มะพร้าว
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cocos nucifera L.
ชื่อวงค์
ARECACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะพร้าว
ชื่ออังกฤษ
coconut
ชื่อพ้อง
Calappa nucifera (L.) Kuntze
Palma cocos Mill.
ชื่อท้องถิ่น
ดุง โดง โพล มะแพร้วย่อหมากอุ๋นหมากอูน
ชื่อ INCI
COCOS NUCIFERA OIL
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มะพร้าวมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาแพร่กระจายไปอเมริกา อินเดีย มาดากัสการ์ และแอฟริกา ชาวสเปนเป็นผู้นำไปปลูกยังหมู่เกาะเวสท์อินดีส และทะเลแคริเบียนตอนใต้ ชาวยุโรปนำไปปลูกในประเทศบราซิล และชาวโพลิเนเซียนนำไปยังเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิค แหล่งปลูกและผลิตมะพร้าวที่สำคัญในปัจจุบันอยู่ตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ เม็กซิโก อินเดีย ซีลอน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ในไทยปลูกมากที่จังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช (4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น ลำสูงได้ถึง 25 ม. ต้นตั้งตรง ไม่แตกกิ่ง มีรอยแผลเมื่อก้านใบหลุดออกไป ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับหนาแน่นที่บริเวณยอด ยาว 2–4 ม. ใบย่อยรูปพัดจีบ กว้าง 1.5–5 ซม. ยาว 50–100 ซม. ช่อดอกออกระหว่างก้านใบ ดอกย่อย มีจำนวนมากแยกเพศต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้สีเหลืองหม่น ดอกเพศเมียสีเขียวหรือสีเขียวแกมสีเหลือง ผลสด รูปไข่แกมรูปทรงกลมหรือรูปไข่กลับ สีเขียวหรือสีเขียวแกมสีเหลือง (3)
การเพาะปลูก
สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมควรมีแสงแดด 7 ชม./วันปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1,500 มล./ปี และกระจายสม่ำเสมอ อุณหภูมิที่เหมาะสม 20-27°C
สภาพพื้นที่ มีความสูงไม่เกิน 500 ม. จากระดับน้ำทะเลไม่มีชั้นดินดาน หากมีต้องลึกจากผิวดินมากกว่า 1 ม.
วิธีการปลูกมะพร้าวควรปลูกแบบสามเหลี่ยมด้านเท่าเพราะจะได้จำนวนต้นมากกว่าการปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส 15% ระยะห่างระหว่างแถวในการปลูกแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า เช่นระยะระหว่างต้น 9 ม. ระยะระหว่างแถว 7.8 ม. จำนวน 22 ต้น/ไร่ ระยะระหว่างต้น 8.5 ม. ระยะระหว่างแถว 7.36 ม. จำนวน 25 ต้น/ไร่ควรเริ่มปลูกฤดูฝนหลังจากฝนตกใหญ่แล้วประมาณ 2 ครั้ง โดยนำหน่อมะพร้าววางลงในหลุม เอาดินกลบและเหยียบดินข้าง ๆ ให้แน่น กลบอย่าให้ทับคอหน่อมะพร้าว ทำให้เจริญเติบโตช้า หลังจากปลูกเอาไม้ปักผูกต้นไว้กันลมโยก
การเก็บเกี่ยวผลมะพร้าวมะพร้าวจะเริ่มออกดอกติดผลเมื่อมีอายุ 3-5 ปีแล้วแต่พันธุ์หลังจากการผสมเกสรและติดผลแล้วประมาณ 12 เดือนผลมะพร้าวจึงจะแก่เต็มที่มะพร้าวในทะลายเดียวกันจะแก่ไม่พร้อมกัน การเก็บเกี่ยวมะพร้าวแก่นั้น ผลมะพร้าวจะมีอายุตั้งแต่ติดผลถึงผลแก่ตั้งแต่ 10 เดือนขึ้นไป มะพร้าวแก่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวน้ำภายในผลจะน้อย เมื่อเขย่าจะได้ยินเสียงน้ำคลอน ผลมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือเขียวอมเหลืองขึ้นอยู่กับพันธุ์มะพร้าวที่ปลูก (55, 56)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
น้ำมันมะพร้าว ใช้ทาตัวแก้ผิวหนังแห้งแตกเป็นขุย ทาแผลที่เกิดจากความเย็นจัดหรือร้อนจัด (5) แก้รังแค รักษาฝ่ามือแห้งแตก รักษาแผลเป็น (6)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
กรดไขมันชนิดอิ่มตัว (saturated fatty acid) ได้แก่ capric acid (7-11), caproic acid (10, 12), caprylic acid (7-12), lauric acid (7-16), myristic acid (7-12, 16), palmitic acid (7-12,15, 16), stearic acid (7-12, 15)
กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid) ได้แก่ linoleic acid, oleic acid (7-12, 16)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ caffeic acid (17, 18), ferulic acid (17, 18), gallic acid (18), p-coumaric acid (17), p-hydroxybenzoic acid, syringic acid (18)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ catechin (17, 18), epicatechin, epigallo-catechin (18)
กรดไขมันชนิดอิ่มตัว (saturated fatty acid)
กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์บำรุงเส้นผม ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (19-22)
- สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวชุ่มชื้น/ทำให้ผิวนุ่ม ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (11, 23-29)
- สารออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (30-32)
- สารออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์และเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (33-42)
- สารออกฤทธิ์ต้านสิว ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (43-45), lauric acid (13, 14)
- สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (46)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (8, 46-48)
- สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (29, 46)
- สารออกฤทธิ์ป้องกันแสงแดด ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (9, 49, 50)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว (7, 11, 29, 51)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 กรดไขมัน : วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ Gas chromatography (GC) (10) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์มีดังนี้
column : SGE forte BPX 70 capillary column (30 ม.x0.32 มม., 0.25 μ)
oven temperature : เริ่มต้นอุณหภูมิที่ 80 oC คงที่ 2 นาที, เพิ่มอุณหภูมิจาก 80 oC ถึง 130 oC ด้วยอัตรา 45 oC/นาที คงที่10นาที, เพิ่มอุณหภูมิจาก130oC ถึง 172oC ด้วยอัตรา2 oC/นาทีและคงที่ 6 นาที
carrier gas : ฮีเลียม, อัตราการไหล เท่ากับ 20 มล./นาที
detector : flame ionization detector (FID), อุณหภูมิ 250 oC
injector temperature : 200 oC
2 สารประกอบฟีนอลิก: วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ High-pressure liquid chromatography (HPLC) (8) สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ
column : Phenomenex C18 (250×4.6 มม., 5 μ), อุณหภูมิคอลัมน์ 30 oC
mobile phase : ระบบgradient ระหว่างตัวทำละลายA คือเมทานอล:กรดอะซีติก:น้ำ (10:2:88) และตัวทำละลาย B คือ เมทานอล:กรดอะซีติก:น้ำ (90:2:8) โดยโปรแกรมคือ 0-15นาที(15% B), 16-20นาที (50% B), 21-35นาที (70% B), 36-50 นาที (100% B)
flow rate : 1 มล./นาที
detector : diode array detector ที่ความยาวคลื่น 280 นาโนเมตร
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 บำรุงเส้นผม (H002)
การศึกษาในอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 60 รายอายุ 20-30 ปีโดยแบ่งเป็น กลุ่มที่ทาผมด้วยน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) ทุกวันก่อนสระผมเป็นเวลา16สัปดาห์และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ทาน้ำมันมะพร้าวหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆประเมินผลโดยทำการวัดค่าhair breakage index (HBI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดผมเสียที่เกิดการแตกหักเนื่องจากการสระและหวีผม (ค่า HBI สูงแสดงว่ามีผมเสียมาก)และวัดค่า break stress ซึ่งแสดงถึงความแข็งแรงของเส้นผม ที่เวลาเริ่มต้น (baseline) และสิ้นสุดการทดลองพบว่ากลุ่มที่ทาผมด้วยน้ำมันมะพร้าวจะมีค่า HBI ลดลงและมี break stress เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกลุ่มควบคุมแสดงว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลในการป้องกันผมเสียจากการแตกหักได้ (19)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวชุ่มชื้น/ทำให้ผิวนุ่ม (S004)
การศึกษาในทารกที่คลอดก่อนกำหนดซึ่งมีน้ำหนักตัวน้อยจำนวน 74 ราย แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาผิวด้วยน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) โดยไม่ต้องนวด ครั้งละ 4 มล. วันละ 2 ครั้ง เริ่มตั้งแต่หลังคลอด 12 ชม. เป็นเวลา 7 วัน และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ทาน้ำมัน ทำการวัดการสูญเสียนํ้าทางผิวหนัง (trans-epidermal water loss) ตรวจสภาพผิว และเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง พบว่ากลุ่มที่ทาน้ำมันมะพร้าวจะมีการสูญเสียน้ำทางผิวหนังลดลง สภาพของผิวดีขึ้น และจำนวนเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (23)
การศึกษาผลของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (virgin coconut oil) (ตัวอย่างจากบริษัท Nature Pacific, ประเทศออสเตรเลีย) ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด (อายุครรภ์น้อยกว่า 30 สัปดาห์)จำนวน 72 ราย โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาผิวด้วยน้ำมันมะพร้าว โดยไม่ต้องนวดครั้งละ 5 มล. วันละ 2 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ภายใน 24 ชม. ที่เกิด เป็นเวลา 21 วัน โดยยกเว้นผิวบริเวณใบหน้า หนังศีรษะ และบริเวณที่ใส่สายสวนหรือท่อ และกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับการดูแลตามมาตรฐานการดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ และไม่ได้ทาน้ำมันประเมินผลสภาพผิวโดยใช้แบบประเมินNeonatal Skin Condition Scale (NSCS) พบว่าน้ำมันมีผลทำให้สภาพผิวของทารกที่คลอดก่อนกำหนดดีขึ้น และไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ทาน้ำมัน (24)
การศึกษาผลของน้ำมันมะพร้าว(ตัวอย่างจากบริษัท Natures Blessings, ประเทศฟิลิปปินส์) ในผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง(atopic dermatitis) ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงระดับปานกลางจำนวน 117 รายอายุ 1-13 ปี เปรียบเทียบกับน้ำมันแร่ (mineral oil) ซึ่งนิยมใช้เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวในผลิตภัณฑ์โดยให้ทาผิวทั่วร่างกาย ยกเว้นบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อม, ขาหนีบและหนังศีรษะ ครั้งละ 5 มล. วันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำ และตอนกลางคืน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ประเมินผลความรุนแรงของโรคจากตัวชี้วัด scoring atopic dermatitis (SCORAD), การสูญเสียนํ้าทางผิวหนังและวัดค่าความจุไฟฟ้าของน้ำที่ผิวหนัง (skin capacitance) (แสดงถึงระดับน้ำหรือความชื้นที่อยู่ที่ผิวหนัง ถ้ามีค่าสูงแสดงว่าผิวมีปริมาณน้ำมากและมีความชุ่มชื้นสูง) พบว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง 68.23% เมื่อเทียบกับเวลาเริ่มต้น ขณะที่น้ำมันแร่ลดลงได้ 38.13% น้ำมันมะพร้าวทำให้ลดการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง และเพิ่มค่าความจุไฟฟ้าของน้ำที่ผิวหนังได้ดีกว่าน้ำมันแร่ แสดงว่าการทาผิวด้วยน้ำมันมะพร้าวมีผลช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวของผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ดีกว่าน้ำมันแร่ (25)
การศึกษาในผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง จำนวน52ราย อายุ 18-40 ปี ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) และกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำมันมะกอกฝรั่ง โดยให้ทาน้ำมัน ครั้งละ 5 มล. แล้วนวดเบาๆ ให้ทั่วบริเวณผิว วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำมันทั้ง 2 ชนิด มีผลลดจำนวนของเชื้อ Staphylococcusaureusที่ผิวหนัง และลดความรุนแรงของโรคได้(ประเมินจากคะแนน SCORAD) เมื่อเทียบกับเวลาเริ่มต้น แต่น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะให้ผลดีกว่าน้ำมันมะกอกฝรั่ง (26)
การศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เปรียบเทียบกับน้ำมันแร่ในผู้สูงอายุที่มีผิวหนังแห้งคันแบบเล็กน้อยถึงปานกลาง (mild to moderatexerosis) บริเวณขา จำนวน 148 คน อายุเฉลี่ย 68 ปี โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ทาน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากบริษัท Peter Paul, ประเทศฟิลิปปินส์) และกลุ่มที่ทาน้ำมันแร่ โดยให้ทาน้ำมัน ปริมาณ 8 fingertips unit/ขาวันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำและก่อนนอน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์และน้ำมันแร่มีผลทำให้อาการผิวแห้งดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นและเพิ่มไขมันที่ผิวโดยน้ำมันมะพร้าวจะให้ผลในการรักษาได้ดีกว่าน้ำมันแร่ และไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย (27)
การศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 60 ราย อายุ 18-60 ปี โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุมซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ (70% เอทานอล) 6 ครั้ง/วัน และกลุ่มทดสอบซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ6 ครั้ง/วัน และให้ทามือด้วยน้ำมันมะพร้าว (Coco SoulTM, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) 4-8 หยด ก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 15 วัน ประเมินผลด้วยแบบประเมิน WHO Self-Assessment Scaleพบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีผลปกป้องผิวที่ถูกทำลายจากการใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือได้ โดยทำให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ปกป้องผิวได้ยาวนาน และมีความปลอดภัยในการใช้ (28)
2.2 รักษาแผล (S015)
มีรายงานผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ระดับ 2 จำนวน 10 ราย อายุ 9 เดือน-41 ปี ซึ่งได้รับการรักษาตามมาตรฐานทั่วไปของโรงพยาบาลในการรักษาแผลไฟไหม้ แต่มีใช้น้ำมันมะพร้าวในการทาแผลแทนครีมซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน 1% ผลปรากฏว่าแผลหายเร็วใกล้เคียงกับการใช้ครีมซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน 1% แต่สามารถลดความเจ็บปวดจากการทำแผลได้มากกว่า ลดจำนวนครั้งในการล้างแผล และลดการสูญเสียน้ำหรือของเหลวที่ซึมออกทางแผล น้ำมันมะพร้าวมีความเหนียวเหนอะหนะน้อยกว่า ไม่มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำแผลได้ด้วยตนเองที่บ้านหลังจากออกจากโรงพยาบาล และมีราคาถูกกว่าครีมซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน 1% (30)
3 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1 น้ำยาบ้วนปาก (L001)
3.1.1 ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์
การศึกษาประสิทธิภาพในการยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ (plaque) ของน้ำมันมะพร้าว(Maxcare® edible coconut oil,ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) โดยทดสอบในนักศึกษาทันตแพทย์ จำนวน 40 ราย อายุ 18-22 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่อมกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวแบบวิธีoil pulling และกลุ่มควบคุมที่กลั้วปากด้วยน้ำแร่ โดยกลั้วปากครั้งละ 10-15 มล. นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า เป็นเวลา 7 วัน ประเมินผลดัชนีคราบจุลินทรีย์(plaque index) ในวันที่ 0, 3 และ 7พบว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลยับยั้งคราบจุลินทรีย์ได้ โดยสามารถลดคะแนนคราบจุลินทรีย์ (plaque scores) ได้ 28.87±14.07% เมื่อวัดที่วันที่ 7 ของการศึกษา ขณะที่กลุ่มควบคุมลดได้ 13.79±13.38% (33)
การศึกษาเปรียบเทียบผลในการยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ของการอมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันงา (ตัวอย่างจากบริษัท Oneva, Neva, ประเทศตุรกี) ในอาสาสมัคร จำนวน 24 คน อายุ 19-39 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันงาสกัดเย็น และกลุ่มให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น โดยกลั้วปากครั้งละ 10 มล. นาน 15-20 นาที วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 4 วัน หลังจากนั้นทำการสลับกลุ่มทดสอบ โดยมีช่วงหยุดพัก (wash out) 14 วัน ประเมิน ผลจากตัวชี้วัด ได้แก่ ดัชนีคราบจุลินทรีย์, ดัชนีสภาพเหงือก (gingival index, GI), ดัชนีคราบสีของฟัน (stain index, SI) และการมีเลือดออกภายหลังใช้เครื่องมือตรวจปริทันต์ (bleeding on probing, BOP) พบว่าการอมกลั้วปากด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว สามารถยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ และขจัดคราบสีของฟันได้ไม่แตกต่างกัน (34)
การศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 29 ราย อายุ 18-52 ปีซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ครั้งละ 10 มล. นาน 15-20 นาที วันละ 2 ครั้ง และกลุ่มให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidinegluconate0.2% ครั้งละ 10 มล. นาน 30วินาที วันละ 2 ครั้ง โดยกลั้วปากหลังอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 4 วัน หลังจากนั้นทำการสลับกลุ่มทดสอบ โดยมีช่วงหยุดพัก 14 วัน พบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้ไม่แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate (ค่า PI เท่ากับ 1.67±0.24และ 1.61±0.20 ตามลำดับ) แต่ลดคราบสีของฟันได้มากกว่า (SI เท่ากับ 0.21±0.13 และ 0.47±0.27 ตามลำดับ) (35)
การศึกษาในผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบที่เกิดจากคราบจุลินทรีย์จำนวน 20 ราย อายุ 18-35 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ในรูปของน้ำยาบ้วนปาก (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ปริมาณ 10 มล. นาน 5-10 นาที หลังแปรงฟันและก่อนนอน เป็นเวลา 30 วัน และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้น้ำยาบ้วนปาก พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีผลลดการเกิดคราบจุลินทรีย์และเหงือกอักเสบในผู้ป่วยได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย โดยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สามารถลดค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีการมีเลือดออก (bleeding index) ได้ 66.72% และ 85.07%ตามลำดับ ขณะที่ในกลุ่มควบคุมลดได้ 46.01% และ 51.64% ตามลำดับ (36)
การเปรียบเทียบผลของน้ำมันมะพร้าวและน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.12% ในผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบที่เกิดจากคราบจุลินทรีย์ จำนวน 30 ราย อายุ 18-25 ปี โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าว(ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด)ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ จนกระทั่งน้ำมันมีลักษณะหนืดจึงบ้วนทิ้ง โดยอมกลั้วปากก่อนแปรงฟันในตอนเช้า ทุกวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และกลุ่มที่ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.12% ปริมาณ 15 มล. นาน 30 วินาที วันละ 2 ครั้งพบว่าน้ำมันมะพร้าวมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.12% ในการช่วยลดการเกิดคราบจุลินทรีย์และลดเหงือกอักเสบ (37)
การศึกษาในผู้ที่ใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่น จำนวน 40 ราย โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มทดสอบที่ให้บ้วนปากด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ความเข้มข้น 12.5% (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด)และกลุ่มควบคุมที่ให้บ้วนปากด้วยน้ำกลั่น โดยบ้วนปาก ครั้งละ 15 มล. นาน 30 วินาที วันละ 2 ครั้ง หลังการแปรงฟันในตอนเช้า และตอนกลางคืนก่อนนอน เป็นเวลา 4 วัน พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีผลลดดัชนีคราบจุลินทรีย์ในผู้ที่ใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่นได้ (38)
3.1.2 ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
การศึกษาผลของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ต่อการลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด และ Streptococcus mutans ในน้ำลาย เปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% โดยทดสอบในนักศึกษาทันตแพทย์ จำนวน 40 รายอายุ 18-25 ปี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองที่ให้กลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Coco Delight®, lot: NP580021, ตัวอย่างจากองค์การเภสัชกรรม) ปริมาณ 15 มล. นาน 10 นาที ในเวลากลางคืนหลังจากการแปรงฟัน และกลุ่มควบคุมที่ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ปริมาณ 15 มล. นาน 1 นาที วันละ 2 ครั้ง หลังมื้ออาหาร ทำการทดสอบเป็นเวลา 14 วัน แปรงฟันตามถนัดและไม่มีการสอนวิธีการดูแลอนามัยช่องปากเพิ่มเติม ประเมินผลโดยตรวจในช่องปากและเก็บน้ำลาย ณ วันแรก และเมื่อใช้น้ำยาบ้วนปาก 14 วัน พบว่ามีอาสาสมัคร 35 ราย ใช้น้ำยาบ้วนปากครบตามระยะเวลา ซึ่งน้ำมันมะพร้าวสามารถลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด และ S. mutans ในน้ำลายได้ไม่แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในงานทันตกรรมป้องกันสำหรับใช้ดูแลอนามัยช่องปากได้ (39)
การศึกษาผลต่อปริมาณเชื้อ S. mutans ในน้ำลายของน้ำมันมะพร้าวเปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปากchlorhexidine ในอาสาสมัคร จำนวน 60 รายอายุ 18-22 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ปริมาณ 10มล. นาน 10 นาที, กลุ่มที่ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine (Rexidine®, ประเทศอินเดีย) ปริมาณ 5 มล. นาน 1 นาที และกลุ่มควบคุมซึ่งให้กลั้วปากด้วยน้ำกลั่น 5 มล. นาน 1 นาที ในตอนเช้าก่อนแปรงฟัน ทำการทดสอบเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine มีผลลดปริมาณของเชื้อ S. mutansในน้ำลายได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine สามารถลดปริมาณของเชื้อได้มากกว่าน้ำมันมะพร้าว (40)
การศึกษาผลของน้ำมันมะพร้าวในการลดปริมาณของเชื้อ S. mutans ในน้ำลาย ทดสอบในอาสาสมัคร จำนวน 30 ราย อายุ 20-23 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่อมกลั้วปากแบบoil pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง, สกัดน้ำมันจากเนื้อมะพร้าวแห้งโดยใช้เครื่องบีบอัด), กลุ่มที่อมกลั้วปากด้วยน้ำมันงา (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) และกลุ่มควบคุมที่อมกลั้วปากด้วยน้ำเกลือ ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (10 มล.) นาน 10-15 นาที ในตอนเช้าขณะที่ท้องว่าง ประเมินผลโดยเก็บน้ำลายก่อนและหลังการอมกลั้วปากด้วยน้ำมัน พบว่าน้ำมันมะพร้าวมีประสิทธิภาพเท่าเทียมกับน้ำมันงาในการลดปริมาณของเชื้อ S. mutans ในน้ำลาย เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (41)
เมื่อให้ผู้ที่ใส่ครอบฟันเซรามิคที่มีโลหะเป็นโครงสร้างภายใน (porcelain fused to metal crown) จำนวน 23 ราย กลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ความเข้มข้น 12.5% (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ครั้งละ 30 มล. นาน 1 นาที วันละ2 ครั้งหลังการแปรงฟันในตอนเช้า และตอนกลางคืนก่อนนอน เป็นเวลา 4 วัน พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีผลปริมาณของเชื้อแบคทีเรีย Porphyromonas gingivalis และ Treponema denticola บริเวณขอบของครอบฟันได้ (42)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 บำรุงเส้นผม (H002)
การทดสอบฤทธิ์ป้องกันผมเสียของน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) เปรียบเทียบกับน้ำมันทานตะวันและน้ำมันแร่ (mineral oil) โดยทดสอบกับตัวอย่างเส้นผมที่เป็นผมปกติและผมที่ถูกทำให้เกิดการเสียหายด้วยสภาวะต่างๆได้แก่การทำสีผมการแช่ในน้ำร้อนและการตากแดดโดยทาน้ำมันในปริมาณ 0.2 มล. ลงบนผมทิ้งไว้อย่างน้อย 14 ชม. หลังจากนั้นนำไปสระและหวีผมด้วยหวีไนลอนทำการวัดการสูญเสียโปรตีนในเส้นผมก่อนสระกับหลังสระเปรียบเทียบผลกับตัวอย่างเส้นผมที่ไม่ได้ใส่น้ำมันพบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถลดการสูญเสียโปรตีนในเส้นผมทั้งเส้นผมปกติและผมแห้งเสีย เมื่อใช้ก่อนสระและหลังสระได้ขณะที่น้ำมันทานตะวันและน้ำมันแร่ไม่มีผลทั้งนี้อาจเป็นเพราะlauric acid ในน้ำมันมะพร้าวมีความสามารถในการจับตัวกับโปรตีนในเส้นผมสูงเนื่องจากมีน้ำหนักโมเลกุลต่ำและโครงสร้างทางเคมีเป็นสายตรงจึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่ภายในเส้นผมได้ดีกว่าน้ำมันอีก 2 ชนิด (20)
การเปรียบเทียบผลของน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) น้ำมันสะเดาและน้ำมันมัสตาร์ดในการลดการสูญเสียโปรตีนในเส้นผมที่เกิดจากถูกทำลายด้วยการสระการกัดสีผมและการยืดผม ทดสอบในตัวอย่างเส้นผม โดยให้ทาน้ำมัน (ไม่ระบุปริมาณที่ใช้) ก่อนการทำให้ผมเกิดการเสียหายด้วยการสระ 15 ครั้งการกัดสีผมด้วย hydrogen peroxide 6% และการยืดผมด้วย sodium hydroxide 3% พบว่าน้ำมันทั้ง 3 ชนิด มีผลลดการสูญเสียโปรตีนในเส้นผมได้ เมื่อเทียบกับเส้นผมที่ไม่ได้ทาน้ำมัน โดยน้ำมันสะเดาให้ผลดีที่สุดรองลงมาคือน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมัสตาร์ด (21)
การทดสอบในตัวอย่างเส้นผมของตำรับอีมัลชันชนิดที่ไม่ต้องล้างออก (leave-on emulsion) ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว ความเข้มข้น 0.5% และ 1% (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) พบว่ามีผลในการป้องกันผมชี้ฟูได้ โดยอีมัลชันซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว 1% จะให้ผลดีที่สุด (22)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ต้านสิว (F006)
สารสกัดจากเนื้อมะพร้าว (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เตรียมโดยการแช่สกัดใน 96% เอทานอล เป็นเวลา 1 วัน ทำการสกัดซ้ำ 3 รอบ จากนั้นตั้งทิ้งให้ตกตะกอน แยกเอาเฉพาะชั้นน้ำมัน และทำการระเหยตัวทำละลายที่เหลืออยู่ในน้ำมันด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่ความเข้มข้น 1%, 2.5% และ 5% มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Propionibacterium acnes ซึ่งทำให้เกิดสิวได้ โดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 6.2, 6.5 และ 8.2 มม. ตามลำดับ ขณะที่สาร benzoyl peroxide ความเข้มข้น 2.5% ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก มีค่าของโซนใส เท่ากับ 6.2 มม. เมื่อนำสารสกัดความเข้มข้น 1% และ 5% มาเป็นส่วนผสมในเจลมาสก์หน้าแบบลอกออก (peel-off emulgel mask) พบว่ามีผลในการต้านเชื้อP. acnes ได้เช่นกัน โดยตำรับเจลมาสก์หน้าที่มีส่วนผสมของสารสกัดมะพร้าว 5% และสารสร้างเนื้อเจล carbomer 940 1% จะให้ผลดีที่สุด มีค่าของโซนใส เท่ากับ 11.68 ±0.30 มม. และดีกว่าสาร benzoyl peroxide (ค่าของโซนใส 9.55±0.25 มม.) (43)
การทดสอบฤทธิ์ของตำรับเจลมาสก์หน้าแบบลอกออกที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 20% และ 30% (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เตรียมโดยนำเนื้อมะพร้าวมาคั้นน้ำกะทิ จากนั้นแยกเอาชั้นไขมันซึ่งอยู่ด้านบนมาปั่นแยกส่วนด้วยเครื่อง centrifuge ที่อัตราเร็ว 2500 รอบ/นาที เป็นเวลา 60 นาที ทำการแยกชั้นน้ำมันซึ่งอยู่ด้านบนมาทดสอบพบว่ามีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ P. acnes ได้ โดยมีค่าของโซนใส 10.77±0.03-12.0±0.16 มม. (44)
การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (PalemMustika®, ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยเอนไซม์ liapse (hydrolyzed virgin coconut oil) ความเข้มข้น 3.125%, 6.25%, 12.5%, 25% และ 50% พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยเอนไซม์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อ P. acnes และ methicillin-resistant S. aureus (MRSA) ได้ ขณะที่น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ไม่มีผล โดยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิสด้วยเอนไซม์ที่ความเข้มข้น 50% จะให้ผลดีที่สุด มีค่าของโซนใสต่อเชื้อ P. acnesและ MRSA เท่ากับ 10.88±0.15 และ 10.20±0.14 มม. ตามลำดับ (45)
การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันมะพร้าว (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย)เตรียมโดยนำเนื้อมะพร้าวสดขูดมาคั้นน้ำกะทิ จากนั้นนำมาหมักเป็นเวลา 48 ชม. ภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจน (anaerobic condition) ทำการแยกชั้นน้ำมันออกจากชั้นน้ำ ทำให้ร้อนเล็กน้อยเพื่อขจัดความชื้นที่เหลืออยู่ในน้ำมันและนำไปกรองและสาร lauric acid ซึ่งแยกได้จากน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีการแช่แข็งที่อุณหภูมิ 25.1 oC พบว่าน้ำมันมะพร้าวความเข้มข้น 30-100% ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ขณะที่ lauric acid สามารถต้านเชื้อ S. aureus ได้ โดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 10.50 มม. (14)
สารlauric acid ซึ่งแยกได้จากน้ำมันมะพร้าว (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) ความเข้มข้น 5%, 10%, 15% และ 20% (v/v) มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus โดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 25, 28, 37 และ 40 มม. ตามลำดับ โดย lauric acid ที่ความเข้มข้น 15% และ 20% จะมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับยา ciprofloxacin ความเข้มข้น 0.5% ซึ่งมีค่าของโซนใส เท่ากับ 30 มม. (13)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากประเทศไทย) เตรียมโดยสกัดแยกน้ำกะทิจากเนื้อผลด้วยวิธีการสกัดเย็น(cold pressed) จากนั้นนำน้ำกะทิมาปั่นแยกส่วนด้วยเครื่อง centrifuge อัตราเร็ว 5,000รอบ/นาที ที่อุณหภูมิ 30 oC เป็นเวลา 30 นาที ความเข้มข้น 300-1,500 มก./มล. พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้โดยมีค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 761.89±18.85 มก./มล. แต่ฤทธิ์ตํ่ากว่าเมื่อเทียบกับกรดโคจิก (kojic acid) ที่มีค่า IC50 0.39±0.01 มก./มล. (46)
3.2 ทำให้ผิวชุ่มชื้น (S004)
การทดสอบในเซลล์ human keratinocyte (HaCaT) พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจาก Central Plantation Crops Research Institute, ประเทศอินเดีย) มีฤทธิ์เพิ่มปริมาณของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับความชุ่มชื้นของผิว ได้แก่ involucrin และ filaggrin ได้ โดยน้ำมันมะพร้าว ความเข้มข้น 100 และ 200 มคก./มล. มีผลเพิ่มปริมาณของ involucrin ได้ 32.36±2.3%และ 47.53±2.1% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสาร kinetin ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ ที่เพิ่มปริมาณ involucrin ได้ 62.44±2.6% และน้ำมันมะพร้าว ความเข้มข้น 50 และ 100 มคก./มล.มีผลเพิ่มปริมาณของ filaggrin ได้ 27.95±2.3% และ 40.45±1.2%ตามลำดับ ขณะที่สาร kinetin ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ สามารถเพิ่มได้ 53.72±3.1% นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มการแสดงออกของยีนของ aquaporin-3, involucrin และ filaggrin (11)
สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (cultured coconut extract, CCE) (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) ซึ่งได้จากการหมักบ่มน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีการธรรมชาติ เป็นเวลา 24 ชม. จากนั้นนำไปปั่นแยกด้วยเครื่อง centrifuge ทำการกรอง และนำไปใส่ในอาหารเลี้ยงเชื้อความเข้มข้น 1% และ 5% มีฤทธิ์เพิ่มปริมาณและเพิ่มแสดงออกของ loricrin, involucrin และ filaggrin เมื่อทดสอบในเซลล์ผิวหนังที่แยกได้จากเนื้อเยื่อผิวหนังของคน โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 5% จะให้ผลดีที่สุด (29)
3.3 ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากประเทศไทย) เตรียมโดยสกัดแยกน้ำกะทิจากเนื้อผลด้วยการบีบเย็น(cold press) จากนั้นนำน้ำกะทิมาปั่นแยกส่วนด้วยเครื่อง centrifuge อัตราเร็ว 5,000รอบ/นาที ที่อุณหภูมิ 30 oC เป็นเวลา 30 นาที ทดสอบด้วยวิธี 2,2′-azinobis-(-ethyl-benzthiazoline-6-sulfonic acid) (ABTS), 1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl radical scavenging (DPPH) และ superoxide anion scavenging พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ในการทดสอบทั้ง 3 วิธี โดยมีค่า IC50เท่ากับ 1.39±0.01, 78.16±0.60 และ 27.43±0.37มก./มล. ตามลำดับ (46)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์(ไม่ระบุวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่าความเข้มข้นของสารที่ทำให้จำนวนของอนุมูลอิสระลดลงครึ่งหนึ่ง (EC50) เท่ากับ 44.7±2.0 ppm (47)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำมันมะพร้าว (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เตรียมโดยละลายน้ำมันมะพร้าวที่ไม่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ (unrefined coconut oil) ด้วยเฮกเซน จากนั้นนำสารสกัดเฮกเซนมาสกัดต่อด้วย 60% เมทานอล พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH (IC50 229.76 มคก./มล.), ABTS (IC50 51.75 มคก./มล.), superoxide radical scavenging และ nitric oxide radical scavenging (IC50 11.14 มคก./มล.) ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัดน้ำมันมะพร้าว เท่ากับ 1.8 มก. สมมูลของgallic acid (gallic acid equivalence, GAE)/100 ก.(8)
น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการสกัดด้วยวิธีการสกัดต่างๆ ได้แก่ การสกัดด้วยความเย็นและใช้เครื่องเหวี่ยง (chilling and centrifugation), การสกัดด้วยวิธีการหมัก(fermentation) และการสกัดโดยใช้เครื่องบีบแบบสกรู (direct micro expelling) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยค่า IC50ของน้ำมันมะพร้าวอยู่ระหว่าง 7.49-104.52 มก./มล. และมีปริมาณของสารฟีนอลิกรวม อยู่ระหว่าง 1.16-12.54 มก. GAE/ก.น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการหมักจะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระ (IC507.49 มก./มล.) และมีปริมาณสารฟีนอลิกรวมสูงสุด (12.54±0.96มก. GAE/ก.) (48)
3.4 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (S007)
การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์collagenaseของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์(ตัวอย่างจากประเทศไทย) เตรียมโดยสกัดแยกน้ำกะทิจากเนื้อผลด้วยวิธีการสกัดเย็น(cold pressed) จากนั้นนำน้ำกะทิมาปั่นแยกส่วนด้วยเครื่อง centrifuge อัตราเร็ว 5,000 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิ 30 oC เป็นเวลา 30 นาที ความเข้มข้น 100, 300 และ 600 มก./มล. พบว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ collagenase ได้ 9.51±1.03%, 23.99±1.02% และ 47.47±0.89% ตามลำดับ และมีค่า IC50 เท่ากับ 625.93±11.62 มก./มล. แต่ฤทธิ์ตํ่ากว่าเมื่อเทียบกับสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่มีค่า IC50 0.015±0.004 มก./มล. (46)
สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (cultured coconut extract, CCE) (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) ซึ่งได้จากการหมักบ่มน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีการธรรมชาติ เป็นเวลา 24 ชม. จากนั้นนำไปปั่นแยกด้วยเครื่อง centrifuge ทำการกรอง และนำไปใส่ในอาหารเลี้ยงเชื้อความเข้มข้น 0.1-1% มีฤทธิ์เพิ่มการแสดงออกของคอลลาเจน III และเอนไซม์ hyaluronan synthase-3 ได้ เมื่อทดสอบในเซลล์primary human dermal fibroblasts และการทดสอบในเซลล์ผิวหนังที่แยกได้จากเนื้อเยื่อผิวหนังของคน พบว่าสารสกัด CCE ความเข้มข้น 1% และ 5%มีผลเพิ่มปริมาณและเพิ่มแสดงออกของคอลลาเจนI และ III ในเซลล์โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 5% จะให้ผลดีที่สุด (29)
3.5 ป้องกันแสงแดด (S008)
การทดสอบฤทธิ์ป้องกันแสงแดดของน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ความเข้มข้น 0.1%(v/v) โดยการวัดค่า sun protection factor (SPF) ด้วยเครื่อง UV-Visible spectrophoto-meter พบว่ามีค่า SPF เท่ากับ 7.119 (49)
น้ำมันมะพร้าว (Eldia Pure™, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 0.05-1% (v/v) มีค่า SPF เท่ากับ 0.48-1.36 ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสารป้องกันแสงแดด benzophenone 3, octocrylene และ ethylhexyl salicylate ความเข้มข้น0.05-1% (v/v) ที่มีค่า SPF เท่ากับ 20.23-21.28, 20.87-21.00 และ 20.48-20.79 ตามลำดับ(9)
การทดสอบฤทธิ์ป้องกันรังสี UV ของครีมซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ความเข้มข้น 10%, 18% และ 26% (w/w) ด้วยเครื่องUV spectrophotometer พบว่าครีมน้ำมันมะพร้าวมีผลในการป้องกันรังสีในช่วง UV-C ได้ ขณะที่ครีมซึ่งมีส่วนผสมของไททาเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) ความเข้มข้น 5%, 10% และ 15% (w/w) มีผลป้องกันรังสีในช่วง UV-C ถึง UV-A และครีมซึ่งมีส่วนผสมของbenzophenone-3 ความเข้มข้น 0.5%, 1% และ 1.5% (w/w) มีผลป้องกันรังสีในช่วง UV-B ถึง UV-A (50)
3.6 ต้านการอักเสบ (S014)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ human monocytes (THP-1) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสาร lipopolysaccharide (LPS) ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากCentral Plantation Crops Research Institute, ประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 100 และ 200 มคก./มล. พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ได้แก่ tumor necrosis factor (TNF)-alpha, interferon (IFN)-gamma, interleukine (IL)-6, IL-8และ IL-5 ได้ โดยน้ำมันมะพร้าวที่ความเข้มข้น 200 มคก./มล. สามารถยับยั้ง TNF)-alpha, IFN)-gamma, IL-6, IL-8 และ IL-5 ได้ 62.34±3.2%, 42.66±2.9%, 52.07±2.0%, 53.98±1.8%และ 51.57±2.6%ตามลำดับ ขณะที่dexamethasone ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวก มีผลยับยั้งได้ 76.78±2.8%, 64.16±2.2%, 64.62±2.5%, 70.26±1.9% และ66.80±2.8%ตามลำดับ (11)
สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (cultured coconut extract, CCE) (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) ซึ่งได้จากการหมักบ่มน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีการธรรมชาติ เป็นเวลา 24 ชม. จากนั้นนำไปปั่นแยกด้วยเครื่อง centrifuge ทำการกรอง และนำไปใส่ในอาหารเลี้ยงเซลล์ความเข้มข้น 1%, 5% และ 10% มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบในเซลล์ primary human dermal fibroblasts (HDFs) ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยรังสี UVB โดยลดการแสดงออกของ TNF-alpha และการทดสอบในเซลล์ผิวหนังที่แยกได้จากเนื้อเยื่อผิวหนังของคนที่ถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB พบว่าสารสกัด CCE ความเข้มข้น 5%มีฤทธิ์ลดการแสดงออกของ nuclear factor (NF)-kappaB และเอนไซม์ cyclooxygenase (COX)-2 ได้ (29)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจาก จ.เชียงราย, voucher specimen: QBG 29961) เตรียมโดยการคั้นน้ำกะทิจากผลสด จากนั้นนำไปหมัก เป็นเวลา 48 ชม. ทำการแยกชั้นน้ำมันออกจากน้ำกะทิ และนำน้ำมันที่ได้มากรอง ทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่ใบหูด้วยethyl phenylpropiolate โดยทาน้ำมันมะพร้าว ขนาด 1, 2และ4 มก./20 มคล./หูก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ พบว่าน้ำมันมะพร้าวขนาด 2 และ 4 มก./20 มคล./หู มีผลลดการบวมของหนูได้ ขณะที่ขนาด 1 มก./20 มคล./หู ไม่มีผล การทดสอบโดยป้อนน้ำมันมะพร้าว ขนาด 1, 2และ4 ก./กก. เป็นเวลา 1 ชม. ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมของอุ้งเท้าหนูแรทด้วยคาราจีแนน และ arachidonic acid พบว่าน้ำมันมะพร้าวสามารถลดการบวมของอุ้งเท้าหนูได้ในการทดสอบทั้ง 2 วิธี และการศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบเรื้อรังในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอักเสบด้วยวิธี cotton-pellet granuloma เมื่อป้อนสารสกัดขนาด 4 ก./กก. เป็นเวลา 7 วันพบว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลต้านการอักเสบ โดยลดน้ำหนักของ transudate, ยับยั้งการเกิด granuloma (granuloma formation) และลดระดับเอนไซม์ alkaline phosphatase ในซีรั่ม(7)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันมะพร้าวผ่านกรรมวิธี (refined coconut oil) และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากบริษัท CalRoth, ประเทศเยอรมนี) ในหนูเม้าส์ โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยการฉายรังสี UVB และให้ทาผิวด้วยน้ำมันมะพร้าวผ่านกรรมวิธี หรือน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ขนาด 6 หยด (300 มคล.) 20 นาที ก่อนการฉายรังสี และหลังการฉายรังสี, 4 วัน/สัปดาห์ ทำการทดสอบเป็นเวลา 35 วัน, กลุ่มควบคุมบวกที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยการฉายรังสี UVB เพียงอย่างเดียว และกลุ่มควบคุมลบที่เป็นหนูปกติซึ่งให้ทาผิวด้วยสารละลาย phosphate buffer saline พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะมีฤทธิ์ต้านอักเสบของผิวหนังได้ดีกว่าน้ำมันมะพร้าวผ่านกรรมวิธี โดยลดความหนาของชั้นผิวหนัง และลดการแสดงออกของ TNF-alpha และ transforming growth factor (TGF)-beta) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบ (51)
3.7 รักษาแผล (S015)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกทำให้เกิดแผลแบบแผลถูกตัด (excision wound) ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาแผลด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยคั้นน้ำกะทิจากเนื้อมะพร้าว จากนั้นนำไปแช่เย็น เป็นเวลา 48 ชม. แยกเอาชั้นน้ำมันออกจากชั้นน้ำ แล้วนำไปให้ความร้อนในตู้อบ โดยใช้ไฟอ่อน (50 oC) ขนาด 0.5 และ 1 มล. เป็นเวลา 10 วัน และกลุ่มควบคุม พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีฤทธิ์รักษาแผล โดยทำให้แผลหายได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม เพิ่มการสร้างหลอดเลือดใหม่และจำนวนของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน, glycosaminoglycans, hexose, sialic acid, elastin และโปรตีนใน granulation tissue นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มระดับของ reduced glutathione, เอนไซม์ superoxide dismutase, glutathione peroxidase, glutathione reductase และลดระดับของ malondialdehyde ซึ่งแสดงถึงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันมะพร้าว (31)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของน้ำมันมะพร้าว (ตัวอย่างจากประเทศอิรัก) เตรียมโดยนำเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าวมาปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น จากนั้นนำมาคั้นแยกน้ำกะทิ แล้วนำไปให้ความร้อนเพื่อไล่น้ำที่หลงเหลืออยู่ ทำการแยกชั้นของน้ำมันที่อยู่ด้านบนออกมา กรองใส่ขวดเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ทดสอบในหนูแรทที่ถูกทำให้เกิดแผลโดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ทาแผลด้วยน้ำมันมะพร้าว ขนาด 0.5 มก. วันละ 3 ครั้ง กลุ่มที่ทาแผลด้วยขี้ผึ้ง Fucidin® ขนาด 20 มก./ก. กลุ่มที่ทาแผลด้วยน้ำมันมะพร้าว ขนาด 0.5 มก. ร่วมกับ ขี้ผึ้ง Fucidin®ขนาด 20 มก./ก. และกลุ่มควบคุมที่ทาแผลด้วยน้ำกลั่น ทดสอบเป็นเวลา 10 วัน พบว่ากลุ่มที่ทาน้ำมันมะพร้าวร่วมกับขี้ผึ้ง Fucidin® แผลจะหายได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น โดยมีผลเพิ่มการหดตัวของแผล (wound contraction), เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน และ elastin ใน granulation tissue (32)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบการระคายเคืองต่อผิวหนัง
การทดสอบการระคายเคืองต่อผิวหนังของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจาก Central Plantation Crops Research Institute, ประเทศอินเดีย) โดยทดสอบในเซลล์mouse embryonic fibroblasts (NIH3T3) ด้วยวิธี neutral red uptake assay (NRU) และการใช้แบบจำลองเนื้อเยื่อผิวหนังชั้นนอก (reconstructed human epidermis model, RHE)พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ความเข้มข้น 15.625-1,000 มคก./มล. ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ NIH3T3 ในการทดสอบทั้ง 2 วิธี โดยมีค่า IC50 > 1,000 มคก./มล แสดงว่าน้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเซลล์ผิวหนังที่ทดสอบ (11)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสง UV (phototoxicity)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสง UV ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจาก Central Plantation Crops Research Institute, ประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 15.625-1,000 มคก./มล. ด้วยวิธี NRU โดยทดสอบในเซลล์ mouse embryonic fibroblasts (NIH3T3) ถูกกระตุ้นด้วยแสง UV เปรียบเทียบกับเซลล์ที่ไม่ถูกกระตุ้นด้วยแสง UV พบว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ทั้งเซลล์ที่ถูกกระตุ้นและไม่ถูกกระตุ้นด้วยแสง UV โดยมีค่า IC50 > 1,000 มคก./มล และมีค่า Photo irritation factor (PIF) เท่ากับ 1.00 ซึ่งตามแนวปฏิบัติการทดสอบและประเมินสารเคมีของ OECD guideline 432 แสดงว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ไม่ทำให้เกิดพิษต่อเซลล์ผิวหนังเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสง UV (11)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
การใช้น้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้เกิดการแพ้ แต่ควรระวังการแพ้และทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวของสารที่เป็นอนุพันธ์ของน้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการทำปฏิกิริยาของกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวกับสารต่างๆ เช่น caprylic/capric triglyceride (52), cocamide diethanolamine (53) และ cocamidopropyl betaine (54) ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลายชนิด
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
น้ำมันมะพร้าว ในการทดสอบให้ทาผมทุกวันก่อนสระผมเป็นเวลา 16 สัปดาห์ มีผลในการป้องกันผมเสียจากการแตกหักได้ (19)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้ทาผิวทารกที่คลอดก่อนกำหนดซึ่งมีน้ำหนักตัวน้อยครั้งละ4 มล. วันละ2 ครั้งโดยไม่ต้องนวดเริ่มตั้งแต่หลังคลอด 12 ชม. เป็นเวลา 7 วันมีผลทำให้การสูญเสียน้ำทางผิวหนังลดลงสภาพของผิวดีขึ้นและจำนวนเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังลดลง (23)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ในการทดสอบให้ทาผิวทารกที่คลอดก่อนกำหนดครั้งละ 5 มล. วันละ 2 ครั้งโดยไม่ต้องนวดเริ่มตั้งแต่ภายใน 24 ชม. ที่เกิดเป็นเวลา 21 วันโดยยกเว้นผิวบริเวณใบหน้าหนังศีรษะและบริเวณที่ใส่สายสวนหรือท่อมีผลทำให้สภาพผิวของทารกดีขึ้นและไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย (24)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้ทาผิวทั่วร่างกายยกเว้นบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อม, ขาหนีบและหนังศีรษะครั้งละ 5 มล. วันละ 2 ครั้งหลังอาบน้ำและตอนกลางคืนเป็นเวลา 8 สัปดาห์มีผลช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวของผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ดีกว่าน้ำมันแร่ (25)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังทาผิวครั้งละ5 มล. แล้วนวดเบาๆให้ทั่วบริเวณผิววันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีผลลดจำนวนของเชื้อ S. aureus ที่ผิวหนังและลดความรุนแรงของโรคได้ซึ่งจะให้ผลดีกว่าน้ำมันมะกอกฝรั่ง (26)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ในการทดสอบให้ผู้สูงอายุที่มีผิวหนังแห้งคันแบบเล็กน้อยถึงปานกลางบริเวณขา ทาน้ำมันปริมาณ 8 fingertips unit/ขาวันละ2 ครั้งหลังอาบน้ำและก่อนนอนเป็นเวลา2 สัปดาห์ มีผลทำให้อาการผิวแห้งดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น และเพิ่มไขมันที่ผิวซึ่งจะให้ผลในการรักษาได้ดีกว่าน้ำมันแร่ และไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย (27)
น้ำมันมะพร้าว ในการทดสอบให้ทามือ ครั้งละ 4-8 หยดก่อนนอนทุกวันนอกเหนือจากการใช้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ6 ครั้ง/วันทดสอบเป็นเวลา15 วัน มีผลปกป้องผิวที่ถูกทำลายจากการใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือได้ โดยทำให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ปกป้องผิวได้ยาวนาน และมีความปลอดภัยในการใช้ (28)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้ทาบริเวณแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกพบว่าแผลหายเร็วใกล้เคียงกับการใช้ครีมซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน1% แต่ดความเจ็บปวดจากการทำแผลได้มากกว่าลดจำนวนครั้งในการล้างแผลและลดการสูญเสียน้ำหรือของเหลวที่ซึมออกทางแผล (30)
น้ำมันมะพร้าว ในการทดสอบให้อมกลั้วปากแบบวิธี oil pulling ครั้งละ 10-15 มล. นาน 10 นาทีวันละ 1 ครั้งในตอนเช้าเป็นเวลา 7 วัน สามารถยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้ (33)
น้ำมันมะพร้าว ในการทดสอบให้อมกลั้วปากแบบวิธี oil pulling ครั้งละ 10 มล. นาน 15-20 นาทีวันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้าและเย็นเป็นเวลา 4 วัน สามารถยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์และขจัดคราบสีของฟันได้ และให้ผลไม่แตกต่างจากการใช้น้ำมันงา (34)
น้ำมันมะพร้าว ในการทดสอบให้อมกลั้วปากแบบวิธี oil pulling ครั้งละ 10 มล. นาน 15-20 นาทีวันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 4 วันสามารถยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้ไม่แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate แต่ลดคราบสีของฟันได้มากกว่า (35)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ในการทดสอบให้อมกลั้วปาก ปริมาณ 10 มล. นาน 5-10 นาที หลังแปรงฟันและก่อนนอน เป็นเวลา 30 วันมีผลลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ และอาการเหงือกอักเสบในผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบที่เกิดจากคราบจุลินทรีย์ได้ และไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย (36)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้อมกลั้วปาก ปริมาณ1 ช้อนโต๊ะก่อนแปรงฟันในตอนเช้าทุกวันเป็นเวลา4 สัปดาห์มีผลช่วยลดการเกิดคราบจุลินทรีย์และลดเหงือกอักเสบในผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบที่เกิดจากคราบจุลินทรีย์ได้เทียบเท่ากับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.12% (37)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ความเข้มข้น 12.5% ในการทดสอบให้บ้วนปาก ครั้งละ 15 มล. นาน 30 วินาที วันละ 2 ครั้ง หลังการแปรงฟันในตอนเช้า และตอนกลางคืนก่อนนอน เป็นเวลา 4 วัน มีผลลดคราบจุลินทรีย์ในผู้ที่ใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่นได้ (38)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ในการทดสอบให้กลั้วปากปริมาณ15 มล. นาน 10 นาทีในเวลากลางคืนหลังจากการแปรงฟันเป็นเวลา14 วัน สามารถลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียทั้งหมดและ S. mutans ในน้ำลายได้ไม่แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% (39)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้อมกลั้วปากแบบ oil pulling ปริมาณ 10 มล. นาน10 นาที ในตอนเช้าก่อนแปรงฟันเป็นเวลา2 สัปดาห์มีผลลดปริมาณของเชื้อ S. mutans ในน้ำลายได้ แต่ผลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine (40)
น้ำมันมะพร้าวในการทดสอบให้อมกลั้วปากแบบ oil pulling ปริมาณ1 ช้อนโต๊ะ (10 มล.) นาน 10-15 นาทีในตอนเช้าขณะที่ท้องว่างมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณของเชื้อ S. mutans ในน้ำลายได้เทียบเท่ากับน้ำมันงา (41)
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ความเข้มข้น 12.5% ในการทดสอบให้กลั้วปากครั้งละ 30 มล. นาน 1 นาที วันละ2 ครั้งหลังการแปรงฟันในตอนเช้า และตอนกลางคืนก่อนนอน เป็นเวลา 4 วัน มีผลปริมาณของเชื้อแบคทีเรีย Porphyromonas gingivalis และ Treponema denticola บริเวณขอบของครอบฟันของผู้ที่ใส่ครอบฟันเซรามิคที่มีโลหะเป็นโครงสร้างภายในได้ (42)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
น้ำมันมะพร้าว มีคุณสมบัติเด่นในการทำให้ผิวมีชุ่มชื้น จึงนิยมนำน้ำมันมะพร้าว โดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิว และผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม นอกจากนี้ยังใช้ในรูปแบบของน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งให้ผลในการยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ ลดเหงือกอักเสบ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Cocos nucifera L. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 8]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-44645.
3. วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล, พร้อมจิต ศรลัมพ์, วิชิต เปานิล, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, บรรณาธิการ. สมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน); 2539.
4. โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. พืชน้ำมัน: มะพร้าว [อินเตอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 7 ธค.2564]. เข้าถึงได้จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/use/oil-5.htm).
5. ชยันต์ พิเชียรสุนทร, แม้นมาส ชวลิต, วิเชียร จีรวงส์. คำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน); 2544.
6. ณรงค์ โฉมเฉลา. มหัศจรรย์น้ำมันมะพร้าวฉบับปรับปรุง. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 9 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงจากhttps://maphrowthaipure.com/wp-content/uploads/2017/057.
7. Intahphuak S, Khonsung P, Panthong A. Anti-inflammatory, analgesic, and antipyretic activities of virgin coconut oil. Pharm Biol. 2010;48(2):151-7. doi: 10.3109/13880200903062614.
8. Janu C, Kumar DRS, Reshma MV, Jayamurthy P, Sundaresan A, Nisha P. Comparative study on the total phenolic content and radical scavenging activity of common edible vegetable oils. J Food Biochem. 2014;38:38-49. doi: 10.1111/jfbc.12023.
9. Ranjithkumar J, Sameesh A, Hari Ramakrishnan K. Sun screen efficacy of Punica granatum (pomegranate) andCitrullus colocynthis (indrayani) seed oils. Int J Adv Res Biol Sci. 2016;3(10):198-206. doi: 10.22192/ijarbs.2016.03.10.027.
10. Oseni NT, Fernando WMADB, Coorey R, Gold I, Jayasena V. Effect of extraction techniques on the quality of coconut oil. Afr J Food Sci.2017;11(3):58-66. doi: 10.5897/AJFS2016.1493.
11. VarmaSR, SivaprakasamTO, ArumugamI, DilipN, RaghuramanM, PavanKB, et al. In vitro anti-inflammatory and skin protective properties of virgin coconut oil. J Tradit Complement Med. 2019;9(1):5-14. doi: 10.1016/j.jtcme.2017.06.012.
12. Ajogun CO, Achinewhu SC, Kiin-Kabari DB, Akusu OM. Effect of extraction methods on the physicochemical properties, fatty acid profile and storage stability of virgin coconut oil. Asian Food Sci J. 2020;18(4):27-40.doi: 10.9734/AFSJ/2020/v18i430225.
13. Nitbani FO, Jumina, Siswanta D, Solikhah EN. Isolation and antibacterial activity test of lauric acid from crude coconut oil (Cocos nucifera L.). Procedia Chem. 2016;18:132-40. doi: 10.1016/j.proche.2016.01.021.
14. Abbas AA, Ernest BA, Akeh M, Upla P, Tuluma TK. Antimicrobial activity of coconut oil and its derivative (lauric acid) on some selected clinical isolates. Int J Med Sci Clin Invent. 2017;4(8):3173-7.doi: 10.18535/ijmsci/v4i8.12.
15. Suryani S, Sariani S, Earnestly F, Marganof M, Rahmawati R, Sevindrajuta S, et al. A comparative study of virgin coconut oil, coconut oil and palm oil in terms of their active ingredients. Processes. 2020;8,402. doi: 10.3390/pr8040402.
16. Boisa N, Konne JL, Chukwuji GJ. Extraction, characterization and application of Cocos nucifera oil. IOSR J Appl Chem. 2020;13(8):1-8. doi: 10.9790/5736-1308010108.
17. Seneviratne KN, Dissanayake DMS. Variation of phenolic content in coconut oil extracted by two conventional methods. Int J Food Sci Technol. 2008;43:597-602. doi: 10.1111/j.1365-2621.2006.01493.x.
18. Seneviratne KN., HapuarachchI CD, Ekanayake S. Comparison of the phenolic-dependent antioxidant properties of coconut oil extracted under cold and hot conditions. Food Chem. 2009;114(4):1444-9. doi: 10.1016/j.foodchem.2008.11.038.
19. Mhaskar S, Kalghatgi B, Chavan M, Rout S, Gode V. Hair breakage index: an alternative tool for damage assessment of human hair. J Cosmet Sci. 2011;62(2):203-7.
20. Rele AS, Mohile RB. Effect of mineral oil, sunflower oil, and coconut oil on prevention of hair damage. J Cosmet Sci. 2003;54(2):175-92.
21. Fatima M, Bukhari IH, Qurat-ul-ain, Perveen S, Aslam N, Kamal S, et al. Chemical analysis of hair protein damage control by essential oils using analytical techniques. World J Pharm Res. 2014;3(3):4655-65.
22. Dabbur FC, Lima GHS, Costa RM, Costa CL, Santos, LES, Luz VB, et al. Development, physicochemical and functional analysis of anti-frizz leave-on emulsion with coconut oil. Int J Phytocos Nat Ingred. 2019;6:8. doi: 10.15171/ijpni.2019.08.
23. Nangia S, Paul VK, Deorari AK, Sreenivas V, Agarwal R, Chawla D. Topical oil application and trans-epidermal water loss in preterm very low birth weight infants-A randomized trial. J Trop Pediatr. 2015;61(6):414-20. doi: 10.1093/tropej/fmv049.
24. Strunk T, Pupala S, Hibbert J, Doherty D, Patole S. Topical coconut oil in very preterm infants: An open-label randomised controlled trial. Neonatology. 2018;113(2):146-51. doi: 10.1159/000480538.
25. Evangelista MTP, Abad-Casintahan F, Lopez-Villafuerte L. The effect of topical virgin coconut oil on SCORAD index, transepidermal water loss, and skin capacitance in mild to moderate pediatric atopic dermatitis: a randomized, doubleblind, clinical trial. Int J Dermatol. 2014;53:100-8. doi: 10.1111/ijd.12339.
26. Verallo-Rowell VM, Dillague KM, Syah-Tjundawan BS. Novel antibacterial and emollient effects of coconut and virgin olive oils in adult atopic dermatitis. Dermatitis. 2008;19(6):308-15.
27. Escuadro-Chin MO, Maano MMC, Dofitas BL. Randomized assessor-blinded controlled trial on the efficacy and safety of virgin coconut oil versus mineral oil as a therapeutic moisturizer for senile xerosis. Acta Medica Philippina. 2019;53(4):335-43.
28. Saraogi P, Kaushik V, Chogale R, Chavan S, Gode V, Mhaskar S. Virgin coconut oil as prophylactic therapy against alcohol damage on skin in COVID times. J Cosmet Dermatol. 2021;20(8):2396-408. doi: 10.1111/jocd.14258.
29. Kim S, Jang J, Kim J, Lee YI, Lee DW, Song SY, Lee JH. Enhanced barrier functions and anti-inflammatory effect of cultured coconut extract on human skin. Food Chem Toxicol. 2017;106:367-75. doi: 10.1016/j.fct.2017.05.060.
30. สมคิด วิระเทพสุภรณ์. รายงานผู้ป่วยแผลไฟไหม้รักษาด้วยน้ำมันมะพร้าว. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.2556;11(3):227-32.
31. Nevin KG, RajamohanT. Effect of topical application of virgin coconut oil on skin components and antioxidant status during dermal wound healing in young rats. Skin Pharmacol Physiol. 2010;23:290-7. doi: 10.1159/000313516.
32. Al Bayati HHK, Hussein FA, Thamer IK, Abdullah BA. Effects of coconut oil and fusidic acid extract in alternative traumatic wound healing in RATS model. Sys Rev Pharm. 2020;11 (11):208-13. doi: 10.31838/srp.2020.11.30.
33. Nagilla J, Kulkarni S, Madupu PR, Doshi D, Bandari SR, Srilatha A. Comparative evaluation of antiplaque efficacy of coconut oil pulling and a placebo, among dental college students: A randomized controlled trial. J Clin Diagn Res. 2017;11(9):ZC08-ZC11. doi: 10.7860/JCDR/2017/26656.10563.
34. Sezgin Y, Ozgul BM, Maraş ME, Alptekin NO. Comparison of the plaque regrowth inhibition effects of oil pulling therapy with sesame oil or coconut oil using 4-day plaque regrowth study model: A randomized crossover clinical trial. Int J Dent Hyg. 2021;00:1-7. doi: 10.1111/idh.12532.
35. Sezgin Y, Ozgul BM, Alptekin NO. Efficacy of oil pulling therapy with coconut oil on four-day supragingival plaque growth: A randomized crossover clinical trial. Complement Ther Med. 2019;47:102193. doi: 10.1016/j.ctim.2019.102193.
36. Ripari F, Filippone F, Zumbo G, Covello F, Zara F, Vozza I. The role of coconut oil in treating patients affected by plaque-induced gingivitis: A pilot study. Eur J Dent. 2020;14(4):558-65. doi: 10.1055/s-0040-1714194.
37. Kaliamoorthy S, Vijayakumar J, Caliaperoumal SK, Pazhani A, Raju K, Venkatesan P, et al. Comparing the effect of coconut oil pulling practice with chlorhexidine mouth wash in plaque induced gingivitis by evaluation of salivary biochemical marker - a comparative interventional study. J Nat Remedies. 2018;18(4):151-5.doi: 10.18311/jnr/2018/22799.
38. Saputra L, Mahidin FG, Dewi RS. Effect of 12.5% virgin coconut oil (Cocos nucifera) mouthwash on plaque index of fixed prosthetic denture users. Int J App Pharm. 2017;9(special issue 2):41-4. doi: 10.22159/ijap.2017.v9s2.11.
39. Owittayakul D, Palee K, Khongkhunthian S, Wanachantararak P.Effect of coconut oil on salivary total bacterial and Streptococcus mutans counts. CM Dent J. 2018;39(1):75-83.
40. Kaushik M, Reddy P, Roshni, Udameshi P, Mehra N, Marwaha A. The effect of coconut oil pulling on Streptococcus mutans count in saliva in comparison with chlorhexidine mouthwash. J Contemp Dent Pract. 2016;17(1):38-41. doi: 10.5005/jp-journals-100241800.
41. Pavithran VK, Krishna M, Kumar VA, Jaiswal A, Selvan AK, Rawlani S. The effect of oil pulling with pure coconut oil on Streptococcus mutans: A randomized controlled trial. J Indian Assoc Public Health Dent. 2017;15:200-4.doi: 10.4103/jiaphd.jiaphd_ 29_17.
42. Dewi RS, Gita F, Bahtiar B, Kasim HB. Effect of 12.5% virgin coconut oil on Porphyromonas gingivalis and Treponema denticola bacterial colonization. Int J App Pharm. 2017;9:32-5. doi: 10.22159/ijap.2017.v9s2.09.
43. Hariyadi DM, Isnaeni I, Sudarma S, Suciati S, Rosita N. Peel-off emulgel mask of Cocos nucifera L. extract using gelling agent carbomer 940 as antiacne against Propionibacterium acnes ATCC 11827. J Adv Pharm Technol Res. 2020;11:220-5. doi: 10. 4103/japtr.JAPTR_51_20.
44. Hariyadi DM, Isnaeni I, Sudarma S, Shandra NMK, Rosita N. Formulation of peel-off mask containing natural antibacterial: study on poly vinyl alcohol (PVA) and virgin coconut oil (VCO) contents. Trop J Nat Prod Res. 2021;5(3):514-8. doi: 10.26538/tjnpr/v5i3.16.
45. Margata L, Silalahi J, Harahap U, Suryanto D, Satria D. The antibacterial effect of enzymatic hydrolyzed virgin coconut oil on Propionibacterium acne, Bacillus subtilis,Staphylococcus epidermidis and methicillin-resistant Staphylococcus aureus. Rasayan J Chem. 2019;12(2):987-93 doi: 10.31788/RJC.2019.1225113.
46. Jamjai U, Pongpaibul Y, Lailerd N, Amornlerdpison D. Antioxidant, anti-tyrosinase and anti-collagenase activities of virgin coconut oil and stability of its cream. Maejo Int J Sci Technol. 2020;14(2):166-76.
47. Djalil AD. Setyawan H, Gumelar MI, Nurulita NA, Budiman A. Antioxidant potentials of virgin olive oil and virgin coconut oil and its cream formulation. J Phys: Conf Ser. 2019;1402,055067. doi: 10.1088/1742-6596/1402/5/055067.
48. Ghani NAA, Channip AA, Hwa PCH, Ja'afar F, Yasin HM, Usman A. Physicochemical properties, antioxidant capacities, and metal contents of virgin coconut oil produced by wet and dry processes. Food Sci Nutr. 2018;6:1298-306. doi: 10.1002/fsn3.671.
49. Kaur CD, Saraf S. In vitro sun protection factor determination of herbal oils used in cosmetics. Pharmacogn Res. 2010;2(1):22-5. doi: 10.4103/0974-8490.60586.
50. Widiyati E. Determination of ultraviolet filter activity on coconut oil cosmetic cream. AIP Conference Proceedings. 2017;1868,020004. doi: 10.1063/1.4995090.
51. Hassan SMA. Anti-inflammatory and anti-proliferative activity of coconut oil against adverse effects of UVB on skin of albino mice. Jordan J Biol Sci. 2020;13(3):295-303.
52. Navarro-Trivino FJ, Ruiz-Villaverde R. Allergic contact dermatitis caused by caprylic/capric triglyceride from an anti-aging cosmetic cream. Contact Derms. 2020;83:508-10. doi: 10.1111/cod.13641.
53. Aalto-KorteK,PesonenM,KuulialaO,SuuronenK. Occupational allergic contact dermatitis caused by coconut fatty acids diethanolamide. Contact Derms. 2014;70:169-74. doi: 10.1111/cod.12151.
54. SuuronenK, Pesonen M, Aalto-KorteK. Occupational contact allergy to cocamidopropyl betaineand its impurities.Contact Derms.2012;66:286-92. doi:10.1111/j.1600-0536.2011.02036.x.
55. กรมวิชาการเกษตร. การผลิตมะพร้าว. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ6 ธันวาคม2564]. เข้าถึงจากhttps://www.doa.go.th/hort/wp-content/uploads/2020/01.
56. กรมวิชาการเกษตร. สถานการณ์การผลิตมะพร้าว. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 6 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงจาก www.https://www.doa.go.th/hort/wp-content/uploads/2020/10.
P036_(18).xlsx