กล้วยน้ำว้า
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Musa × paradisiaca L.
ชื่อวงค์
MUSACEAE
ชื่อสมุนไพร
กล้วยน้ำว้า
ชื่ออังกฤษ
Banana
ชื่อพ้อง
Musa × sapientum L.
Musa. paradisiaca var. sapientum (L.) Kuntze
Musa. sapientum L.
ชื่อท้องถิ่น
กล้วยโกก กล้วยใต้ กล้วยไข่ กล้วยกล้าย กล้วยกะลิอ่อง กล้วยนาค กล้วยส้ม กล้วยหอมจันทร์ กล้วยหักมุก มะลิอ่อง ยาไข่ สะกุย
ชื่อ INCI
MUSA SAPIENTUM FLOWER EXTRACT
MUSA SAPIENTUM FLOWER WATER
MUSA SAPIENTUM FRUIT EXTRACT
MUSA SAPIENTUM LEAF EXTRACT
MUSA SAPIENTUM PEEL EXTRACT
MUSA SAPIENTUM PULP EXTRACT
MUSA SAPIENTUM WATER
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตอนใต้ประกอบด้วยตอนเหนือของอินเดีย พม่า กัมพูชา ไทย ลาว หมู่เกาะของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีนตอนใต้ และไต้หวัน เนื่องจากประเทศเหล่านี้จะพบกล้วยพื้นเมืองทั้งแบบมีเมล็ดและไม่มีเมล็ด ปลูกกระจัดกระจายทั่วเหมือนพืชป่า ก่อนกระจายไปยังเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกและฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ด้วยการอพยพย้ายถิ่นของประชากร (4)
ในประเทศไทยพบกล้วยที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์มากกว่า 100 สายพันธุ์ ส่วนมากเกิดจากการผสมระหว่างสายพันธุ์หรือผสมข้ามระหว่างกล้วยป่า M. acuminata Colla ซึ่งเป็นกล้วยดั้งเดิมในพื้นที่ประเทศไทยกับกล้วยตานี M. balbisiana Colla เกิดเป็นกล้วยต่างๆ เช่นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหก กล้วยหอมและกล้วยหักมุก เป็นต้น (3, 4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นเทียม สูงไม่เกิน 3.5 ม. กาบลำต้นเทียมด้านนอกสีเขียวอ่อน มีปื้นดำเล็กน้อย ด้านในสีเขียวอ่อน ใบเดี่ยว รูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ ก้านใบมีร่องด้านบนค่อนข้างแคบ ช่อดอกออกที่ปลายยอดโค้งลง กาบประดับ รูปไข่ สีแดงแกมสีม่วง ช่วงโคนเป็นดอกเพศเมียที่เกสรเพศผู้เป็นหมันหรือดอกสมบูรณ์เพศ ช่วงปลายเป็นดอกเพศผู้ที่เกสรเพศเมียเป็นหมัน กลีบรวมไม่สมมาตร เรียง 2 วง ๆ ละ 3 กลีบ เกสรเพศผู้มี 5 อัน รังไข่ใต้วงกลีบ มี 3 ช่อง ผลสด รูปคล้ายทรงกระบอกกลมหรือมีเหลี่ยม (3)
การเพาะปลูก
กล้วยชอบสภาพอากาศอบอุ่น ชุ่มชื้น อุณหภูมิระหว่าง 15-33 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพันธ์อย่างน้อย 60% ชอบดินร่วน ค่าความเป็นกรดด่าง 4.5-7 ในการปลูกกล้วย ควรปลูกห่างกันอย่างน้อย 1-3 ม. เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตของหน่อ การดูแลที่เหมาะสม คือ รดน้ำสม่ำเสมอ อาจจะใช้พืชคลุมดินปลูกเพื่อรักษาความชุ่มชื้น และควรมีการขุดหน่อออกบ้างให้เหลือเพียง 1-2 หน่อ/ต้น หากปลูกเพื่อใช้ผลทางการค้า ควรคลุมเครือกล้วยด้วยถุงพลาสติก ที่มีรูระบายอากาศและเปิดปลายถุง เพื่อป้องกันโรคและแมลง
การขยายพันธุ์ทำได้ 3 วิธี คือ การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด วิธีนี้เหมาะสำหรับการปรับปรุงพันธุ์กล้วย แต่วิธีการนี้จะใช้เวลานาน และอัตราการงอกต่ำ จึงไม่เป็นที่นิยม วิธีที่สอง คือ การขยายพันธุ์โดยใช้หน่อ เหมาะกับการปลูกเพื่อรับประทานหรือใช้ในอุตสาหกรรมจำนวนไม่มาก และวิธีที่ 3 คือ การขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีที่ได้จำนวนต้นมากในครั้งเดียว ต้นเจริญเติบโตและให้ผลผลิตพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เหมาะแก่การเพาะปลูกเพื่อทำระดับอุตสาหกรรม (4)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ต้น: ทากันผมร่วง ทำให้ผมขึ้น ผล: บำรุงกำลัง บำรุงเลือด บำรุงเนื้อหนัง เป็นอาหาร หล่อลื่น ยาระบาย รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ท้องขึ้น มีกรดมาก สมานแผล แก้ผิดมูกเลือด แก้บิด แก้ท้องร่วง แก้ท้องอืดเฟ้อ ทำให้อุจจาระถ่ายสะดวก เปลือกผล:แก้ริดสีดวง ยาง:ห้ามเลือด (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
ในเปลือกและเนื้อผลพบสารเคมีซึ่งเป็นองค์ประกอบหลายชนิด เช่น
สารประกอบฟีนอลิก(phenolic compounds) ได้แก่ caffeic acid, ferulic acid, gallic acid, hydroxybenzoic acid, p-coumaric acid, sinapic acid, syringic acid, vanillic acid (6, 7, 8, 9)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ isorhammetin-3-rutinoside,isorhamnetin-3-O-rutinoside, isorhamnetinhexoside, kaempferol, kaempferol-3-O-rutinoside, kaempferol-3-rutinoside, kaempferol-3-rutinoside-7-rhamnoside, kaempferol-7-rutinoside, laricitrin-3-rutinoside, leucocyanidin, methylmyricetin- deoxyhexose-hexoside, myricetin-3-rutinoside, myricitin-deoxyhexose-hexoside, quercetinquercetin-3-O-galactoside, quercetin-3-O-glucoside, quercetin-3-O-rhamnosyl glucoside, quercetin 3-O-rhamnoside 7-O-glucosidequercetin-3-rutinoside, quercetin-3-rutinoside-7-rhamnoside, quercetin-7-rutinoside, quercetin-deoxyhexose-hexoside, quercetin-hexoside,rutin, syringetin-3-rutinoside (7, 8, 10)
สารกลุ่มแทนนิน (tannin) ได้แก่ (−)-epicatechin, (−)-gallocatechin, (+)-catechin, epicatechin, gallocatechin (7, 8, 10)
สารกลุ่มไตรเทอร์พีน(triterpenes) ได้แก่24-oxo-29-norcycloartanone, 24-methylenecycloartanol, 24-methylenepollinastanone, 28-norcyclomusalenone, 31-norcyclolaudenone, 3-epicycloeucalenol, 3-epicyclomusalenol, 7-8-dihydroxy-3-methylidochroman-4-one, cycloartenol, cycloartane,cycloeucalenone, cyclomidalenone, cyclomusalenol, cyclomusalenone, lanosterol, stigmast-7-methylene, β-amyrin (11, 12)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterol)และไกลโคไซด์(glycoside)ได้แก่ β-sitosterol, stigmasterol, campesterol, citrostadienol, daucosterol,sitoinoside-I, sitoinoside-II, sitoinoside-III, sitoinoside-IV, sitosterolgenyiobioside, sitosterolmyo-inosityl-β-D-glucoside, stigmast-7-en-3-ol (11, 13)
สารกลุ่มไดเอริลเฮปทานอยด์ (diarylheptanoids) ได้แก่ hydroxyanigorufone, 2-(4-hydroxyphenyl)naphthalic anhydride, 1,2-dihydro-1,2,3-trihydroxy-9-(4-methoxyphenyl)phenalene, 1,7-bis(4-hydroxyphenyl)hepta-4(E),6(E)-dien-3-one, rel-(3S,4aR,10bR)-8-hydroxy-3-(4-hydroxyphenyl)-9-methoxy-4a,5,6,10b-tetrahydro-3H-naphtho[2,1-b]pyran (14)
สารโพลีแซกคาไรด์ (polysaccharides) ได้แก่amylose, amylopectin, alpha-glucan,fructooligosaccharides, arabinogalactan I, arabinogalactan II, rhamnogalacturonans I (15, 16, 17)
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds) ได้แก่ (Z,E)-αfarnesene, (-)-caryophyllene, (-)-isocaryophyllene, (±)-hexobarbital, (±)-α-pinene, (E)-4-hexen-1-ol, (z)-5-octen-1-ol, 1-butanol, 1-heptadecene, 1-hexanol, 1-pentanol, 2,3-diacetoxybutane, 2-heptanol,2-heptanone, 2-pentanol,2-pentanone, 2-pentyl acetate, 3-(1E)-1-buten-1-yl-1h-2-benzopyran-1-one, 3-carene, 3-hepten-2-one, 3-methylbutanal, 4-hexenyl acetate, 4-methoxybenzaldehyde, 7-hexadecene, 9,12-octadecadienoic acid, 13-epi-manool, acetoin, butaric acid, butyl acetate, butyl butyrate, cis-3-hexenyl acetate, cis-3-octen-1-ol, copaene, diethyl acetal,endo-borneol, ethyl 2-hydroxy-3-methylbutanoate,ethyl butyrate,ethyl crotonate,eugenol,farnesene, fenchol,hexanal,hexyl acetate,hexyl butyrate, hexyl isovalerate, isoamyl acetate,isoamyl alcohol,isoamyl butyrate, isoamylisobutyrate, isoamylisovalerate, isobutanol,isobutyl acetate,isobutyl butyrate,isobutyl isobutyrate,lauric acid, limonene, methyl butyrate,myrene,myristic acid,octanoic acid, propyl acetate, sabinene,terpinen-4-ol,trans-2-hexen-1-ol,trans-2-hexenal, trans-4-hepten-2-ol,α-methylbutyl, isobutyrate,α-terpinene,α-terpineol,α-thujene, β-bisabolene,β-pinene,γ-terpinene (18, 19, 20, 21, 22)
สารอื่นๆ ได้แก่ เซโรโทนิน (serotonin), นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine) และ iminosugarsเช่น arginine, aspartic acid, glutamic acid, leucine, valine, phenylalanine, threonine,tryptophanเป็นต้น (23, 24, 25)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มแทนนิน (tannin)
สารกลุ่มไตรเทอร์พีน (triterpenes)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterol) และไกลโคไซด์ (glycoside)
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
⁃ สารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านเชื้อราบนหนังศรีษะ ได้แก่ สารกลุ่มฟีนอลและเทอร์ปีนอยด์
⁃ สารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ สารฟีนอลลิกและสารฟลาโวนอยด์
⁃ สารสำคัญในการออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ leucocyanidin
⁃ สารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ สารฟลาโวนอยด์
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การตรวจสอบสารกลุ่มฟีนอลิกด้วยวิธี high performance liquid chromatography (HPLC)
สภาวะทดลองที่ 1
column: Waters XSelect CSH C18 column (2.5 มคม.;100 x 3 มม.) อุณหภูมิ 40ºC
mobile phase: water (A), acetonitrile (B) ใน 0.1% formic acid โดยอัตราส่วนจะเปลี่ยนไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system) คือ 0–10 min, 0–15% B; 10–25 min, 15% B; 25–30 min, 15–25% B; 30–35 min, 25–100% B; 35–40 min, 100% B; 40–45 min, 100–0% B; 45–50 min, 0% B
flow rate: 0.75 มล./นาที
injection volume: 1 ไมโครลิตร
detector: diode-array detector 280-350 นาโนเมตร (7)
สภาวะทดลองที่ 2
column: ZORBAX Eclipse XDB C-18 column (3.5 มคม.; 2.1x150 มม.) อุณหภูมิ 40 ºC
mobile phase: solvent A (acetonitrile/water/formic acid, 3:88.5:8.5, v/v/v), solvent B (acetonitrile/water/formic acid, 50:41.5:8.5, v/v/v), solvent C (methanol/water/formic acid, 90:1.5:8.5, v/v/v) อัตราส่วนจะปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system) คือ 98% A และ2% B; 8 min, 96% A และ 4% B; 37 min, 70% A, 17% B และ13% C; 51 min, 50% A, 30% B และ 20% C; 51.5 min, 30% A, 40% B และ 30% C; 56 min, 50% B และ 50% C; 57 min, 50% B และ 50% C; 64 min, 96% A และ 4% B
flow rate: 0.19 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: diode-array detector 260-360 นาโนเมตร (10)
สภาวะทดลองที่ 3
column: ACES-C18 Ar column (5 มคม.; 4.6x200 มม.)
mobile phase: กรดอะซีติกความเข้มข้น 2% โดยปริมาตร ในน้ำ:เมทานอล อัตราส่วน 82:18
flow rate: 1.2 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: UV detector 280-320นาโนเมตร (6)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 บำรุงผิว (S003)
การศึกษาพัฒนาตำรับโลชันบำรุงผิวสารสกัดเปลือกกล้วยเล็บมือนาง (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างพืช) เตรียมสารสกัดด้วยวิธีแช่สกัดเปลือกกล้วยเล็บมือนางใน 70% เอทานอล อัตราส่วน 1:5 เป็นเวลา 3 วันเตรียมตำรับโลชันมาตรฐาน จำนวน 2 สูตร ซึ่งมีความแตกต่างของของปริมาณกรดสเตียริก (Hand and body Lotion, BF Goodrich Specialty Chemicals) ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกกล้วยเล็บมือนาง 5% ประเมินผลทางกายภาพวัดค่าpH วัดค่าสีและทดสอบความคงสภาพ โดยเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิ (4±2) องศาเซลเซียสเป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วนําไปเก็บที่อุณหภูมิ (45±2) องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และทดสอบการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์โลชันผสมสารสกัดเปลือกกล้วยโดยการวัดค่าการยอมรับทางประสาทสัมผัสด้วยวิธี descriptive analysis ในอาสาสมัครจํานวน 30 คน ผลการศึกษาพบว่าคุณสมบัติของโลชันผสมสารสกัดเปลือกกล้วย สูตร 1 และ สูตร 2 มีความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 7.35-7.55 ซึ่งตรงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สีของโลชันเป็นสีขาว โลชันทั้งสองสูตรเป็นโลชั่นที่มีความคงตัวไม่แยกชั้น อาสาสมัครให้การยอมรับในด้านคุณลักษณะ สี กลิ่น ความเป็นเนื้อเดียวกัน ความชุ่มชื่นของผิว กลิ่นหลังการทา และการยอมรับโดยรวมในระดับที่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ แต่อาสาสมัครให้การยอมรับความละเอียดของเนื้อโลชั่น ความยากง่ายในการทา และความเหนียวเหนอะหนะ ของโลชั่นผสมสารสกัดเปลือกกล้วย สูตร 2 มากกว่าสูตรที่ 1 เนื่องจากมีการปรับลดปริมาณของกรดสเตียริกซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความข้นหนืดในโลชัน อย่างไรก็ตามความพึงพอใจโดยรวมของอาสาสมัครต่อโลชั่นผสมสารสกัดเปลือกกล้วยเล็บมือนางทั้ง 2 สูตรไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ จึงสรุปได้ว่าโลชันที่มีส่วนผสมของสารสกัดเปลือกกล้วยเล็บมือนาง 5% มีความเหมาะสมในการผลิตโลชันต่อไป (26, 27)
1.2 รักษาแผล (S015)
การศึกษาแบบ uni-centre, open label, phase III, comparative studyถึงประสิทธิภาพในการรักษาแผลของครีมสมุนไพรที่มีส่วนผสมของสมุนไพร 7 ชนิดได้แก่ ชะเอมเทศ (0.20%) กล้วย (19.42%) ขมิ้นชัน (2.43%) เตยทะเล (9.70%) ว่านหางจระเข้ (4.85%) และน้ำมันมะพร้าว (วัตถุดิบทั้งหมดจากประเทศอินเดียและไม่ระบุชนิดสารสกัด) ทำการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2จำนวน 38 คน ที่มีแผลเปื่อยบริเวณเท้า ขนาด 2-50 ตร.ซม. ความรุนแรงระดับ 1-3 ตามเกณฑ์การประเมินของ Wagner’s สุ่มแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กำหนดให้ทาครีมสมุนไพรหรือยา silversulphadiazine cream ติดต่อกันเป็นเวลา 5 เดือน ผลการศึกษาพบว่าครีมสมุนไพรมีฤทธิ์รักษาแผล โดยมีผลลดขนาด ความกว้างและความยาวแผลอย่างมีนัยสำคัญ ระยะเวลาเฉลี่ยของการรักษาแผลของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน (43 วัน) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าครีมสมุนไพรดังกล่าวมีฤทธิ์รักษาแผลในผู้ป่วยเบาหวานได้ไม่ต่างจากการใช้ยารักษามาตรฐาน silver sulphadiazine cream (28)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (H008)
การศึกษาผลของสารสกัดน้ำเปลือกกล้วยในการยับยั้งเชื้อราบนหนังศีรษะ ได้แก่ Aspergillus niger, Aspergillus flavus และ Penicillium sp. ในการทดสอบใช้สารสกัดน้ำเปลือกผลกล้วยสุก จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ กล้วย Musa paradiasiaca (kadali), กล้วย M.acuminata Cavendish subgroup (Cavendish) และกล้วยM. acuminata nendra subgroup (Nendra) จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมโดยนำเปลือกกล้วยมาตากแห้งและบดเป็นผง จากนั้นนำไปสกัดด้วยวิธีแช่สกัดในน้ำกลั่น เป็นเวลา 48 ชั่วโมง และเตรียมสารสกัดน้ำจากเถ้าเปลือกกล้วยด้วยการนำผงเปลือกกล้วยมาเผาจนกลายเป็นเถ้า และนำเถ้าแช่น้ำกลั่น นาน 48 ชม. กรองเฉพาะส่วนของเหลวมาใช้ทดสอบผลการทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อราในจานเพาะเชื้อพบว่ามีเพียงสารสกัดน้ำและสารสกัดน้ำจากเถ้าของเปลือกกล้วย Musa paradiasiaca มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา A.niger ด้วยค่าโซนใส (clear zone) ในการยับยั้งเท่ากับ 26 มม. ผลการตรวจสอบสารพฤกษเคมีพบว่าฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราของสารสกัดเปลือกกล้วยมาจากสารกลุ่มฟีนอลและเทอร์ปีนอยด์ที่พบในเปลือกกล้วยแต่ละชนิด (29)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ทำให้ผิวหน้าขาว (F001)
ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
การศึกษาผลของสารสกัดเอทานอลจากเนื้อผลดิบและเปลือกผลดิบของกล้วย 4 ชนิด คือ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมทอง กล้วยเล็บมือนาง และกล้วยไข่ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดปทุมธานี ไม่ระบุ voucher specimen)ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส เตรียมสารสกัดโดยแยกส่วนเนื้อผลและเปลือกผลออกจากกัน หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปอบในตู้อบอุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียล บดเป็นผง จากนั้นนำมาสกัดด้วยวิธีแช่สกัดใน 95%เอทานอลเป็นเวลา 3 สัปดาห์ การทดสอบฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสใน 96-well microplate พบว่าสารสกัดเอทานอลจากเปลือกกล้วยหอมทองมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ด้วยค่า IC50 2.25±0.91มคก./มล. แต่น้อยกว่าสารเปรียบเทียบมาตรฐาน kojic acid (IC500.12±0.01 มคก./มล. รองลงมาคือสารสกัดเนื้อผลกล้วยน้ำว้าเนื้อผลกล้วยหอมทองเปลือกกล้วยน้ำว้าเปลือกกล้วยไข่เนื้อผลกล้วยเล็บมือนางเปลือกกล้วยเล็บมือนางและเนื้อผลกล้วยไข่ ด้วยค่า IC50 3.29±1.18, 3.49±1.12, 3.80±1.49, 3.86±1.66, 5.21±2.91, 5.47±1.03และ22.21±2.58 มคก./มลตามลำดับ (30)
2.2ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อก่อสิว (F006)
การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดเปลือกกล้วยหอมดิบต่อการยับยั้งแบคทีเรียก่อสิวและการติดเชื้อทางผิวหนังที่พบบ่อย ได้แก่ Staphylococcus aureus, S. epidermis, methicilin-resistant S. aureus (MRSA) และ Propionibacterium acnes เตรียมสารสกัดโดยนำเปลือกกล้วยหอมดิบ (ไม่ระบุที่มาตัวอย่างพืชและvoucher specimen) มาแช่สกัดในตัวทำละลาย 3 ชนิด ได้แก่ เอทานอล เมทานอล และคลอโรฟอร์ม เป็นเวลา 48 ชั่วโมง นำสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์ต้านแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียทั้ง 4 ชนิด โดยค่าความเข้มข้นต่ำสุดของสารสกัดคลอโรฟอร์มที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย(minimum inhibitory concentration: MIC)ต่อเชื้อ S. aureus และ S. epidermis เท่ากับ 2.5 มก./มล. และต่อเชื้อ MRSA และ P. acnesเท่ากับ 5 มก./มล. ค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ (minimum bactericidal concentration: MBC) ต่อเชื้อแบคทีเรียทั้ง 4 ชนิดของสารสกัดคลอโรฟอร์ม เท่ากับ 5 มก./มล. สารสกัดเอทานอล ≥5 มก./มล. และสารสกัดเมทานอลต่อเชื้อ S. aureus, S. epidermis และ MRSA เท่ากับ 5 มก./มล. และP. acnes เท่ากับ ≥5 มก./มล. จึงคัดเลือกนำสารสกัดคลอโรฟอร์มมาเตรียมตำรับผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียแบบยาน้ำใส (clear lotion)ที่ประกอบด้วยสารสกัดคลอโรฟอร์มเปลือกกล้วยหอมดิบ 2.5% หรือ 10% น้ำกลั่นและเอทานอลพบว่าผลิตภัณฑ์ตำรับยาน้ำใสที่ความเข้มข้น 2.5% มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียS. aureus, S. epidermis และ MRSAและผลิตภัณฑ์ตำรับยาน้ำใสที่ความเข้มข้น 10% มีฤทธิ์ยับยั้ง P. acnesผลิตภัณฑ์ทั้งสองตำรับมีความคงตัวดีลักษณะเป็นน้ำใสสีเหลืองอ่อน ไม่มีตะกอน เมื่อทาลงบนผิวแล้วมีความรู้สึกเย็น ไม่ทิ้งคราบบนผิว เหมาะสมกับการนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ยับยั้งเชื้อก่อสิว (31)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 ฤทธิ์ปกป้องผิวจากรังสี UV (S008)
การศึกษาฤทธิ์ปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UVB ของกล้วยน้ำไข่และกล้วยน้ำว้า(ตัวอย่างพืชจากจังหวัดพิษณุโลก ไม่ระบุ voucher specimen)การทดสอบแบ่งหนูเม้าส์ออกเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มหนูควบคุม กลุ่มที่ 2-3 ป้อนด้วยเนื้อกล้วยไข่ และเนื้อกล้วยน้ำว้า ขนาด 1 มก./กก. กลุ่มที่ 4 ป้อนด้วยวิตามินซี (L-ascobic acid) 0.4 มล. และกลุ่มที่ 5 ป้อนด้วยน้ำเปล่า เป็นเวลา 12 สัปดาห์ โดยหนูกลุ่มที่ 2-5 จะได้รับรังสี UVB ผ่านหลอดไฟ ที่ระยะห่าง 30 ซม. จากผิวหนัง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้ระยะเวลา 15-40 นาทีและเพิ่มความเข้มแสงตามระยะเวลาการศึกษา 12 สัปดาห์ คือ สัปดาห์ที่ 1-4, 54 มิลลิจูล/ตร.ซม.; สัปดาห์ที่ 5-7, 72 มิลลิจูล/ตร.ซม.; สัปดาห์ที่8-10, 108 มิลลิจูล/ตร.ซม.และสัปดาห์ที่11-12, 126 มิลลิจูล/ตร.ซม.ผลการศึกษาพบว่ารังสี UV ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนัง โดยจะทำให้ชั้นผิวหนังกำพร้าจะหนาตัว (epidermal thickening) และขยายขนาดเพิ่มขึ้น (epidermal hyperplasia) รวมถึงเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (dermal connective tissues) การป้อนวิตามินซีและเนื้อกล้วยให้แก่หนูเม้าส์สามารถป้องกันความเสียหายจากรังสี UVB กล้วยไข่ป้องกันการหนาตัวของผิวหนังกำพร้าได้ดีกว่ากล้วยน้ำว้า แต่ให้ฤทธิ์น้อยกว่าวิตามินซี โดยพบความหนาของชั้นผิวหนังในกลุ่มควบคุม (กลุ่มที่ 1) กลุ่มกล้วยไข่ (กลุ่มที่ 2) กลุ่มวิตามินซี (กลุ่มที่ 4) และกลุ่มที่ได้น้ำเปล่า (กลุ่มที่ 5) เท่ากับ 20.17±1.94, 21.95±2.04, 19.01±1.66 และ 27.95 ± 3.85 มคม. ตามลำดับ (ในการศึกษาไม่ระบุความหนาของชั้นหนังกำพร้าในกลุ่มที่ป้อนกล้วยน้ำว้า) ในขณะที่เนื้อกล้วยน้ำว้ามีผลป้องกันการเพิ่มจำนวนและป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (dermal connective tissues) ได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับกล้วยไข่ผลจากการย้อมสีเนื้อเยื่อ (immunofluorescent staining) พบว่าระดับการเกิด lipid peroxidation และ protein oxidation ในสัตว์ทดลองที่ได้รับกล้วยไข่ลดลง ระดับของ MDA ในกลุ่มที่ได้รับน้ำเปล่ากลุ่มกล้วยไข่ และกลุ่มวิตามินซี เท่ากับ 213.10±24.32, 130.71±7.55 และ 59.97±17.51% ตามลำดับ และค่า 4-hydroxynonenal ในทั้ง 3 กลุ่ม เท่ากับ 199.09±13.42, 133.38±22.31 และ 95.60±13.06% ตามลำดับ กล้วยไข่ยังให้ผลยับยั้งการเกิด protein carbonyls ซึ่งบ่งถึงการเกิดprotein oxidation อย่างมีนัยสำคัญ และแนวโน้มการลดลงของ MMP-1 และ γ-glutamylcysteine synthetase ในกลุ่มที่ได้รับกล้วยไข่ แต่ยังไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากการศึกษานี้จะเห็นว่าการป้อนเนื้อกล้วยไข่ให้กับสัตว์ทดลอง สามารถลดความเสียหายของผิวหนังจากการได้รับรังสี UV ได้ โดยกล้วยไข่มีฤทธิ์เหนือกว่ากล้วยน้ำว้า แต่ให้ฤทธิ์น้อยกว่าสารเปรียบเทียบวิตามินซี โดยคาดเป็นผลมาจากสารฟีนอลิกและเบต้าแคโรทีนที่พบในกล้วยไข่มากกว่ากล้วยน้ำว้า (32)
การศึกษาฤทธิ์ป้องกันความเสียหายของผิวหนังจากการได้รับรังสี UV ของของกล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดพิษณุโลกไม่ระบุ voucher specimens) ทำการทดสอบด้วยการป้อนเนื้อกล้วยสุกขนาด 0.5, 1 และ 1.5 มก./กก. ให้แก่หนูเม้าส์เป็นเวลา 12 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำเปล่าและกลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับ ascorbic acid ขนาด 50 มก./กก. โดยหนูเม้าส์จะได้รับรังสี UV ผ่านหลอดไฟ ที่ระยะห่าง 30 ซม. จากผิวหนัง ครั้งละ 1 ชั่วโมง โดยเพิ่มความเข้มแสงตามระยะเวลาการศึกษา 12 สัปดาห์ คือ สัปดาห์ที่ 1-4, 54 มิลลิจูล/ตร.ซม.; สัปดาห์ที่ 5-7, 72 มิลลิจูล/ตร.ซม.; สัปดาห์ที่ 8-10, 108 มิลลิจูล/ตร.ซม. และสัปดาห์ที่ 11-12, 126 มิลลิจูล/ตร.ซม. ผลการศึกษาพบว่าผิวหนังของหนูเม้าส์กลุ่มที่ได้รับน้ำเปล่ามีจุดผื่นแดงและผิวหนังไม่เรียบเนียนมากกว่ากลุ่มที่ได้รับเนื้อกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ และ ascorbic acid อย่างมีนัยสำคัญ ผลจากการประเมินความยืดหยุ่นของผิวหนังพบว่ากลุ่มที่ได้รับ ascorbic acid และกล้วยไข่ขนาด 1.5 มก./กก. ป้องกันการลดลงความยืดหยุ่นของผิวหนัง ลดความเสียหายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและการลดลงของกลูต้าไธโอนในผิวหนังได้ใกล้เคียงกับหนูปกติที่ไม่ได้รับรังสี UV ในขณะที่ผลของกล้วยน้ำว้าต่อความยืดหยุ่นในผิวหนังพบเพียงเล็กน้อยและไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (33)
การศึกษาฤทธิ์ปกป้องแสงแดดของสารสกัดจากเปลือกผลกล้วย (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำเปลือกกล้วยมาตากแห้งที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 3 วัน บดเป็นผง จากนั้นนำไปสกัดด้วยวิธีการสกัด 2 แบบ คือ การสกัดแบบต่อเนื่องด้วยเครื่อง soxhlet extractorและวิธีแช่สกัด โดยทั้ง 2 วิธีใช้ n-butanol เป็นตัวทำละลายประเมินฤทธิ์ปกป้องแสงแดดของสารสกัดด้วยวิธีวัดค่าการผ่านของแสงด้วยเครื่อง elico UV visible double beam spectrophotometer ที่ช่วงความยาวแสง 280-400 นาโนเมตร ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดบิวทานอลจากเปลือกกล้วยที่สกัดด้วยวิธีการสกัดแบบต่อเนื่อง มีค่าการปกป้องแสงแดดได้ดีกว่าวิธีการแช่สกัด โดยสารสกัดความเข้มข้น 1% จากทั้งสองวิธี มีค่าการปกป้องแสงแดด Sun Protection Factor (SPF) ได้เท่ากับ 7.164 และ 6.830 ตามลำดับผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางพฤกษเคมีในสารสกัด พบว่าประกอบด้วย alkaloids, saponins, carbohydrate, tannins, amino acids, flavonoids และ glycosides (34)
3.2ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
ต้านเชื้อแบคทีเรีย
การศึกษาประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคของเจลล้างมือผสมสารสกัดจากเปลือกกล้วยน้ำว้าดิบ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ที่ทำการสกัดด้วยตัวทำละลาย 4 ชนิด คือ สารสกัดเฮกเซน ใช้วิธีการสกัดแบบแช่สกัดผงเปลือกกล้วยดิบในเฮกเซน เป็นเวลา 5 วันจากนั้นนำสารละลายชั้นเฮกเซนไประเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่องระเหยตัวทำละลาย (rotary evaporator) จากนั้นนำกากสกัดต่อด้วยไดคลอโรมีเทน และ95%เอทานอล ตามลำดับ และสารสกัดจากเหล้าขาว เตรียมโดยวิธีการแช่สกัดผงเปลือกกล้วยน้ำว้าในเหล้าขาว 40 ดีกรี เป็นเวลา 5 วัน เช่นกัน จากนั้นนำสารสกัดที่ได้มาทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรค 5 สายพันธุ์ ได้แก่ Bacillus cereus, Escherichia coli, Staphylococcus aureus, S. epidermidis และ Salmonella typhimurium ด้วยวิธี agar well diffusion โดยใช้ยาแอมพิซิลินเป็นสารมาตรฐานเปรียบเทียบ พบว่าเมื่อใช้สารสกัดที่ความเข้มข้น 500 มคก./หลุม สารสกัดไดคลอโรมีเทนจากเปลือกกล้วยน้ำว้ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. typhimurium ได้ดีที่สุด โดยมีขนาดโซนยับยั้ง 12.2±0.26 มม. รองลงมาคือ E. coli, S. epidermidis, S. aureusและ B. cereus ตามลำดับ โดยมีขนาดโซนยับยั้ง 11.3±0.44, 10.0±0.42, 10.0±0.42 และ 10.0±0.19 มม. ตามลำดับ และพบค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ (MIC) ของสารสกัดทั้ง 4 ชนิด มีค่าเท่ากับ 625-1250 มคก./มล. และความเข้มข้นต่ำสุดที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ (MBC) ของสารสกัดในแต่ละตัวทำละลาย มีค่าอยู่ระหว่าง 625-2500 มคก./มล. และการศึกษาประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคของเจลล้างมือที่ผสมสารสกัดไดคลอโรมีเทนจากเปลือกกล้วยน้ำว้าดิบ โดยใช้สารสกัดหนัก 0.3 ก. ละลายใน DMSO 2 มล. ผสมลงในเจลเบส พบว่ายังคงมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียทั้ง 5 ชนิดได้ดี และเมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง (27-30 องศาเซลเซียล) เป็นเวลา 28 วัน พบว่าประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อลดลงเพียงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ ทั้งนี้อาจเนื่องจากความไม่เสถียรหรือการเสื่อมสภาพของสารสกัดจากเปลือกกล้วย ส่วนผสมของเจลล้างมือ และค่าความเป็นกรด-ด่างที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างของสารสกัดจากเปลือกกล้วย จึงทำให้ประสิทธิภาพของเจลล้างมือในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคลดลง (35)
การศึกษาพัฒนาแผ่นปิดแผลที่มีส่วนผสมของไคโตซานและผงเปลือกกล้วยดิบ (ตัวอย่างพืชจากประเทศอิยิปต์ (ไม่ระบุ voucher specimens) เตรียมโดยนำเปลือกกล้วยมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ และอบที่อุณหภูมิ 120 ํC เป็นเวลา 24 ชม. แล้วนำไปบดละเอียด ในการทดสอบทำการเตรียมแผ่นปิดแผลที่มีส่วนผสมของไคโตซานและผงเปลือกกล้วย เตรียม chitosan solution โดยนำผงไคโตซาน 1 ก. ละลายใน acetic acid 2% คนต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ชม. จากนั้นเติมกลีเซอรอล 1 มล. จากนั้นเติมเปลือกกล้วยผสมลงใน chitosan solution ในความเข้มข้น 0, 2, 5, 10% โดยน้ำหนักนำไปขึ้นรูปและทำให้เป็นแผ่นโดยอบที่ 40 ํC เป็นเวลา 24 ชม. ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ S. aureus ATCC 25923, E. coli ATCC 25988, Pseudomonas aeruginosa ATCC 25619 และ Candida albicans ATCC10231 และเชื้อดื้อยา MDRE. coli, MDR P. aeruginosa, MDR S. aureus, MDR Acinetobacter sp. ด้วยวิธี disc diffusion ผลการศึกษาพบว่าการใช้ไคโตซานร่วมกับผงเปลือกกล้วยมีผลเสริมฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลชีพ โดยแผ่นปิดแผลที่มีส่วนผสมของผงเปลือกกล้วย 10% มีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งเชื้อทั้ง 8 ชนิด โดยเฉพาะเชื้อยีสต์ C. albicans รองลงคือเชื้อ E. coli, MDR E. coli, S. aureus MDR S. aureus, P. aeruginosa, MDR P. aeruginosaและ MDR Acinetobacter sp. ตามลำดับ และการศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพของแผ่นปิดแผลไคโตซานและผงเปลือกกล้วยดิบพบว่าแผ่นปิดแผลดังกล่าวมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี ซึ่งเหมาะสมในการนำไปดูดซับสารคัดหลั่งจากแผล (36)
3.3ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาผลของปริมาณและความเข้มข้นของเอทานอลต่อความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและปริมาณสารประกอบฟีนอลในเปลือกกล้วย 4 ชนิด คือ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมทอง กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ขั้นแรกทำการศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของตัวทำลายต่อปริมาณเปลือกกล้วย ทดสอบโดยนำเปลือกกล้วยที่ปั่นละเอียดมาทำการสกัดด้วยวิธีการแช่สกัดใน 95% เอทานอล ในอัตราส่วน 1:10 และ 1:5 โดยน้ำหนัก/ปริมาตร เป็นเวลา 3 วัน และในการทดสอบหาความเข้มข้นที่เหมาะสมของตัวทำลาย ทำการทดสอบโดยการแช่สกัดเปลือกกล้วยปั่นละเอียดใน 95% เอทานอล หรือ 70% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน ผลการศึกษาพบว่าอัตราส่วนของเปลือกกล้วยต่อเอทานอลที่เหมาะสมคือ 1:5 และการสกัดเปลือกกล้วยโดยใช้ 70% เอทานอลสามารถสกัดเปลือกกล้วยที่มีความสามารถต้านอนุมูลอิสระและปริมาณสารประกอบฟีนอลทั้งหมดสูงกว่าการสกัดด้วย95% เอทานอล โดยในการศึกษาความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากเปลือกกล้วยทั้ง 4 ชนิด ด้วยวิธี 2,2’-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging (DPPH) และ 2,2'-azino-bis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid) (ABTS) พบว่าสารสกัด 70% เอทานอลจากเปลือกกล้วยเล็บมือนางมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุด โดยมีค่าการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 147.90 และ 286.08 มก. สมมูลวิตามินซี/100 ก. น้ำหนักสด เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPHและ ABTS ตามลำดับรองลงมาได้แก่ กล้วยหอมทอง กล้วยไข่ และกล้วยน้ำว้า โดยมีค่า vitamin C equivalent antioxidant capacity (VCEAC) อยู่ระหว่าง 36.53-147.90 มก./100 ก. น้ำหนักสดและผลจากการตรวจสอบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดโดยวิธี Folin-Ciocalteu และปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในรูปมิลลิกรัมของcatechinพบว่าสารสกัด 70%เอทานอลจากเปลือกกล้วยเล็บมือนาง มีปริมาณสารทั้งสองกลุ่มเท่ากับ 179.01 มก.สมมูลกรดแกลลิก/100 ก.น้ำหนักสด และ 50.92 มก.สมมูล catechin/100 ก. น้ำหนักสด ตามลำดับ ส่วนกล้วยอีก 3 ชนิดพบประมาณสารประกอบฟีนอลิกระหว่าง104.40-128.97มก.สมมูลกรดแกลลิก/100 ก.น้ำหนักสด และมีปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดอยู่ระหว่าง 0.581-13.85 มก.สมมูลcatechin/100 ก.น้ำหนักสด (27)
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทานอลจากเนื้อผลดิบและเปลือกผลดิบของกล้วยไทย 4 ชนิด คือ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอมทอง กล้วยเล็บมือนาง และกล้วยไข่ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดปทุมธานี ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการเตรียมตัวอย่างโดยแยกส่วนเนื้อผลและเปลือกผลออกจากกัน หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส ทำการสกัดโดยวิธีแช่สกัดด้วย 95%เอทานอลเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assayพบว่าสารสกัดเอทานอลจากส่วนเปลือกผลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าส่วนเนื้อผล โดยเปลือกกล้วยหอมทองมีฤทธิ์ดีที่สุด ด้วยค่า IC50เท่ากับ 3.25±0.52 มคก./มล. รองลงมาคือเปลือกกล้วยเล็บมือนาง เปลือกกล้วยน้ำว้า และเปลือกกล้วยไข่ ด้วยค่า IC50เท่ากับ 3.40±0.61, 3.46±0.36 และ 3.58±0.25 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดจากส่วนเนื้อผลของกล้วย พบว่ากล้วยเล็บมือนางมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุด รองลงมาคือ กล้วยหอมทอง กล้วยน้ำว้า และกล้วยไข่ ด้วยค่า IC50เท่ากับ 5.28±2.23, 7.77±1.28, 25.75±13.23 และ 30.77±22.47 มคก./มล. ตามลำดับ โดยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเปลือกและผลกล้วยนี้ สัมพันธ์กับปริมาณสารอัลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ แทนนิน และโพลีฟีนอลที่พบในสารสกัด (30)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเปลือกกล้วยน้ำว้าแบบสดและอบแห้ง การทดสอบใช้ตัวอย่างเปลือกกล้วยน้ำว้าจากจังหวัดนครราชสีมา (ไม่ระบุ voucher specimen) ในการศึกษาแบ่งตัวอย่างพืชเป็น 4 ส่วน คือเปลือกผลดิบ เปลือกผลดิบอบแห้ง เปลือกผลสุก และเปลือกผลสุกอบแห้ง และนำไปสกัด 4 วิธี ได้แก่ แช่สกัดใน 95% เอทานอล หรือ 50% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน ต้มกับน้ำนาน 15 นาที และแช่สกัดในน้ำ นาน 24 ชม. ผลการทดสอบฤทธิ์ด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดจากเปลือกผลดิบมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าเปลือกผลสุก โดยสารสกัด 50% จากเปลือกผลดิบอบแห้ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดและมีความแรงมากกว่าสารเปรียบเทียบมาตรฐาน BHT ด้วยค่า EC50 = 7.33±0.55 และ 11.05±0.40 มคก./มล. ตามลำดับ รองลงมาคือสารสกัดน้ำต้มเปลือกผลดิบ (7.81±0.62 มคก./มล.) และสารสกัด 95%จากเปลือกผลดิบอบแห้ง (13.92±0.21 มคก./มล.) ส่วนสารสกัดจากเปลือกผลสุกพบค่าต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในสารสกัดน้ำต้ม รองลงมาคือสารสกัดน้ำต้มจากเปลือกผลสุกอบแห้ง และสกัด 50%เอทานอลจากเปลือกผลสุกอบแห้ง ด้วยค่า EC50 19.90±1.74, 27.55±3.10, 32.08±1.07 มคก./มล.ตามลำดับและผลการตรวจสอบปริมาณสารฟีนอลิกรวมในสารสกัดด้วยวิธี Folin-Ciocalteu พบว่าปริมาณสารฟีนอลิกที่พบมีความสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในเปลือกผลสดจะพบสารฟีนอลิกรวม 9.90-117.68 มก. สมมูลกรดแกลลิค/ก. และในเปลือกผลอบแห้งจะพบสารฟีนอลิกรวมเท่ากับ 26.56-72.65 มก. สมมูลกรดแกลลิค/ก. (37)
การศึกษาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกจากส่วนประกอบกล้วยน้ำว้าแบบสดและแบบแห้ง จำนวน 6 ส่วน คือ เปลือก, เนื้อ, ปลี, ใบตอง, ก้านเครือ และ ก้านหวี ทำการสกัดด้วยวิธีแช่สกัดใน 95% เอทานอล ในอัตราส่วน 1:2 เป็นเวลา 3 วัน วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วยเทคนิคHPLC และปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดด้วยวิธี Folin-Ciocalteu ผลการศึกษาพบว่าส่วนต่างๆของกล้วยมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดสูงกว่าส่วนเนื้อผล โดยตัวอย่างสารสกัดตัวอย่างแห้งมีปริมาณสารฟีนอลิกทั้งหมดจากมากไปน้อย ดังนี้ ก้านหวีแห้ง538.36 ± 0.15 สมมูลกรดแกลลิค/100 ก. รองลงมาคือ ใบตองแห้ง (519.63 ± 0.09) เปลือกแห้ง(432.88 ± 0.12) ก้านเครือแห้ง (350.23 ± 0.10) ปลีแห้ง (194.47 ± 0.04) และ เนื้อผลแห้ง (78.08 ± 0.20) สารสกัดจากตัวอย่างสด เรียงจากมากไปน้อย ดังนี้ ใบตองสด (349.77 ± 0.04) ก้านเครือสด (296.35 ± 0.05) ก้านหวีสด (258.90 ± 0.27) ปลีสด (242.46 ± 0.45) เปลือกสด (303.65 ± 0.05) และเนื้อผลสด (138.36 ± 0.18) ตามลำดับผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วย HPLC พบว่าสารสกัดตัวอย่างแห้งจะพบปริมาณฟีนอลลิกรวมมากกว่าตัวอย่างสด แต่การสกัดตัวอย่างสดจะได้สารสำคัญที่ใช้ประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและการใช้ประโยชน์ด้านเครื่องสำอางมากกว่าตัวอย่างแห้งโดยเฉพาะคาเทชิน กรดพารา-คูมาริก และกรดเฟอรูลิก เป็นต้น (38)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ และสารประกอบฟีนอลิกรวมจากสารสกัดเปลือกกล้วยไข่ที่สุกด้วยวิธีและเวลาต่างกัน คือ เปลือกกล้วยไข่ดิบ (ห่าม) เปลือกกล้วยไข่สุกตามธรรมชาติ และเปลือกกล้วยไข่สุก (บ่มแก๊ส) (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยนำเปลือกกล้วยไข่ที่บดละเอียด แช่ใน 80% เอทานอล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ผลทดสอบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay โดยใช้ butylated hydroxytoluene (BHT)100 มคก./มล. เป็นสารมาตรฐานเปรียบเทียบ พบว่าสารสกัดจากเปลือกกล้วยไข่ดิบ (ห่าม) ให้ฤทธิ์สูงสุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 142.93 มคก./มล รองลงมาคือสารสกัดเปลือกกล้วยไข่สุก (บ่มแก๊ส) และสารสกัดเปลือกกล้วยไข่สุกโดยมีค่า IC50 เท่ากับ 153.03 และ 239.15มคก./มล. ตามลำดับ และการสารประกอบฟีนอลิกรวมพบว่าสารสกัดจากเปลือกกล้วยไข่ดิบ (ห่าม) มีปริมาณสูงที่สุด คือ 39.495มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก. (39)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเปลือกกล้วยน้ำว้า 2 ระยะ คือ ระยะดิบและระยะสุก (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ที่สกัดด้วยวิธีและตัวทำลายแตกต่างกัน คือ การสกัดโดยใช้ชุดสกัดแบบต่อเนื่องsoxhlet extractorและการสกัดด้วยวิธีการตุ๋น (digestion) จากตัวทำละลายที่แตกต่างกัน คือ 95% เอทานอลและน้ำ จากนั้นทำการวิเคราะห์หาปริมาณฟีนอลิกรวมด้วยวิธี Folin-Ciocalteu และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ FRAP ผลการศึกษาพบว่าปริมาณฟีนอลลิกรวมของสารสกัดจากเปลือกกล้วยดิบที่ได้จากการตุ๋นด้วยเอทานอลมีค่าสูงสุด คือ 56.48±0.004 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก. น้ำหนักแห้ง ส่วนเปลือกกล้วยน้ำว้าสุกพบปริมาณสารฟีนอลิกรวมสูงสุดในสารสกัดน้ำด้วยวิธีการตุ๋น (44.69±0.002 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก. น้ำหนักแห้ง) ผลจากการตรวจสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระพบว่าสารสกัดจากเปลือกกล้วยดิบที่ได้จากการตุ๋นด้วยเอทานอลมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด โดยมีค่า IC50จากวิธี DPPH เท่ากับ 2.2 มคก./มล. และค่า FRAP เท่ากับ 0.98 มิลลิโมลาร์ของเหล็ก/ก. (40)
การศึกษาปริมาณฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดที่ได้จากการสกัดส่วนต่างๆของกล้วยหอมทอง โดยหาสภาวะการสกัดและส่วนของกล้วยที่ให้ปริมาณฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากการทดสอบด้วยวิธี FRAP, DPPH และ ABTS จากส่วนต่าง ๆ ของกล้วยหอมทอง ได้แก่ ใบกล้วย ก้านใบ ต้นกล้วยก้านเครือ เปลือกกล้วยสุก และเปลือกกล้วยดิบ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเพชรบุรี ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยวิธีการสกัดด้วยน้ำที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 4 ชั่วโมง แล้วนำไปทำแห้งด้วยเทคนิคการทำแห้งแบบเยือกแข็ง (lyophilization) พบว่าส่วนของกล้วยที่มีปริมาณฟีนอลิกรวมสูงสุดคือเปลือกกล้วยดิบ (32.76มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก.) รองลงมาคือใบกล้วย (23.71มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก.) และก้านเครือมีปริมาณฟีนอลิกรวมต่ำที่สุด (4.67 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก.) ส่วนสารสกัดจากก้านใบ ต้นกล้วย และเปลือกกล้วยสุกมีปริมาณฟีนอลิกรวมอยู่ในช่วง 9.42 - 11.27 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก.จึงคัดเลือกนำส่วนของเปลือกกล้วยดิบไปศึกษาเปรียบเทียบสภาวะการสกัดที่มีผลต่อปริมาณฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่าการสกัดด้วย 70% เอทานอล ที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 ชั่วโมง จะให้ปริมาณสารฟีนอลิกรวมสูงที่สุด คือ 55.94มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก.และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 59.58, 138.63 และ 276.60มก. สมมูลกรดแอสคอบิก/ก.เมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP, DPPH และ ABTS ตามลำดับ (41)
การศึกษาการสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดจากเปลือกกล้วยหอมทองแห้งจากจังหวัดเชียงใหม่ (ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยเทคนิคการสกัดด้วยตัวทำละลายที่สภาวะต่ำกว่าจุดวิกฤติ และปัจจัยที่มีผลต่อการสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ได้แก่ ชนิดของตัวทำละลาย (เอทานอล น้ำ และตัวทำละลายผสมน้ำและเอทานอลในอัตราส่วนโดยน้ำหนัก 1:1) อัตราส่วนโดยน้ำหนักของเปลือกกล้วยหอมทองต่อตัวทำละลาย (1:7.5, 1:15, 1:25 และ 1:30) อุณหภูมิ (60, 80, 100 และ 120 องศาเซลเซียส) และเวลาในการสกัด (5, 15, 30 และ 60 นาที) ในการศึกษานี้ใช้ตัวอย่างกล้วยหอมที่มีความสุกระดับ 6 ตาม Banana ripening chart ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดที่สกัดได้จากเปลือกกล้วยหอมทองแห้งตัวทำละลายผสมน้ำและเอทานอลในอัตราส่วนโดยน้ำหนัก 1: 1 เป็นตัวทำละลายที่เหมาะสมที่สามารถสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดได้ในปริมาณที่มาก เมื่อปริมาณตัวทำละลายผสมที่ใช้ในการสกัดมากขึ้นสามารถสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดได้เพิ่มขึ้น อุณหภูมิและเวลาในการสกัดเพิ่มขึ้นปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดที่ได้มีค่าสูงขึ้น อย่างไรก็ตามปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดจะลดลงเมื่ออุณหภูมิและเวลาในการสกัดมากกว่า 100 องศาเซลเซียส และนานกว่า 15 นาที ตามลำดับ สภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดได้ในปริมาณมากที่สุดจากเปลือกกล้วยหอมทองแห้งด้วยเทคนิคการสกัดโดยใช้ตัวทำละลายที่สภาวะต่ำกว่าจุดวิกฤติ คือ ที่อัตราส่วนโดยน้ำหนักของเปลือกกล้วยหอมทองแห้งต่อตัวทำละลายผสม (น้ำและเอทานอลในอัตราส่วนโดยน้ำหนักเท่ากับ 1:1) เท่ากับ 1:25 อุณหภูมิและเวลาในการสกัดเท่ากับ 100 องศาเซลเซียส และ 15 นาที ตามลำดับ สามารถสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 59.23มก. สมมูลกรดแกลลิค/ก. และการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 คือ 1.40 มก./มล. (42)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผลกล้วยเล็บมือนางจากจังหวัดชุมพร (ไม่ระบุ voucher specimen) ที่มีระยะการสุกแตกต่างกัน 3 แบบ คือ ผลดิบ (เก็บเกี่ยวที่ระยะเวลา 2 เดือนหลังติดผล) ผลสุก (บ่มไว้ 4 วันหลังเก็บเกี่ยว) และผลสุกงอม (บ่มไว้ 8 วันหลังเก็บเกี่ยว) เตรียมตัวอย่างโดยนำเนื้อผลมาบ่มใน 80% เมทานอล เป็นเวลา 15 นาที จากนั้นกรองเอาส่วนของเหลวไปปั่นเหวี่ยงและแยกเอาส่วนของเหลวเหนือตะกอนไปทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าค่าการต้านอนุมูลอิสระรวมมีค่าสูงสุดในช่วงผลสุก รองลงคือผลสุกงอมและผลดิบ ตามลำดับ โดยค่าต้านอนุมูลอิสระของกล้วยไข่ในระยะต่างๆ มีความสัมพันธ์กับปริมาณสารฟีนอลิกรวมซึ่งพบมากที่สุดในช่วงผลสุก (43)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร syringin สารสำคัญที่พบในกล้วยและสารสกัดเมทานอลจากส่วนปลี ผล และลำต้นเทียมของกล้วยในประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยวิธี cold extract technique ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย DPPH assay พบว่าสารสกัดเมทานอลจากกล้วยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยสารสกัดเมทานอลจากส่วนปลีกล้วยให้ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดรองลงมาคือสารสกัดจากส่วนเปลือกผล สาร syringin และสารสกัดจากเนื้อผล ด้วยค่า IC50เท่ากับ 22.5, 66, 71 และ 82 มคก./มล. ตามลำดับ ซึ่งฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากส่วนต่างๆ ของกล้วยนี้ สอดคล้องกับผลการศึกษาสารกลุ่มฟีนอลิกในกล้วย ซึ่งพบในสารสกัดเมทานอลจากปลีกล้วยสารสกัดเอทานอลจากปลีกล้วย สารสกัดเมทานอลจากเปลือกผล สาร syringin และสารสกัดเมทานอลจากเนื้อผล เท่ากับ 8,000, 6,240, 3.450, 2.530 และ 2.150 มก.สมมูลกรดแกลลิก/ก. สารสกัด (44)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของเนื้อผลและเปลือกผลกล้วยในประเทศมาลาเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen)ที่ทำการสกัดด้วยตัวทำละลาย 3 ชนิด คือ เฮกเซน เอทานอล และน้ำ จากนั้นนำสารสกัดดังกล่าวมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดย DPPH assay และ FRAP พบว่าสารสกัดเอทานอลจากส่วนเปลือกผลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด โดยพบค่า IC50เท่ากับ 19.10 มคก./มล. และ 55.10ไมโครโมลาร์/มล.ตามลำดับ รองลงมาคือสารสกัดเอทานอลจากส่วนเปลือกผล มีค่าIC50เท่ากับ 44.07มคก./มล. และ 46.40 ไมโครโมลาร์/มล.ตามลำดับ (45)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของส่วนเนื้อผลและเปลือกผลของกล้วยดิบจากประเทศบังคลาเทศ (ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการสกัดเปลือกและเนื้อผลกล้วยด้วยวิธีการแช่สกัดในเมทานอล นาน 24 ชั่วโมง ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay ผลการศึกษาพบว่าส่วนเปลือกกล้วยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าส่วนเนื้อผล โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. มีผลยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 70.62 และ 54.79% ตามลำดับ ซึ่งมีฤทธิ์น้อยกว่าสารเปรียบเทียบ ascorbic acid เมื่อใช้ในความเข้มข้นเดียวกัน เมื่อหาปริมาณสารฟีนอลรวมด้วยวิธี Folin–Ciocalteu พบว่าปริมาณสารฟีนอลิกที่พบมีความสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยพบว่าส่วนเปลือกผลมีปริมาณสารฟีนอลิกมากกว่าส่วนเนื้อผล โดยพบสารฟีนอลรวม เท่ากับ 92.76 และ 71.49 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก. น้ำหนักแห้ง ตามลำดับ (46)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและปริมาณสารโพลีฟีนอลในกล้วยดิบที่ผ่านการต้มในประเทศไนจีเรีย (ไม่ระบุ voucher specimens) เตรียมสารสกัดเนื้อผลกล้วยดิบด้วย 80% อะซีโตน จากนั้นนำไปสกัดแยกกลุ่มสารที่เป็นกรดและด่างด้วยเอธิลอะตีเตท และนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย DPPH, ABTS, Fe(II)-chelating ability, OH radical-scavenging ability และ reducing power ผลการทดสอบพบว่าในเนื้อกล้วยต้มสุกจะมีกรดฟีนอลิกแบบอิสระ (free phenolic acid) มากกว่ากรดฟีนอลิกแบบยึดเหนี่ยว (bound phenolic acid) โดยพบปริมาณ 101 มก. และ 87.02 มก./เนื้อกล้วย 100 ก. ตามลำดับ ซึ่งปริมาณกรดฟีนอลิกนี้มีผลต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดโดยพบค่าความเข้มข้นของกรดฟีนอลิกแบบอิสระที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 50% (EC50) เท่ากับ 4.34±0.21, 0.81±0.14, 0.78±0.36 มก./มล. เมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, OH radical-scavenging ability และ Fe(II)-chelating abilityและพบค่า EC50 ของกรดฟีนอลิกแบบยึดเหนี่ยว เท่ากับ 6.68±030, 1.01±0.11, 1.05±0.14 มก./มล.ตามลำดับ อย่างไรก็ตามเมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี reducing power และ ABTS พบว่ากรดฟีนอลิกแบบอิสระมีค่าต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่ากรดฟีนอลิกแบบยึดเหนี่ยวโดยกรดฟีนอลิกแบบอิสระมีค่าต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี reducing power และ ABTSเท่ากับ 13.21±0.01 และ 9.01±0.01ไมโครโมร์/100 ก. และกรดฟีนอลิกแบบยึดเหนี่ยวมีค่าต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 0.63±0.01 และ 0.25±0.05 ไมโครโมลาร์/100 ก. ตามลำดับ (47)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและองค์ประกอบทางเคมีของกล้วยที่สุกในระยะต่างกัน ทำการศึกษาในประเทศไนจีเรีย (ไม่ระบุ voucher specimens) ทำการเตรีมสารสกัดโดยนำผงเนื้อผลดิบและเนื้อผลสุกมาแช่สกัดในน้ำกลั่นเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ทำการวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลิกด้วย Folin-ciocalteauและปริมาณสารฟลาโวนอยด์โดยคำนวณเทียบเท่ากับสมมูลกรดแกลลิค และเคอร์ซิติน ตามลำดับ ผลการทดสอบพบว่าปริมาณสารฟีนอลิกรวมในเนื้อผลกล้วยดิบและกล้วยสุก เท่ากับ 16.2±0.75 และ 8.3±055 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก. และมีปริมาณสารฟลาโวนอยด์เท่ากับ 15.2±0.45 และ 9.5±0.21 มก.สมมูลเคอร์ซิติน/ก. ตามลำดับ สารสกัดน้ำจากเนื้อผลกล้วยดิบมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดน้ำจากเนื้อผลกล้วยสุก เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, Iron(II)-chelating activity, FRAPและOH radical-scavenging และการทดสอบฤทธิ์ป้องกันการเกิด oxidative stress ในเนื้อเยื่อสมองและเนื้อเยื่อตับของหนูแรทพบว่าสารสกัดน้ำจากเนื้อผลกล้วยดิบและกล้วยสุกมีผลป้องกันการเกิด lipid peroxidation อย่างมีนัยสำคัญตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ (48)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผงเปลือกกล้วย (ตัวอย่างพืชจากประเทศบราซิล ไม่ระบุเลข voucher specimen) โดยเตรียมเปลือกกล้วย ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นขนาดเล็ก แล้วนำไปลวกในน้ำ 95ºC เป็นเวลา 5 นาที ก่อนนำไปอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 55 ºC แล้วบดให้เป็นผงละเอียด ผลการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP, ABTS และ Oxygen radical absorbance capacity (ORAC) พบค่าการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 14.0±1.7, 242.2±34.8 และ 435.5±60.2 ไมโครโมลาร์โทรลอกซ์/ก. ผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบสารฟีนอลิกรวม 29.2±0.8 มก.สมมูลกรดแกลลิค/ก. และสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ 3,952 มก.คาเตชิน/ก. สารสกัด (10)
3.4ต้านการอักเสบ (S014)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของเปลือกกล้วยน้ำว้าแบบสดและอบแห้ง ด้วยการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง nitric oxide (NO)ในเซลล์แมคโครฟาจของหนูเม้าส์ (RAW264.7 cell) ใช้ตัวอย่างเปลือกกล้วยน้ำว้าจากจังหวัดนครราชสีมา (ไม่ระบุ voucher specimen) ในการศึกษาแบ่งตัวอย่างพืชเป็น 4 ส่วน คือเปลือกผลดิบ เปลือกผลดิบอบแห้ง เปลือกผลสุก และเปลือกผลสุกอบแห้ง นำไปการสกัด 4 วิธี ได้แก่ แช่สกัดใน 95%เอทานอลหรือ 50%เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน สารสกัดน้ำต้มโดยต้มนาน 15 นาที และแช่สกัดในน้ำเปล่า เป็นเวลา 24 ชม. ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากการแช่น้ำเปลือกผลสุกมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง NO ได้สูงสุด ด้วยค่า IC50 6.68±0.34 มคก./มล. ซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าสารเปรียบเทียบ indomethacin (IC50=20.32±3.68 มคก./มล.) ตามมาด้วยสารสกัด 95%เอทานอลจากเปลือกผลดิบอบแห้ง และสารสกัด 50%เอทานอลจากเปลือกผลดิบ ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 36.62±3.68 และ 54.69±1.71 มคก./มล. ตามลำดับ (37)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเอทานอลจากผลกล้วยดิบในประเทศอินเดีย (voucher specimen: CG-1123) เตรียมสารสกัดโดยใช้วิธีการสกัดแบบต่อเนื่องด้วยเครื่องSoxhlet extractorที่ใช้ 95% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย จากนั้นนำสารสกัดที่ได้มาทำการสกัดแบบลำดับส่วนด้วยปิโตรเลียมอีเธอร์ คลอโรฟอร์ม และน้ำ ตามลำดับ นำสารสกัดดังกล่าวมาการทดสอบฤทธิ์ต้านอักเสบในหนูแรท ด้วยการแบ่งหนูแรทออกเป็น 6 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม กลุ่มที่ 2 ป้อนด้วยยา diclofenac sodium ขนาด 30 มก./กก. กลุ่มที่ 3, 4, 5 และ 6 ป้อนด้วยสารสกัด 95% เอทานอล ส่วนสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ คลอโรฟอร์ม และน้ำ ขนาด 200 มก./กก. ตามลำดับ ที่เวลา 1 ชั่วโมงก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบบริเวณอุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดเอทานอลและส่วนสกัดน้ำจากผลกล้วยดิบ ขนาด 200 มก./กก. แสดงฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ลดขนาดการบวมของอุ้งเท้าได้อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ชั่วโมงที่ 2 ของการศึกษา และเมื่อทำการสังเกตผลครบ 6 ชั่วโมง พบว่าสารสกัดเอทานอลจากเปลือกกล้วยดิบสามารถยับยั้งการบวมเท่ากับ 67.36% ใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับยา diclofenac sodium (69.47%) รองลงมาคือส่วนสกัดน้ำจากเปลือกกล้วยดิบ (63.15%) อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้ไม่พบฤทธิ์ต้านอักเสบของส่วนสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ และส่วนสกัดคลอโรฟอร์ม จึงคาดว่าฤทธิ์ต้านการอักเสบนี้เป็นผลมาจากสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่พบในสารสกัด (49)
3.5รักษาแผล (S015)
ทำการเตรียมสารสกัด50% เอทานอลจากเนื้อผลกล้วย (ไม่ระบุที่มาและ voucher specimen ของตัวอย่างพืช)ด้วยวิธีการแช่เนื้อผลกล้วยใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์รักษาแผลในหนูแรทที่มีแผลรอยกรีด (incision wound) ด้วยการป้อนสารสกัด 50% เอทานอลจากเนื้อผลขนาด 50, 100 และ 200 มก./กก. วันละครั้ง ติดต่อกัน 10 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับวิตามินอีขนาด 200 มก./กก. ทำการประเมินผลด้วยการตรวจวัดwound breaking strength ซึ่งบ่งถึงความแข็งแรงของแผล ผลการทดสอบพบว่า wound breaking strengthของกลุ่มควบคุม กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากผลกล้วย 50, 100 และ 200 มก./กก. และกลุ่มที่ได้รับวิตามินอี เท่ากับ 338.3 ± 13.5, 363.3 ± 6.8, 445.0 ± 9.7 , 438.3 ± 8.4 และ 528.3 ± 6.9 ก. ตามลำดับ และผลจากการตรวจวัดพื้นที่ช่องว่างในชั้นเนื้อเยื่อ (dead space) เพื่อประเมินความสามารถในการสร้างชั้นคอลลาเจนในแผล พบว่าทั้งกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากผลกล้วยและกลุ่มที่ได้รับวิตามินอีมีผลเพิ่มน้ำหนักแห้งของเนื้อเยื่อและปริมาณโปรตีนในเนื้อเยื่อได้ ปริมาณ hydroxylproline, hexuronic และ hexosamine ในเนื้อเยื่อแกรนูเลชันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังได้รับสาร การทดสอบด้วยการจำลองโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (In silico) ด้วยการจำลองใช้สาร leucocyanidin ที่พบในกล้วยกับกลุ่มเอนไซม์ matrix metalloproteinases (MMPs) ได้แก่ collagenase, gelatinase, elastase และ stromelysin มีค่าพลังงานการจับกับระหว่างสารดังกล่าวกับเอนไซม์เท่ากับ -9.67, -8.67, -8.27 และ -10.17 Kcal/molตามลำดับ ซึ่งความสามารถในการยับยั้ง MMP นี้จะช่วยป้องกันการพัฒนาของแผลในการเป็นแผลเรื้อรังได้ (50)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกกล้วยดิบ (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย ไม่ระบุ voucher specimens) เตรียมสารสกัดน้ำโดยนำเปลือกกล้วยดิบมาหั่นเป็นชิ้น ตากให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นเติมน้ำกลั่น 200 มล. ต่อผงเปลือกกล้วย 200 ก. แช่ไว้เป็นเวลา 2 วัน และเตรียมสารสกัดเมทานอล โดยแช่ผงเปลือกกล้วย 200 ก. ด้วยเมทานอล 1 ลิตร ต่อ เป็นเวลา 2 วัน การทดสอบฤทธิ์รักษาแผลโดยป้อนสารสกัดน้ำ และสารสกัดเมทานอลจากเปลือกกล้วยดิบ ขนาด 50, 100 และ 200 มก./กก. วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 21 วัน ให้แก่หนูแรทที่มีแผลรอยตัด (excision wound) บริเวณด้านหลังลำตัว ผลการศึกษาโดยประเมินผลการหดตัวของแผล (wound contraction) และการสร้างเนื้อเยื่อ พบว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกกล้วยสามารถเพิ่มอัตราการหดตัวของแผลได้อย่างมีนัยสำคัญตามขนาดที่ได้รับ โดยบาดแผลปิดโดยสมบูรณ์ในวันที่ 16 ของการศึกษา และมีระยะเวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวเฉลี่ย 15-17 วัน กลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำมีขนาดแผลเป็นเฉลี่ย 33.8-38.0 มม. และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเมทานอล มีขนาดแผลเป็นเฉลี่ย 35.2-41.8 มม. ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีระยะเวลาในการสร้างเยื่อบุผิว 20.6 วัน และขนาดแผลเป็นเฉลี่ย 50.6 มม. และให้ผลดีกว่ากลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับวิตามินอี 200 มก./กก. ซึ่งพบค่าเฉลี่ยในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวและขนาดแผลเป็นเท่ากับ 19.2 วัน และ 40.4 มม. ตามลำดับ เมื่อทำการศึกษาต่อในหนูแรทที่มีแผลรอยกรีด (incision wound) พบว่าสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกกล้วยมีฤทธิ์รักษาแผลได้ใกล้เคียงกับวิตามินอี เมื่อประเมินผลโดยการตรวจวัดความแข็งแรงของแผลจากแรงประลัย มีค่าเท่ากับ 470.0, 377.3 และ 386.2 ก. ตามลำดับ ซึ่งมากกว่ากลุ่มควบคุม ที่พบแรงประลัยเท่ากับ 266.7 ก. และการประเมิน dead space ในบาดแผล ในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกกล้วยดิบพบการสร้างเนื้อเยื่อ granulation และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรวมถึงเพิ่มระดับของhydroxyproline, hexuronic acid และ hexosamine อย่างมีนัยสำคัญซึ่งบ่งชี้ถึงกระบวนการหายของแผล นอกจากนี้ยังพบว่าระดับของ malondialdehyde สารก่ออนุมูลอิสระในแผลลดลงใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับวิตามินอี (51)
การศึกษาผลของสารสกัดจากผงเปลือกกล้วยดิบในประเทศเม็กซิโก (ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการแช่ผงเปลือกกล้วยดิบในเมทานอล เฮกเซน และคลอโรฟอร์ม อัตราส่วน 1:2โดยน้ำหนัก/ปริมาตรเป็นเวลา 3 ชม. จากนั้นนำสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์รักษาแผลในหนูเม้าส์ที่มีบาดแผลรอยกรีดบริเวณด้านหลังลำตัว ขนาด 2 ซม. ในการทดสอบแบ่งหนูเม้าส์ออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุมลบซึ่งทาแผลด้วยน้ำเกลือ กลุ่มที่สองคือกลุ่มควบคุมบวกทาด้วยยา recoveron ขนาด 10 มก./กก. กลุ่มที่ 3 -5 ทาด้วยสารสกัดเมทานอล สารสกัดเฮกเซน และสารสกัดคลอโรฟอร์มจากเปลือกกล้วยดิบ ขนาด 100 มก./กก. ตามลำดับ วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 21 วัน ประเมินผลจากจากความคืบหน้าการหายของแผลและการตรวจสอบเนื้อเยื่อด้วยวิธีการย้อมสี hematoxylin และ eosin ผลพบว่าสารสกัดเมทานอลและสารสกัดเฮกเซนจากเปลือกกล้วยมีประสิทธิภาพในการรักษาแผล โดยสามารถสร้างชั้นเนื้อเยื่อบุผิว เพิ่มความหนาของชั้นเยื่อบุผิว และกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนบริเวณบาดแผลอย่างมีนัยสำคัญ ได้เช่นเดียวกับกลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับยา recoveronและสารสกัดเมทานอลให้ฤทธิ์ดีว่าสารสกัดเฮกเซนเนื่องจากสามารถเพิ่มการสร้างหลอดเลือดฝอยบริเวณบาดแผล ซึ่งจะช่วยให้การสร้างเนื้อเยื่อบุผิวแผลเกิดได้เร็วขึ้น และไม่พบฤทธิ์นี้ในสัตว์ทดลองที่ได้รับสารสกัดคลอโรฟอร์มในการศึกษานี้ระบุว่าฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดจากเปลือกกล้วยมีความเกี่ยวข้องกับปริมาณสารอัลคาลอยด์ แทนนิน ซาโปนิน และฟีนอล ซึ่งพบในปริมาณแตกต่างกันในแต่ละตัวทำละลาย (52)
การศึกษาประสิทธิภาพในการรักษาแผลของเจลที่มีส่วนผสมของผงเปลือกกล้วยดิบในประเทศบราซิล (ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการทดสอบในหนูแรทที่มีแผลรอยกรีดบริเวณด้านหลังลำตัว แบ่งกลุ่มการรักษาโดยใช้เจลปิดแผลที่มีส่วนผสมของผงเปลือกกล้วยดิบ ขนาด 2, 4 และ 10% เป็นเวลา 7 วัน ผลการศึกษาพบว่าขนาดของบาดแผลในกลุ่มที่ได้รับเจลเปลือกกล้วยความเข้มข้น 4% ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารใดเลย โดยประสิทธิภาพในการรักษาแผลของเจลเปลือกกล้วยความเข้มข้น 4% ไม่มีความแตกต่างกับเจลเปลือกกล้วยความเข้มข้น 10% ผลจากการตรวจสอบด้วยการย้อมสีเนื้อเยื่อบริเวณบาดแผล ด้วยhematoxylin และ eosin พบว่ากลุ่มที่ได้รับเจลเปลือกกล้วยทั้ง 3 กลุ่ม เริ่มมีการสร้างเนื้อเยื่อบุผิว (re-epithelialization) และสร้างเส้นใยคอลลาเจนในผิวอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 3 ของการศึกษา และไม่พบผลนี้ในกลุ่มควบคุม ในการศึกษานี้พบการตายของสัตว์ทดลองในกลุ่มควบคุม กลุ่มเจลผงเปลือกกล้วยความเข้มข้น 2, 4 และ 10% เท่ากับ 3, 0, 2 และ 3 ตัวตามลำดับ อย่างไรก็ตามทางคณะผู้วิจัยไม่ได้ระบุถึงสาเหตุการตายของสัตว์ทดลองในแต่ละกลุ่ม (53)
พบการศึกษาในประเทศบราซิลถึงฤทธิ์ของเจลผงเปลือกกล้วยดิบ (ไม่ระบุ voucher specimen) ต่อการรักษาแผลผ่าตัดในหนูแรท ทำการทดสอบในหนูแรท 60 ตัว โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุมที่ได้รับ natrogel ที่ไม่มีส่วนผสมของผงเปลือกกล้วย และกลุ่มทดสอบที่ได้รับเจลผงเปลือกกล้วย 10% (เตรียมโดยผสมผงเปลือกกล้วยดิบ 10 ก. กับ natrogel 90 ก.) ขนาดวันละ 0.1 ก. ทาบริเวณแผลรอยกรีดบริเวณด้านหลังของของหนูแรท (ขนาดแผล 4x4 ซม.) เป็นเวลา 28 วัน ผลการศึกษาพบว่าในกลุ่มที่ได้รับเจลผงเปลือกกล้วยดิบมีการสร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน รวมถึงพบการเจริญของเยื่อบุผิวและเซลล์ monocyte บริเวณบาดแผลอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ตั้งแต่วันที่ 14 ของการศึกษา เมื่อทำการสังเกตผลจนครบ 21 วัน พบว่าระดับของ polymorphonuclear cells ซึ่งแสดงถึงภาวะติดเชื้อมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับเจลผงเปลือกกล้วย การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเจลที่ส่วนผสมของผงเปลือกกล้วยดิบ 10% มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกระตุ้นการหายของแผลได้ดีกว่าเจลที่ไม่มีส่วนผสมของเปลือกกล้วย (54)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
1 ความเป็นพิษต่อเซลล์
การทดสอบใช้ตัวอย่างเปลือกกล้วยน้ำว้าจากจังหวัดนครราชสีมา (ไม่ระบุ voucher specimen) ในการศึกษาแบ่งตัวอย่างพืชเป็น 4 ส่วน คือเปลือกผลดิบ เปลือกผลดิบอบแห้ง เปลือกผลสุก และเปลือกผลสุกอบแห้ง และนำไปการสกัด 4 วิธี ได้แก่ แช่สกัดใน 95%เอทานอลหรือ 50%เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน สารสกัดน้ำต้มโดยต้มในน้ำนาน 15 นาที และสารสกัดด้วยวิธีการแช่สกัดในน้ำ นาน 24 ชม. นำมาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์แมคโครฟาจ (RAW 264.7 cell) ด้วยวิธี MTT assay พบว่าสารสกัดจากตัวทำละลายต่างๆ จากเปลือกกล้วยน้ำว้าทั้งแบบดิบและสุก ความเข้มข้น 100 มคก./มล. ไม่แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ (35)
2 ความเป็นพิษ
การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันด้วยการป้อนสารสกัด 95% เอทานอลจากผลกล้วยดิบ ขนาด 0.5, 1.0, 1.5 และ 2.0 ก./กก. (47) สารสกัด 50% เอทานอลจากผลกล้วย ขนาด 2 ก./กก. (49) สารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกล้วยดิบ ขนาด 50-1,200 มก./กก. (48) ให้แก่หนูแรท และการป้อนหนูเม้าส์ด้วยสารสกัดเมทานอล เฮกเซน และคลอโรฟอร์มจากผงเปลือกกล้วยดิบ ขนาด 0.125-2.0 /กก. (50) ไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และจากการเฝ้าสังเกตอาการ 7-21 วัน ไม่พบความเป็นพิษและความผิดปกติของสัตว์ทดลอง
การทดสอบความเป็นพิษแบบกึ่งเรื้อรังโดยให้หนูแรทกินผงกล้วยดิบ ขนาด 1.25, 2.5 และ 5 ก./กก. นาน 5 สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติทางสรีรวิทยาของสัตว์ทดลอง (55)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
มีรายงานอาการแพ้เนื่องจากยางกล้วย (56, 57, 58, 59) ผู้ที่มีประวัติแพ้ยางกล้วยควรระมัดระวังการใช้
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบตำรับโลชันมาตรฐาน จำนวน 2 สูตร (Hand and body Lotion, BF Goodrich Specialty Chemicals) ที่มีส่วนผสมของสารสกัด 70% เอทานอลจากเปลือกกล้วยเล็บมือนาง 5% มีผลเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหลังการทา (26, 27)
ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบตำรับครีมสมุนไพรที่มีส่วนผสมของสมุนไพร 7 ชนิดได้แก่ ชะเอมเทศ 0.20%, กล้วย 19.42%, ขมิ้นชัน 2.43%, เตยทะเล 9.70%, ว่านหางจระเข้ 4.85% และน้ำมันมะพร้าว (ในการศึกษาไม่ระบุชนิดของสารสกัดของสมุนไพรในตำรับ) ทาแผลเปื่อยบริเวณเท้า เป็นเวลา 5 เดือน มีฤทธิ์รักษาแผล โดยผลลดขนาดของแผล และย่นระยะเวลาการหายของแผลให้เร็วขึ้น (28)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
เปลือกและเนื้อผลกล้วยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระฤทธิ์ต้านการอักเสบฤทธิ์ต้านสิวลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ป้องกันผิวหนังจากการทำลายโดยแสงแดด รักษาแผล ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือเพื่อการใช้ภายนอก แต่ทั้งหมดยังเป็นเพียงการศึกษาในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ซึ่งควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงประสิทธิภาพและขนาดที่เหมาะสมต่อไปในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557
2. Musa × paradisiaca L. The Plant List. [Internet]. 2013 [cited 2020 December 8]. Available from: http://www.theplantlist.org.
3. ราชบัณฑิตยสถาน. หนังสืออนุกรมวิธานพืชอักษร ก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2547:544 หน้า.
4. เบญจมาศ ศิลาย้อย. กล้วย (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2545.
5. นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 1. กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชน จำกัด, 2542: 895 หน้า
6. Ongphimai N, Lilitchan S, Aryusuk K, Bumrungpert A, Krisnangkura K. Phenolic acids content and antioxidant capacity of fruit extracts from Thailand. Chiang Mai J Sci. 2013;40(4):636-42.
7. PassoTsamo CV, Herent MF, Tomekpe K, HappiEmaga T, Quetin-Leclercq J, Rogez H, et al. Phenolic profiling in the pulp and peel of nine plantain cultivars (Musa sp.). Food Chem. 2015;167:197-204. doi: 10.1016/j.foodchem.2014.06.095.
8. Vu HT, Scarlett CJ, Vuong QV. Phenolic compounds within banana peel and their potential uses: A review.J Funct Food. 2018;40:238-48.doi: 10.1016/j.jep.2014.11.008.
9. วิภา สุโรจนะเมธากุล, ชิดชชม ฮิรางะ. การสกัดแทนนินจากเปลือกกล้วย. วารสารเกษตรศาสตร์. 2537;28(4):578-86.
10. Rebello LPG, Ramos AM, Pertuzatti PB, Barcia MT, Castillo-Muñoz N, Hermosín-Gutiérrez I. Flour of banana (Musa AAA) peel as a source of antioxidant phenolic compounds. Food Res Int. 2014;55:397–403.doi: 10.1016/j.foodres.2013.11.039.
11. Silva AA, Morais SM, Falcão MJ, Vieira IG, Ribeiro LM, Viana SM, et al. Activity of cycloartane-type triterpenes and sterols isolated from Musa paradisiaca fruit peel against LeishmaniainfantumChagasi. Phytomedicine. 2014;21(11):1419-23. doi: 10.1016/j.phymed.2014.05.005.
12. Akihisa T, Kimura Y, Tamura T. Cycloartane triterpenes from the fruit peel of Musa sapientum. Phytochem. 1998:47(6):1107-10.doi: 10.1016/S0031-9422(98)80081-2
13. Ghosal S. Steryl glycosides and acyl steryl glycosides from Musa paradisiaca. Phytochem. 1985;24(8):1807-10.doi: 10.1016/S0031-9422(00)82556-X
14. Jang DS, Park EJ, Hawthorne ME, Vigo JS, Graham JG, Cabieses F, et al. Constituents of Musa x paradisiaca cultivar with the potential to induce the phase II enzyme, quinone reductase. J Agric Food Chem. 2002;50(22):6330-4. doi: 10.1021/jf0206670.
15. Sun J, Li L, You X, Li C, Zhang E, Li Z, et al. Phenolics and polysaccharides in major tropical fruits: chemical compositions, analytical methods and bioactivities. Anal Methods. 2011;3:2212-20.doi: 10.1039/C1AY05342F
16. Oliveira TÍ, Rosa MF, Cavalcante FL, Pereira PH, Moates GK, Wellner N, et al. Optimization of pectin extraction from banana peels with citric acid by using response surface methodology. Food Chem. 2016;198:113-8. doi: 10.1016/j.foodchem.2015.08.080.
17. Arias D, Rodeiquea J, Lopaz B, Mendez P. Evaluation of the phytochemical properties of pectin extracted from Musa paradiasiaca banana peels at different pH conditions in the formation of nanoparticles. Heliyon. 2021;7:e06059.doi: 10.1016/j.heliyon.2021.e06059.
18. Fahim M, Ibrahim M, Zahiruddin S, Parveen R, Khan W, Ahmad S, et al. TLC-bioautography identification and GC-MS analysis of antimicrobial and antioxidant active compounds in Musa × paradisiaca L. fruit pulp essential oil. Phytochem Anal. 2019;30(3):332-345.doi: 10.1002/pca.2816.
19. Mordi RC, Fadiaro AE, Owoeye TF, Olanrewaju IO, Uzoamaka GC, Olorunshola SJ. Identification by GC-MS of the components of oils of banana peels extract, phytochemical and antimicrobial analyses. Res J Phytochem. 2016;10(1):39-44.doi: 10.3923/rjphyto.2016.39.44.
20. Pino J, Ariel O, Marbot R, Aguero J. Volatile components of banana fruit (Musa sapientum L.) “Indio” from Cuba. J EssestialOil Res. 2003;15(2):79-80.doi: 10.1080/10412905.2003.9712071
21. Jordán MJ, Tandon K, Shaw PE, Goodner KL. Aromatic profile of aqueous banana essence and banana fruit by gas chromatography-mass spectrometry (GC-MS) and gas chromatography-olfactometry (GC-O). J Agric Food Chem. 2001;49(10):4813-7. doi: 10.1021/jf010471k.
22. Mohammad ZI, Saleha A. Musa paradisiaca L. and Musa sapientum L.: A phytochemical and pharmacological review. J Appl Pharm Sci. 2011;1(5):14-20.
23. Agama-Acevedo JA, Sañudo-Barajas R, Vélez De La Rocha GA, González-Aguilar A, Bello-Peréz LA. Potential of plantain peels flour (Musa paradisiaca L.) as a source of dietary fiber and antioxidant compound. J Food. 2016;14(1):117-23.doi: 10.1080/19476337.2015.1055306
24. Arun KB, Persia F, Aswathy PS, Chandran J, Sajeev MS, Jayamurthy P, et al. Plantain peel - a potential source of antioxidant dietary fibre for developing functional cookies. J Food Sci Technol. 2015;52(10):6355-64. doi: 10.1007/s13197-015-1727-1.
25. Lee HS, Kim YB, Seo C, Ji M, Min J, Choi S, et al. Characterization of ripening bananas by monitoring the amino acid composition by gas chromatography–mass spectrometry with selected ion monitoring and star pattern analysis. Anal Lett. 2019;52(16):2496-2505.doi: 10.1080/00032719.2019.1615076
26. เพ็ญจันทร์ สุทธานุกูล. รายงานโครงการวิจัยคัดเลือกพันธุ์และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตกล้วยเพื่อการบริโภคสด เพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์และการนำาสาระสำคัญจากกล้วยไปใช้ประโยชน์. กรมวิชาการเกษตร. 2558.
27. วิมลวรรณ วัฒนวิจิตร, โกเมศ สัตยาวุธ, ประยูร เอ็นมาก, ศิริพร เต็งรัง. การศึกษาฤทธิ์ต้านการออกซิเดชันของสารสกัดจากเปลือกกล้วยและการประยุกต์ใช้ในการผลิตโลชัน. กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตรกรมวิชาการเกษตร. หน้า 47-59.
28. Viswanathan V, Kesavan R, Vajayan KK, Kumpatla S. A pilot study on the effects of a polyherbal formulation cream on diabetic foot ulcers. Indian J Med Res. 2011;134:168-73.
29. Prakash B, Sumangala CH, Melappa G, Gavimeth C. Evaluation of antifungal activity of banana peel against scalp fungi. Materials Today: Proceedings. 2017;4:11977-83.
30. Noysang C, Buranasukhon W, Khuanekkaphan M. Phytochemicals and pharmacological activities from banana fruits of several Musa species for using as cosmetic raw materials. Appl Mech Mater. 2018;894:30-40.
31. นิธิ ตั้งสิริทรัพย์. การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากเปลือกกล้วยหอมดิบต่อการยับยั้งแบคทีเรียก่อสิวและการติดเชื้อผิวหนังที่พบได้บ่อย.[วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาตจวิทยา]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2555.
32. Leerach N, Yakaew S, Phimnuan P, Soimee W, Nakyai W, Luangbudnark W, et al. Effect of Thai banana (Musa AA group) in reducing accumulation of oxidation end products in UVB-irradiated mouse skin. J PhotochemPhotobiol B. 2017;168:50-8. doi: 10.1016/j.jphotobiol.2017.01.025.
33. Viyoch J, Mahingsa K, Ingkaninan K. Effects of Thai Musa species on prevention of UVB-induced skin damage in mice. Food ChemToxicol. 2012;50:4292-301.doi: 10.1016/j.fct.2012.08.060.
34. Madhuri D, Magarajan G, Bhasker BN. Evaluation of anti-bacterial, anti-fungal and sun protective property of butanolic extracts of peel of fruit of Musa paradisiaca. Int J Res Pharm Sci. 2018;9(2):378-80.doi: 10.26452/ijrps.v9i2.1495.
35. Phuaklee P, Ruangnoo S, Itharat A. Anti-inflammatory and antioxidant activities of extracts from Musa sapientum peel. J Med Assoc Thai. 2012;95(Suppl 1):S142-6.
36. นงนุช สังข์อยุทธ์, ศตายุ พานแก้ว, แสงตะวัน กลิ่นถนอม, รุ่งทิวา วงศกรทรัพย์. นงพงา จรัสโสภณ. ผลของสารสกัดจากกล้วยน้ำว้า (Musa sapientum) ต่อปริมาณสารฟีนอลิก. Agricultural Sci J. 2019;50(2):345-8.
37. ปราณี เลิศแก้ว, ธิดารัตน์ พรมมา, ศุภวัตน์ วิสิฐศิริกุล, นเรศ ขำเจริญ, อธิรดา บุญเดช, ภัสดี ภูกองไชยและคณะ. เปรียบเทียบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอลิกรวมของเปลือกกล้วยไข่. การประชุมวิชาการระดับชาติพะเยาวิจัยครั้งที่ 7 “Entrepreneurial University โอกาส ความหวัง อนาคต ?” วันที่ 25-26 มกราคม 2561 ณ หอประชุมพญางำเมือง มหาวิทยาลัยพะเยา
38. ปีวรา กันทา. การสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากเปลือกกล้วยน้ำว้า (Musa sapientum Linn) เพื่อเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ.[วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยแม่โจ้. 2559.
39. จุรีย์ เจริญธีรบูรณ์, ธนะเศรษฐ์ ง้าวหิรัญพัฒน์, อมรรัตน์ ไชยเดชกำจร, พนิดา อัศวพิชยนต์, จงจันท์ มหาดเล็ก, ศรัณย์ ตันตะราวงศา. ปริมาณฟีนอลิกรวมและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากส่วนต่าง ๆของกล้วยหอมทอง และปัจจัยการสกัดที่เกี่ยวข้อง. Thai Bull Pharm Sci. 2019;14(2):47-60.
40. รัตนา ม่วงรัตน์, พงศธร ถ้ำทอง, จรัสศรี หลวงพันธ์. การสกัดสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดจากเปลือกกล้วยหอมทองโดยใช้เทคนิคการสกัดด้วยตัวทำละลายที่สภาวะต่ำกว่าจุดวิกฤติ. วารสารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2559;8(15):54-65.
41. YouryonP, Supapvanich S. Physicochemical quality and antioxidant changes in ‘LebMueNang’banana fruit during ripening. Agric Nat Resour. 2017;51:47-52. doi: 10.1016/j.anres.2015.12.004
42. Ahmad BA, Mohd KS, Abdurrazak M, Rro USM, Zin T. Phytochemical screening, antioxidant activity of pure syringin in comparison to various solvents extracts of Musa paradisiaca (banana) (fruit and flower) and total phenolic contents. Int J Pharm Pharm Sci. 2015;7(5):242-7.
43. Dahham S, Taleb Agha M, Tabana Y, Abdul Majid AMS. Antioxidant activities and anticancer screening of extracts from banana fruit (Musa sapientum). AJCR. 2015;8:28-34.
44. Parvez MS, Begum F, Neela FA, Alam MF. Comparative antibacterial and antioxidant activities of edible and non-edible parts of unripe banana (Musa sapientum L.) fruit. Int J Biosci. 2020;16(3):290-8. doi: 10.3390/foods9040435.
45. Shodehinde SA, OBOH G. Distribution and antioxidant activity of polyphenols in boiled unripe plantain (Musa paradisiaca) pulps. J Food Biochem. 2014;38:293-99.doi: 10.1111/jfbc.12047.
46. Ibukun E, KadeIj, Oguntoyinbo TA, Ogunmoyole T, Johnson OD. Effect of ripening on the phytochemical constituents and antioxidant properties of plantain (Musa paradisiaca). J Med Plant Res. 2012;6:5077-85.doi: 10.5897/JMPR12.209.
47. Hallikeri CS, Bhoomannavar VS, Patil VP, Shivkumar SI, Alagawadi KR. Anti-inflammatory activity of unripe fruits of Musa paradisiaca Linn. Adv Pharm Toxicol. 2010;11(1):55-8.doi: 10.5897/JMPR12.209.
48. Singh A, Mishra A, Verma S, Gautam MK, Goel RK. MMPs as molecular targets for wound healing by Musa sapientum: In-silico and In-vivo evidences. RRJPTS. 2014;2(1)39-46.
49. Agarwal PK, Singh A, Gaurav K, Goel S, Khanna HD, Goel RK. Evaluation of wound healing activity of extracts of plantain banana (Musa sapientum var. paradisiaca) in rats. Indian J Expert Biol. 2009;47:32-40.
50. Padilla-Camberos E, Flores-Fernández JM, Canales-Aguirre AA, Barragán-Álvarez CP, Gutiérrez-Mercado Y, Lugo-Cervantes E. Wound healing and antioxidant capacity of Musa paradisiaca Linn. peel extracts. J Pharm Pharmacogn Res. 2016;4(5):165-73
51. Atzingen DA, Gragnani A, Veiga DF, Abla LE, Mendonça AR, Paula CA, et al. Gel from unripe Musa sapientum peel to repair surgical wounds in rats. Acta Cir Bras. 2011;26(5):379-82. doi: 10.1590/s0102-86502011000500009.
52. Von Atzingen DA, Mendonça AR, Mesquita Filho M, Alvarenga VA, Assis VA, Penazzo AE, et al. Repair of surgical wounds in rats using a 10% unripe Musa sapientum peel gel. Acta Cir Bras. 2015;30(9):586-92. doi: 10.1590/S0102-865020150090000001.
53. วิสสุตา คุ้มวงษา ลลิตา ไพบูลย์, ปิยาภรณ์ สุภัคดำรงกุล. Efficacy of hand cleansing gel mix the extracts of fruit peel in inhibiting pathogenic bacteria. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. 2558;1(2):66-80.
54. Kamel NA, Abd El-Messieh SL, Saleh NM. Chitosan/banana peel powder nanocomposites for wound dressing application: preparation and characterization. Mater SciEng C Mater Biol Appl. 2017;72:543-50. doi: 10.1016/j.msec.2016.11.104.
55. Costa M, Antonio MA, Souza Brito ARM. Effects of prolonged administration of Musa paradisiaca L. (banana), an antiulcerogenic substance, in rats. Phytother Res 1997;11(1):28-31.doi: 10.1002/(SICI)1099-1573(199702)11:1<28::AID-PTR32>3.0.CO;2-C
56. Dompmartin A, Szczurko C, Michel M, et al. Two cases of urticaria following fruit ingestion, with cross-sensitivity to latex. Contact Dermatitis 1994;30(4):250-2. doi: 10.1111/j.1600-0536.1994.tb00662.x.
57. Makinen-Kiljunen S. Banana allergy in patients with immediate-type hypersensitivity to natural rubber latex: characterization of cross-reacting antibodies and allergens. J Allergy Clin Immunol 1994;93(6):990-6.doi: 10.1016/s0091-6749(94)70046-x.
58. Fernandez de Corres L, Moneo I, Munoz D, Bernaola G, Fernandez E, Audicana M, et al. Sensitization from chestnuts and bananas in patients with urticaria and anaphylaxis from contact with latex. Ann Allergy 1993;70(1):35-9.
59. Kim SR, Park HJ, Park KH, Lee JH, Park JW. IgE sensitization patterns to commonly consumed foods determined by skin prick test in Korean adults. J Korean Med Sci. 2016;31(8):1197-201.doi: 10.3346/jkms.2016.31.8.1197.