มะเขือเทศ
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Solanum lycopersicum L.
ชื่อวงค์
SOLANACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะเขือเทศ
ชื่ออังกฤษ
Tomato, Garden tomato, Love apple, Wild tomato
ชื่อพ้อง
Lycopersicon humboldtii (Willd.) Dunal
Lycopersicon esculentum Mill.
Solanum humboldtii Willd.
ชื่อท้องถิ่น
ตรอบ ตีรอบ บ่ะเขือส้ม บักเขียเคือ หมากเหล่น น้ำเนอ มะเขือเทศสีดา
ชื่อ INCI
SOLANUM LYCOPERSICUM CALLUS CULTURE EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM CALYX EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM FLOWER EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT JUICE
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT LIPIDS
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT OIL
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT WATER
SOLANUM LYCOPERSICUM FRUIT/LEAF/STEM EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM LEAF CELL CULTURE EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM LEAF CELL EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM LEAF EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM MERISTEM CELL
SOLANUM LYCOPERSICUM MERISTEM CELL CULTURE CONDITIONED MEDIA
SOLANUM LYCOPERSICUM SEED EXTRACT
SOLANUM LYCOPERSICUM SEED OIL
SOLANUM LYCOPERSICUM SKIN WAX
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มะเขือเทศมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบเทือกเขาแอนดีสของทวีปอเมริกาใต้ ในแถบประเทศเปรูและชิลี เดิมมะเขือเทศเป็นพืชที่เจริญเติบโตในป่าเขา แม้มะเขือเทศจะเป็นผลไม้ที่ดูจากภายนอกแล้วสวยงาม ทำให้คนชอบและหลงใหลแต่ในสมัยนั้นก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะนำมารับประทานเพราะคิดว่าเป็นผลไม้มีพิษ และในราวกลางศตวรรษที่ 15 ชาวสเปนและโปรตุเกส ได้นำเอามะเขือเทศจากประเทศเปรูไปปลูกในทวีปยุโรป หลังจากนั้นก็มีการนำไปปลูกยังประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ในระยะแรกมีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวน
มะเขือเทศได้ถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวนอยู่นานร่วม 200 ปี โดยไม่มีใครกล้านำมารับประทาน จนกระทั่งในปลายศตวรรษที่ 18 มีนักวาดภาพชาวฝรั่งเศส อยากลองชิมรสชาติของมะเขือเทศ
เขาจึงตัดสินใจลองรับประทานมะเขือเทศ หลังจากรับประทานแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่าไม่มีพิษ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรับประทานตามบ้าง มะเขือเทศเลยกลายเป็นอาหารในครัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในปี ค.ศ.1811 ก็มีการบันทึกลงในพจนานุกรมทางพฤกษศาสตร์ เป็นครั้งแรก
สำหรับในประเทศไทยมีการสันนิษฐานว่า มะเขือเทศเข้ามาสู่เมืองไทยนานหลายร้อยปีแล้ว โดยชาวยุโรปที่มาติดต่อค้าขายกับไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้นำเข้ามา และในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอปลัดเล พ.ศ.2416 หรือเมื่อ 125 ปีมาแล้ว กล่าวถึงมะเขือเทศว่า “มะเขือเทศ : เป็นชื่อมะเขือเขาเอาพันธุ์มาแต่เมืองเทศปลูกไว้ในเมืองไทยจึงเรียก มะเขือเทศ” ซึ่งแสดงว่าเมื่อ 125 ปีก่อนคนไทยก็ปลูกมะเขือเทศกันทั่วไปแล้ว (4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก อายุปีเดียว สูงได้ถึง 2 ม. ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย มี 5 - 9 ใบ รูปไข่ถึงรูปขอบขนาน โคนใบเฉียงรูปลิ่ม ปลายใบมน ขอบใบเว้าลึกหรือเรียบ ช่อดอกออกที่ซอกใบ ดอกย่อย 3- 7 ดอก กลีบเลี้ยง รูประฆัง เชื่อมติดกันที่โคนส่วนปลายแยก รูปใบหอก กลีบดอก เชื่อมกันที่โคนปลายแยกเป็นแฉกรูปขอบขนาน สีเหลือง ก้านชูเกสรเพศผู้ ยาวประมาณ 1 มม. อับเรณู ยาว 6 - 10 มม. ก้านชูเกสรเพศเมีย ยาวประมาณ
1 ซม. ผลสดรูปทรงกลม ผิวเรียบหรือเป็นร่องตามยาว เมื่อยังอ่อนอยู่มีสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสีแดง ชมพูส้มหรือเหลืองเมื่อสุก เมล็ดรูปไข่สีน้ำตาลอ่อน (3)
การเพาะปลูก
มะเขือเทศสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีเพาะเมล็ด โดยมีวิธีการดังนี้
การเตรียมดิน การปลูกมะเขือเทศจำเป็นต้องยกร่องแปลงคล้ายกับการปลูกพืชผักทั่วไป และต้องเตรียมดิน และกำจัดวัชพืชก่อน ด้วยการไถพรวนดินรอบแรกที่ไถลึกประมาณ 20-30 ซม. และตากดินนาน 10-15 วัน จากนั้นไถพรวนดินรอบ 2 อีกครั้ง และตากดินนาน 5-7 วัน โดยก่อนไถรอบ 2 ให้หว่านโรยด้วยปุ๋ยคอก อัตรา 3-5 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 20 กก./ไร่ เมื่อตากดินรอบ 2 ครบตามวันแล้วจึงไถยกร่องเตรียมปลูก โดยไถยกร่องกว้าง 70-80 ซม. สำหรับปลูกแถวเดี่ยว และร่องกว้าง 100-120 ซม. สำหรับปลูกแถวคู่ โดยยกร่องสูงประมาณ 30 ซม. ส่วนการเพาะกล้าจะใช้วิธีการเพาะกล้าในแปลงเพาะ โดยการเตรียมดินด้วยการผสมดินกับปุ๋ยคอก ก่อนการหว่านเมล็ดลงแปลง และดูแลจนกล้ามีอายุได้ 25-30 วัน หรือมีใบจริง 5-7 ใบ แล้วค่อยย้ายปลูกในแปลงต่อ ทั้งนี้ก่อนย้ายปลูก ให้รดน้ำในแปลงให้ชุ่มก่อนทุกครั้ง
การปลูก นิยมปลูกในช่วงปลายฤดูฝนที่ฝนเริ่มน้อย หากปลูกในช่วงก่อนฤดูฝนหรือต้นฤดูฝนมักประสบปัญหาผลเน่าเสียง่าย โดยหลังจากการไถยกร่อง จะเริ่มขั้นตอนการปลูก โดยจะใช้กล้าเพาะ ในระยะปลูกที่ความห่างของต้นหรือหลุมที่ 50 ซม. และหลังการปลูกประมาณ 1 อาทิตย์ ควรใช้วัสดุเกษตรคลุมดิน เช่น ฟางข้าว วางคลุมรอบโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในดิน ทั้งนี้มะเขือเทศบางสายพันธุ์มีลักษณะเลื้อยสูง และลำต้นไม่แข็งแรง จำเป็นต้องทำค้างให้ ด้วยการใช้ไม้ไผ่ปักค้ำทแยงกัน หลังจากปลูกประมาณ 15 วัน หรือใช้ไม้ปักระหว่างต้น แล้วใช้ลวดขึงด้านข้าง เพื่อให้ลำต้นเลื้อยเกาะ
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ใบ รักษาหน้าเกรียมเนื่องจากถูกแดดเผา (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
กลุ่มสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ gallic acid (6-8), chlorogenic acid(6-9), ferulic acid (6, 9), caffeic acid, p-coumaric acid (9), (10),p-hydroxybenzoic acid (7)
สารกลุ่มกรดอินทรีย์ (organic acids) ได้แก่ pyruvic acid, aconitic acid, citric acid, malic acid, acetic acid, oxalic acid, fumaric acid (10)
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ได้แก่ lycopene (6, 8 - 9, 11 - 20)β-carotene(6, 8,
11-20), phytoene, phytofluene (17), lutein (19 - 20), neurosporene (19)สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ quercetin, naringenin (7- 9, 17, 21)kaempferol
(8 - 9, 17, 21), rutin (8, 21), luteolin,quercetin-3-O-sophoroside, kaempferol-3-O-sophoroside, isorhamnetin-3-O-sophoroside, isorhamnetin-3-O-gentiobioside, quercetin-3-O-rutinoside (17)สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids) ได้แก่ cycloartenol (22)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) ได้แก่ lycoperoside H (23)
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารที่ต้านสิวบนผิวกาย ได้แก่ pyruvic acid, aconitic acid, citric acid, malic acid, acetic acid, oxalic acid, fumaric acid (10), lycopene (24)
- สารที่ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย ได้แก่ lycopene (8 - 9, 11, 13 - 15), β-carotene (13 - 15), ferulic acid, caffeic acid (8- 9)
- สารที่ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ได้แก่ lycoperoside H (23)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การศึกษาที่ 1 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC/DAD unit (Gilson)วิเคราะห์สารกลุ่มฟีนอลิกสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (10)
column : Spherisorb ODS2 column (25 x 0.46 ซม. x 5 มคม.)
mobile phase : ใช้ binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วย A : น้ำ/กรดอะซิติก (1%) และ B : เมทานอล โดยเริ่มต้นที่ 5% B และค่อยๆ เพิ่มเป็น 50% B ภายในเวลา 30 นาที และเพิ่มเป็น 80% B ภายในเวลา 37 นาที
flow rate : 1.0 มล./นาที
UV-Visible detector ที่ความยาวคลื่น 200 - 400 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC system วิเคราะห์สารไลโคปีน(lycopene)สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (12)
column : Carotenoid C30 reversed-phase column (4.6 × 250 มม. x 3มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 35 oC
mobile phase :เมทานอล : ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ : เตตระไฮโดรฟูแรน (อัตราส่วน 30:30:35)รวมทั้ง250 ppm butylated hydroxytoluene (BHT) และ 0.05% triethylamine (TEA)
flow rate : 1.0 มล./นาที
UV-Visible detector ที่ความยาวคลื่น472นาโนเมตร
การศึกษาที่ 3 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ HPLC system วิเคราะห์สารไลโคปีน (lycopene)สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (11)
column : Lichospher100RP-18 column (4 ×125มม. x 5มคม.)
mobile phase : เมทานอล : เตตระไฮโดรฟูแรน : น้ำ (อัตราส่วน 67:27:6, v:v:v)
flow rate : 1.0 มล./นาที
UV-Visible detector ที่ความยาวคลื่น 472 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 4 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ Rapid-resolution liquid chromatography (RRLC) วิเคราะห์สารกลุ่มแคโรทีนอยด์(carotenoids)สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (7)
column : C18 Poroshell 120 column (4.6 × 50 มม. x 2.7มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 30oC
mobile phase :mobile phase ประกอบด้วย A : อะซิโตไนไตรล์, B : เมทานอล, C : เอทิลอะซิเตด โดยเริ่มต้นที่ 85% A + 15% B และตามด้วย 60%A + 20%B, +20%C นาน 5 นาที ต่อด้วย 60%A +20%B + 20%C นาน 7 นาที และตามด้วย 85% A + 15% B นาน9 นาที และ85% A + 15% B นาน12 นาที
flow rate : 1.0 มล./นาที
UV-Visible detectorที่ความยาวคลื่น285, 350 และ 472 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 5 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ Ultra High Performance Liquid Chromatograph (UHPLC) วิเคราะห์สารกลุ่มฟีนอลิกสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (7)
column : Eclipse Plus C18 column (2.1 × 5 มม. x 1.8 มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 30 oC
mobile phase : mobile phase ประกอบด้วย A : 0.01% กรดอะซิติกในน้ำ, B : อะซิโตไนไตรล์โดยเริ่มต้นที่ 100% A 0 นาที และตามด้วย 95%A + 5%B นาน 5 นาที ต่อด้วย 50%A + 50%B นาน 20 นาที
flow rate : 1.0 มล./นาที
UV-Visible detector ที่ความยาวคลื่น 280, 320 และ 370 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 6 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ High Performance Liquid Chromatograph (HPLC) วิเคราะห์สาร lycoperoside H สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (23)
column : CAPCELL PAK C18 SG120 (4.6 × 250 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 35 oC
mobile phase : 60% เมทานอล ในตัวทำละลาย 0.1% กรดไตรฟลูโรอะซิติก (trifluoroacetic acid)
flow rate : 1.0 มล./นาที
chargedaerosol detector ที่ 35˚C
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวชุ่มชื้น (F005)
การศึกษาในผู้หญิงจำนวน 36 ราย อายุระหว่าง 49.3 ± 10.4 ปี ที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 12 ราย กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ได้รับครีมที่มีสาร 10% ไลโคปีนจากผลมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (สารไลโคปีน 350 มก./น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ลิตร) (ตัวอย่างสารจากประเทศสเปน) กลุ่มที่ 2 ได้รับครีมอิมัลชันที่มีส่วนผสมของ 2% เมลาโทนินในกลีเซอรีน กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ได้รับครีมที่มีสาร 10% ไลโคปีนในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ และครีมอิมัลชันที่มีส่วนผสมของ 2% เมลาโทนินในกลีเซอรีน ทาบริเวณ หน้าผาก คาง แก้ม รอบริมฝีปาก วันละ 2 ครั้ง เช้า และ กลางคืน นาน 8 สัปดาห์ ก่อนการศึกษาทุกกลุ่มต้องทาครีมเบสเป็นเวลานาน 2 สัปดาห์ เพื่อใช้เป็นกลุ่มควบคุม หลังสิ้นสุดการศึกษาเมื่อตรวจสอบผิวหน้าด้วยเครื่องวัดความชุ่มชื้น (Corneometer) พบว่ากลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ในขณะที่กลุ่มที่ 3 ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นมากกว่ากลุ่มควบคุมแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังมีผลให้ผิวหนังมีการยืดหยุ่นดี และเพิ่มปริมาณไขมัน (sebum content) ใต้ชั้นผิวหนัง stratum corneum จากการศึกษาสรุปได้ว่าครีมที่มีสาร 10% ไลโคปีนจากผลมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์มีผลทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น (25)
1.2 ฤทธิ์ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (F008)
การศึกษาแบบสุ่มและปกปิดทั้ง 2 ฝ่าย (randomized, placebo-controlled, double-blind trial) ในผู้หญิงชาวญี่ปุ่น จำนวน 44 ราย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ22 ราย อายุเฉลี่ยเท่ากับ 52.0 ± 9.2 ปี ในกลุ่มศึกษา และ 51.2 ± 10.0 ปี ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก กลุ่มที่ 1 ให้รับประทานสารสกัด lycoperoside Hจากเมล็ดมะเขือเทศ ขนาด 200 มก./วัน (ซึ่งมีสาร lycoperoside H1 มก.) วันละ 1 ครั้ง นาน 8 สัปดาห์ กลุ่มที่ 2 ให้รับประทานยาหลอกในขนาดที่เท่ากัน และทำการตรวจสภาพผิวในสัปดาห์ที่ 4 และ 8เมื่อวัดความยืดหยุ่นของผิวหน้าบริเวณแก้มพบว่า ความกระชับของผิว (skin firmness)มีค่าสูงกว่ากลุ่มควบคุมทั้งในสัปดาห์ที่ 4 และ 8 ความสามารถในการกลับคืนสู่สภาพเดิมของผิวหนัง (gross elasticity) สูงกว่ากลุ่มควบคุมในสัปดาห์ที่ 4 นอกจากนี้ความยืดหยุ่นสุทธิ (net elasticity) ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของผิวหนังสูงกว่ากลุ่มควบคุมในสัปดาห์ที่ 4 และ 8 จากการศึกษาสรุปได้ว่าการรับประทานสารสกัด lycoperoside H ขนาด 200 มก./วัน มีผลช่วยให้ผิวหน้าบริเวณแก้มมีความยืดหยุ่นดี ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (23)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
การศึกษาในผู้ป่วยหญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม (stage 0 - IIB) ที่ได้รับการผ่าตัดและฉายรังสีเรียบร้อยแล้ว จำนวน 23 ราย อายุระหว่าง 29 - 84 ปี ซึ่งผู้ป่วยจะมีการอักเสบของผิวหนัง (stage 1) จากการฉายรังสี จำนวน 22 ราย และ stage 0 จำนวน 1 ราย โดยใช้เกณฑ์ของ National Cancer Institute Common Terminology Criteria for Adverse Events (CTCAE) Version4.0 เมื่อให้ผู้ป่วยเริ่มดื่มน้ำมะเขือเทศ 1 กระป๋อง/วัน (1 กระป๋อง ขนาด 160 ก. มีปริมาณสาร lycopene 16 มก.) นาน 6 เดือน (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) หลังจากครบคอร์สการฉายรังสี พบว่าการอักเสบของผิวหนังของผู้ป่วยที่ดื่มน้ำมะเขือเทศ จาก stage 1 กลับมาเป็น stage 0 ภายในเวลา 1 เดือน จากการศึกษาสรุปได้ว่าน้ำมะเขือเทศสามารถลดการอักเสบของผิวหนังในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการฉายรังสีได้ (26)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผม
1.1 ฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
เมื่อทาสารสกัด95% เอทานอลใบมะเขือเทศโดยการแช่สกัด (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย)ขนาด5%, 10% และ 20% w/v ที่หลังของกระต่ายที่โกนขนออกขนาด 2 x 2 ตารางซม. ทาวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลานาน 21 วัน และวัดความยาวของขนกระต่าย พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีผลกระตุ้นการงอกของขนเฉลี่ยเท่ากับ 0.93 ± 0.18, 1.04 ± 0.06 และ 0.98 ± 0.11 ซม. ตามลำดับ ซึ่งได้ผลดีกว่ากลุ่มควบคุม จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัด 95% เอทานอลใบมะเขือเทศขนาด 10% w/v กระตุ้นการงอกของขนกระต่ายได้ดีที่สุด (27)
1.2 ฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สาร cycloartenol ที่ได้จากส่วนสกัดเอ็น-เฮกเซนของใบมะเขือเทศ (โดยการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) สามารถยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผมได้ (ไม่มีรายละเอียดการศึกษา) (22)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (S001)
การศึกษาในหนูเม้าส์เพศเมีย จำนวน 28 ตัว ที่ถูกฉายแสงที่บริเวณหลังด้วยรังสี UVB แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมให้ทาโลชั่นพื้นฐานที่เตรียมไว้ กลุ่มที่ 2 - 4 ให้ทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารสกัดผลมะเขือเทศ ขนาด 0.14, 0.7 และ 1.4% ตามลำดับ โดยทาที่บริเวณหลัง ทุก 2 วัน นาน 2 สัปดาห์ผลการทดสอบพบว่าโลชั่นดังกล่าวสามารถลดระดับของ malondyaldehyde (MDA) และปริมาณเมลานินได้ โดยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารสกัดผลมะเขือเทศขนาด 1.4% ได้ผลดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (28)
2.2 ฤทธิ์ต้านสิว (S005)
สารสกัดเมล็ดมะเขือเทศสายพันธุ์ Bull’s heart และ Cherryด้วย เมทานอล, คลอโรฟอร์ม
เอทิลอะซิเตด, เฮกเซน และ 0.005 โมลาร์ กรดซัลฟูริกโดยการ sonicate นาน 5 นาที ตามด้วยเครื่องกวนสาร (mechanic stirrer) 200 รอบ/นาที นาน 24 ชม. (ตัวอย่างจากประเทศโปรตุเกส) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี Agar-well method พบว่าค่า MIC (Minimum Inhibition Concentration) ที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureusมีค่าอยู่ในช่วง 5 - 20มก./มล. ในขณะที่ ciprofloxacin ค่า MIC เท่ากับ 1.25 มคก./มล. นอกจากนี้สารกลุ่มกรดอินทรีย์ ได้แก่ pyruvic acid, aconitic acid, citric acid, malic acid, acetic acid, oxalic acid, fumaric acid มีค่า MIC เท่ากับ >10, 1.25, 1.25, 1.25, 1.25, 1.25 และ 0.625 มก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่ rutin มีค่า MIC มากกว่า 69 มคก./มล. (10)
สารสกัดน้ำจากผลมะเขือเทศในรูปนาโนพาร์ติเคิล ความเข้มข้น 20 และ 30 มิลลิโมลาร์ (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี Agar-well method ต่อเชื้อ S. aureus พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้ โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 26 ± 1 และ22 ± 0.5 มม. ตามลำดับ (29)
สารสกัดน้ำจากผลมะเขือเทศ (ด้วยการบดกับน้ำกลั่น) (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ความเข้มข้น 15.5 - 250 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าค่า MIC ที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureusมีค่าเท่ากับ 15.5มก./มล. ในขณะที่ ciprofloxacin ค่า MIC เท่ากับ 31.25 มก./มล. จากการศึกษาสรุปได้ว่า สารสกัดน้ำผลมะเขือเทศมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้ดีกว่า ciprofloxacin (30)
สารไลโคปีน (lycopene)จากการสกัดผลมะเขือเทศด้วยอะซิโตน โดยการเขย่านาน 30 นาที ที่อุณหภูมิห้อง และไม่ให้โดนแสง(ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ความเข้มข้น 10 - 500 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี Agar-well method พบว่าค่า MIC ที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus มีค่าเท่ากับ 75 มคก./มล. (24)
2.3 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
สารสกัดน้ำผลมะเขือเทศในรูปนาโนพาร์ติเคิล ความเข้มข้น 20 และ30 มิลลิโมลาร์(ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 75 ± 3 และ 83 ± 3.4%ตามลำดับ (29)
สารสกัด 70% เมทานอล ของผลมะเขือเทศแช่แข็งสกัดโดยใช้เครื่อง ultrasonic bath นาน 60 นาที ที่อุณหภูมิ 30 oC (ตัวอย่างจากประเทศอิตาลี) โดยใช้ผลมะเขือเทศที่มีความสุก 3 ระดับ (ระดับที่ 1 ผลสุกแต่สีเขียว, ระดับที่ 2 ผลสุกมีสีแดงแกมเขียว, ระดับที่ 3 ผลสุกเต็มที่สีแดง)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ferric reducing/antioxidant power (FRAP)พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 35.00 ± 4.25, 187.43 ± 18.07 และ125.14 ± 12.62 ไมโครโมล สมมูลของ Trolox /ก. นน.สด ตามลำดับ และเมื่อทดสอบด้วยวิธี2,2′-azinobis-(3-ethylbenzothiazoline-6-sulphonic acid) (ABTS) พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 108.79 ± 2.04, 150.34 ± 5.51 และ 139.36 ± 2.62 ไมโครโมล สมมูลของ Trolox /ก. นน.สด จากการศึกษาสรุปได้ว่าผลมะเขือเทศที่มีความสุกระดับที่ 2 มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (21)
สารสกัดผลมะเขือเทศด้วยเมทานอล โดยใช้เครื่อง soxhlet ที่อุณหภูมิ 65oC(ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) ซึ่งมีการเตรียมผลมะเขือเทศ6 ตัวอย่าง คือ ตัวอย่างที่ 1 มะเขือเทศสดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตัวอย่างที่ 2 น้ำมะเขือเทศโดยใช้ผลมะเขือเทศต่อน้ำในอัตราส่วน1 : 1 ตัวอย่างที่ 3 ผลมะเขือเทศหั่นชิ้นเล็กแล้วนำไปนึ่งนาน 30 นาที ตัวอย่างที่4 ผลมะเขือเทศหั่นชิ้นเล็กแล้วนำไปต้มกับน้ำในอัตราส่วน 1 : 1 นาน 30 นาที ตัวอย่างที่5 ผลมะเขือเทศหั่นชิ้นเล็กแล้วนำไปทอดในน้ำมันปาล์มนาน 30 นาที ตัวอย่างที่ 6 ผลมะเขือเทศหั่นชิ้นเล็กแล้วนำไปผัดโดยไม่ได้ใช้น้ำมันนาน 30 นาที เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 35.86, 36.19, 38.35, 30.85, 33.57 และ 37.02% ตามลำดับ จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดผลมะเขือเทศแบบหั่นชิ้นเล็กแล้วนำไปนึ่งนาน 30 นาที มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด ซึ่งสารสำคัญที่ออกฤทธิ์คือ สารlycopene และ β-carotene(13)
สารสกัดผลมะเขือเทศสดทั้งหมด 9 สายพันธุ์ สกัดด้วยวิธีการปั่นจากนั้นนำสารสกัดไปปั่นเหวี่ยงเพื่อแยกกากออกด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง9500 รอบ/นาทีนาน 20 นาที (ตัวอย่างจากประเทศอิตาลี) พบว่าสายพันธุ์ที่มีปริมาณ lycopene และ β-carotene สูงสุดได้แก่สายพันธุ์ Black tomato และSan Marzano 823 เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี N,N-Dimethyl-p-phenylenediamine dihydrochloride(DMPD)พบว่าสายพันธุ์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด คือสายพันธุ์ Holland และ Finest Tesco ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 25.85 และ 20.23% ตามลำดับ (14)
สารสกัดผลมะเขือเทศราชินีระยะผลสุก 4 สายพันธุ์(ได้แก่ สายพันธุ์ 1200, 12034, C40 และ G50)ด้วย 95% เอทานอล สกัดด้วยวิธีการปั่นจากนั้นนำสารสกัดไปปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลางเพื่อแยกกากออก (ตัวอย่างจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH scavenging activityพบว่ามะเขือเทศราชินี สายพันธุ์ C40 เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมในการใช้เป็นวัตถุดิบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจากมะเขือเทศราชินีมากที่สุด โดยให้ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกสูงสุดเท่ากับ 27.63 มก. สมมูลกรดแกลลิก/100 ก. น้ำหนักสด ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ เท่ากับ 7.36 มก. สมมูลกรดแอสคอร์บิก/100 ก. น้ำหนักสด และค่า EC50เท่ากับ 21.77 มก./ก. (31)
สารสกัด 70% เอทานอลของผลมะเขือเทศ4 สายพันธุ์ (ได้แก่ UC82b, Amiral F1, Local cotelette และ Local cerise) สกัดด้วยวิธีการปั่นจากนั้นนำสารสกัดไปปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่ 1,000 รอบ/นาที นาน 10 นาทีเพื่อแยกกากออก (ตัวอย่างจากประเทศโกตดิวัวร์) เมื่อใช้ความเข้มข้น 1 - 10 มก./มล.มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่าค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (EC50) มีค่าเท่ากับ6.27 ± 0.14, 3.47 ± 0.16, 4.26 ± 0.16 และ 6.74 ± 0.27 มก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่วิตามินซีมีค่าEC50 เท่ากับ 2.72 ± 0.06 มก./มล. จากการศึกษาสรุปได้ว่า สารสกัดผลมะเขือเทศสายพันธุ์ Amiral F1 มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (32)
สารสกัดฟรีซดรายของผลมะเขือเทศ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ Amarelo, Batateiro, Comprido และ Coração(ตัวอย่างจากประเทศโปรตุเกส) (ไม่ได้ระบุตัวทำละลาย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging, Reducing power, β-carotene bleaching inhibition และTBARS inhibition พบว่ามะเขือเทศสายพันธุ์ Batateiro มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด โดยมีค่า EC50 ในแต่ละวิธีเท่ากับ 0.55 ± 0.02, 1.63 ± 0.06,0.89 ± 0.11 และ 1.34 ± 0.45 มก./มล.ตามลำดับ ซึ่งสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ คือสาร lycopene และ β-carotene ซึ่งสายพันธุ์ Batateiro มีมากที่สุดเท่ากับ 9.49 ± 0.18 และ 0.51 ± 0.03 มก./100 ก. นน. สด ตามลำดับ (33)
สารสกัดผลมะเขือเทศด้วยตัวทำละลายเฮกเซนและเอทานอลอัตราส่วน1 ต่อ 1สกัดด้วยวิธี sonicateทั้งหมด 8 สายพันธุ์ (ได้แก่ Sweet Cherry, Sweet Grape, Longa Vida, Italiano, Goji, Holandês, Honey Grape และ BRS Zamir) (ตัวอย่างจากประเทศบราซิล) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activityพบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด คือสายพันธุ์ BRS Zamir, ตามด้วย Honey Grape และ Holandês โดยมีค่าเท่ากับ 10.31±0.82, 4.22±0.45 และ 2.60±0.47 มิลลิโมล สมมูลกับ Trolox/ก. สารสกัด (20)
สารสกัดผลมะเขือเทศด้วย 70% เอทานอล โดยก่อนการสกัดจะนำมะเขือเทศมาเตรียมด้วยวิธีการปรุงอาหาร 4 วิธี คือ วิธีที่ 1 แบบสด วิธีที่ 2 การต้มนาน 6 นาที วิธีที่ 3 การต้มโดยใช้เครื่องไมโครเวฟนาน 40 วินาที และวิธีที่ 4 การผัดกับน้ำมัน นาน 4.5 นาที (ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) หลังจากนำมาสกัดด้วย 70% เอทานอลและนำสารสกัดผลมะเขือเทศจากการเตรียมทั้ง 4 วิธี มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่าค่า IC50 มีค่าเท่ากับ 0.196 ± 0.003, 0.215 ± 0.002, 0.150 ± 0.001 และ 0.192 ± 0.003 มก./มล. ตามลำดับ จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดจากผลมะเขือเทศที่เตรียมด้วยการต้มโดยใช้เครื่องไมโครเวฟมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (33)
สารสกัดผลมะเขือเทศ 9 สายพันธุ์(ได้แก่ Rambo, Senior, Ramillete, Liso, Pera, Canario, Durina, Dniella และ Remate) (ไม่ได้ระบุตัวทำละลาย และวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศสเปน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS assay (2,2'-Azino-bis (3- ethylbenzothiazoline-6-sulfonic acid) พบว่าค่า TAS (Total Antioxidant Status) มีค่าอยู่ในช่วง 0.58 - 3.50 มิลลิโมล/ล. ซึ่งสายพันธุ์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีสุดคือสายพันธุ์ Pera ตามด้วย Durina และ Dniellaโดยมีค่า TAS เท่ากับ 3.50, 2.91 และ 2.55 มิลลิโมล/ล. ตามลำดับ ซึ่งสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี คือ สาร lycopene, ferulic acid และ caffeic acid (9)
สารสกัดผลมะเขือเทศ 5 สายพันธุ์ (ได้แก่ Red Pear, Snowball, Black Trifele, Yellow Pear และShiren)ด้วยไดคลอโรมีเทน (ไม่ระบุวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอิตาลี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี Trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) assay พบว่าสายพันธุ์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลได้ดีที่สุด คือสายพันธุ์ Shiren มีค่าเท่ากับ706.0 ± 19.3 ไมโครโมลาร์ สมมูลกับ Trolox/100 ก. นน. สด และมีปริมาณสาร lycopene และ β-carotene สูงสุดด้วยเช่นกัน (8)
สารสกัดผลมะเขือเทศ, ส่วนสกัดผลมะเขือเทศด้วยน้ำ และเมทานอล สกัดด้วยวิธีการปั่นจากนั้นนำไปปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่ 5,000 รอบ/นาที นาน 20 นาที ทั้งหมด 3 สายพันธุ์ (ได้แก่ Ronaldo, Siena และ Copo)และความสุกของผลมะเขือเทศ 3 ระดับ คือ ผลสีเขียว ผลสีชมพู และผลสีแดง (ตัวอย่างจากประเทศสเปน)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP assay พบว่าสารสกัดผลมะเขือเทศ, ส่วนสกัดผลมะเขือเทศด้วยน้ำ และเมทานอล ของสายพันธุ์Copo ที่มีผลสีแดง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุด เท่ากับ 1.80 ± 0.06, 1.81 ± 0.09 และ2.10 ± 0.05 มิลลิโมล สมมูลกับ Trolox/กก. นน. สด ตามลำดับ โดยที่ทุกสายพันธุ์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้นจากระยะผลเขียวจนถึงผลแดง และส่วนสกัดผลมะเขือเทศด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งสารที่ออกฤทธิ์คือ สาร lycopene (11)
2.4 ฤทธิ์กันแดด (S008)
ในการผลิตครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัด96% เอทานอลจากผลมะเขือเทศ1% และ 1.5% ในครีมเบส (ความเข้มข้นของสารสกัดผลมะเขือเทศ 0.5%) (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เพื่อทำเป็นครีมทาผิวป้องกันแสงแดด (Sun Protection factor : SPF) เมื่อทดสอบด้วยเครื่องUV-Visspectrophotometer พบว่าครีมทาผิวดังกล่าวมีค่า SPF เท่ากับ 18.84 และ22.24 ตามลำดับ และครีมที่ผลิตได้จะมีอายุการใช้งาน 28 วัน (34)
2.5 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
เมื่อฉีดสารสกัดเอทานอลของผลมะเขือเทศ (ไม่ได้ระบุวิธีการสกัด) ขนาด 100 และ 200 มก./กก. เข้าทางช่องท้อง (ตัวอย่างจากประเทศอินดีย) ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าขวาด้วยสารคาราจีแนน โดยเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารคาราจีแนนเช่นกันแต่ได้รับ diclofenac 10 มก./กก.และสังเกตอาการในชั่วโมงที่ 1 และ 3 หลังการให้สารทดสอบพบว่าสารสกัดเอทานอลของผลมะเขือเทศขนาด 100 และ 200 มก./กก. สามารถยับยั้งการอักเสบและบวม ได้50 และ 70% ในชั่วโมงที่ 1 ตามลำดับ และสามารถยับยั้งการอักเสบและบวม ได้ 25และ 27% ในชั่วโมงที่ 3 ตามลำดับ ในขณะที่ diclofenac สามารถยับยั้งการอักเสบและบวม ได้ 82% ในชั่วโมงที่ 1 และ 3 จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเทานอลผลมะเขือเทศ ขนาด 200 มก./กก. สามารถต้านการอักเสบได้ดีใน 1 ชั่วโมงหลังการศึกษา (35)
เมื่อฉีดสารสกัดน้ำผลมะเขือเทศ ที่เตรียมด้วยการบดคั้นน้ำ(ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ขนาด 50, 100, 200 และ 250 มก./กก. เข้าทางช่องท้อง (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่หลังอุ้งเท้าขวาด้วยอัลบูมินจากไข่ขาว โดยเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยด้วยอัลบูมินจากไข่ขาวเช่นกันแต่ได้รับ aspirin ขนาด100 มก./กก. และสังเกตอาการชั่วโมงที่ 3 หลังการศึกษา พบว่าสารสกัดน้ำผลมะเขือเทศที่ขนาดดังกล่าวสามารถยับยั้งการอักเสบได้ 46.72, 55.12, 62.60 และ 75.83% ตามลำดับในขณะที่ aspirin สามารถยับยั้งการอักเสบได้ 92.68% (30)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน
เมื่อป้อนสารสกัดเมทานอลของใบมะเขือเทศให้หนูแรททางสายยางให้อาหาร ขนาด 5,000 มก./กก. ครั้งเดียว (ตัวอย่างจากประเทศแคมเมอรูน) และสังเกตอาการภายใน 14 วัน พบว่าไม่มีหนูตายระหว่างการศึกษา จากการศึกษาสรุปได้ว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50)มีค่ามากกว่า 5,000 มก./กก. (36)
เมื่อป้อนสารสกัดกากมะเขือเทศแห้ง (ไม่ระบุตัวทำละลายและวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศไทย ไม่ระบุจังหวัด) ขนาด 1,000และ 5,000 มก./กก. ครั้งเดียว ให้กับหนูแรททางปาก และสังเกตอาการภายใน 14 วัน พบว่าไม่มีหนูตายระหว่างการศึกษา และไม่พบการผิดปกติของอวัยวะใดๆ (37)
การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน
การศึกษาในหนูแรททั้งเพศผู้และเมีย จำนวน 32 ตัว แบ่งออกเป็น4 กลุ่ม กลุ่มละ 8 ตัว โดยกลุ่มที่ 1 - 3 ป้อนสารสกัดเมทานอลของใบมะเขือเทศ (ตัวอย่างจากประเทศแคมเมอรูน) ขนาด250, 500 และ 1,000มก./กก. นาน 28 วัน กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มควบคุม ให้น้ำกลั่นแทนสารสกัด หลังการศึกษาพบว่า ไม่มีหนูตาย แต่มีผลลดการกินอาหาร ทำให้น้ำหนักร่างกายลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (36)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
- ครีมที่มีสาร 10% ไลโคปีนจากผลมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ทาบริเวณ หน้าผาก คาง แก้ม รอบริมฝีปาก วันละ 2 ครั้ง เช้า และ กลางคืน นาน 8 สัปดาห์ มีผลทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น (25)
- การรับประทานสารสกัด lycoperoside H ขนาด 200 มก./วัน (ซึ่งมีสาร lycoperoside H1 มก.) มีผลช่วยให้ผิวหน้าบริเวณแก้มมีความยืดหยุ่นดี ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (23)
- การดื่มน้ำมะเขือเทศ 1 กระป๋อง/วัน (1 กระป๋อง ขนาด 160 ก. มีปริมาณสาร lycopene 16 มก.) นาน 6 เดือน สามารถลดการอักเสบของผิวหนังในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการฉายรังสี (26)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
จากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยของมะเขือเทศจะเห็นได้ว่า มะเขือเทศมีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น และอ่อนเยาว์ มีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม และยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กันแดด ทำให้ผิวขาว จะเห็นได้ว่ามะเขือเทศเป็นพืชที่มีศักยภาพในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Solanum lycopersicum L. World Flora Online. A Project of the World Flora Online Consortium. [cited 2021Nov22]. Available from:http://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0001029216.
3. Siemonsma JS, Pilueke K (Eds). Plant Recources of South-East Asia 8: Vegetables. Bogor: PROSEA Foundation; 1994.
4. มะเขือเทศ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย. [cited 2021 Oct 4]. Available from: https://www.disthai.com/17105183/มะเขือเทศ.
5. นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2542.
6. Piscitelli C, Lavorgna M, Isidori M, Russo C, De Prisco R, Abbamondi GR. Antioxidant and antiproliferative activities of different cultivars of tomatoes (Lycopersicon esculentum) on tumoral cell lines. J Adv Biol. 2017;10(2):2061-72.
7. Coyago-Cruza E, Corella M, Morianaa A, Hernanze D, Benítez-Gonzálezb AM, Stinco CM. Antioxidants (carotenoids and phenolics) profile of cherry tomatoes as influenced by deficit irrigation, ripening and cluster. Food Chem. 2018;240:870-84. doi: 10.1016/j.foodchem.2017.08.028.
8. Zanfini A, Franchi GG, Massarelli P, Corbini G, Dreassi E. Phenolic compounds, carotenoids and antioxidant activity in five tomato (Lycopersicon esculentum Mill.) cultivars. Ital J Food Sci. 2017;90-99.
9. Martınez-Valverde I, Periago MJ, Provan G, Chesson A. Phenolic compounds, lycopene and antioxidant activity in commercial varieties of tomato. (Lycopersicon esculentum). J Sci Food Agric. 2002;82:323-30. doi: 10.1002/jsfa.1035.
10. Taveira M, Silva LR, Vale-Silva LA, Pinto E, Valentao P. Lycopersicon esculentum seeds: An industrial byproduct as an antimicrobial agent. J Agric Food Chem. 2010;58:9529-36. doi: 10.1021/jf102215g.
11. Periago MJ, Jarcía-Alonso J, Jacob K, Olivares AB, Bernal MJ, Iniesta MD, et al. Bioactive compounds, folates and antioxidant properties of tomatoes (Lycopersicum esculentum) during vine ripening. Int J Food Sci Nutr. 2009;60(8):694-708. doi: 10.3109/09637480701833457.
12. Cucu T, Huvaere K, Van Den Bergh MA, Vinkx C, Van Loco J. A simple and fast HPLC method to determine lycopene in foods. Food Anal Methods. 2012;5:1221-8. doi: 10.1007/s12161-011-9354-6.
13. Iswari RS, SusantiR.Antioxidant activity from various tomato processing. Biosaintifika. 2016;8(1):127-32. doi: 10.15294/biosaintifika.v8i1.4722.
14. Strazzullo G, De Giulio A, Tommonaro G, Pastina GL, Poli A, Nicolaus B. Antioxidative activity and lycopene and b-carotene contents in different cultivars of tomato (Lycopersicon esculentum). Int J Food Prop. 2007;10:321-9. doi: 10.1080/10942910601052681.
15. Pinela J, Barros L, Carvalho AM, Ferreira ICFR. Nutritional composition and antioxidant activity of four tomato (Lycopersicon esculentum L.) farmer’ varieties in Northeastern Portugal homegardens. Food Chem Toxicol. 2012;50:829-34.doi: 10.1016/j.fct.2011.11.045
16. de Souza AV, de Mello JM, da Silva Favaro VF, da Silva VF, de Lucca Sartori D, Putti FF. Bioactive compounds and antioxidant activity in tomatoes (Lycopersicon esculentum L.) cultivars in natura and after thermal processing. Res Soc Dev. 2020;9(11):e44991110192.doi: 10.33448/rsd-v9i11.10192.
17. Ali MY, Sina AAI, Khandker SS, Neesa L, Tanvir EM, Kabir A, et al. Nutritional composition and bioactive compounds in tomatoes and their impact on human health and disease: A review. Foods. 2021;10(45):1-32. doi :10.3390/foods10010045.
18. Temitope AO, Pamela Elobo AI, Olubunmi ID. Lycopene content in tomatoes (Lycopersicum esculentum Mill.): effect of thermal heat and its health benefits. Fresh Produce. 2009;3(1):40-3.
19. Guil-Guerrero JL, Rebolloso-Fuentes MM. Nutrient composition and antioxidant activity of eight tomato (Lycopersicon esculentum) varieties. J Food Compos Anal. 2009;22:123-9. doi: 10.1016/j.jfca.2008.10.012.
20. Maruyama SA, Claus T, Montanher PF, Bonafé EG, Santos J, O. O.; de Souza, NE. Evaluation of lipophilic antioxidant capacity and lycopene content in Brazilian tomatoes. Rev Virtual Quim. 2015;7(4):1163-73.doi: 10.5935/1984-6835.20150065
21. Giudice RT, Raiola A, Tenore GC, Frusciante L, Barone A, Monti DM, et al. Antioxidant bioactive compounds in tomato fruits at different ripening stages and their effects on normal and cancer cells. J Funct Foods. 2015;18:83-94. doi: 10.1016/j.jff.2015.06.060.
22. Oktoba Z, Moektiwardoyo M, Mustarichie R. Active compound from n-hexane fraction of rampai (Lycopersicon esculentum) leaves ethanol extract. IJPSR. 2019;10(5):2537-44. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.10(5).2537-44.
23. Izumi T, Yamamoto K, Suzuki N, Yamashita S, Iio S, Noguchi H, et al. Tomato seed extract containing lycoperoside H improves skin elasticity in Japanese female subjects: A randomized, placebo-controlled, double-blind trial. J Chem Dermatol Sci Appl. 2021;27:217-36. doi: 10.4236/jcdsa.2021.113019.
24. Ezeanya-Bakpa CC, Adetunji CO, Enosabata IA, Olori E. Lycopene for wound infection: In-vitro susceptibility of drug-resistant clinical pathogens. Trop J Nat Prod Res. 2021;5(1):49-52. doi: 10.26538/tjnpr/v5i1.4.
25. Marchena AM, Franco L, Romero AM, Barriga C, Rodríguez AB. Lycopene and melatonin: antioxidant compounds in cosmetic formulations. Skin Pharmacol Physiol. 2020;33:237-43. doi: 10.1159/000508673.
26. Fukushi Y, Mariya Y, Yamada K, Yoshida K, Sasa A, Saito H, et al. Tomato juice consumption could improve breast skin adverse effects of radiotherapy in breast cancer patients. In Vivo. 2020;34:3013-21. doi:10.21873/invivo.12133.
27. Oktoba Z, Moektiwardoyo M, Mustarichie R. In vivo hair growth stimulating activity of ethanol extract and its fractions from rampai lampung (Lycopersicon esculentum Mill.) leaves. Int Res J Pharm. 2018;9(9):87-92.
28. Prasetyo Djajadihardja AY, Nasihun T, Hussaana A. Effects of topical tomato (Lycopersicon Lycopersicum L.) extract on malondyaldehyde level and the number of melanin in skin caused by ultraviolet-B radiation. Sains Medika. 2019;10(1):40-6.
29. Zia M, Gul S, Akhtar J, Haq I, Abbasi BH, Hussain A, et al. Green synthesis of silver nanoparticles from grape and tomato juices and evaluation of biological activities. IET Nanobiotechnol. 2016. doi: 10.1049/iet-nbt.2015.0099.
30. Omodamiro OD, Amechi U. The phytochemical content, antioxidant, antimicrobial and anti-inflammatory activities of Lycopersicon esculentum (tomato). Asian J Plant Sci Res. 2013;3(5):70-81.
31. Hemathulin S, Techawongstien S. The effecting of varieties on radical scavenging and antioxidant activity of cherry tomato (Lycopersicon esculentum). Khon Kaen Agr J. 2016;44(suppl1):181-5.
32. Dembélé S, N’dri Koffi E, Cissé I, Adima AA, Yao K, Anin Louise AA. Nutritional composition and antioxidant capacity of four tomato varieties (Lycopersiconesculentum Mill) Cultivated in Cote d'Ivoire. Curr Appl Sci Technol. 2019;36(5):1-11. doi: 10.9734/CJAST/2019/v36i530255.
33. Thanuja S, Sivakanthan S, Vasantharuba S. Effect of different cooking methods on antioxidant properties of Tomato (Lycopersicon esculentum). Ceylon J Sci. 2019;48(1):85-90. doi: 10.4038/cjs.v48i1.7592.
34. Sopyan I, Gozali D, Tiassetiana S. Formulation of tomato extracts (Solanum lycopersicum L.) as a sunscreen lotion. Natl J Physiol Pharm. 2018;8(3):453-8. doi: 10.5455/njppp.2017.7.1039921112017.
35. Farhana R, Arul AE, Glory J, Inbaraj SD, Muniappan M. Antinoceciptive and anti-inflammatiory activity of Lycopersicon esculentum (tomato)on different experimental model. J Pharm Biomed Sci. 2012;25:141-6.
36. Nguenang GS, Ntyam ASM, Kuete V. Acute and subacute toxicity profiles of the methanol extract of Lycopersicon esculentum L. leaves (tomato), a botanical with promising in vitro anticancer potential. Evid Based Complement Alternat Med. 2020:10 pp. Article ID 8935897. doi: 10.1155/2020/8935897.
37. Phachonpai W, Muchimapura S, Tong-Un T, Wattanathorn J, Thukhammee W, Thipkaew C. Acute toxicity study of tomato pomace extract in rodent. J Biol Sci. 2013;13(1):28-34. doi: 10.3844/ojbssp.2013.28.34.
P034_(18).xlsx