มะขามป้อม
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Phyllanthus emblica L.
ชื่อวงค์
EUPHORBIACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะขามป้อม
ชื่ออังกฤษ
Emblic, Emblic Myrobalan, Indian Gooseberry, Malacca Tree, Myrobalan
ชื่อพ้อง
Cicca emblica (L.) Kurz
Diasperus emblica (L.) Kuntze
Emblica officinalis Gaertn.
Phyllanthus mimosifolius Salisb.
ชื่อท้องถิ่น
กันโตด กำทวด มั่งลู่ สันยาส่า
ชื่อ INCI
PHYLLANTHUS EMBLICA EXTRACT
PHYLLANTHUS EMBLICA FRUIT EXTRACT
PHYLLANTHUS EMBLICA FRUIT JUICE
PHYLLANTHUS EMBLICA FRUIT POWDER
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มะขามป้อมมีถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางตั้งแต่แถบตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัยในเนปาล ตอนเหนือจรดตอนใต้ของอินเดียศรีลังกา ตอนใต้ของจีน และแถบตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดจีน พม่า และไทย (2) ในประเทศไทยพบทั่วไปตามธรรมชาติในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรังและป่าแดง ดินที่ระบายน้ำดี พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง (6)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น สูง 3-8 ม.เปลือกต้นสีอมน้ำตาล ลำต้นทรงกระบอก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปแถบแกมรูปขอบขนานกว้าง0.25-0.5 ซม. ยาว 0.8-1.2 ซม. หูใบรูปสามเหลี่ยมแกมรูปไข่ ช่อดอกออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศต้นเดียวกัน ดอกย่อยสีขาวนวล ดอกเพศผู้กลีบเลี้ยงสีเหลือง มี 6 กลีบ บางคล้ายเยื่อ รูปไข่กลับหรือรูปช้อน เกสรเพศผู้มี 3 อัน ก้านชูเชื่อมกันเป็นเส้า เกสรยาว 0.3-0.7 มม. มีต่อมรูปกึ่งสามเหลี่ยมที่ฐานดอก 6 อัน ดอกเพศเมียกลีบเลี้ยง มี 6 กลีบรูปขอบขนานหรือรูปช้อน รังไข่ รูปไข่ ก้านชูเกสรเพศเมีย เชื่อมติดกันที่โคนปลายแยก ผลเป็นผลสดสีเขียวอ่อน รูปกลมผิวเรียบมีเส้นพาดตามยาว6เส้นเมล็ดกลมสีเขียวเข้ม (4, 5)
การเพาะปลูก
มะขามป้อมสามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล และต้องมีน้ำเพียงพอ นิยมปลูกในหน้าฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการทาบกิ่ง แต่นิยมการเพาะเมล็ด โดยเพาะลงถุงเพาะชำถุงละ 1-2 เมล็ด ประมาณ 45-60 วัน จนงอกเป็นต้นกล้า เมื่ออายุได้ 1-2 ปี เอาปลูกลงหลุมได้ รดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ สามารถเก็บเกี่ยวผลได้ เมื่ออายุ 5 ปีขึ้นไป (77)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ 1,6-di-O-galloylglucoside, 1-O-galloyl-glucoside (7), 1β,6-di-O-galloylglucose (8), caffeic acid, (9), chlorogenic acid (10, 11), cinnamic acid (12), ellagic acid (7, 8, 10-17), ellagic acid-4-O-glucoside, ellagic acid-4-O-rhamnoside, ellagic acid-4-O-xyloside (7), ethyl gallate (16), gallic acid (7-14, 18, 19), β-glucogallin(14, 15), methyl gallate (7, 8, 16),mucic acid (14, 20), mucic acid 1,4-lactone-3-O-gallate (13, 16, 20, 21), mucic acid 1,4-lactone 5-O-gallate (15), mucic acid 1,4-lactone methyl ester 5-O-gallate, mucic acid 1-ethyl 6-methyl ester 2-O-gallate (8), mucic acid 1-methyl ester 2-O-gallate (15), mucic acid 2-O-gallate (15, 20), mucic acid 3-O-gallate (7, 20), mucic acid 6-methyl ester 2-O-gallate (15), mucic acid dimethyl ester 2-O-gallate (8), quinic acid (9)
สารกลุ่มแทนนิน (tannins) ได้แก่ chebulagic acid, chebulanin (12, 13, 21), chebulic acid (12), corilagin (7), emblicanin A, emblicanin B (22), hamamelitannin (16), isocorilagin (13,16, 21,), isomallotusinin (21), mallotusinin (13), pedunculagin, punigluconin (22)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ catechin, epigallocatechin 3-gallate(9), kaempferol (9, 10, 23), myricetin (10), naringenin (9), quercetin (9-12, 14, 17, 23, 24), quercetin-3-O-rhamnoside (quercetin-3-O-β-D-rhamnoside) (16, 20), rutin (14, 17, 23)
วิตามิน ได้แก่ วิตามินซี (ascorbic acid) (10, 11, 17, 19, 25-28)
สารกลุ่มไอโซเบนโซฟิวราโนน (isobenzofuranones) ได้แก่ 5-(2-hydroxyethyl)-2,2-dimethyl-2H-furo[3,4-h]chromen-7(9H)-one, 2,2-dimethyl-5-(2-oxopropyl)-2H-furo[3,4-h]chromen-7(9H)-one (29)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มแทนนิน (tannins)
สารกลุ่มแทนนิน (tannins)(ต่อ)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
วิตามิน
สารกลุ่มไอโซเบนโซฟิวราโนน (isobenzofuranone)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ 1β,6-di-O-galloylglucose, ellagic acid, gallic acid, methyl gallate, mucic acid 1,4-lactone methyl ester 5-O-gallate, mucic acid 1-ethyl 6-methyl ester 2-O-gallate, mucic acid dimethyl ester 2-O-gallate (8)
สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ 1,6-di-O-galloylglucoside, 1-O-galloyl-glucoside (7), 1β,6-di-O-galloylglucose (8), 2,2-dimethyl-5-(2-oxopropyl)-2H-furo[3,4-h]chromen-7(9H)-one, 5-(2-hydroxyethyl)-2,2-dimethyl-2H-furo[3,4-h]chromen-7(9H)-one (29), caffeic acid, catechin (9), chebulagic acid, chebulanin (13, 21), chlorogenic acid(11), corilagin (7), ellagic acid (7, 8, 11, 13-17), ellagic acid-4-O-glucoside, ellagic acid-4-O-rhamnoside, ellagic acid-4-O-xyloside (7), epigallocatechin 3-gallate (9), ethyl gallate (16), gallic acid (7-9, 11, 13, 14, 17), β-glucogallin (14, 15), hamamelitannin (16), isocorilagin (13, 16, 21), isomallotusinin (21), kaempferol (9), mallotusinin (13), methyl gallate (7, 8, 16), mucic acid (14), mucic acid 1,4-lactone-3-O-gallate (13, 16, 21), mucic acid 1,4-lactone 5-O-gallate (15), mucic acid 1,4-lactone methyl ester 5-O-gallate, mucic acid 1-ethyl 6-methyl ester 2-O-gallate(8), mucic acid 1-methyl ester 2-O-gallate, mucic acid 2-O-gallate (15), mucic acid 3-O-gallate (7), mucic acid 6-methyl ester 2-O-gallate (15), mucic acid dimethyl ester 2-O-gallate (8), naringenin (9), quercetin (9, 11, 14, 17), quercetin-3-O-rhamnoside (16), quinic acid (9), rutin (14, 17), วิตามินซี (11,17, 28), สารโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharides) (30)
สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ chlorogenic acid (11), ellagic acid (11, 14), β-glucogallin (14), gallic acid (11, 14), mucic acid (14), quercetin (11, 14), rutin (14), วิตามินซี (11)
สารออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ วิตามินซี (26)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
สาร gallic acid วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ high performance liquid chromatography (HPLC) (6) สภาวะการทดลอง(condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : HSS T3 (100×2.1 มม., 1.8μ)อุณหภูมิคอลัมน์ 40 oC
mobile phase :ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย คือ เมทานอล (A) และ 0.1% acetic acid (B) โดยโปรแกรม คือ
flow rate : 0.4 มล./นาที
injection volume : 1 มคล.
detector : Photodiode array detector ที่ความยาวคลื่น 271 นาโนเมตร
วิตามินซี, สารประกอบฟีนอลิก และสารฟลาโวนอยด์ วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC (10) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : Zorbax SB RP C-18 (250×4.6 มม., 5 μ)
mobile phase :ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลาย คือ 0.1% orthophosphoric acid (A) และacetonitrile (B) โดยโปรแกรม คือ 95% A เป็นเวลา 5นาที, 95-50% A ในเวลา 15 นาที, 50-95% A ในเวลา 5 นาที
flow rate : 1 มล./นาที
detector : Photodiode array detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
วิตามินซี และ gallic acid วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ High Performance Thin Layer Chromatography (HPTLC) (19)สภาวะการทดลอง(condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
stationary phase : แผ่นซิลิกาเจล60 F254 (20x10 ซม., หนา 0.2 มม.)
mobile phase: โทลูอีน:เอทิลอะซีเตท:เมทานอล:กรดฟอร์มิก (3:3:2:1, v/v/v/v)
detector : densitometer scanner ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ทำให้ผิวหน้าขาว (F001)
การศึกษาผลของตำรับครีมผิวขาวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม 1% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด และตำรับครีมบำรุงผิวที่ประกอบด้วยสารสกัดจากผลมะขามป้อม 0.5% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด)(ตัวอย่างจากประเทศไทย) ในอาสาสมัครจำนวน 30 ราย โดยให้ทาครีมบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็นเป็นเวลา 12 สัปดาห์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ใช้ครีมเบสพบว่าค่าความดำของสีผิวของกลุ่มที่ใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์แรกที่ใช้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมนอกจากนี้ในการทดสอบซึ่งให้อาสาสมัครทำความสะอาดผิวหน้าด้วยเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น พบว่าทำให้ค่าความดำของสีผิวลดลงได้เช่นกัน และสามารถทำความสะอาดผิวได้หมดจดไม่มีคราบติดค้างบนผิว เมื่อเปรียบเทียบกับเจลเบสและเจลในท้องตลาด (31)
1.2 ลดเลือนฝ้า (F002)
การศึกษาในผู้หญิงที่เป็นฝ้าทั้งชนิดฝ้าตื้นและฝ้าลึก จำนวน 50ราย อายุ 18-60 ปี ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของมะขามป้อมชะเอมเทศ และBelidesTM7% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด และความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากประเทศบราซิล) บริเวณใบหน้า วันละ 2 ครั้ง และกลุ่มที่ให้ทาครีม hydroquinone 2%บริเวณใบหน้า ตอนกลางคืน เป็นเวลา 60 วัน พบว่าครีมทั้ง 2 ชนิด ให้ผลในการรักษาฝ้าได้ไม่แตกต่างกัน แต่ครีมที่มีส่วนผสมของมะขามป้อม ชะเอมเทศ และBelidesTMจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่อผิวน้อยกว่าครีม hydroquinone(32)
1.3 ลดความหมองคล้ำ/ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส (F004)
การศึกษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ครีมลดความหมองคล้ำที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร) และครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดหม่อน (ไม่ระบุส่วนที่ใช้, ชนิดของสารสกัด, ความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ และแหล่งที่มา) ในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 13 ราย อายุ 21-36 ปี โดยให้ทาครีมสารสกัดมะขามป้อมที่ผิวหน้าบริเวณแก้มล่างด้านขวาและทาครีมหม่อนที่แก้มล่างด้านซ้าย ปริมาณ 0.1 ก. เป็นพื้นที่ 2.5x2.5 ซม. ก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ประเมินผลโดยวัดปริมาณเม็ดสีเมลานิน และวัดความยืดหยุ่นของผิวที่เวลา 2, 4 และ 6 สัปดาห์หลังใช้ผลิตภัณฑ์ และวัดค่าการระคายเคืองเป็นผื่นแดง (erythema) ที่เวลา4 และ 6 สัปดาห์หลังใช้ผลิตภัณฑ์พบว่าครีมทั้ง 2 ชนิด มีผลลดปริมาณเม็ดสีเมลานินได้ในสัปดาห์ที่ 2 หลังการใช้ แต่มีแนวโน้มค่อยๆ เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ 4 และ 6 โดยครีมสารสกัดหม่อนจะสามารถลดปริมาณเมลานินได้มากกว่าครีมสารสกัดมะขามป้อมครีมทั้ง 2 ชนิดมีผลเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหน้าได้ไม่แตกต่างกัน มีความปลอดภัยโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และอาสาสมัครมีความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด ไม่แตกต่างกัน (33)
สารสกัดจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ซึ่งนำมากักเก็บในไลโปโซมโดยใช้วิธี microfluidizer จากนั้นนําไลโปโซมสารสกัดมะขามปอมมาเปนสวนผสมในผลิตภัณฑ์ครีมลดความหมองคล้ำและริ้วรอยบนผิวหน้าสำหรับกลางคืนในปริมาณ 3% ทดสอบประสิทธิภาพของครีมในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 6 รายอายุ 41-60 ปีโดยให้ทาใบหน้าทุกคืนเป็นเวลา 2 เดือนพบว่าผิวหน้าของอาสาสมัครมีปริมาณของเมลานินลดลง ความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น(34)
1.4 ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น (F005)
การศึกษาผลของตำรับครีมผิวขาวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม 1% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด) และตำรับครีมบำรุงผิวที่ประกอบด้วยสารสกัดจากผลมะขามป้อม 0.5% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ในอาสาสมัครจำนวน 30 ราย โดยให้ทาครีมบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็นเป็นเวลา 12 สัปดาห์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ใช้ครีมเบสพบว่ากลุ่มที่ใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม มีความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม และเมื่อให้อาสาสมัครใช้แผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากมะขามป้อม(ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) แปะบริเวณหน้าผาก วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน พบว่ามีผลเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวได้เช่นกัน(31)
1.5 ต้านสิวบนใบหน้า (F006)
การศึกษาผลในการต้านสิวของแคปซูลสารสกัดผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด, ตัวอย่างจากบริษัท K. Patel Phyto extraction Pvt, ประเทศอินเดีย)ทดสอบในอาสาสมัครที่เป็นสิว อายุ 15-40 ปี จำนวน 24 ราย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ให้รับประทานแคปซูลสารสกัดผลมะขามป้อม (1 แคปซูล ประกอบด้วยสารสกัด 250 มก.) ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 60 วัน และกลุ่มควบคุมที่ให้รับประทานแคปซูลที่ประกอบด้วยแป้งข้าวโพด ประเมินผลโดยวัดความชุ่มชื้นของผิว, ประเมินระดับความรุนแรงและจำนวนของสิวตาม Acne global severity score, ประเมินคุณภาพชีวิตของอาสาสมัครด้วยแบบสอบถาม Dermatology Life Quality Index, วัดความสามารถต้านอนุมูลอิสระโดยรวม (total antioxidant capacity, TAC) ในเลือด พบว่ากลุ่มที่ได้รับแคปซูลสารสกัดมะขามป้อมมีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น, จำนวนสิวและระดับความรุนแรงของสิวลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และคุณภาพชีวิตในอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม ไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้สารสกัดมะขามป้อมยังมีผลในการต้านอนุมูลอิสระโดยเพิ่มระดับของ TAC (35)
1.6 ลดความมันบนใบหน้า (F014)
การศึกษาประสิทธิภาพในการลดความมันบนใบหน้าของโทนเนอร์ (toner) ที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม 3% (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่, voucher specimen No. ICHNC 101)เตรียมสารสกัดโดยการแช่ในน้ำกลั่น เป็นเวลา 1 ชม. จากนั้นนำไปต้มจนกระทั่งน้ำเดือด และเคี่ยวต่ออีก 1 ชม. ทดสอบในอาสาสมัครที่มีผิวหน้ามันหรือผิวผสมจำนวน 30 ราย อายุ 20-45 ปี โดยหลังจากล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า จะแบ่งส่วนใบหน้าบริเวณหน้าผากและแก้ม โดยด้านหนึ่งให้เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์สารสกัดมะขามป้อม ขนาด 2 ตร.ซม. อีกด้านหนึ่งให้เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์เบส ขนาด 2 ตร.ซม. (ส่วนทดสอบ) เปรียบเทียบกับผิวบริเวณหน้าผากที่ล้างด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างเดียว และบริเวณที่ไม่ได้ล้างหน้าหรือใช้โทนเนอร์ (ส่วนควบคุม) ประเมินผลโดยวัดระดับน้ำมัน (sebum) บนใบหน้าด้วยเครื่อง SebumScale® ก่อนการทดสอบ 1 ชม. และที่เวลา 0, 1, 2, 3 และ 4 ชม. หลังการทดสอบ พบว่าโทนเนอร์สารสกัดมะขามป้อมและโทนเนอร์เบสสามารถลดความมันของผิว และลด % sebum recovery ได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับผิวส่วนควบคุม โดยโทนเนอร์สารสกัดมะขามป้อมจะให้ผลดีกว่าโทนเนอร์เบส มีประสิทธิภาพในการลดความมัน (anti-sebum efficacy) เฉลี่ยเท่ากับ 23.5±1.24% และ 12.0±1.52%ตามลำดับ ซึ่งโทนเนอร์สารสกัดมะขามป้อมมีผลลดความมันบริเวณแก้มได้ดีกว่าบริเวณหน้าผาก และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว (36)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบผลของครีมขัดผิวสำหรับผิวกายที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม 0.3% (ไม่ระบุวิธีการสกัด, ตัวอย่างจากประเทศไทย) ในอาสาสมัครทั้งชายและหญิง จำนวน 100 ราย ซึ่งมีทุกลักษณะผิว ได้แก่ ผิวมัน ผิวแห้ง และผิวผสม ไม่ระบุปริมาณที่ใช้ และระยะเวลาที่ทดสอบโดยเปรียบเทียบระดับสีผิวก่อนและหลังใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยแถบวัดระดับสีผิว (16 ระดับ) พบว่าผู้ทดสอบมีระดับสีผิวลดลง จุดด่างดำจางลง ริ้วรอยลดลง ผิวมีความเรียบเนียน ชุ่มชื้น กระจ่างใส และสะอาดมากขึ้น และไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิว (37)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) เตรียมโดยการแช่สกัด (maceration) มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ทำให้ผมบางและศีรษะล้านโดยมีค่าความเข้มข้นที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เทียบเท่ากับสาร finasteride(finasteride equivalent 5α-reductase inhibition activity) เท่ากับ 18.99±0.40มก. finasteride/1ก. สารสกัดหยาบ (38)
1.2 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากจ.เชียงใหม่) เตรียมโดยวิธีการแช่สกัด ในการกระตุ้นการงอกของเส้นขนของหนูเม้าส์ โดยทาสารสกัดความเข้มข้น 1% (w/w) ในบริเวณผิวด้านหลังของหนูที่ถูกถอนขน เป็นเวลา 28 วัน ประเมินผลการงอกของเส้นขนในวันที่ 1, 7, 14, 21 และ 28 ของการทดสอบ เปรียบเทียบผลกับยาminoxidil 2%และกลุ่มควบคุม (สารละลาย propylene glycol:น้ำ:เอทานอล, 5:3:2) พบว่าสารสกัดมะขามป้อมมีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนได้ในช่วง 14 วันแรกของการทดสอบ ขณะที่ในช่วง 14 วันหลัง อัตราการเจริญเติบโตของเส้นผมจะคงที่ สารสกัดสามารถกระตุ้นการงอกของเส้นขนได้ดีกว่ายาminoxidil และกลุ่มควบคุม (38)
1.3 ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (H008)
การทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดน้ำ, สารสกัดเอทานอลจากผลมะขามป้อม ซึ่งสกัดด้วยวิธีการสกัดเย็น (cold extraction) และน้ำคั้นจากผลสด (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ในการต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการเกิดรังแค ได้แก่Malassezia furfurและM. globosaซึ่งแยกจากคนที่เป็นรังแคและผมร่วง พบว่าสารสกัดทั้ง 3 ชนิด ความเข้มข้น 50%, 75%, 100% (w/w) สามารถต้านเชื้อราทั้ง 2 ชนิดได้ โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ซึ่งน้ำคั้นจากผลสดความเข้มข้น 100% จะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านเชื้อรา มีค่าของโซนใส(inhibition zone) ต่อเชื้อ M. furfurและM. globosaเท่ากับ 22 และ 20 มม. ตามลำดับ (39)
สารสกัดน้ำจากผลและใบมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดในน้ำกลั่นที่อุณหภูมิ 25 oC และ 4 oC เป็นเวลา 24 ชม. ความเข้มข้น 16-256 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อราสกุล Malasseziaได้หลายชนิด ได้แก่M. furfur, M. globosa, M. obtuse, M. restricta, M. slooffiae, M. sympodialisโดยสารสกัดจากผลจะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดจากใบซึ่งค่าของโซนใสเฉลี่ยของสารสกัดจากผลและใบเท่ากับ21.7และ13.9มม. ตามลำดับ (40)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ต้านการเกิดสิว (F006)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียPropionibacterium acnesและStaphylococcus aureusที่ทำให้เกิดสิวของสารสกัดน้ำและ80% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการเขย่า (agitation) ที่อัตราเร็ว 150 รอบ/นาที อุณหภูมิ 28-30 oC เป็นเวลา 12 ชม. พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดได้ โดยค่าของโซนใสของสารสกัดน้ำ และ 80% เอทานอล ต่อเชื้อP. acnesเท่ากับ 13.0±0.06 และ 16.8±0.06 มม. และต่อเชื้อ S. aureus เท่ากับ 12.0±0.06 และ 16.8±0.06 มม. ตามลำดับ(41)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์tyrosinaseของสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากผลมะขามป้อมซึ่งได้มาจาก 4 จังหวัดในประเทศไทย ได้แก่กาญจนบุรี, บุรีรัมย์, ประจวบคีรีขันธ์และมหาสารคามเตรียมโดยการสกัดด้วยวิธี soxhlet extraction ที่อุณหภูมิ 50oC เป็นเวลา 6 ชม. พบว่าสารสกัดผลมะขามป้อมจากทั้ง 4 แหล่ง มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์tyrosinase ได้ ซึ่งสารสกัดจากจังหวัดบุรีรัมย์จะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้ง มีค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 0.151±0.072 มก./มล.และมีฤทธิ์ดีกว่าสารมาตรฐานวิตามินซี(IC50 0.223±0.042 มก./มล.) แต่ตํ่ากว่ากรดโคจิก (kojic acid)(IC500.050±0.007 มก./มล.) (42)
สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) เตรียมโดยการสกัดด้วยคลื่นความถี่สูง (sonication) ความเข้มข้น 0.5 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์tyrosinase โดยมีค่าIC50เท่ากับ251 มคก./มล. ซึ่งมีฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกรดโคจิก (IC50 3.4 มคก./มล.) (43)
สารสกัด 50% เมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยคลื่นความถี่สูง (sonication)เป็นเวลา 30 นาที ความเข้มข้น 50 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 15% (44)
สารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม) เตรียมโดยการแช่สกัด เป็นเวลา 7 วัน ความเข้มข้น 1.67 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 48.38±4.77% ขณะที่กรด โคจิก ความเข้มข้น 0.33 มก./มล. สามารถยับยั้งได้ 60.37±2.35% (45)
สารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากจ.เชียงใหม่)เตรียมโดยการแช่(infusion) ในน้ำร้อน นาน 15 นาที มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase โดยสามารถยับยั้งได้ 53.1% ในปฏิกิริยาที่ใช้L-DOPA เป็นสารตั้งต้นและยับยั้งได้ 5.6% ในปฏิกิริยาที่ใช้L-tyrosine เเป็นสารตั้งต้น (46)
สารสกัดเฮกเซน, สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ลำปาง, voucher speci-men No. 20140050) เตรียมโดยการสกัดด้วยวิธีรีฟลักซ์ เป็นเวลา 3 ชม. และส่วนสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆจากสารสกัดเมทานอลได้แก่ส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท,บิวทานอลและน้ำความเข้มข้น 10 และ 100 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินได้เมื่อทดสอบในเซลล์melanoma B16 สารประกอบฟีนอลิกที่แยกได้จากส่วนสกัดเอทิลอะซีเตท ได้แก่gallic acid, methyl gallate, ellagic acid, 1β,6-di-O-galloylglucose, mucic acid 1,4-lactone methyl ester 5-O-gallate, mucic acid dimethyl ester 2-O-gallate และ mucic acid 1-ethyl 6-methyl ester 2-O-gallate ความเข้มข้น 10, 30 และ 100 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินในเซลล์melanoma B16 ได้เช่นกัน ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้นโดยสาร gallic acid จะมีฤทธิ์ดีที่สุด และดีกว่าสาร arbutin (ปริมาณของเมลานินที่ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ เท่ากับ 19.8% และ 71.5%ตามลำดับ) (8)
สารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน)เตรียมโดยการสกัดด้วยน้ำร้อน 85-95oC ความเข้มข้น 0.05-1 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานิน เมื่อทดสอบในเซลล์melanocyte B16F10 โดยลดการแสดงออกของ microphthalmia-associated transcription factor (MITF), tyrosinase, tyrosinase-related protein-1 (TRP-1) และ dopachrome tautomerase-2 (TRP-2) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างเมลานิน นอกจากนี้สารสกัดความเข้มข้น 0.1-200 มก./มล. ยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น มีเปอร์เซ็นต์การยับยั้ง อยู่ระหว่าง ≤ 10 - 62.95±0.01% ขณะที่กรดโคจิกความเข้มข้น100 มก./มล. สามารถยับยั้งได้99.40±0.01% (47)
3.2 ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการกวน (stirring) ข้ามคืนที่อุณหภูมิห้อง พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusโดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 11±1.23 มม. และมีค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัดที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (MIC) เท่ากับ 3.93±0.01 มก./มล. แต่ฤทธิ์จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา methicillin (ค่าของโซนใส เท่ากับ 34±0.5 มม.) (48)
สารสกัดเมทานอล และสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยการแช่สกัดแบบเย็น (cold maceration) เป็นเวลา 48 ชม. มีฤทธิ์ต้านเชื้อS. aureusโดยค่าของโซนใสของสารสกัดเมทานอลและสารสกัดน้ำ เท่ากับ 11.5±0.5 และ 10.5±0.5 มม. ตามลำดับ (49)
สารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศไทย) (ไม่ระบุวิธีการสกัด)มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus โดยมีค่า MIC เท่ากับ 13.97มก./มล. และค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (MBC) เท่ากับ 13.97 มก./มล. (50)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของอนุภาคนาโนซิลเวอร์ (silver nanoparticles) ที่กักเก็บสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย, เตรียมสารสกัดโดยการต้มในน้ำกลั่น เป็นเวลา 10 นาที)พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusโดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 15 มม.ซึ่งจะมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับสารสกัดน้ำที่ไม่ได้กักเก็บในอนุภาคนาโน (ค่าของโซนใส 10 มม.) แต่น้อยกว่ายา ciprofloxacin ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก (ค่าของโซนใส 25 มม.)(51)
สารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ความเข้มข้น 25%, 50%, 75%และ 100% (v/v)มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus โดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ15±0, 17.3±0.58, 19.3±1.5 และ 21.3±1.1มม. ตามลำดับ เมื่อนำสารสกัดมากักเก็บในอนุภาคนาโนซิลเวอร์ และทดสอบฤทธิ์ พบว่าสามารถต้านเชื้อ S. aureus ได้เช่นกัน มีค่าของโซนใส เท่ากับ 22.7±1.1 มม. (52)
3.3 ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากผลมะขามป้อมซึ่งได้มาจาก 4 จังหวัด ในประเทศไทย ได้แก่กาญจนบุรี, บุรีรัมย์, ประจวบคีรีขันธ์และมหาสารคามเตรียมโดยการสกัดด้วยวิธี soxhlet extraction ที่อุณหภูมิ 50oC เป็นเวลา 6 ชม. พบว่าปริมาณสารฟีนอลิกรวมของสารสกัดผลมะขามป้อมจากจังหวัดกาญจนบุรี, บุรีรัมย์, ประจวบคีรีขันธ์และมหาสารคามเท่ากับ 345±13.1, 496±5.51, 597±18.8 และ 494±19.5 มก. สมมูลของกรดแกลลิก (gallic acid equivalent, GAE) /ก. นน.แห้ง ตามลำดับ สารสกัดจากทั้ง 4 แหล่ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี 1,1-diphenyl-2-picryl-hydrazyl radical scavenging (DPPH) โดยสารสกัดจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ทำให้เกิดการยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 50% (SC50) เท่ากับ 0.025 มก./มล.และสารสกัดทั้ง 4 แหล่ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับสารมาตรฐานวิตามินซี, วิตามินอีและbutylated hydroxytoluene (BHT) ซึ่งมีค่า SC50เท่ากับ 0.089, 0.060 และ 0.120 มก./มล.ตามลำดับ (42)
การเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผล, ใบ และเปลือกต้นมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เตรียมโดยการแช่สกัดในตัวทำละลาย ได้แก่ เฮกเซน, เอทิลอะซีเตท และเอทานอลทดสอบด้วยวิธีDPPH พบว่าสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากผลมะขามป้อม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด โดยมีค่าIC50เท่ากับ 3.032 มคก./มล. (53)
สารสกัดเฮกเซน, สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ลำปาง, voucher speci-men No. 20140050) เตรียมโดยการสกัดด้วยวิธีรีฟลักซ์ เป็นเวลา 3 ชม. และส่วนสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆจากสารสกัดเมทานอลได้แก่ส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท,บิวทานอลและน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH โดยส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทจะมีฤทธิ์ดีที่สุดค่าIC50เท่ากับ 1.3±0.1 มคก./มล. และมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับ α-tocopherol (IC505.6 มคก./มล.) ขณะที่สารสกัดเฮกเซนไม่มีผล เมื่อนำส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทมาทำการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารพบว่าประกอบด้วยสารประกอบฟีนอลิก ได้แก่gallic acid, methyl gallate, ellagic acid, 1β,6-di-O-galloylglucose, mucic acid 1,4-lactone methyl ester 5-O-gallate, mucic acid dimethyl ester 2-O-gallate และ mucic acid 1-ethyl 6-methyl ester 2-O-gallate โดยสารทั้ง 7 ชนิด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, และ 2,2′-azinobis-(-ethyl-benzthia-zoline-6-sulfonic acid) (ABTS)และ ferric reducing antioxidant power (FRAP) ซึ่งสาร ellagic acid และ 1β,6-di-O-galloylglucose สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับสารอื่นในการทดสอบทั้ง 3 วิธี (8)
สารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยการสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม, เมทานอล และเอทานอล (ไม่ระบุวิธีการสกัด) ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 48 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP โดยสารสกัดคลอโรฟอร์มจะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดเมทานอลและเอทานอล สามารถยับยั้งได้ 44.80%, 28.77% และ 38.77% ตามลำดับ (54)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการเขย่า เป็นเวลา 24 ชม. และส่วนสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆ จากสารสกัดเมทานอล ได้แก่ ส่วนสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซีเตท, บิวทานอล และน้ำ ความเข้มข้น 20-80 มคก./มล. พบว่าสารสกัดและส่วนสกัดจากผลมะขามป้อม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH, ABTS, FRAP และNitric oxide (NO) scavenging โดยส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตทสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด มีค่า IC50เท่ากับ 12.14±0.11, 16.93±0.08 และ 57.65±0.04 มคก./มล. ตามลำดับ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, ABTS และ NOscavenging และความสามารถในการรีดิวซ์ เท่ากับ 275.61±0.06 มก.สมมูลของ FeSO4/ก. เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP ปริมาณของสารฟีนอลิกรวม, สารฟลาโวนอยด์รวม และสารแทนนินรวมในส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท เท่ากับ 213.37±0.148 มก. GAE/ก. นน.แห้ง, 142.64±0.011 มก. สมมูลของเควอซิติน (quercetinequivalent, QE)/ก. นน.แห้ง และ 9.91±0.004 มก. สมมูลของคาเทชิน (catechin equivalent, CE)/ก. นน.แห้งตามลำดับ การทดสอบในเซลล์มะเร็งปากมดลูก (HeLa) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะoxidative stress ด้วยhydrogen peroxide (H2O2) พบว่าสารสกัดและส่วนสกัดจากผลมะขามป้อม ความเข้มข้น 20-80 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด reactive oxygen species (ROS) โดยส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซีเตท มีฤทธิ์ยับยั้งได้ดีที่สุด(ค่าIC50 14.04±1.08 มคก./มล.) นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งปฏิกิริยา hyperoxidation ของเอนไซม์ peroxiredoxin-2ในเซลล์มะเร็ง เมื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีในสารสกัด พบว่า สารสำคัญหลักประกอบด้วย ascorbic acid, ellagic acid, gallic acid, quercetin และrutin (17)
สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย; voucher specimens BUB No.2301)เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่อง soxhlet apparatusเป็นเวลา 12-14 ชม. ความเข้มข้น 10-100 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH มีค่า IC50เท่ากับ 53.55 มคก./มล. ซึ่งฤทธิ์จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซีที่มีค่า IC50เท่ากับ11.42 มคก./มล. สารสกัดมีปริมาณของสารฟีนอลิกรวม, สารฟลาโวนอยด์รวม, สารแทนนินรวม และวิตามินซีเท่ากับ 42.99±4.35มก. GAE/ก., 8.27±0.73 มก.QE/ก., 4.22±0.25 มก. CE/ก. และ104.32±2.19 มก./ก. ตามลำดับ(28)
สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ที่สกัดด้วยวิธี soxhlet extraction มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี H2O2 free radical scavenging และ DPPH โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 39.5±0.07 และ 47±0.09 มคก./มล. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับวิตามินซี ซึ่งมีค่า IC50 เท่ากับ 32± 0.18 มคก./มล. (วิธี H2O2free radical scavenging) และ 35±0.21 มคก./มล. (วิธี DPPH) สารสกัดมีปริมาณสารฟีนอลิกรวม เท่ากับ 179.94±0.58 มก. GAE/ก. และสารฟลาโวนอยด์รวม เท่ากับ 129.53±0.88 มก. สมมูลของรูติน (rutin equivalent, RE)/ก. (55)
สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่องsoxhlet apparatus เป็นเวลา 24 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธีABTS (ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 23.03-94.16%), วิธี DPPH (17.33-89.00%),วิธี NO scavenging (12.94-70.16%) และยับยั้งการเกิด lipid peroxidation ได้ 56.54% โดยสารสำคัญหลักที่พบในสารสกัด ได้แก่ gallic acid, mucic acid, ellagic acid, quercetin, rutin, β-glucogallin (14)
สารสกัดเมทานอล และสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยการแช่สกัดแบบเย็น (cold maceration) เป็นเวลา 48 ชม. ความเข้มข้น 1 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยสารสกัดเมทานอลจะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดน้ำ (% การยับยั้งเท่ากับ 86.88±0.31% และ 85.32±0.41% ตามลำดับ) และมีปริมาณของสารฟีนอลิกรวม (528±0.01 มก. GAE/ก.) และสารฟลาโว-นอยด์รวม (154±0.003 มก. QE/ก.) มากกว่าสารสกัดน้ำ (49)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทานอลจากผล และเมล็ดมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ฉะเชิงเทรา)เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง ความเข้มข้น 0.625-10 มก./มล. พบว่าสารสกัดทั้ง 2 ชนิด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดยสารสกัดจากเมล็ดจะมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดจากผล สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 86.68-91.88% ขณะที่สารสกัดจากผลยับยั้งได้ 43.37-83.23% สารสกัดจากเมล็ดมีปริมาณของสารแทนนิน และฟลาโวนอยด์สูงกว่าสารสกัดจากผล แต่มีปริมาณของสารฟีนอลิกรวมน้อยกว่า(56)
สารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม) เตรียมโดยการแช่สกัด เป็นเวลา 7 วัน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH ค่าIC50เท่ากับ 33.47±1.24 มคก./มล. ซึ่งมีฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซี (ค่าIC503.15±1.27 มคก./มล.) (45)
สารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากจ.มหาสารคาม) เตรียมโดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 7 วัน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH มีค่าIC50เท่ากับ7.05±0.17มคก./มล.ขณะที่วิตามินซี มีค่า IC50เท่ากับ 6.42±0.20 มคก./มล.เมื่อนำสารสกัดมากักเก็บในเอทโทโซม (ethosomes) (ประกอบด้วยสารสกัด0.03%, soya phosphatidylcholine 2%, เอทานอล 20%)และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระพบว่าเอทโทโซมที่กักเก็บสารสกัดสามารถต้านอนุมลูอิสระได้ดีกว่าสารสกัดที่ไม่ได้กักเก็บ โดยมีค่า IC50เท่ากับ 1.06±0.10 มคก./มล.(57)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ปราจีนบุรี) เตรียมโดยการแช่สกัดด้วย 95% เอทานอล เป็นเวลา 24 ชม. ทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีเดิม 3 รอบ สารสกัดจากผลละมุด (ตัวอย่างจากจ.ปทุมธานี) เตรียมโดยการแช่สกัดด้วยเอทานอล เป็นเวลา 24 ชม. ทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีเดิม 3 รอบและสารสกัดผสมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดมะขามป้อมและสารสกัดละมุดในอัตราส่วน 1:1 ทดสอบด้วยวิธี DPPH พบว่าสารสกัดมะขามป้อมมีฤทธิ์ดีที่สุดรองลงมาคือ สารสกัดผสม และสารสกัดละมุดโดยมีค่า IC50เท่ากับ 1.84, 3.13 และ 29.7 มคก./มล. ตามลำดับ ซึ่งสารสกัดมะขามป้อมจะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับสารมาตรฐานวิตามินซี (ค่า IC501.33มคก./มล.) (58)
การเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ปราจีนบุรี) เตรียมโดยการแช่ใน 95% เอทานอล ที่อุณหภูมิห้อง นาน 24 ชม. ทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีเดิม 3 รอบ, สารสกัดจากผลละมุด (ตัวอย่างจากจ.ปทุมธานี) เตรียมโดยการแช่ในเอทานอล ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 4 วัน ทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีเดิม4รอบ และสาร silymarin ซึ่งสกัดได้จากเมล็ด milk thistle (Silybum marianum)(ตัวอย่างจากบริษัทIVAX Pharmaceutical s.r.o., ประเทศสาธารณรัฐเช็ก) โดยทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS เปรียบเทียบกับวิตามินซี พบว่าสารสกัดมะขามป้อมจะมีฤทธิ์ดีที่สุดและมีปริมาณสารฟีนอลิกรวมและสารฟลาโวนอยด์รวมสูงที่สุด รองลงมา คือ สารsilymarin และสารสกัดละมุด โดยค่า IC50ของสารสกัดมะขามป้อม เท่ากับ 1.70±0.07 (วิธี DPPH) และ 4.45±0.10 มคก./มล. (วิธี ABTS) ซึ่งมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับวิตามินซี (ค่า IC50 1.38±0.05 และ 3.45±0.06 มคก./มล.)ปริมาณสารฟีนอลิกรวมและสารฟลาโวนอยด์รวมในสารสกัดมะขามป้อม เท่ากับ 362.43±11.22 มก. GAE/ก. และ 6.40±0.88 มก. QE/ก.ตามลำดับ(59)
สารสกัด 95% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศไทย) (ไม่ระบุวิธีการสกัด) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธีβ-carotene bleaching โดยสามารถยับยั้งได้ 86.47±1.1% ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 290.47±0.7 มก. GAE/ก. สารสกัด (50)
สารสกัด 70% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากจ.เชียงใหม่)เตรียมโดยการสกัดด้วย soxhlet extractor มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 97.17±0.01%และ 83.13% เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH และ superoxide radical scavenging ตามลำดับ ในการทดสอบด้วยวิธี Total antioxidant capacity พบว่าสารสกัดมีค่า Trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) เท่ากับ 392.98 มก./ก. สารสกัด ปริมาณสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด มีค่าเท่ากับ 764.81 มก. GAE/ก. สารสกัด (60)
สารสกัด 66% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เตรียมโดยวิธีการสกัดด้วยไมโครเวฟ (microwave-assisted extraction) กำลังไฟ480 วัตต์เป็นเวลา 29 วินาทีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH, ABTS, FRAP และ lipid peroxidation inhibition โดยค่าIC50ของสารสกัดในการทดสอบทั้ง4วิธีเท่ากับ 0.030±0.002, 0.426±0.06, 0.578±0.04และ 0.173±0.02มก./มล. ตาม ลำดับ และมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับสาร BHT (IC50เท่ากับ 0.045±0.002, 0.215±0.05, 0.851±0.11และ 0.065±0.001 มก./มล.ตามลำดับ) และวิตามินซี (IC50เท่ากับ 0.024±0.001, 0.562±0.08, 0.617±0.06และ 0.131± 0.003 มก./มล. ตามลำดับ)โดยสารสำคัญหลักที่พบในสารสกัด ได้แก่ ellagic acid, ethyl gallate, hamamelitannin, isocorilagin, methyl gallate, mucic acid-1,4-lactone-3-O-gallate และ quercetin-3-O-rhamnoside (16)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากจ.น่าน; voucher specimen: PBM 01402) เตรียมโดยการต้มในน้ำเป็นเวลา 1 ชม.พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC50เท่ากับ 51.3±16.5 มคก./มล. และ 295±5.4 มคก./มล.เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS ตามลำดับ และมีค่า FRAP value เท่ากับ 7.46±0.56 ไมโครโมล FeSO4/มก. เมื่อทดสอบด้วยวิธีFRAP การทดสอบในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว human myeloleukemic U937 ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย H2O2พบว่าสารสกัดสามารถยับยั้งการเกิด ROS ในเซลล์มะเร็งได้ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.62 มคก./มล. ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับ gallic acid(IC50 4.28 มคก./มล.) ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 34.22±1.74 ก. GAE/100 ก. สารสกัด (61)
สารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน)เตรียมโดยการสกัดด้วยน้ำร้อน อุณหภูมิ 85-95 oC ความเข้มข้น 0.5-50 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดย สารสกัดที่ความเข้มข้น 50 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินซี (88.7±0.3% และ 89.97±0.17%) ในการทดสอบด้วยวิธี DPPH สำหรับการทดสอบด้วยวิธี FRAP พบว่าสารสกัดมีค่า reducing power เท่ากับ 2.31± 0.05% ขณะที่สาร3-tert-butyl-4-hydroxy-anisole (BHA) ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ มีค่าเท่ากับ 0.60±0.002% และ % metal chelating ของสารสกัด ในการทดสอบด้วยวิธีFerrous ion chelating เท่ากับ 16.92±0.11% ขณะที่สาร ethylenediaminetetraacetic acid (EDTA) ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์มีค่าเท่ากับ 94.43±0.21% และการทดสอบในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสาร lipopolysaccharide(LPS) ของสารสกัดความเข้มข้น 0.125-2 มก./มล. พบว่าสามารถลดการเกิด ROS ในเซลล์ได้ (62)
สารสกัดน้ำและสารสกัด80% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.มหาสารคาม) เตรียมโดยการเขย่า (agitation) ที่อัตราเร็ว 150 รอบ/นาที อุณหภูมิ 28-30 oC เป็นเวลา 12 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยค่า IC50ของสารสกัดน้ำและสารสกัด80% เอทานอล เท่ากับ 3.48±0.03 และ 3.88± 0.02 มก./มล. ตามลำดับ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และค่า FRAP value เท่ากับ 46.18±0.05 และ 38.95±0.07 มิลลิโมล FeSO4/ก. นน.แห้ง ตามลำดับ เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP สารสกัดน้ำและสารสกัด 80% เอทานอล มีปริมาณของสารฟีนอลิกรวม เท่ากับ 7.72±0.03 และ 6.26±0.01 มก. GAE/ก. นน.แห้งตามลำดับ (41)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมสารสกัดโดยการเขย่า (shaking) ในตัวทำละลาย คือ น้ำ:เอทิลอะซีเตท (1:4) ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 24 ชม. ในเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยบ่มเซลล์ด้วยสารสกัดความเข้มข้น 50, 100, 150 และ 200 มคก./มล. เป็นเวลา 1 ชม. ก่อนเหนี่ยวนำให้เซลล์เกิดความเสียหายด้วยสารละลายกลูโคส ความเข้มข้น 5 และ 50 มิลลิโมลาร์ พบว่าสารสกัดความเข้มข้น 150 และ 200 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยลดระดับของ MDA, เพิ่มระดับของ glutathione และเอนไซม์ glutathione peroxidase นอกจากนี้ยังมีผลปกป้องเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดง และค่าดัชนีเม็ดเลือดแดงต่างๆ ได้แก่ ฮีโมโกลบิน, ปริมาตรของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (mean corpuscular volume, MCV), ปริมาณเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin, MCH) และความเข้มข้นเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin concentration, MCHC) ในเซลล์เม็ดเลือดแดงได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด การทดสอบในพลาสมาเมื่อให้สารสกัดความเข้มข้น 50, 100, 150 และ 200 มคก./มล. เป็นเวลา 1 ชม. ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชันด้วยสาร AAPH (2, 2′-Azobis [2-amidinopropane dihydro- chloride]) พบว่าสารสกัดความเข้มข้น 150 และ 200 มคก./มล. มีผลระดับของMDA และโปรตีนคารบอนิล (protein carbonyl), เพิ่มระดับของโปรตีนรวม และอัลบูมินในพลาสมา เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยสารสำคัญหลักที่พบในสารสกัด ได้แก่ gallic acid, quinic acid และ quercetin นอกจากนี้ยังพบ caffeic acid, catechin, epigallocatechin 3-gallate, kaempferol และ naringenin (9)
ผงน้ำคั้นจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากบริษัท Verdure Sciences, ประเทศสหรัฐอเมริกา)ความเข้มข้น 1-1,000 มคก./มล. และสารซึ่งแยกได้จากผงน้ำคั้น 10 ชนิด ได้แก่ gallic acid, methyl gallate, 1-O-galloylglucoside, mucic acid 3-O-gallate, corilagin, 1,6-di-O-galloylglucoside, ellagic acid, ellagic acid-4-O-glucoside, ellagic acid-4-O-xyloside และ ellagic acid-4-O-rhamnoside ความเข้มข้น 1-500 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยค่า IC50ของผงน้ำคั้น เท่ากับ 28.9 มคก./มล. และค่าIC50 ของสารทั้ง 10 ชนิด เท่ากับ 6.0, 3.1, 2.7, 1.6, 4.9, 3.0, 2.6, 73.4, 26.3และ 158.9ไมโครโมลาร์ตามลำดับ ซึ่งจะมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับสาร BHT ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก (IC50 371.4 ไมโครโมลาร์) (7)
น้ำคั้นจากผลมะขามป้อมสด (ตัวอย่างจาก จ.นครราชสีมา) ซึ่งสกัดด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ จากนั้นทำเป็นผงแห้งด้วยวิธีการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophilization) และเตรียมเป็นสารสกัดโดยละลายผงน้ำคั้นแห้งในน้ำกลั่น เมื่อนำสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี hydroxyl radical scavenging, superoxide anion radical scavenging, H2O2 scavenging, FRAP และ oxygen radical absorbance capacity (ORAC) พบว่าสารสกัดสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ในการทดสอบทุกวิธี โดยค่า IC50ในการจับกับอนุมูลอิสระ hydroxyl, superoxide anion และ H2O2 เท่ากับ 282.49±17.59, 14.94±0.15 และ 1.46±0.37 มคก./มล. ตามลำดับ มีค่า FRAP value เท่ากับ 4279.86±269.84ไมโครโมลสมมูลของ FeSO4/ก. และค่า ORACvalue เท่ากับ 5480±554.43 ไมโครโมลสมมูลของ trolox (trolox equivalent, TE)/ก. และการศึกษาในเซลล์keratinocyte(HaCaT) ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยรังสี UVB ของสารสกัดน้ำคั้นผลมะขามป้อม ความเข้มข้น 10, 50 และ 100 มคก./มล. พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยลดการสร้าง ROS, ลดระดับของsuperoxideanion และ H2O2 ในเซลล์ได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มระดับของเอนไซม์ catalase แต่ไม่มีผลต่อเอนไซม์ super oxide dismutase และ glutathione peroxidase โดยสารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ วิตามินซี, chlorogenic acid, ellagic acid, gallic acid
และ quercetin (11)
สารสกัดจากผลมะขามป้อม (Saberry®, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ที่เตรียมโดยการคั้นน้ำจากผล แล้วนำมาทำเป็นผงแห้งด้วยวิธีการทำแห้งแบบพ่นฝอย (spray drying) ความเข้มข้น 0.2, 0.39, 0.78, 1.56, 3.13, 6.25และ 12.5 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ซึ่งสารสกัดที่ความเข้มข้น 12.5 มคก./มล. สามารถยับยั้งอนุมูอลิสระได้ 92.11% และมีค่า IC50 เท่ากับ 2.37 มคก./มล. นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งการเกิด ROS ในเซลล์human follicle dermal papilla ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยรังสี UVB ได้ โดยมีค่าIC50เท่ากับ 1.77 มคก./มล. สารสำคัญหลักที่พบในสารสกัด คือ β-glucogallin,mucic acid 1,4-lactone 5-O-gallate, mucic acid 2-O-gallate, mucic acid 6-methyl ester 2-O-gallate, mucic acid 1-methyl ester 2-O-gallate และ ellagic acid (15)
การศึกษาผลของน้ำคั้นจากผลมะขามป้อมสด และผงผลมะขามป้อมแห้ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ในการต้านอนุมูลอิสระ โดยทดสอบด้วยวิธี DPPH พบว่าน้ำคั้นจากผลสดและและผงผลแห้ง ความเข้มข้น 1% (v/v) สามารถต้านอุมูลอิสระได้ 57% และ 97% ตามลำดับ ขณะที่วิตามินซี ความเข้มข้น 50 นาโนกรัม/มล. สามารถยับยั้งได้ 76% และการทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเครียด เมื่อป้อนผงผลแห้ง ขนาด 250 และ 500 มก./กก. วันละครั้ง เป็นเวลา 7 วัน พบว่ามีผลเพิ่มน้ำหนักตัวและการกินอาหารของหนู เพิ่มระดับของเอนไซม์ superoxide dismutase และลดระดับของ malondialdehyde ได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (63)
สารโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharides) ที่แยกได้จากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศจีน) ความเข้มข้น 0.5-8 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น มีค่าความเข้มข้นของสารที่ทำให้จำนวนของอนุมูลอิสระลดลงครึ่งหนึ่ง (EC50) เท่ากับ 1.26±0.08, 1.04±0.14, 1.61±0.13, 1.11±0.10, และ 1.92±0.17 มก./มล. เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, hydroxyl radical scavenging,superoxide radical scavenging, FRAP และ lipid peroxidation inhibition ตามลำดับ ขณะที่ค่าEC50ในการทดสอบทั้ง 5 วิธีของสารมาตรฐานวิตามินซี เท่ากับ 0.91±0.05, 1.53±0.15, 1.55±0.21, 1.42±0.21, 1.68±0.18 มก./มล. และสาร BHT เท่ากับ 1.43±0.07, 2.18±0.31, 3.79±0.39, 1.23±0.14, 2.64±0.31 มก./มล.ตามลำดับ ซึ่งองค์ประกอบทางเคมีหลักที่พบในสารโพลีแซคคาไรด์จากผลมะขามป้อม ประกอบด้วยgalacturonic acid, galactose, rhamnose และ arabinose(30)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร 7 ชนิด ที่แยกได้จากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศจีน) ได้แก่ chebulagic acid, chebulanin, ellagic acid, gallic acid, isocorilagin, mallotusinin และmucic acid 1,4-lactone 3-O-gallate พบว่าสาร mallotusinin จะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, superoxide anion scavenging, ferrous ion chelating และ lipid peroxidationinhibition มีค่า IC50เท่ากับ 3.99±0.11, 2.27±0.23, 0.22±0.01 และ 11.4±0.87 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ขณะที่การทดสอบด้วยวิธี ABTS พบว่าสาร chebulagic acid จะมีฤทธิ์ดีที่สุด (ค่า TEAC เท่ากับ 6.72±0.09 ไมโครโมลาร์) (13)
อนุพันธุ์ของสารกลุ่ม isobenzofuranone ได้แก่ 5-(2-hydroxyethyl)-2,2-dimethyl-2H-furo[3,4-h]chromen-7(9H)-one และ 2,2-dimethyl-5-(2-oxopropyl)-2H-furo[3,4-h]chromen-7(9H)-oneซึ่งแยกได้จากผลมะขามป้อม(ตัวอย่างจากประเทศจีน)มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี2′,7′-dichlorofluoresceindiacetate (DCFH)โดยมีค่า IC50 เท่ากับ4.5 และ4.2 มคก./มล. ตามลำดับ(29)
สารที่แยกได้จากเปลือกผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศจีน) ได้แก่ chebulagic acid, chebulanin, isocorilagin, isomallotusinin และ mucic acid 1,4-lactone 3-O-gallate ความเข้มข้น 2.5-20 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH และ ABTS ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดยสารchebulagic acid และ isomallotusinin จะมีฤทธิ์ดีที่สุด มีค่า IC50เท่ากับ 3.94 และ 3.97 มคก./มล., ค่า TEAC เท่ากับ 6.72±0.09 และ6.65±0.07 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ และมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซี และสาร BHT (IC50 เท่ากับ17.13 และ38.76 มคก./มล., ค่าTEAC เท่ากับ 0.94±0.01 และ 1.21±0.01 ตามลำดับ) (21)
3.4 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (S007)
สารสกัด 50% เมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (sonication)เป็นเวลา 30 นาที ความเข้มข้น 50 มคก./มล. มีฤทธิ์อ่อนในการยับยั้งเอนไซม์ elastase (สามารถยับยั้งได้ 6%) (44)
การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ collagenase ของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ปราจีนบุรี) เตรียมโดยการสกัดด้วย 95% เอทานอล (ไม่ระบุวิธีการสกัด) นาน 24 ชม., สารสกัดจากผลละมุด (ตัวอย่างจากจ.ปทุมธานี) เตรียมโดยการแช่สกัดด้วยเอทานอล จากนั้นสกัดต่อด้วยวิธีการเดียวกับการสกัดมะขามป้อม และสารสกัดผสมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดมะขามป้อมและสารสกัดละมุดในอัตราส่วน 1:1 พบว่าสารสกัดละมุดมีฤทธิ์ดีที่สุดรองลงมาคือ สารสกัดผสม และสารสกัดมะขามป้อมมีค่า IC50เท่ากับ 65.68, 74.48 และ 89.96 มคก./มล. ตามลำดับ แต่ฤทธิ์จะน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน EGCG(IC504.47มคก./มล.)และในการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ elastase พบว่าสารสกัดละมุดมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งเช่นกัน รองลงมา คือ สารสกัดผสมและสารสกัดมะขามป้อม โดยค่า IC50 ของสารสกัด และสาร EGCG เท่ากับ 36.82, 71.95, 520.83 และ 93.99 มคก./มล. ตามลำดับ (58)
การเปรียบเทียบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ metalloproteinase-1 (MMP-1), MMP-2และelastase ของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจาก จ.ปราจีนบุรี) เตรียมโดยการแช่ใน 95% เอทานอล ที่อุณหภูมิห้อง นาน 24 ชม. ทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีเดิม 3 รอบ, สารสกัดจากผลละมุด (ตัวอย่างจากจ.ปทุมธานี) เตรียมโดยการแช่ในเอทานอล ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 4 วัน ทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีเดิม4รอบ และสาร silymarin ซึ่งสกัดได้จากเมล็ด milk thistle (Silybum marianum)(ตัวอย่างจากบริษัทIVAX Pharmaceutical s.r.o., ประเทศสาธารณรัฐเช็ก) พบว่าสารสกัดละมุดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์MMP-1 และ MMP-2 ได้ดีที่สุด (IC50เท่ากับ 89.61±0.96 และ 86.4±3.04 มคก./มล.) รองลงมาคือ สารสกัดมะขามป้อม (IC5095.97±3.28 และ 89.32±0.88 มคก./มล.) แต่ฤทธิ์จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสารมาตรฐาน EGCG (IC509.73±0.18,และ 8.19±0.40 มคก./มล.)สารสกัดละมุดและสาร silymarinมีฤทธิ์ใกล้เคียงกันในยับยั้งเอนไซม์elastase(IC50เท่ากับ 35.73±0.61 และ 38.57± 0.04 มคก./มล. ตามลำดับ) และดีกว่าสาร EGCG (IC5093.99±3.44 มคก./มล.) ขณะที่สารสกัดมะขามป้อมจะมีฤทธิ์ยับยั้งได้น้อยที่สุด(IC50 387.85±8.78 มคก./มล.)(59)
การศึกษาฤทธิ์ปกป้องผิวของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยแช่สกัดใน 50% เอทานอล และเขย่าที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 18 ชม. โดยทดสอบในเซลล์ human newborn foreskin fibroblast (HS68) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความแก่ด้วยรังสี UVB พบว่าสารสกัดความเข้มข้น 10-40 มคก./มล. มีฤทธิ์ปกป้องเซลล์จากรังสี UVB โดยเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์, เพิ่มปริมาณของ pro-collagen 1, ลดระดับของ pro-matrix metalloproteinase-1, ยับยั้งเอนไซม์ hyaluronidase และลดการตายของเซลล์ได้ (64)
การศึกษาในเซลล์ human skin fibroblasts(NB1RGB) พบว่าสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากบริษัทNippon Shinyaku, ประเทศญี่ปุ่น) เตรียมโดยการสกัดด้วย 50% เอทานอล (ไม่ระบุวิธีการสกัด) ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 1 ชม. ความเข้มข้น 5-40 มคก./มล. มีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์, เพิ่มการสร้างโปรคอลลาเจนชนิดที่ 1 (procollagen type I), ยับยั้งเอนไซม์ matrix metallo-proteinase-1 (MMP-1) แต่ไม่มีผลต่อเอนไซม์ MMP-2 นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เพิ่มสารยับยั้งเอนไซม์MMP-1 (tissue inhibitor of metalloproteinase-1, TIMP-1)(65)
สารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยแช่สกัดในน้ำเย็นพร้อมกับการกวน (stirring) อย่างต่อเนื่อง ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา2ชม. ความเข้มข้น 0.125, 0.25 และ 0.5 มก./มล. มีฤทธิ์ป้องกันความเสียหายของคอลลาเจนจากการถูกทำลายด้วยรังสี UVB ในเซลล์human dermal fibroblasts ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 0.5 มก./มล. จะมีฤทธิ์ดีที่สุด สามารถป้องกันได้ 9.5±0.28 เท่า เมื่อเทียบกับเซลล์ที่ไม่ได้รับสารสกัด ขณะที่วิตามินซี ความเข้มข้น 0.5 มก./มล. สามารถป้องกันได้ 3.7±0.07 เท่า นอกจากนี้สารสกัดยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด ROS ในเซลล์จากการเหนี่ยวนำด้วยรังสี UVB โดยสารสกัดความเข้มข้น 0.5 มก./มล. จะให้ผลดีที่สุด มีเปอร์เซ็นต์การเกิด ROS (% ROS induction) เท่ากับ 15±4% เมื่อเทียบกับเซลล์ที่ไม่ได้รับสารสกัด (84±1.4%)และวิตามินซีความเข้มข้น 0.5 มก./มล. (64±2%) (66)
3.5 ป้องกันแสงแดด (S008)
สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ที่สกัดด้วยวิธี soxhlet extraction เมื่อนำมาเตรียมในรูปแบบไฟโตโซม(phytosome) โดยกักเก็บสารสกัดในฟอสโฟไลปิด(phospholipid) (อัตราส่วน1:1) จากนั้นนำมาเตรียมเป็นตำรับครีมที่มีส่วนผสมของไฟโตโซมสารสกัดมะขามป้อม 1% และทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันแสงแดด โดยการวัดค่า sun protection factor (SPF) ด้วยเครื่อง UV-2000S Ultraviolet Transmittance Analyzer พบว่าครีมไฟโตโซมสารสกัดมะขามป้อม 1% มีฤทธิ์ป้องกันแสงแดดได้ โดยมีค่า SPF เท่ากับ 2.09 (55)
ครีมซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัด70% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย, เตรียมสารสกัดโดยการแช่สกัด เป็นเวลา 7 วัน) มีฤทธิ์ป้องกันแสงแดดได้ โดยมีค่า SPF เท่ากับ 9.105±0.16 (67)
3.6 ต้านการอักเสบ (S014)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน)เตรียมโดยการสกัดด้วยน้ำร้อน อุณหภูมิ 85-95 oC ความเข้มข้น 0.25, 0.5, 1, 2 มก./มล. ในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสาร LPS พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการแสดงออกของ nuclear factor-κB (NF-κB), เอนไซม์ inducible nitric oxide synthase (iNOS) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) (62)
สารสกัดน้ำคั้นจากผลมะขามป้อมสด (ตัวอย่างจาก จ.นครราชสีมา) เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ จากนั้นทำเป็นผงแห้งด้วยวิธีการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophilization) และละลายผงน้ำคั้นแห้งด้วยน้ำกลั่น ความเข้มข้น 10, 50, 100 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบในเซลล์ keratinocyte (HaCaT) ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยรังสี UVB โดยยับยั้ง transcription factor ที่เกี่ยวของกับการอักเสบ ได้แก่ activator protein-1 (AP-1) และ NF-κB และยับยั้งการหลั่งของ prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งสารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ วิตามินซี, chlorogenic acid, ellagic acid, gallic acid และ quercetin (11)
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีในผลมะขามป้อมที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วยวิธีการbioactivity-guided isolation (ตัวอย่างจากประเทศจีน) โดยเตรียมสารสกัดด้วยการต้มใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 3.5 ชม.จากนั้นนำสารสกัดไปแยกด้วยวิธี column chromatography ตามสัดส่วนของตัวทำละลายที่ใช้ชะ (eluted) ได้แก่ ปิโตรเลียมอีเทอร์, เอทิลอะซีเตท, เมทานอล และน้ำ ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของส่วนสกัดที่ได้ จากนั้นนำส่วนสกัดที่มีฤทธิ์ดีที่สุดมาทำการแยกสารด้วยวิธี preparative-HPLC และทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งจะทดสอบฤทธิ์ในเซลล์ macrophage RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสาร LPSพบว่าสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในส่วนสกัด คือgallic acid และ fisetin โดยมีผลยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์,tumor necrosis factor-α (TNF-α), interleukin (IL)-1βและ IL-6(68)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการแช่ในเมทานอลพร้อมกับการเขย่า ที่อุณหภูมิ 30 ºC เป็นเวลา 12 ชม. ทดสอบในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน โดยป้อนสารสกัดขนาด 100, 200 และ 400มก./มล. เป็นเวลา 7 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ พบว่าสารสกัดความเข้มข้น 200 และ 400 มก./กก. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยลดการบวมของอุ้งเท้าหนูได้ 41.1% และ 43.9% ตามลำดับ เมื่อวัดที่เวลา 12 ชม. หลังจากเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ สารสกัดที่ขนาด 200 มก./กก. มีผลลดระดับของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ได้แก่TNF-α, interferon-γ (IFN-γ), IL-6, IL-10 และ C-reactive proteins (CRP)ลดการแสดงออกของเอนไซม์ COX-2และ iNOS นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง superoxide และ nitric oxide, ลดระดับของ lipid peroxides และเอนไซม์ superoxide dismutase, เพิ่มระดับของ glutathione และเอนไซม์ catalase ซึ่งแสดงถึงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด(69)
สารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่องsoxhlet apparatus เป็นเวลา 24 ชม. เมื่อให้โดยการป้อนสารสกัด ขนาด 200 และ 400 มก./กก. เป็นเวลา 1 ชม. ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าของหนูแรทด้วยคาราจีแนนพบว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ โดยสารสกัดขนาด 400 มก./กก. จะมีฤทธิ์ดีที่สุด สามารถยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าได้ 72.71% ขณะที่ยา diclofenac ขนาด 10 มก./กก. ยับยั้งได้ 61.57% นอกจากนี้สารสกัดยังมีผลลดระดับของ IL-1βและ TNF-αในเลือดของหนู สารสำคัญที่เป็นองค์ประกอบหลักในสารสกัด คือ gallic acid, mucic acid, ellagic acid, quercetin, rutin, β-glucogallin (14)
สารสกัดเอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศไทย) เตรียมโดยการแช่สกัด ขนาด 1.25, 2.5 และ 5 มก./ใบหู มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่ใบหูด้วยน้ำมันสลอด (croton oil) โดยมีเปอร์เซ็นต์การบวม (% swelling) เมื่อวัดที่เวลา 4 ชม. เท่ากับ 16.64±1.46%, 18.77±0.93% และ 20.33±2.90% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (44.16±4.09%) ซึ่งสารสกัดขนาด 1.25 มก./ใบหู จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับยา diclofenac ขนาด 5 มก./ใบหู (% swelling17.35±4.80%)(70)
เมื่อป้อนหนูเม้าส์ด้วยสารสกัด 80% เอทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศบังคลาเทศ) เตรียมโดยการแช่สกัด เป็นเวลา 10 วัน ความเข้มข้น 250 และ 500 มก./กก. เป็นเวลา 1 ชม. ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่ใบหูด้วย xylene พบว่าสารสกัดมีผลต้านการอักเสบ โดยลดการบวมของใบหูหนูได้ 18.0% และ 32.5% ตามลำดับขณะที่ยาdiclofenac sodium ขนาด 10 มก./กก. สามารถลดการบวมได้ 35% (71)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดแอลกอฮอล์ผสมน้ำ(hydroalcoholic extract) จากผลมะขามป้อม(ไม่ระบุวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน, histamine, serotonin และ prostaglandin E2 โดยฉีดสารสกัดขนาด 300, 500 และ 700 มก./กก. เข้าทางช่องท้องของหนู เป็นเวลา 30 นาที ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ พบว่าสารสกัดมีผลต้านการอักเสบได้ ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามขนาดของสารสกัด โดยในวิธีที่เหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน สารสกัดสามารถยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูได้ 48.90, 60.20 และ70.00% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ขณะที่ยา indomethacin ยับยั้งได้ 84.27% และในวิธีที่เหนี่ยวนำด้วยhistamine, serotonin และ prostaglandin E2สารสกัดที่ขนาด 700 มก./กก. มีผลยับยั้งการบวมได้ 68.47, 79.26 และ 64.00% ตามลำดับ แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา chlorpheniramine (3 มก./กก.), cyproheptadine(3 มก./กก.) และ phenylbutazone (100 มก./กก.)ที่ยับยั้งได้ 82.06, 89.56 และ 92.00% ตามลำดับส่วนการศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอักเสบด้วยวิธีcotton-pellet granuloma เมื่อฉีดสารสกัดขนาด 300, 500และ 700 มก./กก. หลังจากการฝังก้อนสำลี เป็นเวลา 7 วัน พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดgranuloma (granuloma formation) ได้ 34.52, 43.69 และ 52.36 % ตามลำดับขณะที่ยา indomethacin ยับยั้งได้ 64.76% (72)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม, รากเจตมูลเพลิงขาว(Plumbago zeylanica) และรากหญ้าแห้วหมู(Cyperus rotundus)(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ที่เตรียมโดยการต้มในน้ำ เป็นเวลา 2 ชม. ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนน โดยแบ่งออก เป็น กลุ่มที่ป้อนด้วยสารสกัดผลมะขามป้อม ขนาด 540 มก./กก. กลุ่มที่ป้อนด้วยสารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว ขนาด 90มก./กก.กลุ่มที่ป้อนด้วยสารสกัดรากหญ้าแห้วหมูขนาด 270 มก./กก. และกลุ่มที่ป้อนสารสกัดผลมะขามป้อม ขนาด 540 มก./กก. ร่วมกับสารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาวขนาด 90 มก./กก. เปรียบเทียบผลกับกลุ่มที่ได้รับยาแอสไพริน ขนาด 500 มก./กก. และกลุ่มควบคุมที่รับน้ำกลั่นพบว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดผลมะขามป้อมร่วมกับสารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว จะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ใกล้เคียงกับยาแอสไพริน โดยยับยั้งการบวมของอุ้งเท้าหนูได้ 20.34% และ 23.74% ตามลำดับ ขณะที่สารสกัดผลมะขามป้อม, สารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว และสารสกัดรากหญ้าแห้วหมู มีฤทธิ์อ่อนในการต้านการอักเสบ (ยับยั้งได้ 13.97%, 9.19% และ 9.31% ตามลำดับ) และการทดสอบในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้องด้วยกรดอะซีติก ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ป้อนด้วยสารสกัดผลมะขามป้อม ขนาด 780 มก./กก. กลุ่มที่ป้อนด้วยสารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว ขนาด 130 มก./กก. กลุ่มที่ป้อนด้วยสารสกัดรากหญ้าแห้วหมู ขนาด 390 มก.กก. และกลุ่มที่ป้อนสารสกัดผลมะขามป้อม ขนาด 780 มก./กก. ร่วมกับสารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว ขนาด 130 มก./กก. เปรียบเทียบผลกับกลุ่มที่ได้รับยาแอสไพริน ขนาด 700 มก./กก. และกลุ่มควบคุมที่รับน้ำกลั่น พบว่าสารสกัดทุกชนิดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยสารสกัดผลมะขามป้อมร่วมกับสารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว, สารสกัดผลมะขามป้อม, สารสกัดรากเจตมูลเพลิงขาว และสารสกัดรากหญ้าแห้วหมู มีผลลดปริมาณโปรตีนในของเหลว(exudate) ในช่องท้องที่เกิดการอักเสบของหนูได้ 43%, 32%, 25%และ 15.5%ตามลำดับ แต่ฤทธิ์จะน้อยกว่ายาแอสไพรินซึ่งสามารถลดปริมาณโปรตีนได้ 58% (73)
3.7 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดน้ำคั้นจากผลมะขามป้อมสด (ตัวอย่างจาก จ.นครราชสีมา) เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ทำเป็นผงแห้งด้วยวิธีการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophilization) และละลายผงน้ำคั้นแห้งด้วยน้ำกลั่น ความเข้มข้น 0.1-100 มคก./มล. โดยทดสอบในเซลล์human umbilical vein endothelial ด้วยวิธี scratch assay ประเมินผลที่เวลา 0, 24 และ 48 ชม. เปรียบเทียบกับวิตามินซี ความเข้มข้น 0.01-10 มคก./มล. พบว่าสารสกัดและวิตามินซีที่ความเข้มข้นต่ำ (0.1 และ 0.01 มคก./มล. ตามลำดับ) มีฤทธิ์กระตุ้นการปิดของแผล(wound closure) ขณะที่สารสกัดและวิตามินซีที่ความเข้มข้นสูงจะไม่มีผลนอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มการเคลื่อนที่ของเซลล์ (migration) แต่ฤทธิ์จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ vascular endothelial growth factor (VEGF) ความเข้มข้น 50 นาโนกรัม/มล. ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการเคลื่อนที่ (chemoattractant) ของเซลล์ในสารสกัดน้ำคั้นผลมะขามป้อมพบว่ามีปริมาณของวิตามินซี เท่ากับ 1.57% (w/w) หรือเท่ากับ 2.53 มก./มล. น้ำคั้นสด หรือประมาณ 6.42 มก./ผล (26)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย, เตรียมสารสกัดโดยการกวน (stirring) ข้ามคืนที่อุณหภูมิห้อง) ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลแบบแผลเปิดและติดเชื้อStaphylococcusaureusและ Pseudomonas aeruginosa โดยทาแผล เป็นเวลา 16 วัน พบว่าขี้ผึ้งสารสกัดมะขามป้อม มีผลในการรักษาแผลได้ โดยขนาดแผลลดลงและแผลปิดได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ทาแผลด้วยพาราฟิน นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มระดับของhydroxyproline ลดจำนวนของเชื้อแบคทีเรีย และเพิ่มปริมาณของคอลลาเจนใน granulation tissue (48)
4 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
4.1 ลิปสติก (L004)
ผลิตภัณฑ์ลิปกลอสที่มีส่วนผสมของไลโปโซม(liposome) สารสกัดมะขามป้อม 1.0% ซึ่งเตรียมอนุภาคไลโปโซมโดยการสกัดผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจ.ประจวบคีรีขันธ์) ด้วยเอทิลอะซีเตท โดยวิธี soxhlet extraction ที่อุณหภูมิ 50 °C เป็นเวลา 6 ชม. จากนั้นนำสารสกัดที่ได้มากักเก็บในอนุภาคไลโปโซมด้วยวิธีchloroform film และลดขนาดอนุภาคโดยผ่านเข้าเครื่อง microfluidizerที่ความดัน 18,000 psi จำนวน 3 รอบ เมื่อทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าสามารถต้านอนุมูลอิสระได้โดยมีค่า SC50เท่ากับ 48.23 มก./มล. และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสโดยมีค่า IC50เท่ากับ 53.92 มก./มล. (74)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการสกัดด้วยเครื่อง soxhlet apparatus เป็นเวลา 24 ชม. ในหนูเม้าส์ เมื่อให้โดยการป้อนสารสกัด ขนาด 0.5, 1.0, 1.5, 2.0, 2.5 และ 3.0 ก./กก. พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลัน และมีค่า LD50เท่ากับ 1.125 ก./กก. (14)
เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเมทานอลจากผลมะขามป้อม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยการแช่สกัดแบบเย็น (cold maceration) เป็นเวลา 48 ชม. ขนาด 5, 50, 300, 1,000 และ 2,000 มก./กก. พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันและไม่ทำให้หนูตาย (49)
เมื่อป้อนหนูเม้าส์ด้วยสารสกัด 50% เอทานอลจากผลมะขามป้อม ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ขนาด 10 ก./กก. ไม่พบความเป็นพิษและเมื่อฉีดสารสกัดเข้าใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) เท่ากับ 4.8 ก./กก. (75)
การทดสอบพิษเฉียบพลันในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม(ตัวอย่างจากจ.น่าน; voucher specimen: PBM 01402) เตรียมโดยการแช่ผลมะขามป้อมในน้ำ เป็นเวลา 30 นาที จากนั้นนำไปต้ม เป็นเวลา1 ชม.ขนาด 5,000 มก./กก. พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลัน (LD50>5,000 มก./กก) และการทดสอบพิษเรื้อรัง โดยป้อนสารสกัด ขนาด 300, 600 และ 1,200 มก./กก. เป็นเวลา 270 วัน พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษเช่นกัน (76)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ครีมผิวขาวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม 1% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด), ครีมบำรุงผิวที่ประกอบด้วยสารสกัดจากผลมะขามป้อม 0.5% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด) ในการทดสอบให้ทาครีมบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็นเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีผลลดค่าความดำของสีผิวอาสาสมัครได้ในสัปดาห์แรกที่ใช้ (31)
เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้ทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น มีผลทำให้ค่าความดำของสีผิวลดลงและสามารถทำความสะอาดผิวได้หมดจดไม่มีคราบติดค้างบนผิว เมื่อเปรียบเทียบกับเจลเบส และเจลในท้องตลาด (31)
ครีมที่มีส่วนผสมของมะขามป้อมชะเอมเทศ และ belides 7% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด และความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้ทาครีมบริเวณใบหน้า วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 60 วัน มีผลในการรักษาฝ้าได้ไม่แตกต่างกับครีมhydroquinone 2% แต่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่อผิวน้อยกว่า (32)
ครีมลดความหมองคล้ำที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้ทาครีมที่ใบหน้าบริเวณแก้มปริมาณ 0.1 ก. เป็นพื้นที่ 2.5x 2.5 ซม. ก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ มีผลลดปริมาณของเมลานิน, เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว (33)
ครีมลดความหมองคล้ำและริ้วรอยบนผิวหน้าสำหรับกลางคืนที่มีส่วนผสมของไลโปโซมสารสกัดมะขามปอม 3% ในการทดสอบให้ทาครีมทุกคืน เป็นเวลา 2 เดือนพบว่าผิวหน้าของอาสาสมัครมีปริมาณของเมลานินลดลง มีความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (34)
ครีมผิวขาวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลมะขามป้อม 1% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด), ครีมบำรุงผิวที่ประกอบด้วยสารสกัดจากผลมะขามป้อม 0.5% (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด) ในการทดสอบให้ทาครีมบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็นเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีผลทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น (31)
แผ่นแปะที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากมะขามป้อม(ไม่ระบุชนิดของสารสกัดและความเข้มข้นที่ใช้ในผลิตภัณฑ์) ในการทดสอบให้แปะบริเวณหน้าผาก วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน มีผลเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวได้(31)
แคปซูลสารสกัดผลมะขามป้อม (ไม่ระบุชนิดของสารสกัด, 1 แคปซูล ประกอบด้วยสารสกัด 250 มก.)ในการทดสอบให้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 60 วัน มีผลทำให้ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น, จำนวนสิว และระดับความรุนแรงของสิวลดลง (35)
โทนเนอร์ (toner) ที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม 3% ในการทดสอบให้เช็ดหน้าบริเวณหน้าผากและแก้มหลังจากล้างหน้าแล้วด้วยโทนเนอร์สารสกัดมะขามป้อมขนาด 2 ตร.ซม. พบว่ามีประสิทธิภาพในการลดความมันบนใบหน้าได้ดีกว่าโทนเนอร์เบสและลดความมันบริเวณแก้มได้ดีกว่าบริเวณหน้าผาก โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว (36)
ครีมขัดผิวสำหรับผิวกายที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อม 0.3% (ไม่ระบุวิธีการสกัด) ในการทดสอบไม่ระบุปริมาณที่ใช้และระยะเวลาที่ทดสอบ มีผลทำให้มีระดับสีผิวลดลง ไม่เกิดการระคายเคือง ผิวมีความเรียบเนียน ชุ่มชื้น กระจ่างใส และสะอาดขึ้น จุดด่างดำจางลง และริ้วรอยลดลง (37)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
IP AUSTRALIA
สรุป
มะขามป้อมมีการศึกษาทางคลินิกและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาซึ่งสนับสนุนในการที่จะนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านเครื่องสำอางได้ ผลของมะขามป้อมมีวิตามินซีสูง และมีสารพฤกษเคมี เช่น สารประกอบฟีนอลิก และแทนนิน ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้ดี นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งการสร้างเมลานิน ยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ป้องกันผิวจากรังสี UV ดังนั้นจึงพบว่ามีการนำสารสกัดจากมะขามป้อมมาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิวออกวางจำหน่ายหลากหลายผลิตภัณฑ์ซึ่งมีผลช่วยทำให้ผิวขาวใสลดความหมองคล้ำลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวสำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัย พบว่าค่อนข้างมีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผู้ใช้และยังไม่พบรายงานการเกิดพิษ ดังนั้นมะขามป้อมจึงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาต่อยอดสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรให้สูงขึ้นต่อไป
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทยเต็มสมิตินันทน์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืชกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช; 2557.
2. Lemmens RHMJ, Wulijarni-Soetjipto N, eds. Plant Resources of South-east Asia No 3: Dye and Tannin-producing Plants. Wageningen: Pudoc, 1991.
3. Phyllanthus emblica L. World flora online. [Internet]. [cited 2021 Nov 22]. Available from: http://www.worldfloraonline.org.
4. พร้อมจิต ศรลัมพ์,รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล,วงศ์สถิต ฉั่วกุลและคณะ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟจำกัด; 2535.
5. สมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทย. ไม้และของป่าบางชนิดในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทย; 2536.
6. กุลธิดา ศิริวัฒน์, บรรณาธิการ. มาตรฐานสมุนไพรไทยทางเครื่องสำอาง เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
7. Rose K, Wan C, Thomas A, Seeram NP, Ma H. Phenolic compounds isolated and identified from Amla (Phyllanthus emblica) juice powder and their antioxidant and neuroprotective activities. Nat Prod Commun. 2018;13(10):1309-11. doi: 10.1177/193457 8X1801301019.
8. Zhang J, Miao D, Zhu WF, Xu J, Liu WY, Kitdamrongtham W, et al. Biological activities of phenolics from the fruits of Phyllanthus emblica L. (Euphorbiaceae). Chem Biodivers. 2017;14,e1700404. doi: 10.1002/cbdv.201700404.
9. Packirisamy RM, Bobby Z, Panneerselvam S, Koshy SM, Jacob SE. Metabolomic analysis and antioxidant effect of Amla (Emblica officinalis) extract in preventing oxidative stress-induced red cell damage and plasma protein alterations: an in vitro study. J Med Food. 2018;21(1):81-9. doi: 10.1089/jmf.2017.3942.
10. Bansal V, Sharma A, Ghanshyam C, Singla ML. Coupling of chromatographic analyses with pretreatment for the determination of bioactive compounds in Emblica officinalis juice. Anal Methods. 2014;6:410-8. doi: 10.1039/c3ay41375f.
11. Kunchana K, Jarisarapurin W, Chularojmontri L, Wattanapitayakul SK. Potential use of Amla (Phyllanthus emblicaL.) fruit extract to protect skin keratinocytes from inflammation and apoptosis after UVB irradiation. Antioxidants (Basel). 2021;10,703. doi: 10.3390/antiox10050703.
12. Yang B, Kortesniemi M, Liu P, Karonen M, Pekka JP. Analysis of hydrolyzable tannins and other phenolic compounds in Emblic leafflower (Phyllanthus emblica L.) fruits by high performance liquid chromatography-electrospray ionization mass spectrometry. J Agric Food Chem. 2012;60:8672-83. doi: 10.1021/jf302925v.
13. Luo W, Zhao M, Yang B, Ren J, Shen G, Rao G. Antioxidant and antiproliferative capacities of phenolics purified from Phyllanthus emblica L. fruit. Food Chem. 2011;126(1):277-82. doi: 10.1016/j.foodchem.2010.11.018.
14. Middha SK, Goyal AK, Lokesh P, Yardi V, Mojamdar L, Keni DS, et al. Toxicological evaluation of Emblica officinalisfruit extract and its anti-inflammatory and free radical scavenging properties. Pharmacogn Mag. 2015;11:S427-33. doi: 10.4103/0973-1296.168982.
15. Majeed M, Majeed S, Mundkur L, Nagabhushanam K, Arumugam S, Beede K, et al. Standardized Emblica officinalisfruit extract inhibited the activities of a-amylase, a-glucosidase, and dipeptidyl peptidase-4 and displayed antioxidant potential. J Sci Food Agric. 2020;100(2):509-16. doi: 10.1002/jsfa.10020.
16. Li Y, Guo B, Wang W, Li L, Cao L, Yang C, et al. Characterization of phenolic compounds from Phyllanthus emblicafruits using HPLC-ESI-TOF-MS as affected by an optimized microwave-assisted extraction. Int J Food Prop. 2019;22(1):330-42. doi: 10.1080/10942912.2019.1583249.
17. Chahal AK, Chandan G, Kumar R, Chhillar AK, Saini AK, Saini RV. Bioactive constituents of Emblica officinalisovercome oxidative stress in mammalian cells by inhibiting hyperoxidation of peroxiredoxins. J Food Biochem. 2020;44(2):e13115. doi: 10.1111/jfbc.13115.
18. Rajmohan V, Shajahan MA, Sudhakaran MV. Chromatographic finger printing and quantification of gallic acid in amla (Emblica officinalis Gaertn.), palasa (Butea monosperma Taub.) and Amalaki rasayana. Int Res J Pharm. 2019;10(3):227-32. doi: 10.7897/2230-8407.1003109.
19. Singh M, Kumar D, Naman S, Madhavi N, Singh PA, Bajwa N, et al. Development and validation of HPTLC method for the simultaneous estimation of ascorbic acid and gallic acid in Amla juice preparation. J Drug Deliv Ther. 2019;9(4):227-31. doi: 10.22270/jddt.v9i4.3030.
20. She G, Cheng R, Sha L, Xu Y, Shi R, Zhang L, et al. A novel phenolic compound from Phyllanthus emblica. Nat Prod Commun. 2013;8(4):461-2.
21. Luo W, Wen L, Zhao M, Yang B, Ren J, Shen G, et al. Structural identification of iso-mallotusinin and other phenolics in Phyllanthus emblica L. fruit hull. Food Chem. 2012;132(3):1527-33. doi: 10.1016/j.foodchem.2011.11.146.
22. Thenmozhi AJ, Dhivyabharathi M, Manivasagam T, Essa MM. Tannoid principles of Emblica officinalis attenuated aluminum chloride induced apoptosis by suppressing oxidative stress and tau pathology via Akt/GSK-3b signaling pathway. J Ethnopharmacol. 2016;194:20-9. doi: 10.1016/j.jep.2016.08.047.
23. Jirge SS, Tatke PA, Gabhe SY. Simultaneous estimation of kaempferol, rutin, and quercetin in various plant products and different dosage forms of Bhuiamla and Amla. J Planar Chromat. 2014;27:267-73. doi: 10.1556/JPC.27.2014.4.6.
24. Judprasong K, Charoenkiatkul S, Thiyajai P, Sukprasansap M. Nutrients and bioactive compounds of Thai indigenous fruits. Food Chem. 2013;140(3):507-12. doi: 10.1016/j.foodchem.2013.01.057.
25. Kubola J, Siriamornpun S, Meeso N. Phytochemicals, vitamin C and sugar content of Thai wild fruits. Food Chem. 2011;126(3):972-81.doi: 10.1016/j.foodchem.2010.11.104.
26. Chularojmontri L, Suwatronnakorn M, Wattanapitayakul SK. Phyllanthus emblica L. enhances human umbilical vein endothelial wound healing and sprouting. Evid based Complement Altern Med. 2013; article ID 720728. doi: 10.1155/2013/720728.
27. Srividya N, Chandra M. Evaluation of L-ascorbic acid, b-carotene and lycopene contents of some fruits of western Ghats. European J Biomed Pharm Sci. 2015;2(4):1563-71.
28. Ashalatha KS, Hemalatha S, Raveesha HR. Studies on biochemical and antibacterial activities of three medicinally important fruits. Int J Pharm Sci Res. 2019;10(11):5010-5. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.10(11).5010-15.
29. Gao Q, Xiang HY, Chen W, Ling J, Chen X, Li J, et al. Two new isobenzofuranone derivatives from Phyllanthus emblica and their bioactivity. Chem Nat Compd. 2019;55(5):847-50. doi: 10.1007/s10600-019-02829-x.
30. Li Y, Chen J, Cao L, Li L, Wang F, Liao Z, et al. Characterization of a novel polysaccharide isolated from Phyllanthus emblica L. and analysis of its antioxidant activities. J Food Sci Technol. 2018;55(7):2758-64. doi: 10.1007/s13197-018-3199-6.
31. อุบลทิพย์ นิมมานนิตย์. การพัฒนาสารสกัดมะขามป้อมเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยาอาหารและเครื่องสำอาง. การสัมมนาเรื่อง "การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรมครั้งที่2", กรุงเทพฯ,19-20มีนาคม2552:หน้า 197-201.
32. Costa A, Cordero T, Marmirori J, Moises TA, Alves CRT. Association of emblica, licorice and belides as an alternative to hydroquinone in the clinical treatment of melasma. An Bras Dermatol. 2010;85(5):613-20. doi: 10.1590/s0365-05962010000500003.
33. ณัฐพร สุจริต,เบญจางค์ ปิยะพรมดี,อภิรดี จันทร์สมบูรณ์, สุภาภรณ์ ปิติพร, นัยนา สันติยานนท์, นริศา คำแก่น. ความปลอดภัยประสิทธิภาพ และความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ครีมลดความหมองคล้ำ2 ชนิดที่มีสารสกัดมะขามป้อมและสารสกัดหม่อน. Thai Pharm Health Sci J. 2007;2(3):209-14.
34. มัญฑมน อุตโม,วิชัย หฤทัย ธนาสันติ์,สุพนิดา วินิจฉัย,หทัยรัตน์ ริมคีรี. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมลดความหมองคล้ำและริ้วรอยบนผิวหน้าสำหรับกลางคืนที่มีส่วนผสมของไลโปโซมสารสกัดมะขามป้อม.การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 52, กรุงเทพฯ, 4-7 ก.พ. 2557.
35. Patel G, Sorake R, Pai N. A randomized single blind placebo controlled clinical study to evaluate efficacy of amalaki (Emblica officinalis) extract capsule on Acne vulgaris along with its anti-oxidant property. Int J Pharm Sci Res. 2021;12(7):3832-8. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.12(7).3832-38.
36. Timudom T, Chaiyasut C, Sivamaruthi BS, Tiampasook P, Nacapunchai D. Anti-sebum efficacy of Phyllanthus emblica L. (Emblica) toner on facial skin. Appl Sci. 2020;10,8193. doi: 10.3390/app10228193.
37. สุนันทา โอศิริ, นภาภรณ์ เอื้อวงศ์ญาติ, ศิริอร ศักดิ์วิไลสกุล, วัชรพงษ์ สุขีวงศ์. การพัฒนาและทดสอบผลิตภัณฑ์ครีมขัดผิวกายจากสารสกัดมะขามป้อม. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. 2557;12(2):27.
38. Kumar N, Rungseevijitprapa W, Narkkhong N, Suttajit M, Chaiyasut C. 5a-reductase inhibitionand hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. J Ethnopharmacol. 2012;139:765-71. doi: 10.1016/j.jep.2011.12.010.
39. Rasika M, Parameshwari S, Sivagurunathan P, Uma C, Bhuvaneswari M. Antifungal activity of Amla extracts against dandruff causing pathogens (Malassezia sp.).Int J Adv Res Biol Sci. 2016;3(1):209-14.
40. Sibi G, Alam MA, Shah J, Razak M. Susceptibility pattern of Malassezia species to selected plant extracts and antifungal agents. Int J Green Pharm. 2014;8(4):226-30. doi: 10.4103/0973-8258.142675.
41. Rattanasena P. Antioxidant and antibacterial activities of vegetables and fruits commonly consumed in Thailand. Pakistan J Biol Sci 2012;15(15):877-82. doi: 10.3923/pjbs.2012.877.882.
42. จันทิมา หอมกลบ,สุพนิดา วินิจฉัย,หทัยรัตน์ ริมคีรี, นครเหลือง ประเสริฐ, วิชัยหฤทัย ธนาสันติ์. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดของสารสกัดเอทิลอะซีเตดจากผลมะขามป้อมจากแหล่งในประเทศไทย. การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครั้งที่48, กรุงเทพฯ, 3-5ก.พ. 2553.
43. Perera HKI, Pradeep APC, Devinda KDU, Ratnayake RMUK, Gunawardhana DKLR, Jayasinghe JAVP. Antityrosinase activities of Thespesia populnea bark and Phyllanthus emblica fruit. J Adv Med Pharm Sci. 2018;16(3):1-8. doi: 10.9734/JAMPS/2018/40775.
44. Chiocchio I, Mandrone M, Sanna C, Maxia A, Tacchini M, Poli F. Screening of a hundred plant extracts as tyrosinase and elastase inhibitors, two enzymatic targets of cosmetic interest. Indl Crops Prod. 2018;122:498-505. doi: 10.1016/j.indcrop.2018.06.029.
45. Sungthong B, Phadungkit M. Anti-tyrosinase and DPPH radical scavenging activities of selected Thai herbal extracts traditionally used as skin toner. Pharmacogn J. 2015;7(2):97-101.
46. Chaiyana W, Charoensup W, Sriyab S, Punyoyai C, Neimkhum W. Herbal extracts as potential antioxidant, anti-aging, anti-inflammatory, and whitening cosmeceutical ingredients. Chem Biodivers. 2021;18(7):e2100245. doi: 10.1002/cbdv.202100245.
47. Wang YC, Haung XY, Chiu CC, Lin MY, Lin WH, Chang WT, et al. Inhibitions of melanogenesis via Phyllanthus emblica fruit extract powder in B16F10 cells. Food Biosci. 2019;28:177-82. doi: 10.1016/j.fbio.2019.01.006.
48. Kirubanandan S, Renganathan S. An evaluation of wound repair and regeneration potential of the fruits of Phyllanthus emblica (Amla). Int J MediPharm Res. 2016;2(2):71-81.
49. Badoni H, Sharma P, Waheed SM, Singh S. Phytochemical analyses and evaluation of antioxidant, antibacterial and toxic properties of Emblica officinalis and Terminalia bellirica fruit extracts.Asian J Pharm Clin Res. 2016;9(6):96-102. doi: 10.22159/ajpcr.2016.v9i6.13731.
50. Mayachiew P, Devahastin S. Antimicrobial and antioxidant activities of Indian gooseberry and galangal extracts. Food Sci Technol. 2008;41(7):1153-9. doi: 10.1016/j.lwt.2007.07.019.
51. Ramesh PS, Kokila T, Geetha D. Plant mediated green synthesis and antibacterial activity of silver nanoparticles using Emblica officinalis fruit extract. Spectrochim Acta A Mol Biomol Spectrosc. 2015;142:339-43. doi: 10.1016/j.saa.2015.01.062.
52. Shah PJ, Malik R. Study of antibacterial activity of Phyllanthus emblica and its role in green synthesis of silver nanoparticle. J Drug Deliv Ther. 2019;9(3):76-81. doi: 10.22270/jddt.v9i3.2753.
53. Fitriansyah SN, Aulifa DL, Febriani Y, Sapitri E. Correlation of total phenolic, flavonoid and carotenoid content of Phyllanthus emblica extract from Bandung with DPPH scavenging activities. Pharmacogn J. 2018;10(3):447-52.doi: 10.5530/pj.2018.3.73.
54. Vijayanand S, Sanjana T. Phytochemical studies of Phyllanthus emblica, Ananas comosus, Momordica charantiaextracts.Int J Pharma Res Health Sci. 2017;5(4):1810-15. doi: 10.21276/ijprhs.2017.04.18.
55. Pereira A, Mallya R. Formulation and evaluation of a photoprotectant cream containing Phyllanthus emblicaextract-phospholipid complex. J Pharmacogn Phytochem. 2015;4(2):232-40.
56. Sriwatcharakul S. Evaluation of bioactivities of Phyllanthus emblica seed. Energy Rep. 2020;6(suppl. 1):442-7. doi: 10.1016/j.egyr.2019.08.088.
57. Laovachirasuwan P, Fuangbangluang W, Phanichanaphan A, Nasomroop I, Phadungkit M. The development of Phyllanthus emblica extract in ethosomes for hair loss prevention.Pharmacogn J. 2020;12(4):905-10. doi: 10.5530/pj.2020.12.128.
58. Sakdawattanakul R, Panapisal P, Tansirikongkol A. Comparative in vitro anti-aging activities of Phyllanthus emblica L. extract, Manilkara sapota L. extract and its combination. Thai J Pharm Sci. 2016;40(suppl.):108-11.
59. Pientaweeratch S, Panapisal V, Tansirikongkol A. Antioxidant, anti-collagenase and anti-elastase activities of Phyllanthus emblica, Manilkara zapota and silymarin: an in vitro comparative study for anti-aging applications. Pharm Biol. 2016;54(9):1865-72. doi: 10.3109/13880209.2015.1133658.
60. Chaiyasut C, Kesika P, Chaiyasut K, Sittiyuno P, Peerajan S, Sivamaruthi BS. Total phenolic content and free radical scavenging activity of representative medicinal plants of Thailand. Asian J Pharm Clin Res. 2017;10(11):137-41. doi: 10.22159/ajpcr.2017.v10i11.20741.
61. Charoenteeraboon J, Ngamkitidechakul C, Soonthornchareonnon N, Jaijoy K, Sireeratawong S. Antioxidant activities of the standardized water extract from fruit of Phyllanthus emblica Linn.. Songklanakarin J Sci Technol. 2010;32(6):599-604.
62. Wang HMD, Fu L, Cheng CC, Gao R, Lin MY, Su HL, et al. Inhibition of LPS-induced oxidative damages and potential anti-inflammatory effects of Phyllanthusemblica extract via down-regulating NF-kB, COX-2, and iNOS in RAW 264.7 cells. Antioxidants (Basel). 2019;8(8):270. doi: 10.3390/antiox8080270.
63. Umamaheswari A, Bhuvaneswari K, Muthuraman PL. Effect of Emblica officinalis fruit dry power on behavior changes and antioxidant levels: an in vitro and in vivo study. Asian J Pharm Clin Res. 2019;12(7):291-4. doi: 10.22159/ajpcr.2019v12i7.33619.
64. Adil MD, Kaiser P, Satti NK, Zargar AM, Vishwakarma RA, Tasduq SA. Effect of Emblica officinalis (fruit) against UVB-induced photo-aging in human skin fibroblasts. J Ethnopharmacol. 2010;132(1):109-14. doi: 10.1016/j.jep.2010.07.047.
65. Fujii Ti, Wakaizumi M, Ikami T, Saito M. Amla (Emblica officinalis Gaertn.) extract promotes procollagen production and inhibits matrix metalloproteinase-1 in human skin fibroblasts. J Ethnopharmacol. 2008;119(1):53-7. doi: 10.1016/j.jep.2008.05.039.
66. Majeed M, Bhat B, Anand S, Sivakumar A, Paliwal P, Geetha KG. Inhibition of UV-induced ROS and collagen damage by Phyllanthus emblica extract in normal human dermal fibroblasts. J Cosmet Sci. 2011;62(1):49-56.
67. Nair SS, Sreena K, Mathew M. Formulation and evaluation of UV protective herbal skin creams. Int J Pharm Sci Technol. 2014;6(2):6671-80.
68. Li W, Zhu HW, Chen YJ, Xiao H, Ge YZ, Hu HE, et al. Bioactivity-guided isolation of anti-inflammatory components from Phyllanthus emblica. Food Sci Nutr. 2020;8(6):2670-9. doi: 10.1002/fsn3.1553.
69. Adhikary R, Bishayi B. Anti-inflammatory effects of Adhatoda vasica, Emblica officinalis and Clitoria ternatea: a comparative study. World J Pharm Pharm Sci. 2019;8(5):1577-99.
70. Khayungarnnawee A, Soradech S, Potduang B, Sematong T, Laovitthayanggoon S, Keeta I, et al. Anti-inflammatory activity of fruit extracts from Phyllanthus emblica and Zanthoxylum limenella. Thai J Pharm Sci. 2012;36(suppl.):38-40.
71. Hossen SMM, Uddin M, Sarkar MR. Medicinal potential of Phyllanthus emblica (Linn.) fruits extracts: Biological and pharmacological activities. Int J Pharmacogn. 2014;1(5):307-16. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.1(5).307-16.
72. Golechha M, Sarangal V, Ojha S, Bhatia J, Arya DS. Anti-inflammatory effect of Emblica officinalisin rodent models of acute and chronic inflammation: Involvement of possible mechanisms. Int J Inflam. 2014, article ID 178408. doi: 10.1155/2014/178408.
73. Dang GK, Parekar RR, Kamat SK, Scindia AM, Rege NN. Antiinflammatory activity of Phyllanthus emblica, Plumbago zeylanica and Cyperus rotundus in acute models of inflammation. Phytother Res. 2011;25:904-8. doi: 10.1002/ptr.3345.
74. จันทิมา หอมกลบ,หทัยรัตน์ ริมคีรี,สุพนิดา วินิจฉัย,นครเหลือง ประเสริฐ, วิชัยหฤทัย ธนาสันติ์. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ลิปกลอสไขรำข้าวที่มีส่วนผสมของไลโปโซมสารสกัดมะขามป้อม. การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครั้งที่49กรุงเทพฯ, 1-4ก.พ. 2554.
75. มงคล โมกขะสมิต, กมล สวัสดีมงคล, ประยุทธ สาตราวาหะ. การศึกษาพิษของสมุนไพรไทย.วารสารของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. 2514;13(1):36-66.
76. Jaijoy K, Soonthornchareonnon N, Lertprasertsuke N, Panthong A, Sireeratawong S. Acute and chronic oral toxicity of standardized water extract from the fruit of Phyllanthus emblica Linn. Int J App. Res Nat Prod. 2010;3(1):48-58.
77. พรทิพย์ เติมวิเศษ,นงนภัส เลาหวิจิตร,มณทิรา เกษมสุข, บรรณาธิการ. คู่มือการกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ในทางเภสัชกรรมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2558:304 หน้า.
P033_(18).xlsx