, M. sympodialis ของสารสกัดน้ำจากใบและเมล็ดเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยการสกัดในน้ำกลั่นที่อุณหภูมิ 25OC และ 4OC เป็นเวลา 24 ชม. ความเข้มข้น 16-256 มคก./มล. พบว่าสารสกัดทั้ง 2 ชนิด มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ โดยสารสกัดจากใบจะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดจากเมล็ด ค่าของโซนใสเฉลี่ยของสารสกัดจากใบและเมล็ด เท่ากับ 17.8 และ 15.45 มม. ตาม ลำดับ (66)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินของสารสกัดเมทานอลจากดอกเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย, voucher specimen: KPU-N.T.H. Plant-2008)ซึ่งสกัดด้วยวิธีการรีฟลักซ์ และส่วนสกัดที่ได้จากการสกัดแยกส่วนด้วยเอทิลอะซีเตท, ส่วนสกัดด้วย 1-บิวทานอล และส่วนสกัดด้วยน้ำ ความเข้มข้น 1-100 มคก./มล. ในเซลล์B16 melanoma 4A5 ที่ถูกกระตุ้นด้วยสาร theophylline พบว่าสารสกัดเมทานอล, ส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทและส่วนสกัดด้วย 1-บิวทานอล สามารถยับยั้งการสร้างเมลานินได้ โดยค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง(IC50)เท่ากับ 65, 7.4 และ 67.2 มคก./มล. ตามลำดับ ขณะที่ส่วนสกัดด้วยน้ำไม่มีผล เมื่อนำส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทซึ่งมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้ง มาทำการศึกษาองค์ประกอบทางเคมี พบว่าประกอบด้วยสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ได้แก่ eriodictyol (1), luteolin (2), luteolin-4′-O-β-D-glucopyranoside (3), diosmetin-3′-O-β-D-glucopyranoside (4), moldavoside (5), luteoloside (6), quercetin (7), spiraeoside (8), quercetin-3-O-β-D-glucopyranoside (9)และ 4′-O-methyl-quercetin-3-O-β-D-glucopyranoside (10) เมื่อทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินของสารทั้ง 10 ชนิด ความเข้มข้น 1-100 ไมโครโมลาร์ พบว่าสาร 1, 2, 4, และ7มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินได้ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 48, 14, 55, และ15 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ขณะที่สารอื่นๆ ไม่มีผล ในการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารทั้ง 10 ชนิด ความเข้มข้น 10 และ 100 ไมโครโมลาร์ พบว่าสาร 2 และ 6-8 มีฤทธิ์ดีในการยับยั้งเอนไซม์ สาร 1, 2 และ 7 ความเข้มข้น 3-30 ไมโครโมลาร์ มีผลยับยั้งการแสดงออกของยีนของเอนไซม์tyrosinase, tyrosinase related protein (TRP)-1 และ TRP-2 นอกจากนี้ยังพบว่าสาร6 และ8 ที่ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งพลาสมิน (plasmin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างเมลานินที่ถูกกระตุ้นด้วยรังสี UV โดยยับยั้งได้ 61.0% และ51.0% ตามลำดับและมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ tranexamic acid ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก (ยับยั้งได้ 9.5%) (18)
สารสกัดจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซูดาน) ซึ่งสกัดด้วยเมทานอล (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เป็นเวลา 12 ชม. จำนวน 3 ครั้ง ความเข้มข้น 125 และ 500 มคก./มล. มีฤทธิ์อ่อนในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
โดยยับยั้งได้ 02.91% และ 11.20% ในปฏิกิริยาที่ใช้L-tyrosineเป็นสารตั้งต้นและยับยั้งได้ 12.44% และ 12.78%ในปฏิกิริยาที่ใช้ L-DOPA เป็นสารตั้งต้นเมื่อเทียบกับกรดโคจิก (kojic acid)ที่ยับยั้งได้ 99.50% และ 99.65% ในปฏิกิริยาที่ใช้ L-tyrosine เป็นสารตั้งต้น, 83.54% และ 96.40% ในปฏิกิริยาที่ใช้ L-DOPA เป็นสารตั้งต้น (67)
2.2 ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยการสกัดด้วยSoxhlet apparatus ในตัวทำละลายชนิดต่างๆได้แก่ คลอโรฟอร์ม, อะซีโตน, เบนซีน, ไซโคลเฮกเซน, เอทิลอะซีเตท, เมทานอล, เอทานอล และน้ำ ความเข้มข้น 5-40 มก./มล. พบว่าสารสกัดเมทานอลมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus ได้ ค่าของโซนใส (zone of inhibition) อยู่ระหว่าง 4-12 มม. ขณะที่สารสกัดอื่นๆ ไม่มีผล (68)
สารสกัดจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอิรัก) เตรียมโดยการสกัดข้ามคืนด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่อะซีโตน, เอทิลอะซีเตท เมทานอล, เอทานอล และน้ำ ใน shaking incubator อุณหภูมิ 37 oC ความเข้มข้น 25 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus โดยสารสกัดอะซีโตนสามารถต้านเชื้อได้ดีที่สุด มีค่าของโซนใส เท่ากับ 16.5±1.8 มม. ขณะที่ยา gentamycin ความเข้มข้น 10 มคก. /มล. มีค่าของโซนใส 17±0.57 มม. และการทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดอะซีโตน ความเข้มข้น 20-100% พบว่าสารสกัดอะซีโตนที่ความเข้มข้น 100% สามารถต้านเชื้อ S. aureus ได้ดีที่สุด มีค่าของโซนใส เท่ากับ 21.66±0.88 มม. และค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัดที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (MIC) เท่ากับ 11 มก./มล. (69)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดคลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซีเตท, เมทานอล, เอทานอล และน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิ 37oC เป็นเวลา 2 วันพบว่าสามารถต้านเชื้อ S. aureusได้ โดยสารสกัดเมทานอลและเอทานอลจะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านเชื้อ ค่าของโซนใส เท่ากับ 23 และ 23 มม. ตามลำดับ (70)
สารสกัดจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการบ่มใน rotary shaker ด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ ปิโตรเลียมอีเทอร์, เฮกเซน,อะซีโตน, คลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซีเตท และเมทานอล เป็นเวลา 3 วัน มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย methicillin-resistant S. aureus (MRSA) โดยสารสกัดเมทานอลจะมีฤทธิ์ดีที่สุด (ค่าของโซนใส 18 มม.) เมื่อเทียบกับยา vancomycin (ค่าของโซนใส 15 มม.) ขณะที่สารสกัดอื่นๆ ให้ผลเพียงเล็กน้อย (ค่าของโซนใส 8 มม.) สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ มีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งการเกิดไบโอฟิล์มโดยยับยั้งได้ 84.7% รองลงมา คือ สารสกัดเฮกเซน (83.6%) ขณะที่สารสกัดเมทานอลสามารถยับยั้งได้ 77% (71)
สารสกัดคลอโรฟอร์มและน้ำจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยSoxhlet apparatusความเข้มข้น 100-800 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusโดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ค่าของโซนใสของสารสกัดคลอโรฟอร์มและน้ำ เท่ากับ 11-17 มม. และ 16-21 มม. ตามลำดับ ขณะที่สารสกัดเอทานอลไม่มีผล (72)
สารสกัดเมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซาอุดีอาระเบีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยคลื่นความถี่สูง (sonication) ที่อุณหภูมิ 30 oC เป็นเวลา 30 นาทีมีฤทธิ์ต้านเชื้อS. aureusโดยมีค่า MIC และค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (MBC) เท่ากับ 0.41±0.02 และ 0.93±0.03 มก./มล. ตามลำดับ ขณะที่ยา streptomycin ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก มีค่าMIC และ MBC เท่ากับ 0.15±0.01 และ 0.31±0.02 มก./มล. ตามลำดับ โดยสารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ gallic acid, apigetrin และ apigenin 5-glucoside (12)
สารสกัดเมทานอลจากใบเทียนกิ่ง ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากประเทศเอธิโอเปีย; voucher specimen No. MG-012/05) ความเข้มข้น 100, 200 และ 400 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียS.aureusทั้งสายพันธุ์มาตรฐาน ATCC 25923และสายพันธุ์ที่แยกได้จากแผลของผู้ป่วยที่มีภาวะบวมน้ำเหลือง(lymphoedema) โดยมีค่า MIC และ MBC สำหรับเชื้อS. aureus ATCC 25923 เท่ากับ 3.1 และ 25.0 มก./มล. และS. aureusสายพันธุ์ที่แยกได้จากแผลของผู้ป่วย เท่ากับ6.25 และ50.0 มก./มล. ตามลำดับ นอกจากนี้สารสกัดยังมีผลต้านเชื้อ MRSA ได้ โดยมีค่า MIC เท่ากับ 4.2มก./มล. (73)
สารสกัดเมทานอลและเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ซึ่งได้จากการสกัดด้วยSoxhlet apparatus ความเข้มข้น 25%-100% มีฤทธิ์ต้านเชื้อS. aureusโดยค่าของโซนใสของสารสกัด เมทานอลและเอทานอล เท่ากับ 1.4±2.01-2.9±2.3 มม. และ2.1±3.21-3.1±6.2 มม. ตามลำดับ (74)
สารสกัด 96% เมทานอล และสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซาอุดีอาระ-เบีย) เตรียมโดยการสกัดใน water bath shaker อุณหภูมิ 37oC เป็นเวลา 24 ชม. ความเข้มข้น 2.5 มก./มล. สามารถต้านเชื้อ S.aureusได้ มีค่าของโซนใส เท่ากับ 8±2.2 และ 5.3±1 มม. ตามลำดับ แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา ciprofloxacin ความเข้มข้น 30 มคก./แผ่น ซึ่งมีค่าของโซนใส 10 มม. (34)
สารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการแช่ (soaking) ในเอทานอล เป็นเวลา 1 ชม. ความเข้มข้น 100, 1,000 และ 2,000 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อS. aureusโดยค่าของโซนใส เท่ากับ 13, 14 และ 11มม. ตามลำดับ ซึ่งฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา amikacin(ค่าของโซนใส25 มม.)(75)
สารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซูดาน) เตรียมโดยการสกัดด้วยSoxhlet apparatus ที่อุณหภูมิ70oC เป็นเวลา 72 ชม. ความเข้มข้น 125, 250 และ 500 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อS. aureusโดยค่าของโซนใส เท่ากับ 9, 10 และ 12 มม. ตามลำดับ ซึ่งฤทธิ์จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา ciprofloxacin (ค่าของโซนใส 30 มม.) (76)
สารสกัดเอทานอลและสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย)เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 3 วันมีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusโดยค่า MIC ของสารสกัดเอทานอล และสารสกัดน้ำ เท่ากับ 0.47±0.03 มก./มล. และ 0.31±0.02 ตามลำดับ (77)
สารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน)เตรียมโดยแช่ในน้ำกลั่นที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 24 ชม. ความเข้มข้น 5% มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusโดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 11.6±0.06 มม. และเมื่อนำสารสกัดเดียวกันนี้ ความเข้มข้น 5% มาเป็นส่วนผสมในตำรับเจล ร่วมกับสารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดินของคาโมมายด์ (chamomile)ความเข้มข้น 5% พบว่าสามารถต้านเชื้อได้ดีกว่าสารสกัดเดี่ยวๆ ค่าของโซนใส เท่ากับ 25.1±0.15 มม. แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา clindamycinที่มีค่าของโซนใส เท่ากับ 35.3±0.06 มม.(78)
สารสกัดน้ำจากใบแห้งและผงเทียนกิ่งที่วางจำหน่ายในท้องตลาด(ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) เตรียมโดยการสกัดในน้ำกลั่นด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (sonication) เป็นเวลา 20 นาที มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.aureusโดยค่าMIC ของสารสกัดน้ำจากใบแห้งและผงเทียนกิ่ง เท่ากับ 54.3±1.8 และ 41.1±0.5 มคก./มล. และค่า MBC ของสารสกัดน้ำจากใบแห้งและผงเทียนกิ่ง เท่ากับ 454.3±42 และ 165.8±3.7 มคก./มล. ตามลำดับ (79)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของเส้นใยนาโนที่บรรจุสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (gelatin-oxidized starch-henna nanofibers)ความเข้มข้น 10%, 20% และ 30%(ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน, เตรียมสารสกัดโดยการต้มในน้ำกลั่น เป็นเวลา 30 นาที) พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusได้ โดยเส้นใยนาโนที่บรรจุสารสกัดเทียนกิ่ง 30% จะมีฤทธิ์ดีที่สุด สามารถยับยั้งเชื้อได้ 92.21% (80)
สาร lawsonol ที่แยกได้จากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ) ความข้มข้น 100 มคก./แผ่น มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus โดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 14 มม. ซึ่งมีฤทธิ์ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับยา azithromycin ความเข้มข้น 30 มคก./แผ่น ที่มีค่าของโซนใส เท่ากับ 27 มม. (32)
2.3 ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากกรุงเทพฯ) ซึ่งเตรียมจากการสกัด 2 วิธี ได้แก่ การสกัดโดยใช้หม้อนึ่งแรงดันสูง (autoclave extraction) ที่อุณหภูมิ 121oC, ความดัน 0.13 MPa เป็นเวลา 30 นาที และการสกัดด้วยน้ำร้อน ที่อุณหภูมิ80oC เป็นเวลา 30 นาทีโดยทดสอบด้วยวิธี 1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl radical scavenging (DPPH) และ 2,2′-azinobis-(-ethyl- benzthiazoline-6-sulfonic acid) (ABTS)พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ในการทดสอบทั้ง 2 วิธี โดยค่า IC50 ของสารสกัดน้ำที่สกัดด้วยหม้อนึ่งแรงดันสูงและสารสกัดด้วยน้ำร้อน เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPHเท่ากับ 225.7±8.6และ 275.7±10.1 มคก./มล. ตามลำดับ และเมื่อทดสอบด้วยวิธีABTS เท่ากับ 27.5±4.3และ 36.1±1.8 มคก./มล. ตามลำดับ ขณะที่โทรล็อกซ์ (trolox) ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก มีค่า IC50 เท่ากับ25.2±3.8 มคก./มล. (วิธี DPPH) และ 4.5±0.4มคก./มล. (วิธี ABTS) สารสกัดทั้ง 2 ชนิดมีปริมาณสารฟีนอลิกรวม เท่ากับ 86.4±1.6และ82.5±1.1มก. สมมูลของกรดแกลลิก (gallic acid equivalent; GAE)/ก. สารสกัด ตามลำดับและมีปริมาณสารฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 8.6±0.4 และ 7.7±0.3 มก. สมมูลของคาเทชิน (catechin equi-valent; CE)/ก. สารสกัด ตามลำดับ โดยสารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ apigenin, caffeic acid, catechin, chlorogenic acid, ellagic acid, ferulic acid, gallic acid, luteolin และ quercetin (33)
สารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) เตรียมโดยการกวน (stirring) ในน้ำกลั่นที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 20 ชม. ความเข้มข้น 50 และ 500 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, β-carotene bleaching และ reducing power โดยสารสกัดความเข้มข้น 500 มคก./มล. จะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดความเข้มข้น 50 มคก./มล. สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH ได้ 88.7%, ยับยั้งการฟอกสีของ β-carotene ได้ 69.2% และความสามารถในการรีดิวซ์ เท่ากับ 1.13 ±0.07 เมื่อนำสารสกัดน้ำทั้ง 2 ความเข้มข้น มาเป็นส่วนผสมในแผ่นฟิล์มและเจลซึ่งทำจากเจลาตินของหนังหมึกกระดองแล้วทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระพบว่าแผ่นฟิล์มและเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเทียนกิ่งความเข้มข้น 500 มคก./มล. จะมีฤทธิ์ดีกว่าแผ่นฟิล์มและเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเทียนกิ่ง ความเข้มข้น 50 มคก./มล. และแผ่นฟิล์มและเจลซึ่งไม่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเทียนกิ่ง (กลุ่มควบคุม) โดยมีผลยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH ได้ 93%และ 90.3%, ยับยั้งการฟอกสีของ β-carotene ได้ 80% และ 81.5% และความสามารถในการรีดิวซ์ เท่ากับ 1.65±0.02และ0.944±0.01ตามลำดับ(81)
สารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ซึ่งสกัดด้วยวิธี percolation ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 2 วัน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 352.77 และ 380.87 มคก./มล. เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS ตามลำดับ ในการทดสอบด้วยวิธี superoxide anion radical scavenging และhydroxyl radical scavenging พบว่าสารสกัดที่ความเข้มข้น 1,000 มคก./มล. สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 48.44 % และ 59.75 % ตามลำดับ นอกจากนี้สารสกัดยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธีferric reducing antioxidant power(FRAP) โดยความสามารถในการรีดีวซ์จะแปรผันตามความเข้มข้นของสารสกัด เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารสกัด พบว่าประกอบด้วย caffeic acid, catechin, chlorogenic acid, coumaric acid, ellagic acid, epicatechin, gallic acid, kaempferol,quercetin, rutin และ umbelliferone (16)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบแห้งและผงเทียนกิ่งที่วางจำหน่ายในท้องตลาด (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) โดยสกัดตัวอย่างในน้ำกลั่นด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (sonication) เป็นเวลา 20 นาที พบว่าสารสกัดน้ำจากใบแห้งและผงเทียนกิ่ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ โดยค่า IC50ของสารสกัดจากใบแห้ง, ผงเทียนกิ่ง และวิตามินซี เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH เท่ากับ 97.4±2.64, 51.36±1.9 และ 10.14±0.81 มคก./มล. ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธี ABTSมีค่า IC50เท่ากับ 101.35±2.25, 78.18±1.47 และ201.15±1.27 มคก./มล. ตามลำดับ (79)
สารสกัดเอทานอลจากใบ (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 3 วัน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่า IC50เท่ากับ 3.80± 0.02 มคก./มล. ซึ่งจะมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซี (IC50 7.26±0.12 มคก./มล.) (77)
สารสกัด 60% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย)ไม่ระบุวิธีการสกัด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH ค่า IC50เท่ากับ 60.48±3.88 มคก./มล. มีปริมาณสารฟีนอลิกรวม เท่ากับ 87.48±8.0 มก. GAE/ก. สารสกัด และปริมาณฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 668.87 มก./กก. สารสกัด ซึ่งสารหลักในกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่พบ ได้แก่ catechin, epicatechin, naringin และ rutin (15)
สารสกัด 50% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจาก จ.ขอนแก่น) เตรียมโดยการแช่สกัด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 9.93±2.38 มคก./มล. เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และค่า FRAP value เท่ากับ 733.13±154.62 มก./ก. เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัดเท่ากับ 170.21±14.69 มก. สมมูลของกรดแทนนิก (tannic acid equivalent; TAE)/ก. สารสกัด (65)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอียิปต์) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง และสารที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอล ได้แก่ p-coumaric acid, lawsone, apigenin, luteolin, 2-methoxy-3-methyl-1,4-naphthoquinone, cosmosiin และ apiin พบว่าสาร apiin จะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS โดยมีค่า IC50เท่ากับ 1.6 มิลลิโมลาร์ และมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซีที่มีค่า IC502.5 มิลลิโมลาร์(10)
สารสกัดเมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน; voucher specimens: AW KUM.Bot.78.3.1.p5) เตรียมโดยการสกัดด้วย soxhlet apparatus ที่อุณหภูมิ 60 oC เป็นเวลา 4 ชม. ความเข้มข้น 12.5-200 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่าความเข้มข้นของสารที่ทำให้จำนวนของอนุมูลอิสระลดลงครึ่งหนึ่ง (ED50) เท่ากับ 33.68±1.04มคก./มล. ขณะที่วิตามินอีมีค่าED50 เท่ากับ 7.73±0.66มคก./มล. สารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ 3-caffeoylquinic acid, kaempferol 3-O-glucoside, kaempferol-acetyl-glycoside, quercetin 3-O-glucoside และ rutin (20)
สารสกัดจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซูดาน) ซึ่งสกัดด้วยเมทานอล (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เป็นเวลา 12 ชม. จำนวน 3 ครั้ง ความเข้มข้น 1 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP โดยมีค่า FRAP value เท่ากับ 1.74±0.07มิลลิโมลาร์/มก. ขณะที่ quercetin, วิตามินซี และ BHT ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก มีค่า FRAP value เท่ากับ3.96, 3.79 และ2.84 มิลลิโมลาร์/มก. ตามลำดับ (67)
สารสกัดเมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซาอุดีอาระเบีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยคลื่นความถี่สูง (sonication) ที่อุณหภูมิ 30 oC เป็นเวลา 30 นาที มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, FRAP และ β-carotene bleaching โดยสารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ gallic acid, apigetrin และ apigenin 5-glucoside (12)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 80% เมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย; voucher specimen No. 6773) และส่วนสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆ ที่แยกจากสารสกัด ได้แก่ ส่วนสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม,บิวทานอล, เอทิลอะซีเตท และน้ำ พบว่าส่วนสกัดด้วยน้ำจะมีฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อทดสอบด้วยวิธีnitric oxide radical scavenging (ยับยั้งไนตริกออกไซด์ได้ 60.47%) และวิธี superoxide anion radical scavenging (ค่า IC50 27.56 มคก./มล.)ส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดเมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS (IC50 1.29 มคก./มล.),วิธี reducing power (IC50486 มคก./มล.) และวิธี total antioxidant capacity (% total antioxidant capacity เท่ากับ 27.5%) ในการทดสอบด้วยวิธี DPPH พบว่าส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทและสารสกัด 80% เมทานอล มีฤทธิ์ดีเท่ากันในการต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 44.96 มคก./มล.เมื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดและส่วนสกัดต่างๆ จากใบเทียนกิ่ง พบว่าประกอบด้วยสารสำคัญหลัก ได้แก่ catechin, chlorogenic acid, ellagic acid, epicate-chin, gallic acid, kaempferol, quercetin และ rutin (14)
สารสกัด 80% เมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศโมร็อกโก) เตรียมโดยการสกัดด้วยคลื่นความถี่สูง (sonication) ที่อุณหภูมิ 69 oC เป็นเวลา 1 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยความสามารถในการตานอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS และวิธี FRAP เท่ากับ 26.84±1.19 และ 33.06±0.19 มิลลิโมลtrolox equivalent (TE)/100 ก.นน.แห้ง ตามลำดับและค่า IC50เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ β-carotene bleaching เท่ากับ 18.26±1.04 และ 71.32±5.63 มคก./มล. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสาร BHT ที่มีค่า IC50เท่ากับ 22.67±2.17 และ 53.25±3.62มคก./มล. ปริมาณสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 5.31 ±0.16 ก. GAE/100 ก.นน.แห้งและปริมาณสารฟลาโวนอยด์รวมในสารสกัดเท่ากับ 3.62±0.15ก. สมมูลของรูทีน (rutin equivalent; RE)/100ก.นน.แห้ง(82)
สารสกัด 80% เมทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศโมร็อกโก)ไม่ระบุวิธีการสกัด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ FRAP โดยสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH ได้ 77.71± 0.17% และมีค่า FRAP value เท่ากับ479.26±2.97 ไมโครโมล/ก.นน.สารสกัด(83)
สารสกัดเอทิลอะซีเตทจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เตรียมโดยการแช่สกัด ความเข้มข้น 40-140 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 97.68 มคก./มล.ซึ่งฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซี (ค่า IC502.79 มคก./มล.) (84)
น้ำมันหอมระเหยจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย) ซึ่งสกัดได้จากวิธีการกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) ที่อุณหภูมิ 100 oC เป็นเวลา 6 ชม. ความเข้มข้น 0.02% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธีferric thiocyanate และ thiobarbituric acid และมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินอี โดยสารเคมีหลักที่พบในน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ heptadecane, tetradecane, hexadecane และ phytol(39)
น้ำมันหอมระเหยจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) ซึ่งสกัดได้จากวิธีการกลั่นด้วยน้ำ ที่อุณหภูมิ 100 oC เป็นเวลา 24 ชม. ความเข้มข้น 20-100 มคล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดยน้ำมันหอมระเหยที่ความเข้มข้น 100 มคล. สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 88% ขณะที่สาร BHT ความเข้มข้น 100 มคล. มีผลต้านอนุมูลอิสระได้ 92% เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี พบว่าสารหลักในน้ำมันหอมระเหยประกอบด้วย eucaloptol,α-pinene และ linalool (38)
น้ำมันหอมระเหยจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย)เตรียมโดยการสกัดด้วยวิธีการกลั่นด้วยน้ำเป็นเวลา 3 ชม.มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี Phosphomolybdenum assay, DPPH และ ABTS นอกจากนี้ยังมีผลลดระดับของ malondialdehydeในเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Raji ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย12-O-tetradecanoyl-phorbol-13-acetate (TPA) ซึ่งสารเคมีหลักที่พบในน้ำมันหอมระเหย ได้แก่α-limonene, β-limonene, β-myrcene และ linalool (40)
สารสกัดจากดอกเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยsoxhlet apparatus ในตัวทำละลายต่างๆ ได้แก่ เฮกเซน, คลอโรฟอร์ม และเมทานอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTSโดยสารสกัดเมทานอลจะมีฤทธิ์ดีที่สุด มีค่า IC50ของการทดสอบด้วยวิธี DPPH เท่ากับ8.5 ±3.6 มก./มล. และวิธี ABTS เท่ากับ 5.0±1.0 มก./มล. ขณะที่สารสกัดคลอโรฟอร์มและสารสกัดเฮกเซนไม่มีผล (IC50>100 มก./มล.) (85)
สารสกัดเมทานอลจากเมล็ดเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจาก จ. อุบลราชธานี) เตรียมโดยแช่ใน percolator มีฤทธิ์อ่อนในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH มีค่า IC50เท่ากับ307.33±5.46 มคก./มล. เมื่อเทียบกับสารมาตรฐาน ได้แก่ วิตามินซี กรดแกลลิก และเคอร์คูมินอยด์ ซึ่งมีค่า IC50 เท่ากับ 3.48±0.09, 1.17±0.04 และ9.64±0.11มคก./มล. ตามลำดับ (86)
สารสกัดเมทานอลจากเมล็ดเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) เตรียมโดยการกวนใน shaker incubator อัตราเร็ว 600 รอบ/วินาที ที่อุณหภูมิ 37 oC เป็นเวลา 1 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS โดยมีค่า trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) เท่ากับ17,000±900 และ 18,100±310มก./100 ก. สารสกัดตามลำดับ ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 4,700±100 มก. GAE/100 ก. สารสกัด (36)
สารสกัดเทียนกิ่ง ไม่ระบุส่วนที่ใช้ (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยเมทานอลที่อุณหภูมิ 40 oC เป็นเวลา 2 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH มีค่า IC50เท่ากับ 31.09± 0.25มคก./มล. ปริมาณสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 728.43±0.14 มก. GAE/ก. สารสกัดนอกจากนี้ยังพบสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์หลายชนิด ได้แก่catechin, epicatechin, kaempferol myricetin, naringenin และquercetin (13)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่แยกได้จากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย;voucher specimen : G.H. No. 7292) ได้แก่ lawsochrysin, lawsochrysinin, lawsona-ringenin,3′,4′-dimethoxyflavone, 7-hydroxyflavone, 3,3′,4′,7-tetrahydroxyflavanone และ rhoifolin ด้วยวิธี DPPH พบว่าสาร 3,3′,4′,7-tetrahydroxyflavanone มีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 33.83 ไมโครโมลาร์ซึ่งใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน propyl gallate (IC50 30.46±0.2ไมโครโมลาร์) (19)
สาร lalioside, lawsoniaside, luteolin-7-O-β-D-glucopyranoside, 2,4,6-trihydroxyace- tophenone-2-O-β-D-glucopyranosideและ 1,2,4-trihydroxynaphthalene-1-O-β-D-glucopyrano- side ที่แยกได้จากสารสกัด 80% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ โดยสาร 1,2,4-trihydroxynaphthalene-1-O-β-D-glucopyranoside จะมีฤทธิ์ดีที่สุด เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH ซึ่งค่าความเข้มข้นที่ทำให้จำนวนของอนุมูลอิสระลดลงครึ่งหนึ่ง (EC50) เท่ากับ6.5±0.8 มคก./มล. แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซีที่มีค่า EC503.5±0.2มคก./มล. ในการทดสอบด้วยวิธี β-carotene bleaching พบว่าสาร luteolin-7-O-β-D-gluco- pyranoside ความเข้มข้น 100 มคก./มล. มีฤทธิ์ดีที่สุด โดยสามารถยับยั้งการเกิด lipid peroxidationได้ 61.5±0.4% ขณะที่สาร BHT ความเข้มข้น 100 มคก./มล. มีผลยับยั้งได้ 79.0±0.5% (21)
น้ำมันเทียนกิ่ง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้และแหล่งที่มา) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, FRAP และ β-carotene bleaching จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมัน พบว่าประกอบด้วยกรดไขมันชนิดต่างๆ ได้แก่ linoleic acid, α-linolenic acid, oleic acid, palmitic acid และ stearic acid (37)
2.4 ต้านการอักเสบ (S014)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากกรุงเทพฯ) เตรียมด้วยวิธี การสกัด 2 วิธี ได้แก่ การสกัดโดยใช้หม้อนึ่งแรงดันสูง (autoclave extraction) ที่อุณหภูมิ 121oC, ความดัน 0.13 MPa เป็นเวลา 30 นาที และการสกัดด้วยน้ำร้อน ที่อุณหภูมิ80oC เป็นเวลา 30 นาทีความเข้มข้น 25-200 มคก./มล. โดยทดสอบในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกระตุ้นด้วยสารlipopolysaccharide(LPS) พบว่าสารสกัดทั้ง 2 ชนิด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ โดยยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น สารสกัดทั้งสองชนิดที่ความเข้มข้น 200 มคก./มล. สามารถยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ได้ 24% และ 21% ตามลำดับ การวิเคราะห์สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในสารสกัดทั้ง 2 ชนิด พบว่าประกอบด้วยสารประกอบฟีนอลิกและสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ได้แก่ apigenin, caffeic acid, catechin, chlorogenic acid, ellagic acid, ferulic acid, gallic acid, luteolin และ quercetin (33)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท, ส่วนสกัดด้วยเมทานอล และส่วนสกัดด้วยน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ในเซลล์เม็ดเลือดขาว(human peripheral blood monocytes) ชนิด THP-1ซึ่งถูกกระตุ้นให้หลั่งสารinterleukin-6 (IL-6) และ tumour necrosis factor-α (TNF-α) ด้วยสารLPS พบว่าส่วนสกัดทั้ง 3 ชนิด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ โดยส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทความเข้มข้น 100 และ 200 มคก./มล. สามารถยับยั้งการหลั่ง IL-6 ได้ 83.21% และ 82.54%,ส่วนสกัดด้วยเมทานอล ความเข้มข้น 250 และ 500 มคก./มล. ยับยั้งได้ 39.96% และ 52.30% และส่วนสกัดด้วยน้ำความเข้มข้น 250และ 500 มคก./มล. ยับยั้งได้ 58.69% และ 79.16% ขณะที่ยา dexamethasone ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์สามารถยับยั้งได้ 77.05% ส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทความเข้มข้น200 มคก./มล.มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของ TNF-αได้89.88% ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับยาdexamethasone(71.17%) ขณะที่ส่วนสกัดอื่นๆ ไม่มีผล (87)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากใบและลำต้นเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน) ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดneutrophils ของคน ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยสารformyl-methionyl-leucyl-phenylalanine และ cytochalasin B โดยประเมินผลจากการยับยั้งอนุมูลอิสระsuperoxide anion และการหลั่งของเอนไซม์elastase ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของเซลล์ พบว่าสารที่มีฤทธิ์ดีในการต้านการอักเสบ คือ lawsochylin A, lawsonaphthoate A, luteolin, apigenin, (4S)-4-hydroxy-α-tetralone และ 2-butoxysuccinic acid โดยมีค่า IC50ในการยับยั้งการสร้าง superoxide anion เท่ากับ 1.80, 1.90,0.75, 1.12,1.61 และ 1.78 มคก./มล. ตามลำดับ และค่า IC50ในการยับยั้งเอนไซม์ elastase เท่ากับ 1.58, 3.17,2.19, 3.61, 1.62 และ 2.36 มคก./มล. ตามลำดับเมื่อเทียบกับสาร genistein ที่มีค่า IC50 0.54 และ 6.99 มคก./มล. ตามลำดับ(9)
สารสกัดจากดอกเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) เตรียมโดยการสกัดด้วย soxhlet apparatus ในตัวทำละลายต่างๆ ได้แก่ เฮกเซน, คลอโรฟอร์ม และเมทานอล ความเข้มข้น 200 มก./มล. มีฤทธ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบ โดยสารสกัดเมทานอลจะมีฤทธิ์ดีที่สุด สามารถยับยั้งได้ 87.7% รองลงมาคือ สารสกัดคลอโรฟอร์ม (31.85%) และสารสกัดเฮกเซน (26.25%) (85)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน; voucher specimen : CMU-LIY-090711) จำนวน 12 ชนิด ในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกระตุ้นด้วยสาร LPS พบว่าสารที่มีฤทธิ์ดีในการต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการสร้าง ไนตริกออกไซด์ ได้แก่สาร chrysin, syzalterin, sideroxyline, oroxylin a, isoscopoletin และ isofraxidin มีค่าIC50 เท่ากับ 8.11, 2.32, 1.87, 7.72, 2.18, 6.34 มคก./มล.ตามลำดับและมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับยา Indomethacin ซึ่งมีค่า IC50เท่ากับ 57.39มคก./มล. (17)
สาร 14 ชนิด ซึ่งแยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน; voucher specimen : CMU-LIY-090711)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกระตุ้นด้วยสาร LPS พบว่าสารที่มีฤทธิ์ดีในการยับยั้ง ได้แก่ lawsoinermone, caffeoyl alcohol และ lawsoneค่า IC50 เท่ากับ 6.12, 9.30และ9.30 มคก./มล. ตาม ลำดับและมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับยา Indomethacin (ค่า IC5059.48 มคก./มล.) (25)
สารที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน; voucher specimen : CMU-LIY-090711)ได้แก่ (Z)-4,4′-(prop-1-ene-1,3-diyl)diphenol, 4′-hydroxy-flavanone, apigenin, kampferol, luteolin, quercetin และ catechin มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ได้ เมื่อทดสอบในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกระตุ้นด้วยสาร LPS โดยมีค่า IC50เท่ากับ 5.63, 15.72, 8.67, 6.67, 6.17, 7.61 และ 14.52 มคก./มล. ตามลำดับ และมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับยา indomethacin(ค่า IC5078.56 มคก./มล.) ขณะที่สาร inermiscarbonates A และ B ไม่มีผล (11)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยแช่ (soaked) ตัวอย่างในเมทานอล ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นนำสารสกัดเมทานอลมาสกัดแยกส่วนด้วยเอทิลอะซีเตท ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน โดยฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ พบว่าสารสกัดเมทานอล ขนาด 100 มคก./มล. และส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท ขนาด 50 มก./กก. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยลดการบวมของอุ้งเท้าหนูได้ 83.89% และ 85.50% ตามลำดับ เมื่อวัดที่เวลา 4 ชม. ซึ่งมีผลใกล้เคียงกับยา ibuprofen ขนาด 100 มก./กก. ที่ลดได้ 88.72% (88)
สารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วย soxhlet apparatus ขนาด 100 และ 200 มก./กก. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน โดยลดการบวมของอุ้งเท้าได้ 39.49% และ 55.98% ตามลำดับ ขณะที่ยา indomethacin ขนาด 5 มก./กก. มีผลลดการบวมได้ 58.13% เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารสกัด พบว่าประกอบด้วยสาร methyl salicylate, propanoic acid, diethyl phthalate, dibutyl phtha-late, diisooctyl phthalate และ phytol (35)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัด 95% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศซูดาน) เตรียมโดยการสกัดด้วย soxhlet apparatus เป็นเวลา 12 ชม., ส่วนสกัดด้วยบิวทานอล, ส่วนสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม, ส่วนสกัดด้วยน้ำที่แยกได้จากสารสกัด 95% เอทานอล และสาร lawsone ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน พบว่าสารสกัด 95% เอทานอล ขนาด 1 ก./กก., ส่วนสกัดด้วยบิวทานอล และส่วนสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม ขนาด 0.5 ก./กก., สาร lawsone ขนาด 0.25 และ 0.5ก./กก.มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ ขณะที่ส่วนสกัดด้วยน้ำ ขนาด 0.25 และ 0.5 ก./กก. ไม่มีผล ซึ่งสาร lawsone ที่ขนาด 0.5 ก./กก. จะให้ผลในการต้านการอักเสบได้ไม่แตกต่างจากยา phenylbutazone ขนาด 0.2 ก./กก. (41)
สารสกัดจากเปลือกต้นเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ; voucher specimen No. 38586) เตรียมโดยแช่ตัวอย่างใน 85% เมทานอล เป็นเวลา 7 วัน ขนาด 300 และ 500 มก./กก. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน โดยสามารถลดการบวมของอุ้งเท้าได้ 54.97%และ 62.25%ตามลำดับ แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา Ibuprofen ขนาด 10 มก./กก. ซึ่งลดการบวมได้ 74.17% (89)
2.5 รักษาแผล (S015)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย; voucher specimen No. pp256) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา20 ชม. ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบรอยตัด (excision wound) โดยทาสารสกัด ขนาด 200 มก./กก./วัน จนกระทั่งแผลหายดีพบว่าสารสกัดมีผลทำให้ขนาดของแผลลดลง 71% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (58%) และระยะเวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิว (rate of epithelialization) เร็วขึ้น (12.4±0.13 วัน)การทดสอบในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบรอยกรีด (incision wound) หรือแผลที่มีเนื้อตาย (dead space wound) เมื่อป้อนสารสกัดดังกล่าวขนาด 200 มก./กก./วัน เป็นเวลา 10 วัน พบว่าแรงดึงของแผล (skin-breaking strength) น้ำหนักของ granulation tissue และระดับของ hydroxyproline เพิ่มขึ้น เมื่อตรวจสอบลักษณะเนื้อเยื่อของหนูที่ได้รับสารสกัด พบว่าปริมาณของคอลลาเจนและเซลล์ไฟโบรบลาสต์เพิ่มมากขึ้นปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด macrophage และเซลล์ที่เกิดการอักเสบลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (90)
การศึกษาในม้าสายพันธุ์อาหรับพื้นเมืองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลที่คอ เมื่อทาแผลด้วยสารสกัดเอทานอลจากใบ(ตัวอย่างจากประเทศอิรัก) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 24 ชม.ความเข้มข้น 5-20% เป็นเวลา 21 วัน พบว่ามีฤทธิ์รักษาแผลได้ โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 20% จะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการรักษาแผล นอกจากนี้สารสกัดยังมีผลฆ่าเชื้อแบคทีเรียS. aureus, Streptococcus equiและ Pseudomonas aeruginosaที่พบในแผลด้วย (91)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ซึ่งเตรียมโดยการสกัดด้วย soxhet apparatus ในตัวทำละลายต่างๆ ได้แก่ ปิโตรเลียมอีเทอร์, คลอโรฟอร์ม, 95% เอทานอล และการแช่สกัดด้วยน้ำเป็นเวลา 24 ชม. และสาร lawsone ซึ่งแยกได้จากใบเทียนกิ่ง ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบรอยตัดและแผลแบบรอยกรีดโดยป้อนสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์, สารสกัดคลอโรฟอร์ม, สารสกัด 95% เอทานอล, สารสกัดน้ำ และสาร lawsone ขนาด 220, 199.5, 220, 260 และ 50 มก. /กก. ตามลำดับ เป็นเวลา 12 วัน พบว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์, สารสกัดเอทานอล, สารสกัดน้ำและสาร lawsone มีฤทธิ์ในการรักษาแผลได้ ขณะที่สารสกัดคลอโรฟอร์มไม่มีผล สารสกัด 95% เอทานอล และสาร lawsone จะให้ผลดีที่สุดในการรักษา โดยมีเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผล (% wound contraction) เพิ่มขึ้น (96.3±0.53% และ 95.40±0.65%), เวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวลดลง (18.8±0.49 และ 18.6±0.82 วัน) และเพิ่มแรงดึงของแผล (213.0±12.6 และ 216.0±12.5 ก.) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผล 86.4±1.86%, เวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิว 24.5±0.45 วัน และแรงดึงของแผลเท่ากับ 125.0±12.1 ก. ตามลำดับ (26)
เมื่อให้หนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผล ทาแผลด้วยน้ำมันเทียนกิ่ง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้และแหล่งที่มา) ทุกๆ 2 วัน จนกระทั่งแผลหายดี เปรียบเทียบกับหนูที่ให้ทาผลิตภัณฑ์ครีมรักษาแผลCicaflora®และกลุ่มควบคุม พบว่าน้ำมันเทียนกิ่งมีผลในการรักษาแผลได้ดีกว่าครีม Cicaflora® และกลุ่มควบคุม เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมัน พบว่าประกอบด้วยกรดไขมันชนิดต่างๆ ได้แก่ linoleic acid, α-linolenic acid, oleic acid, palmitic acid และ stearic acid (37)
เมื่อให้หนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบรอยตัด ทาแผลด้วยใบเทียนกิ่ง (ไม่ระบุชนิดสารสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอิรัก) ขนาด 25 และ 50 มก./ก. เป็นเวลา 15 วัน พบว่ามีผลในการรักษาแผลได้ดีกว่าหนูที่ให้ทาแผลด้วยไอโอดีน 10%และกลุ่มควบคุม (92)
การศึกษาในกระต่ายที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลไหม้ที่หลัง ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาแผลด้วยน้ำผึ้งร่วมกับผงใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) ขนาด 0.5 ก. วันละครั้ง เป็นเวลา 24 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้ทาน้ำผึ้งเพียงอย่างเดียว และกลุ่มควบคุม พบว่ากลุ่มที่ทาเทียนกิ่งร่วมกับน้ำผึ้ง แผลจะหายเร็วกว่า และยังมีผลกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นขนของกระต่าย (93)
การทดสอบฤทธิ์รักษาแผลของขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 30% หรือขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสาร lawsone 0.1% (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบรอยตัดและแผลแบบรอยกรีด โดยทาขี้ผึ้ง ขนาด 100 มก. วันละครั้ง เป็นเวลา 12 วัน พบว่าขี้ผึ้งทั้ง 2 ชนิด มีผลรักษาแผลได้ โดยขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบ 30% จะมีฤทธิ์ดีกว่าขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารlawsone 0.1% มีเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผล เท่ากับ 99.70±0.1% และ 99.4±0.12%, เวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิว เท่ากับ 16.4±0.45 และ 17.8±0.36 วัน และแรงดึงของแผล เท่ากับ 444.0±7.5 และ 414.0±6.2 ก. ตามลำดับ และให้ผลรักษาแผลดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่มีเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผล 77.4±1.17%, เวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิว 22.6 ±0.50 วัน และแรงดึงของแผล 126.0 ±6.3 ก. ตามลำดับ (26)
การเปรียบเทียบผลในการรักษาแผลของขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม (Alpha® ointment, ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) และครีม silver sulfadiazine 1% ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลไฟไหม้ระดับ 3 และมีการติดเชื้อPseudomonasaeruginosaโดยให้ทาแผล เป็นเวลา 10 สัปดาห์พบว่าขี้ผึ้งAlpha®มีประสิทธิภาพในการรักษาแผลได้เทียบเท่ากับครีม silver sulfadiazine แต่สามารถลดการติดเชื้อของแผลและลดการเกิดแผลเป็นได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม (42)
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการรักษาแผลของขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม (Alpha® ointment, ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) และขี้ผึ้งที่มีส่วน ผสมของน้ำผึ้งชนิดที่ใช้ในทางการแพทย์ ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผล โดยให้ทาแผลทุกวัน เป็นเวลา 21 วัน พบว่าขี้ผึ้งทั้ง 2 ชนิด ให้ผลในการรักษาแผลได้ไม่แตกต่างกันแต่ขี้ผึ้ง Alpha®สามารถลดการสร้างหลอดเลือดใหม่และลดการสะสมของคอลลาเจนได้มากกว่า ซึ่งอาจเป็นผลให้ลดการเกิดแผลเป็นได้ (43)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผล ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของผงใบเทียนกิ่ง 50% (ตัวอย่างจากประเทศแอลจีเรีย) ทุกวัน เป็นเวลา 24 วัน และกลุ่มควบคุมซึ่งให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่ (petroleum jelly)พบว่าขี้ผึ้งผงใบเทียนกิ่งมีฤทธิ์รักษาแผลได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมโดยเพิ่มเปอร์เซ็นการหดตัวของแผล และลดระยะเวลาในการสร้างเนื่อเยื่อบุผิว (94)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของแผ่นฟิล์มและเจลซึ่งทำจากเจลาตินของหนังหมึกกระดองที่มีสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง ความเข้มข้น 50 และ 500 มคก./มล. เป็นส่วนผสม (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย, สกัดโดยการกวนในน้ำกลั่นที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 20 ชม.)ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผล โดยทาบางๆ บริเวณแผล ทุกๆ 2 วัน เป็นเวลา 12 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้ทาครีมรักษาแผล Cicaflora® และกลุ่มควบคุม พบว่าแผ่นฟิล์มและเจลที่มีสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่งความเข้มข้น500 มคก./มล. เป็นส่วนผสม จะให้ผลในการรักษาแผลได้ดีที่สุด โดยมีเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผลเท่ากับ 96.98%และ98.7% ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกับครีม Cicaflora®(96.56%) นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มระดับของhydroxyproline เพิ่มระดับของเอนไซม์ catalase, superoxide dismutase, gluthationeperoxydase และลดระดับของ malon-dialdehyde ที่เกี่ยวข้องกับการต้านอนุมูลอิสระ และลดระดับของ C-reactive protein และ fibrinogen ที่เกี่ยว ข้องกับการอักเสบ ซึ่งมีผลช่วยเพิ่มกระบวนการหายของแผลได้ (81)
การทดสอบในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบแผลรอยตัดและแบบแผลรอยกรีด โดยให้ทาเจล ซึ่งมีส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทจากใบเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม 5% (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) วันละครั้ง เป็นเวลา 32 วัน (แผลรอยตัด) และ 11 วัน (แผลรอยกรีด) เปรียบเทียบผลกับกลุ่มที่ให้ทาเจลสำหรับรักษาแผล Megaheal® และกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำเกลือ พบว่าเจลซึ่งมีส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทจากใบเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม มีผลในการรักษาแผลได้ใกล้เคียงกับเจลMegaheal® โดยเพิ่มการหดตัวของแผล และเพิ่มค่าแรงดึงสูงสุดที่ทำให้แผลแยกจากกัน(tensile strength) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม จากการตรวจสอบลักษณะทางเนื้อเยื่อของแผล พบว่าใน granulation tissue ของหนูที่ทาเจลเทียนกิ่ง 5% มีการเกราะกลุ่มกันของเซลล์เม็ดขาวชนิด macrophage ลดลงการเคลื่อนย้ายของเซลล์ไฟโบรบลาสต์, การสร้างหลอดเลือดใหม่และการสะสมของคอลลาเจนเพิ่มขึ้นซึ่งแสดงถึงกระบวนการหายของแผลในวันที่ 10 ของการทดลอง (88)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผล โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ปิดแผลด้วยแผ่นปิดแผล(scaffold)ซึ่งบรรจุสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) (ไม่ระบุปริมาณของสารสกัดในผลิตภัณฑ์และขนาดที่ใช้) เป็นเวลา 15 วัน กลุ่มที่ให้ทาขี้ผึ้งเบตาดีน 5% และกลุ่มควบคุม พบว่าแผ่นปิดแผลสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง มีฤทธิ์เร่งการหายของแผล โดยมีการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวเร็วขึ้นอัตราการหดตัวของแผลเพิ่มขึ้น และขนาดของแผลลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่มีฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับขี้ผึ้งเบตาดีน5% (95)
เมื่อให้หนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลไฟไหม้ระดับ 2 บริเวณหลัง ปิดแผลด้วยวัสดุปิดแผลซึ่งทำจากเส้นใยนาโนที่บรรจุสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่งความเข้มข้น 30% (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน, เตรียมสารสกัดโดยการต้มในน้ำกลั่น เป็นเวลา 30 นาที)เป็นเวลา 4 วัน พบว่าสามารถรักษาแผลไฟไหม้ได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ และกลุ่มที่ปิดแผลด้วยวัสดุปิดแผลซึ่งไม่มีสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่งบรรจุอยู่ โดยมีเปอร์เซ็นต์การปิดของแผล(% wound closure) เท่ากับ 25.70±1.16%, 11.11±1.5% และ 14.64±0.94% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีผลลดการอักเสบของแผล (80)
การศึกษาผลที่มีต่อการหายของแผลในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลของสเปรย์ซึ่งมีสารสกัด 16% เอทานอลจากใบเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม (ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากองค์การเภสัชกรรม กรุงเทพฯ) โดยพ่นสารสกัดจำนวน 8 ครั้ง ที่บริเวณแผล แล้วปิดทับด้วยผ้าก๊อซวันละสองครั้ง เปรียบเทียบกับยา silver sulfadiazine และไฮโดรเจล (hydrogel) ซึ่งให้ทาวันละครั้ง ประเมินผลในวันที่ 1, 5, 10 และ 15พบว่าหนูที่รักษาด้วยสเปรย์สารสกัดใบเทียนกิ่ง มีขนาดของแผลและระยะเวลาการหายของแผลลดลงได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ยังเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและไฟโบรบลาสต์มากขึ้น และลดจำนวนของเซลล์ที่อักเสบ (96)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลในเซลล์มะเร็งเต้านม MCF7, เซลล์มะเร็งลำไส้ Caco2, เซลล์ fibroblasts (BJ fibroblasts) และเซลล์ keratinocyteของคน ด้วยวิธี scratch assayซึ่งเป็นวิธีการสร้างแผลบนโมโนเลเยอร์ของเซลล์ โดยใช้ไมโครปิเปตต์ทิป (micropipette tip) ขูดให้เกิดแผลจำลองของสาร lawsone ที่แยกได้จากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศตุรกี) ความเข้มข้น 3.12, 6.25, 12.5, 25 และ50 มคก./มล. พบว่าในเซลล์ keratinocyte สาร lawsone ความเข้มข้น 12.5 มคก./มล. สามารถรักษาแผลหายได้ 100% ในเวลา 6 ชม. เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมสาร lawsone ที่ความเข้มข้น 6.25 มคก./มล. มีฤทธิ์รักษาแผลหายได้ 100% ในเวลา 24 ชม. และ 72 ชม. เมื่อทดสอบในเซลล์มะเร็งเต้านม MCF7 และเซลล์มะเร็งลำไส้Caco2 ตาม ลำดับ สำหรับการทดสอบในเซลล์ fibroblasts พบว่าสาร lawsone ที่ความเข้มข้น 3.12มคก./มล. มีฤทธิ์รักษาแผลหายได้ 100% ในเวลา 24 ชม.เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งแผลหายได้ 50% (28)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษ
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ซึ่งสกัดด้วย soxhlet apparatus ในหนูแรท โดยป้อนสารสกัดขนาด 50, 100, 200 และ 300 มก./กก. พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนู (35)
เมื่อฉีดสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) ขนาด 300 มก./กก./วันเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษและไม่ทำให้หนูตาย(97)
เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัด 80% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยการสกัดด้วย soxhlet apparatusเป็นเวลา 18 ชม. ขนาด 200, 500, 1,000 และ 2,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว พบว่าสารสกัดขนาด 200, 500, 1,000 มก./กก. ไม่ทำให้หนูตายหรือเกิดพิษเฉียบพลัน ขณะที่สารสกัดขนาด 2,000 มก./กก. มีผลทำให้หนูตาย 100% หลังจากได้รับสารสกัด 72 ชม. และเมื่อป้อนสารสกัดเดียวกันนี้ ขนาด 200, 500, 1,000 มก./กก./วัน เป็นเวลา 14 วัน พบว่าสารสกัดขนาด 200 และ 500 มก./กก. ไม่ทำให้หนูตายไม่ทำให้เกิดความผิดปกติของค่าทางโลหิตวิทยา, ค่าชีวเคมีในเลือด และอวัยวะภายในของหนู ขณะที่สารสกัดขนาด 1,000 มก./กก. ทำให้หนูตายและเกิดพิษ (98)
สารสกัด 80% เอทานอลจากเมล็ดเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 24 ชม. ขนาด 5 และ 10 ก./กก. ไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันและไม่ทำให้หนูแรทตาย เมื่อให้โดยการป้อน แสดงว่าค่า LD50ของสารสกัดมากกว่า 10 ก./กก. เมื่อป้อนสารสกัดเดียวกันนี้ ขนาด 0.5 และ 1 ก./กก. เป็นเวลา 30 วัน พบว่าไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติของค่าทางโลหิตวิทยา, การทำงานของตับ, ไต ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดของหนู(99)
เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดน้ำจากเมล็ดเทียนกิ่ง(ตัวอย่างจากประเทศซูดาน)เตรียมโดยการต้มในน้ำกลั่น ขนาด 78.57, 392 และ 785.7 มก./กก./วัน เป็นเวลา 7 วัน พบว่าสารสกัดทุกขนาด มีผลเพิ่มระดับของเอนไซม์ aspartate aminotransferase (AST), alkaline phosphatase (ALP) และระดับของโปรตีนรวม สารสกัดขนาด 785.7 มก./กก. มีผลเพิ่มระดับของเอนไซม์ alanine aminotransferase (ALT) และลดระดับของโพแทสเซียมสารสกัดขนาด 78.57 และ 785.7 มก./กก. เพิ่มระดับของยูเรียและคอเลสเตอรอลสารสกัดขนาด 78.57 มก./กก. ทำให้เกิดการบวมของหลอดไต, ขนาด 392 และ 785.7 มก./กก. ทำให้เกิดการตายของเซลล์ตับ และที่ขนาด 392 มก./กก. ทำให้เกิดการหลุดลอกของเยื่อบุผนังลำไส้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมในการป้อนสารสกัด ขนาด 78.57 มก./กก./วัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าทำให้น้ำหนักตัวของหนูเพิ่มขึ้น ปริมาณของฮีโมโกลบิน, เม็ดเลือดแดง, ฮีมาโทคริตและเม็ดลือดขาวลดลง ระดับของเอนไซม์ AST, ALP,โปรตีนรวม, อัลบูมิน และยูเรียสูงขึ้น ขณะที่ระดับของโพแทสเซียมลดลง สารสกัดทำให้เกิดการบวมและการตายของหลอดไต และการอักเสบของลำไส้ของหนู เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (100)
พิษต่อเซลล์
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่ง (ตัวอย่างจากกรุงเทพฯ) ซึ่งเตรียมด้วยวิธีการสกัดโดยใช้หม้อนึ่งแรงดันสูง (autoclave extraction) ที่อุณหภูมิ 121 oC, ความดัน 0.13 MPa เป็นเวลา 30 นาที และการสกัดด้วยน้ำร้อน ที่อุณหภูมิ 80 oC เป็นเวลา 30 นาทีในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวเคลียสเดียว (peripheral blood mono-nuclear cells), เซลล์keratinocyte (HaCaT) และเซลล์ macrophage RAW
264.7 ซึ่งเป็นเซลล์ปกติ พบว่าค่า IC50ของสารสกัดทั้ง 2 ชนิด ในเซลล์ทุกชนิดที่ทดสอบ มีค่ามากกว่า 200 มคก./มล. ซึ่งไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม แสดงว่าสารสกัดน้ำจากใบเทียนกิ่งทั้ง 2 ชนิด ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติที่ทดสอบ (33)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
มีรายงาน (case report) ของผู้ป่วยชาย อายุ 34 ปี ที่รับประทานยาต้มใบเทียนกิ่ง ขนาด 700 มล. เป็นเวลา 3 วันแล้วเกิดภาวะฮีโมโกลบินในปัสสาวะ (hemoglobinuria) ทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดง และนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute kidney injury) ผู้ป่วยได้รับการฟอกไต 5 ครั้ง มีอาการดีขึ้น และหายกลับคืนเป็นปกติภายใน 7 สัปดาห์ (101) และมีรายงานของผู้ป่วยชาย อายุ 85 ปี ที่มีภาวะโลหิตจางซึ่งเกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดง (hemolytic anemia) และไตวายเฉียบพลัน หลังจากรับประทานผงเทียนกิ่งที่ละลายในน้ำ วันละ 1 แก้ว ติดต่อกัน 2 วัน เพื่อรักษาอาการหายใจลำบาก (dyspnea) (102) ดังนั้น ควรระวังในการรับประทานเทียนกิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต
มีรายงาน(case report) ในเด็กทารกและเด็กเล็ก (103-108) โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคพร่องเอนไซม์ glucose-6-phosphate dehydrogenase (G6PD) (โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก) ซึ่งเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis) หลังจากทาร่างกาย หรือบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าด้วยเทียนกิ่ง ดังนั้น ควรระวังและหลีกเลี่ยงการใช้เทียนกิ่งในเด็กโดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคพร่องเอนไซม์ G6PD
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
โลชันเทียนกิ่ง (ไม่ระบุส่วนของพืชที่ใช้, ชนิดของสารสกัด และความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์)ในการทดสอบให้ทาวันละ2 ครั้งๆละ1 มล.มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการผมร่วงทั่วศีรษะได้เทียบเท่ากับยาminoxidil และไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้ (44)
ขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด 70% เอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 1% ในการทดสอบให้ทาขี้ผึ้งทั่วผิวบริเวณตอขาซึ่งสัมผัสกับขาเทียม ทุกๆ คืน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ มีผลลดการอักเสบของผิวได้ (45)
ครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากใบเทียนกิ่ง25%(มีปริมาณสาร lawsone อย่างน้อย 0.3%) ในการทดสอบให้ทาผิวของเด็กทารกที่เป็นผื่นผ้าอ้อม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 5 วันมีผลลดการอักเสบของผิวหนังได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับครีม hydrocortisone (46)
ยาผงเทียนกิ่ง (ผงใบและลำต้นแห้งปริมาณ1 ก. ผสมกับน้ำกลั่น10 มล.) ในการทดสอบให้ทาบริเวณแผลวันละครั้งเป็นเวลา30 นาทีจากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดแผลให้แห้งเป็นเวลา7 วันมีผลรักษาแผลกดทับในผู้ป่วยที่รักษาตัวในห้องICU ที่มีแผลกดทับระดับ 1 ได้ (47) และให้ผลดีกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันมะกอกฝรั่ง (48)
ยาผงเทียนกิ่ง (ผงใบแห้ง ปริมาณ 50 ก. ผสมกับน้ำกลั่น 500 มล.)ในการทดสอบให้ทาบริเวณกระเบนเหน็บในขนาดพื้นที่15 ซม. วันละครั้งทิ้งไว้30 นาทีล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วเช็ดผิวให้แห้งควบคู่ไปกับการรักษาแบบมาตรฐานในโรงพยาบาลสำหรับป้องกันแผลกดทับ พบว่าสามารถป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยที่รักษาตัวในห้องICU ซึ่งยังไม่มีแผลกดทับได้ (49)
ยาผงเทียนกิ่ง (ผงเทียนกิ่ง, ไม่ระบุส่วนที่ใช้ 40 ก. ผสมกับน้ำ 40 มล.) ในการทดสอบให้ทาบริเวณมือหรือเท้าที่เกิดอาการอักเสบ และสวมถุงมือหรือถุงเท้าเพื่อให้ยาดูดซึมผ่านได้เร็วขึ้น เป็นเวลา 1 ชม. จากนั้นล้างออกด้วยน้ำ ทายาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์มีผลลดความรุนแรงของอาการ Hand-Foot syndrome ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดcapecitabine หรือpegylated liposomal doxorubicin ได้ ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นมีอาการอ่อนเพลียและอาการปวดลดลง (50)
ยาผงเทียนกิ่ง(ผงเทียนกิ่ง, ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ผสมกับน้ำ)ในการทดสอบให้ทาลงบนมือและเท้าพันด้วยผ้าทิ้งไว้ 5-6 ชม. จึงล้างออกด้วยน้ำมีผลลดความรุนแรงของอาการHand-Foot syndrome ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาcapecitabine ได้ และมีบางรายสามารถหายได้ใน 1 สัปดาห์โดยที่ไม่ต้องลดขนาดของการใช้ยาcapecitabine (51)
ยาผงเทียนกิ่ง (ผงใบเทียนกิ่ง ผสมกับน้ำ ตั้งทิ้งไว้ 24 ชม.) ในการทดสอบให้ทาที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง แล้วคลุมด้วยถุงพลาสติกหรือผ้าขนหนู ทิ้งไว้ค้างคืนและล้างออกด้วยน้ำในตอนเช้า สัปดาห์ละ 2 ครั้ง มีผลลดความรุนแรงของอาการHand-Foot syndrome ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาcapecitabine ได้ โดยไม่ต้องลดขนาดหรือหยุดการให้ยา (52)
ยาผงเทียนกิ่ง (ผงใบแห้ง 1 ก. ผสมกับน้ำกลั่น 10 มล.) ในการทดสอบให้ทาบริเวณแผล จากนั้นพันด้วยผ้าพันแผลเป็นเวลา 4-6 ชม. แล้วล้างออก สามารถช่วยป้องกันแผลจากความชื้นได้นาน ทำให้ไม่ต้องทายาบ่อย และทำให้แผลแห้ง แตก ที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานซึ่งมีแผลที่เท้าดีขึ้น(53)
ขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม (ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้ทาแผลวันละครั้งจนกระทั่งแผลหายดี มีผลทำให้แผลไฟไหม้หายได้เร็วกว่า และลดอาการปวดแผลได้ดีกว่าครีม silver sulfadiazine 1% (54)
ขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม(ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้ทาบริเวณแผลฝีเย็บ ขนาด 2 ก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน ร่วมกับการนั่งแช่ก้นในน้ำยาเบตาดีน (Betadine® solution) สามารถรักษาแผลฝีเย็บและลดอาการปวดได้ดีกว่าการใช้ยาเบตาดีนเพียงอย่างเดียว (55)
ขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด 70% เอทานอลจากเทียนกิ่ง5% (ไม่ระบุส่วนของพืชที่ใช้)ในการทดสอบให้ทาบริเวณแผลฝีเย็บในขนาดข้อนิ้วมือเป็นเวลา 14 วัน สามารถรักษาแผลฝีเย็บและลดอาการปวดได้ (57)
ขี้ผึ้งซึ่งมีสาร lawsone จากเทียนกิ่งเป็นส่วนผสม(ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้เริ่มทาขี้ผึ้งหรือครีมบางๆ บริเวณหน้าอกทันทีหลังจากการฉายรังสี วันละ 2 ครั้ง จากนั้นทาทุกวันติดต่อกัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสีได้ดีกว่าครีม hydrocortisone 1% โดยจะเห็นผลในสัปดาห์ที่ 2 ของการรักษา นอกจากนี้ยังลดอาการปวด อาการคัน และลดปริมาณของหนองด้วย (58)
เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัด 70% เมทานอลจากใบเทียนกิ่ง 10% (มีปริมาณสาร lawsone เท่ากับ 0.62 ก./100 ก.) ในการทดสอบให้ทาเจลขนาด0.5-1 ช้อนชาที่แขนและขาวันละ4 ครั้งตั้งแต่เริ่มให้เคมีบำบัดและให้ทาต่อเนื่องเป็นเวลา2 สัปดาห์ มีผลในการรักษาอาการ Hand-Foot syndrome ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาcapecitabine และ 5-fluorouracil (5-FU) ได้ (59)
น้ำยาบ้วนปากซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 0.8% ในการทดสอบให้บ้วนปากวันละ 2 ครั้งๆ ละ 5 มล. นาน 30 วินาที เป็นเวลา 1 สัปดาห์ มีผลในการต้านเชื้อราในปากของผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานและใส่ฟันปลอมได้ดีกว่าน้ำยาบ้วนปาก Listerine®และมีอาการแสบร้อนปากน้อยกว่า (60)
น้ำยาบ้วนปากซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบเทียนกิ่ง 0.8% ในการทดสอบให้บ้วนปากวันละ 2 ครั้งๆ ละ 5 มล. นาน 30 วินาที เป็นเวลา 1 สัปดาห์มีผลลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Streptococci sp., S. aureus, Actinobacillus acomitansและ Porphyromonas gingivalis ในช่องปากของผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบเรื้อรังได้ (61)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
เทียนกิ่งหรือเฮนน่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้ประโยชน์ในทางเครื่องสำอางนานนับหลายพันปีมาแล้ว โดยเฉพาะการนำมาใช้เป็นสีย้อมผมซึ่งมีความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากเชื่อว่าเป็นสีย้อมผมจากธรรมชาติจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เหมือนผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่ใช้สารเคมีในวัฒนธรรมของชาวอินเดียและมุสลิมจะนำมาทาและตกแต่งสีเล็บ ฝ่ามือ ฝ่าเท้าปัจจุบันมีการนำสีเทียนกิ่งมาทาตามร่างกายเหมือนการสักชั่วคราวเพื่อความสวยงามนอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในทางยาหลากหลาย เช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย, ต้านเชื้อรา, ต้านการอักเสบ, ต้านอนุมูลอิสระ, รักษาแผล เป็นต้น ดังนั้นเทียนกิ่งนับเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการที่จะนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านยาและเครื่องสำอาง
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Lemmens RHMJ, Wulijarni-Soetjipto N, eds. Plant Resources of South-East Asia No 3: Dye and Tannin-Producing Plants. Wageningen: Pudoc, 1991.
3. Lawsonia inermis L. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 4]. Available from:
http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2353863.
4. Quisumbling E. Medicinal Plants of the Philippines. Quezon City: JMC Press, Inc., 1978.
5. พเยาว์ เหมือนวงษ์ญาติ. ตำราวิทยาศาสตร์สมุนไพร. กรุงเทพฯ: บริษัท เมดิคัลมิเดีย จำกัด, 2521:122 หน้า.
6. พร้อมจิต ศรลัมพ์, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล และคณะ.สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ จำกัด, 2535:257 หน้า.
7. กุลธิดา ศิริวัฒน์, บรรณาธิการ. มาตรฐานสมุนไพรไทยทางเครื่องสำอาง เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยา-ศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
8. เทียนกิ่ง. จุลสารข้อมูลสมุนไพร. 2531:6(1):3-11.
9. Liou JR, El-Shazly M, Du YC, Tseng CN, Hwang TL, Chuang YL, et al. 1,5-diphenylpent-3-en-1-ynes and methyl naphthalene carboxylates from Lawsonia inermis and their antiinflammatory activity. Phytochemistry. 2013;88:67-73. doi: 10.1016/j.phytochem.2012.11.010.
10. Mikhaeil BR, Badria FA, Maatooq GT, Amer MMA. Antioxidant and immunomodulatory constituents of henna leaves. Z Naturforsch. 2004;59(7/8):468-76.
11. Yang CS, Huang HC, Wang SY, Sung PJ, Huang GJ, Chen JJ, et al. New diphenol and isocoumarins from the aerial part of Lawsonia inermis and their inhibitory activities against NO production. Molecules. 2016;21(10):1299. doi: 10.3390/molecules 21101299.
12. Elansary HO, Szopa A, Kubica P, Ekiert H, Al-Mana FA, Al-Yafrsi MA.Antioxidant and biological activities of Acacia saligna and Lawsonia inermis natural populations.Plants. 2020; 9,908. doi: 10.3390/plants9070908.
13. Mustafa RA, Abdul Hamid A, Mohamed S, Bakar FA. Total phenolic compounds, flavonoids, and radical scavenging activity of 21 selected tropical plants. J Food Sci. 2010;75(1):C28-35. doi: 10.1111/j.1750-3841.2009.01401.x.
14. Kumar M, Kumar S, Kaur S.Identification of polyphenols in leaf extracts of Lawsonia inermis L. with antioxidant, antigenotoxic and antiproliferative potential. Int J Green Pharm. 2014;8:23-36. doi: 10.22377/ijgp.v8i1.350.
15. Sallehuddin NA, Abdul-Hamid A, Salleh SZ, Abdul-Majid N, Halim HH, Ramli N, et al.Ergogenic, anti-diabetic and antioxidant attributes of selected Malaysian herbs: characterisation of flavonoids and correlation of functional activities. Int Food Res J. 2020;27(1):197-207.
16. Kumar M, Chandel M, Kaur P, Pandit K, Kaur V, Kaur S, et al. Chemical composition and inhibitory effects of water extract of henna leaves on reactive oxygen species, DNA scission and proliferation of cancer cells. EXCLI J. 2016;15:842-57. doi: 10.17179/excli2016-429.
17. Yang CS, Chen JJ, Huang HC, Huang GJ, Wang SY, Chao LK, et al. New flavone and eudesmane derivatives from Lawsonia inermis and their inhibitory activity against NO production. Phytochem Lett. 2017;21:123-7.doi:10.1016/j.phytol.2017.06.012.
18. Nakashima S, Oda Y, Nakamura S, Liu J, Onishi K, Kawabata M, et al. Inhibitors of melanogenesis in B16 melanoma 4A5 cells from flower buds of Lawsonia inermis (henna). Bioorg Med Chem Lett. 2015;25(13):2702-6. doi: 10.1016/j.bmcl.2015.04.052.
19. Uddin N, Siddiqui BS, Begum S, Bhatti HA, Khan A, Parveen S, et al. Bioactive flavonoids from the leaves of Lawsonia alba (henna). Phytochem Lett. 2011;4:454-8. doi: 10.1016/j.phytol.2011.05.007.
20. Amat-Ur-Rasool H, Symes F, Tooth D, Schaffert LN, Elmorsy E, Ahmed M, et al. Potential nutraceutical properties of leaves from several commonly cultivated plants. Biomolecules. 2020;10(11):1556. doi: 10.3390/biom10111556.
21. Hsouna AB, Trigui M, Culioli G, Blache Y, Jaoua S. Antioxidant constituents from Lawsonia inermis leaves: Isolation, structure elucidation and antioxidative capacity. Food Chem. 2011;125:193-200.doi: 10.1016/j.foodchem.2010.08.060.
22. Othman MR, Othman R, Ismail AA, Hazni H, Ahmad K, Razzak MA, et al.High-performance liquid chromatography quadrupole time-of-flight mass spectrometry (HPLC-QTOFMS) analysis on the ethanol:water (80:20) extract of Lawsonia inermis leaves.Sains Malaysiana. 2020;49(7):1597-613.
23. Semwal RB, Semwal DK, Combrinck S, Cartwright-Jones C, Viljoen A.Lawsonia inermisL. (henna): Ethnobotanical, phytochemical and pharmacological aspects. J Ethnopharmacol. 2014;155:80-103.doi: 10.1016/j.jep.2014.05.042.
24. Oda Y, Nakashima S, Kondo E, Nakamura S, Yano M, Kubota C, et al.Comparison of lawsone contents among Lawsonia inermis plant parts and neurite outgrowth accelerators from branches. J Nat Med. 2018;72:890-6.doi: 10.1007/s11418-018-1221-y.
25. Yang CS, Chen JJ, Huang HC, Huang GJ, Wang SY, Sung PJ, et al. New benzenoid derivatives and other constituents from Lawsonia inermis with inhibitory activity against NO production. Molecules. 2017;22,936.doi: 10.3390/molecules22060936.
26. Sakarkar DM, Sakarkar UM, Shrikhande VN, Vyas JV, Mandavgade S, Jaiswal SB, et al. Wound healing properties of henna leaves. Nat Prod Radiance. 2004;3(6):406-12.
27. Tekin V, Biber Muftuler FZ, Yurt Kilcar A, Unak P. Radioiodination and biodistribution of isolated lawsone compound from Lawsonia inermis (henna) leaves extract. J Radioanal Nucl Chem. 2014;302:225-32. doi: 10.1007/s10967-014-3226-7.
28. Tekin V, Muftuler FZB, Guldu OK, Kilcar AY, Medine EI, Yavuz M, et al. Biological affinity evaluation of Lawsonia inermis origin lawsone compound and its radioiodinated form via in vitro methods.J Radioanal Nucl Chem. 2015;303:701-8.doi: 10.1007/s10967-014-3435-0.
29. Anju D, Kavita S, Jugnu G, Munish G, Asha S. Determination of lawsone content in fresh and dried leaves of Lawsonia inermis Linn. and its quantitative analysis by HPTLC. J Pharm Sci Innov. 2012;1(2):17-20.
30. Charoensup R, Duangyod T, Palanuvej C, Ruangrungsi N. Pharmacognostic specifications and lawsone content of Lawsonia inermis leaves. Pharmacogn Res. 2017;9(1):60-4. doi: 10.4103/0974-8490.199775.
31. Alem FZ, Gita SA, Cougnaud L, Affnar C, Nounah I, Youssef B, et al. Lawsone quantifica-tion in Lawsonia inermis L. by HPLC-MS: How does the temperature and pluviometry affect lawsone concentration?Ind Crops Prod. 2020;158,112960. doi: 10.1016/j.indcrop.2020.112960.
32. Akhter S, Rony SR, Al-Mansur MA, Hasan CM, Rahman KM, Sohrab MH. Lawsonol, a new bioactive naphthoquinone dimer from the leaves of Lawsonia alba. Chem Nat Compd. 2018;54:26-9. doi: 10.1007/s10600-018-2251-0.
33. Khantamat O, Dukaew N, Karinchai J, Chewonarin T, Pitchakarn P, Temviriyanukul P. Safety and bioactivity assessment of aqueous extract of Thai henna (Lawsonia inermis Linn.) leaf. J Toxicol Environ Health Part A. 2021;84(7):298-312.doi: 10.1080/15287394.2020.1866129.
34. Alsulami AL, Gull M. Screening of antimicrobial potential and bioactive components of selected medicinal plants against infectious bacterial Isolates from leukemia patients. J Exp Biol Agric Sci. 2018;6(5):836-49.doi: 10.18006/2018.6(5).836.849.
35. Vijayaraj R, Sri Kumaran N. Protective effect of Lawsonia inermis Linn. on chronic inflammation in rats.Int J Green Pharm. 2018;12(3):S549-S554.doi: 10.22377/ijgp.v12i03.2017.
36. Ksouda G, Hajji M, Sellimi S, Merlier F, Falcimaigne-Cordin A, Nasri M, et al. A systematic comparison of 25 Tunisian plant species based on oil and phenolic contents, fatty acid composition and antioxidant activity. Ind Crops Prod. 2018;123:768-78. doi: 10.1016/j.indcrop.2018.07.008.
37. Rekik DM, Khedir SB, Daoud A, Moalla KK, Rebai T, Sahnoun Z. Wound healing effect of Lawsonia inermis. Skin Pharmacol Physiol. 2019;32:295-306.doi: 10.1159/000501730.
38. Iqbal Z, Saeed MK, Shehzad K, Nawaz S. Antioxidant activity of essential oil from Lawsonia inermis Linn from Pakistan. Int J Biosci. 2018;12(3):110-5.doi: 10.12692/ijb/12.3.110-115.
39. Rahmat A, Edrini S, Ismail P, Hin TYY, Bakar MFA. Chemical constituents, antioxidant activity and cytotoxic effects of essential oil from Strobilanthes crispus and Lawsonia inermis. JBiol Sci. 2006;6:1005-10. doi: 10.3923/jbs.2006.1005.1010.
40. Elaguel A, Kallel I, Gargouri B, Amor IB, Hadrich B, Messaoud EB, et al. Lawsonia inermis essential oil: extraction optimization by RSM, antioxidant activity, lipid peroxydation and antiproliferative effects. Lipids Health Dis. 2019;18,196. doi: 10.1186/s12944-019-1141-1.
41. Ali BH, Bashir AK, Tanira MOM. Anti-inflammatory, antipyretic, and analgesic effects of Lawsonia inermis L. (henna) in rats. Pharmacology. 1995;51:356-63.doi: 10.1159/000139347.
42. Hosseini SV, Tanideh N, Kohanteb J, Ghodrati Z, Mehrabani D, Yarmohammadi H. Comparison between Alpha® and silver sulfadiazine ointments in treatment of Pseudomonas infections in 3rd degree burns. Int J Surg. 2007;5:23-6.doi: 10.1016/j.ijsu.2006.03.007.
43. Paydar S, Akrami M, Dehghanian A, Moghadam RA, Heidarpour M, Khoob AB, et al. A comparison of the effects of Alpha® and medical-grade honey ointments on cutaneous wound healing in rats. J Pharm. 2016,9613908. doi: 10.1155/2016/9613908.
44. Sadeghinia A, Sadeghinia S. Comparison of the efficacy of topical Lawsonia inermis and topical minoxidil in the treatment of Telogen effluvium. Nat Prod: An Indian J. 2011;7(3):159-62.
45. Niazi M, Mehrabani M, Namazi MR, Salmanpour M, Heydari M, Karami MM, et al. Efficacy of a topical formulation of henna (Lawsonia inermis L.) in contact dermatitis in patients using prosthesis: A double-blind randomized placebo-controlled clinical trial. Complement Ther Med. 2020;49,102316. doi: 10.1016/j.ctim.2020.102316.
46. Keshavarz A, Zeinaloo AA, Mahram M, Mohammadi N, Sadeghpour O, Maleki MR.Efficacy of traditional medicine product henna and hydrocortisone on diaper dermatitis in infants. Iran Red Crescent Med J. 2016;18(5):e24809.doi: 10.5812/ircmj.24809.
47. Rafiei Z, Mazaheri M, Eghbali-Babadi M, Yazdannik A. The effect of henna (Lawsonia inermis) on preventing the development of pressure ulcer grade one in intensive care unit patients. Int J Prev Med. 2019;10:26.doi: 10.4103/ijpvm.IJPVM_286_17.
48. Poursadra E, Anvari-Tafti M, Dehghani A, Eghbali-Babadi M, Rafiei Z. Comparing the effect of henna oil and olive oil on pressure ulcer grade onein intensive care units patients. Adv Biomed Res. 2019;8:68.doi: 10.4103/abr.abr_207_19.
49. Hekmatpou D, Ahmadian F, Eghbali M, Farsaei S.Henna (Lawsonia inermis) as an inexpensive method to prevent decubitus ulcers in critical care units: a randomized clinical trial. J Evid-Based Integr Med. 2018;23:1-9.doi: 10.1177/2515690X18772807.
50. Stavrinou M, Tsitsi T, Astras G, Paikousis L, Charalambous A.A randomised controlled feasibility trial to evaluate Lawsonia inermis (henna)’s effect on palmar-plantar erythrodysesthesia induced by capecitabine or pegylated liposomal doxorubicin.Eur J Oncol Nurs. 2021;51:101908.doi: 10.1016/j.ejon.2021.101908.
51. Yucel I, Guzin G. Topical henna for capecitabine induced hand-foot syndrome. Invest New Drugs. 2008;26:189-92.doi: 10.1007/s10637-007-9082-3.
52. Ilyas S, Wasif K, Saif MW. Topical henna ameliorated capecitabine-induced hand-foot syndrome. Cutan Ocul Toxicol. 2014;33(3):253-5.doi: 10.3109/15569527.2013.832280.
53. Mutluoglu M, Uzun G. Can henna prevent ulceration in diabetic feet at high risk?Exp Diabetes Res. 2009;107496.doi: 10.1155/2009/107496.
54. Daryabeigi R, Heidari M, Hosseini SA, Omranifar M. Comparison of healing time of the 2nd degree burn wounds with two dressing methods of fundermol herbal ointment and 1% silver sulfadiazine cream.Iran J Nurs Midwifery Res. 2010;15(3):97-101.
55. Dorbati PN, Mahmoodi Z, Salehi K, Dolatian M, Mahmoodi A. The effects of Alpha® ointment (containing natural henna) and Betadine® solution on episiotomy healing in primiparous women: a randomized controlled trial. Iran Red Crescent Med J. 2018;20(3):e65902.doi: 10.5812/ircmj.65902.
56. Abedian Z, Nezhad MN, Asili J, Esmaeili H. An investigation into the effect of Alpha® ointment (Fundermol) on perineal pain relief following episiotomy in nulliparous women. J Midwifery Reprod Health. 2018;6(1):1149-56. doi: 10.22038/jmrh.2017.9975.
57. Zibanejad S, Miraj S, Rafieian Kopaei M. Healing effect of Quercus persica and Lawsonia inermis ointment on episiotomy wounds in primiparous women. J Res Med Sci. 2020;25:11.doi: 10.4103/jrms.JRMS_251_18.
58. Ansari M, Dehsara F, Mosalaei A, Omidvari Sh, Ahmadloo N, Mohammadianpanah M. Efficacy of topical Alpha®ointment (containing natural henna) compared to topical hydrocortisone (1%) in the healing of radiation-induced dermatitis in patients with breast cancer: A randomized controlled clinical trial. Iran J Med Sci. 2013;38(4):293-300.
59. Mohajerani R, Shahi F, Jafariazar Z, Afshar M. Efficacy of topical Lawsonia inermis L. (henna) hydrogel in fluorouracil-induced hand-foot syndrome: a pilot randomized double-blind placebo-controlled clinical trial.Cutan Ocul Toxicol. 2021.doi: 10.1080/15569527.2021.1940194.
60. Sujanamulk B, Chintamaneni R, Chennupati A, Chennupati A, Nahar P, Chaluvadi RS, Vemugunta R. Evaluation of antifungal efficacy of ethanolic crude lawsone and Listerine®mouthwash in uncontrolled diabetics and denture wearers-a randomized clinical trial. J Clin Diagn Res. 2016;10(6):ZC90-ZC95. doi: 10.7860/JCDR/2016/19463.8036.
61. Bhavana S, Nahar P, Lakshmi CR, Kilaru NB, Vemugunta R. A randomized clinical trial to assess and comparethe antimicrobial activity of plants of Lythraceae family with hiora mouthwashes in subjects with chronic periodontitis - “unveiling the unseen effects”. Int J Pharm Sci Res. 2017;8(5):2184-93. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.8(5).2184-93.
62. อุไรวรรณดิลกคุณานันท์, งามผองคงคาทิพย์, สุภนิดาบัวบาน, นวลอนงคนาคคง, นิภาเขื่อนควบ. การศึกษาการติดสีผมของสารสกัดจากใบเทียนกิ่ง (Lawsonia inermis Linn.). การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครั้งที่ 39 สาขาวิทยาศาสตร์, 5-7 กุมภาพันธ์ 2544, กรุงเทพฯ, 2544.
63. ธนัชพรนุตมากุล, เจนจิราช่วยคูณ, จิตติมาแสนมิ่ง, โชติรัตน์ รอดเกตุ, เดือนนภา จันเหลือง, ทวีรัตน์ ทับทิมทอง. การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของตัวทำละลายในการสกัดใบเทียนกิ่งสดต่อการติดสีปอยผมหงอก. วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ. 2562;13(1):31-9.
64. Kumar N, Rungseevijitprapa W, Narkkhong N, Suttajit M, Chaiyasut C. 5a-reductase inhibition and hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. J Ethnopharmacol. 2012;139(3):765-71. doi: 10.1016/j.jep.2011.12.010.
65. นวฉัตรเทียนสุวรรณ, บังอร ศรีพานิชกุลชัย, นภภัคใจภักดี. ผลของสารสกัดสมุนไพรไทยสี่ชนิดต่อการสังเคราะห์เมลานิน. วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน. 2559;11(ฉบับพิเศษ):33-42.
66. Sibi G, Alam MA, Shah J, Razak M. Susceptibility pattern of Malassezia species to selected plant extracts and antifungal agents.Int J Green Pharm. 2014;8(4):226-230. doi: 10.4103/0973-8258.142675.
67. Muddathir A., Yamauchi K, Batubara I, Mohieldin EAM, Mitsunaga T. Anti-tyrosinase, total phenolic content and antioxidant activity of selected Sudanese medicinal plants. S AfrJ Bot. 2017;109:9-15. doi: 10.1016/j.sajb.2016.12.013.
68. Mansoor S, Mehfooz S, Mustafa H. Anti-bacterial, anti-oxidant and cytotoxic potential of aqueous and organic extracts of Lawsonia inermis. World J Pharm Res. 2016;5(5):686-703.doi: 10.20959/wjpr20165-5965.
69. Al-Daamy AAHK, Hassan AA, Mahmood A. Study of antibacterial activity of Lawsonia inermis leaf extract. J Contemp Med Sci. 2016;2(7):103-6.
70. Sharma P, kaushik V, Sindhu A, Battan B. Secondary metabolites and antibacterial efficacy of Lawsonia inermisleaf extracted in different solvents against some pathogenic strains. Int J Pharm Biol Sci. 2018;8(3):374-8.
71. Triveni A, Kumar MS, Shivannavar CT, Gaddad SM. Antibacterial and antibiofilm activities of crude extracts of Lawsonia inermis against methicillin-resistant Staphylococcus aureus. Asian J Pharm Clin Res. 2016;9(6):263-5.
72. Wadekar JB, Pawar PY, Nimbalkar VV, Honde BS, Jadhav PR, Nale SB. Anticonvulsant, anthelmintic and antibacterial activity of Lawsonia inermis.J Phytopharmacol.2016;5(2):53-5.
73. Nigussie D, Davey G, Legesse BA, Fekadu A, Makonnen E. Antibacterial activity of methanol extracts of the leaves of three medicinal plants against selected bacteria isolated from wounds of lymphoedema patients. BMC Complement Med Ther. 2021;21:2.doi: 10.1186/s12906-020-03183-0.
74. Dharmadhas JS, Packiavathy IASV, Danaraj J, Rehaman S, Kalaiselvi A. Preliminary studies on phytochemicals and antimicrobial activity of solvent extracts of medicinal plant Lawsonia inermis.Int J Adv Res. 2019;7(10):887-96. doi: 10.21474/IJAR01/9904.
75. Nivetha S, Vetha RD. Antimicrobial activity of Azadiracta indica, Lawsonia inermis and Aloe barbadensis leaves against some multidrug resistant microorganisms. J Chem Pharm Res. 2019;11(10):40-7.
76. Mohammed KGEA, Salih AMM, Hamdoon GSA, Tayeb HAM, Karim AMA. Formulation and evaluation of Lawsonia inermis (Sudanese henna) leaves extract as semisolid dosage form for antibacterial activity.World J Pharm Pharm Sci. 2021;10(1):225-36. doi: 10.17605/OSF.IO/P9CYN.
77. Adetutu A, Morgan WA, Corcoran O. Ethnopharmacological survey and in vitro evaluation of wound-healing plants used in South-western Nigeria. J Ethnopharmacol. 2011;137(1):50-6.doi: 10.1016/j.jep.2011.03.073.
78. Bagheria M, Shokoohiniab Y, Pourmanouchehrib Z, Khaledianc S, Jalilianb F, Mirzaieb S, et al.Preparation and evaluation of anti-acne pharmaceutical gel containing henna and chamomile extracts.Int J Pharmacogn.2020;7(8):208-16. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.IJP.7(8).208-16.
79. Dhaouadi K, Meliti W, Dallali S, Belkhir M, Ouerghemmi S, Sebei H, et al. Commercial Lawsonia inermis L. dried leaves and processed powder: Phytochemical composition, antioxidant, antibacterial, and allelopathic activities. Ind Crops Prod. 2015;77:544-52. doi: 10.1016/j.indcrop.2015.09.037.
80. Hadisi Z, Nourmohammadi J, Nassiri SM. The antibacterial and anti-inflammatory investigation of Lawsonia Inermis-gelatin-starch nanofibrous dressing in burn wound.Int J Biol Macromol. 2018;107:2008-19.doi: 10.1016/j.ijbiomac.2017.10.061.
81. Jridi M, Sellimi S, Lassoued KB, Beltaief S, Souissi N, Mora L, et al. Wound healing activity of cuttlefish gelatin gels and films enriched by henna (Lawsonia inermis) extract. Colloids Surf A Physicochem Eng Asp. 2017;512:71-9.doi: 10.1016/j.colsurfa.2016.10.014.
82. Bouhlali ET, Sellam K, Bammou M, Alem C, Filali-Zehzouti Y. In vitroantioxidant and anti-inflammatory properties of selected Moroccan medicinal plants.J App Pharm Sci.2016;6(5):156-62.doi: 10.7324/JAPS.2016.60525.
83. Amri O, Elguiche R, Tahrouch S, Zekhnini A, Hatimi A. Antifungal and antioxidant activities of some aromatic and medicinal plants from the southwest of Morocco.J Chem Pharm Res. 2015;7(7):672-8.
84. Widyawati T, Sri Wahyuni H, Syarifah S, Anggraini DR, Sari MI. Phytochemical profile and antioxidant assay of ethyl acetate of Lawsonia inermis (Linn) leaf extract.IntJChemTech Res. 2018;11(5):78-84. doi: 10.20902/IJCTR.2018.110509.
85. Chaibi R, Romdhane M, Ferchichi A, Bouajila J. Assessment of antioxidant, anti-inflammatory, anti-cholinesterase and cytotoxic activities of henna (Lawsonia inermis) flowers.JNat Prod. 2015;8:85-92.
86. อ้อมใจ แต้เจริญวิริยะกุล, เมที บัวสาย, อิทธิชัย รัตนาตรานุรักษ์, เพียงหทัย ศรียอด, สุภารัตน์ จันทร์เหลือง. ฤทธิ์ต้านแซนทีนออกซิเดสของพืชสมุนไพร. วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ 2554;6(1):1-6.
87. Mukhopadhyay N, Sampath V, Pai S, Babu UV, Lobo R.Evaluation of antiarthritic potential and phytochemical analysis of different fractions of selected medicinal plants. Rasayan J Chem. 2021;14(1):212-20.doi: 10.31788/RJC.2021.1415986.
88. Dutta S, Pattnaik AK, Besra SE. Wound healing potential of methanolic extract and its active fraction of Lawsonia alba Lam. leaves formulated in to a topical gel. World J Pharm Res. 2016;5(2):1091-109.
89. Nesa L, Munira S, Mollika S, Islam MM, Choin H, Chouduri AU, et al.Evaluation of analgesic, anti-inflammatory and CNS depressant activities of methanolic extract of Lawsonia inermis barks in mice.Avicenna J Phytomed. 2014;4(4):287-96.
90. Nayak BS, Isitor G, Davis EM, Pillai GK. The evidence based wound healing activity of Lawsonia inermisLinn.Phytother Res. 2007;21:827-31. doi: 10.1002/ptr.2181.
91. Towfik AI, Hamza ASS, Munahi AK. The effect of henna (Lawsonia inermis) on the wound healing of local Arabian horses. J Kerbala Univ. 2015;13(1):78-91.
92. Salih AM, Kakamad FH, Salih RQ, Hussein DA, Hassan HA, Mekail TM, et al. Effect of Lawsonia inermis (henna) on wound healing in Sprague-Dawley rats: A pilot study.Wound Med. 2017;18:41-2.doi: 10.1016/j.wndm.2017.07.004.
93. Djerrou Z, Mokhbi I, Hadef KS, Boutobza N, Bouzeguine S, Brighet I, et al. Burn wound healing effect and hair growth promoting activity of Lawsonia inermis L. and honey in Oryctolagus cuniculus rabbits. Online J Biol Sci. 2016;16(2):82-9. doi: 10.3844/ojbsci.2016.82.89.
94. Yassine KA, Houari H, Mokhtar B, Karim A, Hadjer S, Imane B. A topical ointment formulation containing leaves’ powder of Lawsonia inermis accelerate excision wound healing in Wistar rats. Vet World. 2020;13(7):1280-7.doi:10.14202/vetworld.2020.1280-1287.
95. Deepthi V, Dixit R, Reddy KVVB.Screening of wound healing activity of madayantika (Lawsonia inermis Linn.) in albino Wistar rats. Int J Ayurveda Pharma Res. 2018;6(10):9-14.
96. Taweepraditpol S, U-dee V, Boonvisut S, Chuangsuwanich A, Pradniwat K.Wound healing activity of Lawsonia inermis Linn in rat model.J Med Assoc Thai. 2017;100(suppl.3):S140- S144.
97. Gull I, Sohail M, Aslam MS, Athar MA. Phytochemical, toxicological and antimicrobial evaluation of Lawsonia inermis extracts against clinical isolates of pathogenic bacteria. Ann Clin Microbiol Antimicrob. 2013;12,36. doi: 10.1186/1476-0711-12-36.
98. Kaur M, Dangi CBS, Singhai A, Singh M, Kosta S, Singh H, et al.Toxicity profile of ethanolic extract of Lawsonia intermis leaves in albino Wistar rats.World J Pharm Pharm Sci. 2014;3(5):835-48.
99. Nuha Agabna ME, Sania Shaddad AI, Mudathir AK. Safety of Lawsonia inermis ethanolic seeds extract. J Pharm Biomed Sci. 2014;04(43):303-9.
100. Abdelgadir EH, Ahmed RH, Adam SIY, Husein AM. Evaluation of toxicological activity (acute and sub-chronic toxicities) of the aqueous extract of Lawsonia inermis seeds onWistar rats. J PharmacolToxicol. 2010;5(7):324-33. doi: 10.3923/jpt.2010.324.333.
101. Khine YY. Acute kidney injury following ingestion of henna leaf extract: a case report from Myanmar. Blood Purif. 2017;44(suppl.1):41-5. doi: 10.1159/000479618.
102. Asgari S, Esfandbod M, Haghshomar M. Henna-induced hemolysis and acute kidney injury in an 85-year-old man; a case report. Arch Acad Emerg Med. 2020;8(1):e82.
103. Raupp P, Hassan JA, Varughese M, Kristiansson B. Henna causes life threatening haemolysis in glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency.Arch Dis Child. 2001;85:411-2.
104. Kok AN, Ertekin MV, Ertekin V, Avci B.Henna (Lawsonia inermis Linn.) induced haemolytic anaemia in siblings.Int J Clin Pract. 2004;58(5):530-2.doi: 10.1111/j.1368-5031.2004.00048.x
105. Syeyedzadeh A, Hemmati M, Gheiny S. Henna-induced severe haemolysis: In glucose 6-phosphate dehydrogenase deficiency. Pak J Med Sci. 2007;23(1):119-21.
106. Kheir A, Gaber I, Gafer S, Ahmed W. Life-threatening haemolysis induced by henna in a Sudanese child with glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency. East Mediterr Health J. 2017;23(1):28-30.
107. Lee SWH, Lai NM, Chaiyakunapruk N, Chong DWK. Adverse effects of herbal or dietary supplements in G6PD deficiency: a systematic review.Br J Clin Pharmacol. 2017;83:172-9.doi: 10.1111/bcp.12976.
108. Alhazmi AA, Hamedhi FI, Alaksham HM, Mubaraki MA, Hattan M, Mady AM, et al. Henna-induced haemolysis in an un-diagnosed G6PD deficient Arabian baby-case report. J Clin Med Genomics. 2018;6:2.doi: 10.4172/2472-128X.1000154.
P023_(18).xlsx