มะรุม
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Moringa oleifera Lam.
ชื่อวงค์
MORINGACEAE
ชื่อสมุนไพร
มะรุม
ชื่ออังกฤษ
Drumstick tree, Horseradish tree
ชื่อพ้อง
Guilandina moringa L.
Hyperanthera moringa (L.) Vahl
Moringa zeylanica Pers
ชื่อท้องถิ่น
เส่ช่อยะ กาแน้งเดิง ผักเนื้อไก่ ผักอีฮึม ผักอีฮุม มะค้อนก้อม
ชื่อ INCI
HYDROGENATED MORINGA GLUCOSIDE
HYDROGENATED MORINGA OLEIFERA SEED OIL
HYDROLYZED MORINGA OLEIFERA SEED EXTRACT
MORINGA OLEIFERA BARK EXTRACT
MORINGA OLEIFERA CALLUS EXTRACT
MORINGA OLEIFERA FRUIT POWDER
MORINGA OLEIFERA LEAF EXTRACT
MORINGA OLEIFERA LEAF POWDER
MORINGA OLEIFERA LEAF WATER
MORINGA OLEIFERA SEED EXTRACT
MORINGA OLEIFERA SEED OIL
MORINGA OLEIFERA SEEDCAKE EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มะรุมเป็นพืชพื้นเมืองซึ่งพบได้ในป่าทางเหนือของประเทศอินเดียและปากีสถาน มีการนำมาปลูกในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปัจจุบันมีการปลูกทั่วไปในเขตร้อนของโลก ซึ่งในหลายแห่งพบว่ามีการเกิดขึ้นตามธรรมชาติ (3)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น สูงได้ถึง 10 ม. เปลือกค่อนข้างเรียบหรือเป็นรอยย่น สีน้ำตาลอ่อนแกมสีเทา ใบประกอบขนนกสามชั้น เรียงสลับ ก้านใบมีต่อมที่โคนก้านใบและแผ่นใบย่อย ใบย่อย มี 4–6 คู่ รูปรีหรือรูปไข่ โคนใบกลมหรือรูปลิ่ม ปลายใบกลมหรือเว้าตื้น ก้านใบย่อยสั้น ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบ ยาวได้ถึง 30 ซม. ใบประดับขนาดเล็ก ดอกย่อย สีขาวครีม กลีบเลี้ยง มี 5 กลีบ รูปใบหอก พับงอกลับ มีขนละเอียด กลีบดอก มี 5 กลีบ รูปช้อน สีครีม ผิวเกือบเกลี้ยง เกสรเพศผู้ 5 อัน เป็นหมัน 5 อัน เรียงสลับ โคนมีขน รังไข่มีขน ผลแห้งแตกเป็น 3 แฉก รูปทรงกระบอกเป็นสัน ยาวได้ถึง 50 ซม. เมล็ด รูปกลมแกมรูปสามเหลี่ยม เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.5 ซม. มีปีก (4)
การเพาะปลูก
การเตรียมดิน ไถดินตาก พรวนดิน ขุดหลุมขนาด กว้าง x ยาว x ลึก ประมาณ 50 x 50 x 50 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก คลุกเคล้าให้เข้ากับดิน หรืออาจปลูกตามแนวรั้วบ้านที่ปล่อยว่าง หัวไร่ปลายนา ให้ขุดหลุมและเตรียมดินตามที่กล่าวมา
การปลูก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง ส่วนมากจะนิยมเพาะเมล็ดในถุงดำก่อน ก่อนปลูกแกะถุงดำออก น้ำต้นกล้ามะรุมลงปลูกกลางหลุม กลบดิน รดน้ำ ใช้ไม้ปักมัดด้วยเชือก
การให้น้ำ มะรุมเป็นพืชทนแล้งได้ดี ออกดอกและฝักตามฤดูกาล ดังนั้นในการให้น้ำ ถ้าเป็นระยะแรกของการปลูก หรือปลูกในฤดูฝนจะไม่มีปัญหาเรื่องการให้น้ำ ส่วนฤดูแล้งให้น้ำตามความเหมาะสม
การใส่ปุ๋ย เน้นปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ใส่รอบ ๆ โคนต้น พรวนดินกลบ หรือใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 100-200 ก./ต้น ร่วมด้วย ก่อนพรวนดินกลบ
การเก็บเกี่ยว มะรุมเป็นพืชที่โตเร็ว หากได้น้ำและปุ๋ยสม่ำเสมอ อายุประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถให้ผลผลิตได้ สามารถเก็บขายได้ตั้งแต่ ยอด ดอก ฝักอ่อน และฝักแก่
โรคและแมลง มักไม่พบปัญหาเกี่ยวกับโรคและแมลง แต่อาจมีหนอนเจาะลำต้นและกิ่งทำให้อายุต้นมะรุมไม่ยืนยาว ต้องหมั่นตรวจและทำลายหนอนอยู่เสมอ (52)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารสำคัญที่พบในใบมะรุมแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้ (5-10)
สารกลุ่มสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ gallic acid, salicylic acid, gentisic acid, syringic acid, ellagic acid, ferulic acid, caffeic acid, ortho-coumaric acid, p-coumaric acid, sinapic acid, chlorogenic acid, cryptochlorogenic acid, 3-caffeoylquinic acid, rosmarinicacid, (2S)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol และ (2R)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ rutin, quercetin, isorhamnetin, kaempferol, apigenin, luteolin, daidzein, myricetin, epicatechin, vicenin-2, quercetin-3-O-glucoside (isoquercetin), quercetin-acetyl-glycoside, quercetin-3-O-(6″-malonyl) glucoside, kaempferol-3-O-glucoside (astragalin), kaempferol-acetyl-glycoside, kaempferol-3-O-(6″-malonyl) glucoside, kaempferol-3-rutinoside, kaempferol-3-O-α-rhamnoside,myricetin 3-O-xylopyranoside และ neohesperidin
สารกลุ่มกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) ได้แก่ 4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate (glucomoringin), 4-[(2′-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] glucosinolate, 4-[(3′-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] glucosinolate, 4-[(4′-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] glucosinolate, sinalbin, 3-hydroxy-4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate, acetyl-4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate, niaziminin และ niazimicin
สารกลุ่มไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ได้แก่ 4-[(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate, 4-[(2′-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate, 4-[(3′-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate, 4-[(4′-O-acetyl-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate และ 4[(β-D-glucopyranosyl-1→4-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ 4′-hydroxyphenylethanamide-α-L-rhamnopyranoside (marumoside A and B), pyrrolemarumine-4″-O-α-L-rhamnopyranoside และ N,α-L-rhamnopyranosyl vincosamide
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ β-sitosterol
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids) ได้แก่ 3,4-methyleneazelaic acid และ tuberonic acid
สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ (terpenoids) ได้แก่ γ-diosphenol, 2,2,4,4-tetramethyl-6-(1-oxobutyl)-1,3,5-cyclohexanetrione และ 3-hydroxy-β-ionone
สารกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ benzoic acid 4-O-β-glucoside, benzoic acid 4-O-α-rhamnosyl-(1→2)-β-glucoside, niaziridin, niazirinin, benzylamine, D-allose, vanillin, niazirin และ quinic acid
สารสำคัญที่พบในเมล็ดมะรุมแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้ (5,6,11,12)
สารกลุ่มสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ gallic acid, p-coumaric acid,ferulic acid, caffeic acid, protocatechuic acid, cinnamic acid, ellagic acid และ 3-caffeoylquinic acid
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ myricetin, quercetin-3-O-glucoside, quercetin-acetyl-glycoside, catechin, epichatechin, quercetin, kaempferol, kaempferol 3-O-glucoside และ kaempferol-acetyl-glycoside
สารกลุ่มกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) ได้แก่ 4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate (glucomoringin), benzyl glucosinolate (glucotropaeolin), 3-hydroxy-4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate, acetyl-4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate และ niazimicin
สารกลุ่มไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) ได้แก่ isothiocyanate, 4[(β-D-glucopyranosyl-1→4-α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate, 4-[(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl] isothiocyanate, 4-(4′-O-acetyl-α-L-rhamnosyloxy) benzyl isothioyanate และ moringin
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ O-ethyl-4-[(α-L-rhamnosyloxy)-benzyl] carbamate และ pterygospermin
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ β-sitosterol, cholesterol, brassicasterol, 24-methylenecholesterol, campesterol, campestanol, stigmasterol, ergostadienol, clerosterol, stigmastanol, ∆5-avenasterol, ∆7-avenasterol, ∆5,23-stigmastadienol,stigmastanol และ ∆7-stigmastanol
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids) ได้แก่ caprylic acid, myristic acid, palmitic acid, palmitoleic acid, margaric acid, stearic acid, oleic acid, linoleic acid, linolenic acid, arachidonic acid, gadoleic acid, behenic acid, erucic acid, lignoceric acid และ cerotic acid
สารกลุ่มโทโคฟีรอล (tocopherols) ได้แก่ α-tocopherol, γ-tocopherol และ σ-tocopherol
สารกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ niazirin และ quinic acid
สารประกอบฟีนอลิก
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์
สารกลุ่มกลูโคซิโนเลต
สารกลุ่มไอโซไธโอไซยาเนท
สารกลุ่มอัลคาลอยด์
สารกลุ่มสเตอรอล
สารกลุ่มกรดไขมัน
สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์
สารกลุ่มโทโคฟีรอล
สารกลุ่มอื่นๆ
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ myricetin 3-O-xylopyranoside, neohesperidin, rutin, quercetin-3-O-glucoside (isoquercitrin), apigenin 6,8-di-C-glucoside (vicenin-2), kaempferol-3-O-glucoside (astragalin), quercetin-3-O-(6²-malonyl) glucoside, chlorogenic acid, gallic acid, quercetin, kaempferolและ rosmarinicacid (7-8)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ 3,4-methyleneazelaic acid, g-diosphenol, 3-hydroxy-β-ionone, (2S)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol, (2R)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol, 2,2,4,4-tetramethyl-6-(1-oxobutyl)-1,3,5-cyclohexanetrione, tuberonic acid, isothiocyanate (9,12)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ gallic acid, chlorogenic, ellagic acid, ferulic acid,kaempferol, quercetin, rutin (13-14)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 สารกลุ่มกลูโคซิโนเนต [3-hydroxy-4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate, glucomoringin, acetyl-4-(α-L-rhamnopyranosyloxy) benzyl glucosinolate], สารประกอบฟีนอลิก (3-caffeoylquinic acid) สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (rutin, quercetin 3-O-glucoside, quercetin-acetyl-glycoside, kaempferol 3-O-glucoside, kaempferol-acetyl- glycoside) และ สาร niazirin, quinic acid วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ high-performance liquid chromatography (HPLC) with UV detection coupled with electrospray ionization tandem mass spectrometry (HPLC-UV/ESI-MS/MS) โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (6) ดังนี้
HPLC/UVparameter
column : Waters Sunfire RP-C18 column (5 µm, 4.6x250 มม.)อุณหภูมิ 25๐C
mobile phase : 0.1% (v/v) formic acid ใน ultrapure water (A) และacetonitrile (B) อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดโดยความเข้มข้นของ B คือ 8-30% ที่เวลา 0-30 นาที, 30-95% ที่เวลา 30-40 นาที (สำหรับตัวอย่างจากใบมะรุม); ความเข้มข้นของ B คือ 5-95% ที่เวลา 0-40 นาที (สำหรับตัวอย่างจากเมล็ดมะรุม)
flow rate : 0.8มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector :UV Detector ไม่ระบุความยาวคลื่น
ESI-MS/MS parameter
mass range (m/z) : 150-1500
spray voltage : 3 กิโลโวลต์
capillary temperature : 350ºC
vaporizer temperature : 300ºC
sheath gas : N2 (40psi)
auxiliary gas : N2 (10psi)
negative scan mode was applied.
2 สารกลุ่มกรดไขมัน (tuberonic acid, 3,4-methyleneazelaic acid), สารประกอบฟีนอลิก [(2S)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol, (2R)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol] และ สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ [3-hydroxy-β-ionone,γ-diosphenol, 2,2,4,4-tetramethyl-6-(1-oxobutyl)-1,3,5-cyclohexanetrione] วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ liquid chromatography with electrospray ionization quadrupole time-of-flight mass spectrometer (LC-ESI-QTOF-MS/MS) โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (9) ดังนี้
HPLC parameter
column : Luna C18 (2) 100ºA (5 µm, 4.6x150 มม.) อุณหภูมิ 35๐C
mobile phase : 0.1% formic acid in water (A) และ 0.1% formic acid in acetonitrile (B) ใช้สัดส่วนmobile phase คงที่ตลอดการวิเคราะห์คือ ความเข้มข้นของ B เท่ากับ 40% นาน 15 นาที, post-run 5 นาที
flow rate : 0.5มล./นาที
injection volume : ไม่ระบุ
detector :ไม่ระบุ
ESI-QTOF-MS parameter
drying gas : N2, flow rate 10.0 ลิตร/นาที, อุณหภูมิ 350๐C
nebulizer pressure : 30 psig
capillary : 3500 โวลต์
octapole RFV : 750 โวลต์
fragmentor voltage : 100 โวลต์
ionization mode :positive
MS conditions :
mass range (m/z) : 100-200 amu with 250 ms/spectrum
mass fragmentation : auto ms/ms mode with three collision energies of 10, 20 and 40 eV, respectively.
3 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ [myricetin 3-O-xylopyranoside, neohesperidin, rutin, qercetin-3-O-glucoside (isoquercitrin, apigenin 6,8-di-C-glucoside (vicenin-2), kaempferol-3-O-glucoside (astragalin) และ quercetin-3-O-(6″-malonyl) glucoside] วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (8) ดังนี้
column : RP-18 reverse phase column (5 µm, 100.250x4 มม.) อุณหภูมิ 30๐C
mobile phase : water Mili Q with 0.1% formic acid (A) และ MeOH:CH3CN, 1:1 (B) อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดโดยความเข้มข้นของ B คือ 10% ที่เวลา 0.01-3 นาที, 20% ที่เวลา 3-6 นาที, 40% ที่เวลา 6-10 นาที, 50% ที่เวลา 10-15 นาที, 60% ที่เวลา 15-20 นาที, 90% ที่เวลา 20-23 นาที และ 10% ที่เวลา 23-30 นาที
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 20 มคล.
detector : UV Detector ที่ความยาวคลื่น 366 นาโนเมตร
4 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (vicenin-2,quercetin, kaempferol, rutin) และสารประกอบฟีนอลิก (chlorogenic acid, gallic acid, rosmarinicacid) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ultra-high performance liquid chromatography (UHPLC) โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (7) ดังนี้
column : C18 Phenomenex Synergi Fusion RP (4 µm, 100 × 2.0 มม.) อุณหภูมิ 35๐C
mobile phase :0.1% formic acid และ5 mM ammonium formate ในน้ำ (A)และ 0.1% formic acid และ5 mM ammonium formate ใน acetonitrile (B)อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดโดยความเข้มข้นของ B คือ 10-100% ที่เวลา 0-10 นาที, 100% ที่เวลา 10-12 นาที, 100-10% ที่เวลา 12-12.1 นาทีและปรับคืนสู่สภาวะเริ่มต้น 3 นาที
flow rate : 0.25มล./นาที
injection volume : 20 มคล.
detector :mass spectrometry (MS) และ multiple reaction monitoring (MRM) โดยใช้ mode method คือ สารมาตรฐาน 7 ชนิด (chlorogenic acid, gallic acid, kaempferol, quercetin,rosmarinic acid, rutin และ vicenin-2)
5 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (kaempferol และ querecetin) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (15) ดังนี้
column :Shim-pack CLC-ODS (C18) column (5 µm, 25 × 4.6 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 30ºC
mobile phase : aqua-acetic acid (94/6, pH 2.27) (A) และ acetonitrile (B) อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดโดยความเข้มข้นของ B คือ 15% ที่เวลา 0-15 นาที, 45% ที่เวลา 15-30 นาทีและ 100% ที่เวลา 30-40 นาที
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 20 มคล.
detector :UV-Visible detector ที่ความยาวคลื่น 248 นาโนเมตร
6 สารประกอบฟีนอลิก (gallic, chlorogenic, ellagic acid และ ferulic acid) และสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (kaempferol, quercetin และ rutin) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์(13) ดังนี้
column :C18 column (4.6x250 มม.) ไม่ระบุอุณหภูมิคอลัมน์
mobile phase :watercontaining 1% acetic acid (A) และ acetonitrile (B) อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดโดยความเข้มข้นของ B คือ 18-32% ในเวลา 15 นาที และ 50% ที่เวลา 40 นาที
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : ไม่ระบุ
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
7 สารกลุ่มไอโซไธโอไซยาเนท (isothiocyanates) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (12) ดังนี้
column :Phenomenex Synergi Hydro-RP column (4 µm, 250 × 21.20มม.) ไม่ระบุอุณหภูมิคอลัมน์
mobile phase : น้ำ (A)และ 0.1% acetic acid in acetonitrile (B) อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนด โดยเริ่มต้นความเข้มข้นของ A เท่ากับ 70% และ B เท่ากับ 30% เป็นเวลา 5 นาที, เพิ่มความเข้นข้นของ B เป็น 100% ในช่วงเวลา 25 นาที และคงไว้ 5 นาที, กลับสู่ภาวะเริ่มต้นในช่วงเวลา 2 นาที โดยให้รักษาภาวะสมดุลในระหว่างการฉีดสารเป็นเวลา 8 นาที
flow rate : 10 มล./นาที
injection volume : ไม่ระบุ
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 222 นาโนเมตร
8 สารกลุ่มโทโคฟีรอล (α-tocopherol) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (16) ดังนี้
column : Platinum C18 (5 µm, 250 × 4.6 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 40ºC
mobile phase : เมทานอล 100%
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 20 มคล.
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 290 นาโนเมตร
9 สารสกลุ่มเสตอรอล วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ gas chromatography (GC) โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (16) ดังนี้
column : fused silica capillary column บรรจุ methylsiloxane (HP1, 30 ม. x 0.32 มม.ความหนาของแผ่นฟิล์ม 0.25 5 µm)
inlet temperature : 270ºC
detector temperature : 200ºC (1 นาที) เพิ่มขึ้น 5ºC/นาที จนถึงอุณหภูมิสุดท้าย 290ºC (14 นาที)
flow rate : 0.5 มล./นาที
total run time: 33 นาที
10 สารประกอบฟีนอลิก (ellagic acid, chlorogenic acid และ ferulic acid) และสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (quercetin และ rutin) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์(14) ดังนี้
column :Hydro RP18 Sinergi 80A column (4 µm, 4.6x250 มม.) ไม่ระบุอุณหภูมิคอลัมน์
mobile phase :water (0.01M H3PO4) (A) และ acetonitrile (0.01M H3PO4) (B) อัตราส่วนความเข้มข้นปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดโดยอัตราส่วนความเข้มข้นของ A/B คือ90:10 – 80:20ในเวลา 5 นาที, คงไว้ 5 นาที, อัตราส่วนความเข้มข้นของ A/B คือ 80:20 – 20:80 ในเวลา 10 นาที และอัตราส่วนความเข้มข้นของ A/B คือ 20:80 – 90:10 ในเวลา 2 นาที
flow rate : 1.2 มล./นาที
injection volume : 5 มคล.
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 254±8 นาโนเมตร
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ลดความมันบนใบหน้า (F014)
ศึกษาฤทธิ์ลดความมันบนใบหน้าของสารสกัดใบมะรุม โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน, voucher number MOLE-09-10-31) แช่สกัดในเมทานอล 80% ที่อุณหภูมิห้อง นาน 6 ชม. จากนั้นกรองแยกสารสกัดโดยใช้กระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำกากผงใบมะรุมสกัดซ้ำอีกครั้ง และนำสารสกัดที่ได้จากการสกัดทั้ง 2 ครั้ง มารวมกัน ทำให้สารสกัดเข้มข้นขึ้นด้วยการลดความดัน โดยใช้เครื่องระเหยแห้งแบบสุญญากาศแบบหมุน(rotary evaporator)ที่อุณภูมิ 45ºC นำสารสกัดที่ได้ไปผสมในครีมเบสสำหรับพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า [anionic hydrophilic colloid (14% paraffin oil), Abil EM 902.5%, fragrance 1%, phosphoric acid 0.2%, deionized water และสารสกัดใบมะรุม 3%] ทำการทดสอบประสิทธิภาพของครีมในอาสาสมัครเพศชายสุขภาพดีจำนวน 11 คน (อายุระหว่าง 20-35 ปี) โดยให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดใบมะรุม 3% ลงบนผิวหน้าด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งทาครีมเบสที่ไม่มีสารสกัดใบมะรุม วันละ 2 ครั้ง ช่วงเวลาเช้า (7.00-9.00 น.) และเย็น (19.00-21.00 น.) เป็นระยะเวลานาน 12 สัปดาห์ (ทำการศึกษาในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคม-มกราคม) ทำการประเมินสภาพผิวของอาสาสมัครและวัดค่าความมันบนใบหน้าด้วยเครื่อง photometric device (Sebumeter) ในสัปดาห์ที่ 2, 4, 6, 8, 10และ 12 ของการศึกษาผลการศึกษาพบว่า การทาครีมสารสกัดใบมะรุม 3% มีผลลดค่าความมันบนใบหน้าของอาสาสมัครในสัปดาห์ที่ 4 จนถึงสัปดาห์ที่ 8 ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการทาครีมเบสและไม่พบรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดใบมะรุมมีประสิทธิภาพในการช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ (17)
1.2 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (F008) (ทำให้ผิวเรียบเนียน ลดความหยาบกร้าน และลดริ้วรอย)
ศึกษาผลของการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดจากใบมะรุม 3% (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน, voucher number MOLE-09-10-31, ไม่ระบุวิธีการสกัด) ส่วนผสมอื่นๆ ในครีมประกอบด้วย anionic hydrophilic colloid (14% paraffin oil), Abil EM 902.5%, fragrance 1%, phosphoric acid 0.2% และ deionized water ทำการทดสอบประสิทธิภาพของครีมในอาสาสมัครเพศชายสุขภาพดี (ไม่มีประวัติโรคผิวหนังหรือแพ้ส่วนประกอบในครีม) อายุระหว่าง 20-35 ปี โดยให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดใบมะรุม 3% ลงบนผิวหน้าด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งทาครีมเบสที่ไม่มีสารสกัดใบมะรุมเป็นส่วนผสม วันละ 2 ครั้ง ในช่วงเวลาเช้าและเย็น นาน 3 เดือน ประเมินสภาพผิวด้วยเครื่อง Visioscan® VC98 ในห้องที่มีอากาศปลอดโปร่ง อุณหภูมิระหว่าง 18.0-20.6ºC ความชื้นสัมพัทธ์ 50-65% พบว่า การทาครีมสารสกัดใบมะรุม 3%มีผลทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดความหยาบกร้านและลดริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการทาครีมเบส ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบมะรุมมีประสิทธิภาพช่วยทำให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้นได้ (18)
1.3 ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น/ลดอัตราการสูญเสียน้ำออกจากผิว (F005)
ศึกษาฤทธิ์รักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้าของครีมสารสกัดใบมะรุม โดยเก็บตัวอย่างใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน, voucher no. MO-LE-09-10-31)มาตากให้แห้งและบดเป็นผง จากนั้นนำไปแช่สกัดในเมทานอล 80% ที่อุณหภูมิห้อง นาน 6 ชม. กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำตะกอนผงใบมะรุมสกัดซ้ำอีกครั้งด้วยตัวทำละลายและวิธีเดียวกัน จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ทั้ง 2 ครั้งมารวมกันทำการระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดใบมะรุมที่ได้ผสมลงในครีมเบส (ประกอบด้วย 14% paraffin oil, 2% Abil EM 90, 0.2% phosphoric acid, 1% fragrance และ deionized water) โดยกำหนดให้มีความเข้มข้น 3% ทำการทดสอบประสิทธิภาพของครีมในอาสาสมัครเพศชายสุขภาพดีจำนวน 11 คน (อายุระหว่าง 20-35 ปี) โดยให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดใบมะรุม 3% ลงบนผิวแก้มด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งทาครีมเบสที่ไม่มีสารสกัดใบมะรุม วันละ 2 ครั้ง ช่วงเวลาเช้า (7.00-9.00 น.) และเย็น (19.00-21.00 น.) เป็นระยะเวลานาน 12 สัปดาห์ ประเมินอัตราการสูญเสียน้ำออกจากผิวด้วยเครื่องวัดอัตราการสูญเสียน้ำออกจากผิวหนัง (TEWAmeter) และความชุ่มชื้นผิวด้วยเครื่องวัดความชุ่มชื้นของผิวหนัง (Corneometer)ภายในห้องที่มีอากาศปลอดโปร่ง มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 18.0-20.6ºC และความชื้นสัมพัทธ์ 55-65% ผลจากการศึกษาพบว่า การทาครีมสารสกัดใบมะรุม 3%มีผลช่วยลดการเสียน้ำจากชั้นผิวหนัง[skin transepidermal water loss (TEWL)] และเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง (skin hydration) อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการทาครีมเบส แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากใบมะรุมมีประสิทธิภาพในการช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น(19)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวชุ่มชื้น (S004)
ศึกษาฤทธิ์รักษาความชุ่มชื้นของครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดมะรุมที่ได้จากวิธีการสกัดเย็น (ตัวอย่างนำเข้าจากประเทศอินเดียโดยสั่งซื้อจาก Neo Moringa, Thailand) โดยทำการผสมลงในครีมเบสและกำหนดให้มีความเข้มข้นของน้ำมันมะรุม 25% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับได้แก่ oil phase; stearyl alcohol 4%, catyl alcohol 5%, stearic acid 3% และ sorbitan ester 80 0.6%, water phase; propylene glycol 5%, polysorbate 80 4.40%, concentrated parabens 1.02%, triethanolamine 0.1% และ purified water 51.88%)นำครีมที่ได้ทดสอบในอาสาสมัคร 32 คน โดยทำเครื่องหมายบนแขนให้ห่างจากข้อศอกและมือ 8 ซม. และกำหนดพื้นที่ 3x3 ซม. ทาครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมและครีมเบสลงในบริเวณที่ทำเครื่องหมายปริมาณ 0.2 ก. วันละ 2 ครั้ง (ช่วงเวลา 7.00-9.00 น. และ 19.00-21.00 น.) เป็นระยะเวลานาน 4 สัปดาห์ โดยในระหว่างการทดลองให้อาสาสมัครหลีกเลี่ยงแสงแดดและการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำการวัดความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยเครื่อง Corneometer®ในทุกสัปดาห์ของการทดลอง ผลจากการศึกษาพบว่า ค่าความชุ่มชื้นของผิวหนังจากการทาครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมเพิ่มขึ้นในทุกสัปดาห์ของการทดลองเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง โดยคิดเป็น 16, 76, 77 และ 85% ในการวัดที่สัปดาห์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับ ในขณะที่การทาครีมเบสเพิ่มขึ้นเพียง 3, 58, 51 และ 48% ตามลำดับ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดมะรุมมีฤทธิ์ช่วยคงความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ (16)
2.2 ทำให้ผิวขาว (S001)
ศึกษาฤทธิ์ทำให้ผิวขาวของครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดมะรุมที่ได้จากวิธีการสกัดเย็น (ตัวอย่างนำเข้าจากประเทศอินเดียโดยสั่งซื้อจาก Neo Moringa, Thailand) โดยทำการผสมลงในครีมเบสและกำหนดให้มีความเข้มข้นของน้ำมันมะรุม 25% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับได้แก่ oil phase; stearyl alcohol 4%, catyl alcohol 5%, stearic acid 3% และ sorbitan ester 80 0.6%, water phase; propylene glycol 5%, polysorbate 80 4.40%, concentrated parabens 1.02%, triethanolamine 0.1% และ purified water 51.88%)นำครีมที่ได้ทดสอบในอาสาสมัคร 32 คน โดยทำเครื่องหมายบนแขนให้ห่างจากข้อศอกและมือ 8 ซม. และกำหนดพื้นที่ 3x3 ซม. ทาครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมและครีมเบสลงในบริเวณที่ทำเครื่องหมายปริมาณ 0.2 ก. วันละ 2 ครั้ง (ช่วงเวลา 7.00-9.00 น. และ 19.00-21.00 น.) เป็นระยะเวลานาน 4 สัปดาห์ โดยในระหว่างการทดลองให้อาสาสมัครหลีกเลี่ยงแสงแดดและการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดอื่น ๆ ทำการวัดปริมาณเม็ดสีเมลานิน (melanin index) และความแดงของผิว (erythema value) ด้วยเครื่อง Mexameter®ในทุกสัปดาห์ของการทดลอง ผลจากการศึกษาพบว่า การทาครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมมีผลลดค่าเฉลี่ยความแดงของผิวในสัปดาห์ที่ 2, 3 และ 4 ลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง ในขณะที่ปริมาณเม็ดสีเมลานินไม่มีความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง จากการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ฤทธิ์ช่วยทำให้ผิวขาวและกระจ่างใสของน้ำมันเมล็ดมะรุมยังไม่ชัดเจน (16)
3 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1 น้ำยาบ้วนปาก (L001)
ศึกษาผลของการใช้น้ำต้มใบมะรุม (ไม่ระบุแหล่งที่มาของตัวอย่าง) เป็นน้ำยาบ้วนปากในผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวน 90 คน โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำต้มใบมะรุม 100% กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำต้มใบมะรุม 50% และกลุ่มที่ 3 กลั้วปากด้วยน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายของผู้ป่วยเพื่อวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH)ด้วยแถบวัดค่า pH ทั้งช่วงก่อนและหลังจากกลั้วปากพบว่า การใช้น้ำต้มใบมะรุมเป็นน้ำยาบ้วนปากไม่มีผลเปลี่ยนแปลงค่า pH ของน้ำลายผู้ป่วย และค่า pH ของผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่ม หลังกลั้วปากไม่มีความแตกต่างกัน (20)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
ศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมของสารสกัดจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยเก็บใบมะรุมมาล้างทำความสะอาดและตากให้แห้งนาน 3 วัน จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า นำผงใบมะรุม 300 ก. มาสกัดในน้ำเปล่า (3 ลิตร) ด้วยวิธีการสกัดแบบใช้ความร้อน (soxhlet extraction) นาน 72 ชม. กรองสารสกัดด้วยผ้ามัสลิน (ความละเอียด 100 ไมครอน) และทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการลดความดันภายใต้ภาวะสุญญกาศ โดยใช้เครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งในตู้ดูดความชื้น (desiccator) ที่มีแคลเซียมคลอไรด์เป็นตัวดูดซับ นาน 48 ชม. จะได้สารสกัดที่มีลักษณะเป็นของแข็ง (%yield เท่ากับ 25%) นำสารสกัดใบมะรุมที่ได้เตรียมในรูปแบบเอทโทโซมเจล (ethosome gel)โดยกำหนดให้มีความเข้มข้นของสารสกัดใบมะรุมเท่ากับ 1, 2 และ 5%จากนั้นนำไปทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนของหนูแรทซึ่งถูกโกนและกำจัดขนบริเวณหลังขนาด 4 ตร.ซม. โดยแบ่งหนูออกเป็น 5 กลุ่ม (กลุ่มละ 5 ตัว) กลุ่มที่ 1 ทายาปลูกผม minoxidil กลุ่มที่ 2 ทาเอทโทโซมเจลที่ปราศจากสารสกัด (กลุ่มควบคุม) กลุ่มที่ 3, 4 และ 5 ทาเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุมเข้มข้น 1, 2 และ 5% ตามลำดับ นานติดต่อกัน 30 วัน ผลจากการศึกษาพบว่า การทาเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนของหนูแรท โดยเส้นขนที่งอกใหม่มีความยาวกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญเมื่อครบ 30 วัน ประสิทธิผลที่ได้ขึ้นกับขนาดความเข้มข้น และเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุม 5% ให้ผลได้ใกล้เคียงกับยา minoxidil ผลการศึกษาด้านจุลพยาธิวิทยาจากตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังพบว่า การทาเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุม 5% พบเส้นขนในระยะเติบโต (anagen phase) 60% ในขณะที่การทายา minoxidil พบ 57% ส่วนการทาเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุม 1 และ 2% พบ 51 และ 55% ตามลำดับ และกลุ่มควบคุมพบเพียง 48% ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำจากใบมะรุมที่เตรียมในรูปแบบเอทโทโซมเจลมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นขนได้ (21)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผิวหน้า (F007)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอลใบมะรุม โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน,voucher number MOLE-09-10-31)แช่สกัดในเมทานอล 80% ที่อุณหภูมิห้อง นาน 6 ชม. จากนั้นกรองแยกสารสกัดโดยใช้กระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำกากผงใบมะรุมสกัดซ้ำอีกครั้ง และนำสารสกัดที่ได้จากการสกัดทั้ง 2 ครั้ง มารวมกัน ทำให้สารสกัดเข้มข้นขึ้นด้วยการลดความดัน โดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณภูมิ 45ºC นำสารสกัดที่ได้ไปผสมในครีมเบสสำหรับพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า [anionic hydrophilic colloid (14% paraffin oil), Abil EM 902.5%, fragrance 1%, phosphoric acid 0.2%, deionized water และสารสกัดใบมะรุม 3%] ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดใบมะรุมและครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบมะรุมด้วยวิธี 1, 1-diphenyl-2-picrylhydrazyl (DPPH) assay พบว่า มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระคิดเป็น 91 และ 85% ตามลำดับ (17)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของครีมมาส์กหน้า (mask)ที่ประกอบไปด้วยสารสกัดจากใบมะรุม โดยเก็บใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) มาล้างทำความสะอาด ตากให้แห้ง และบดเป็นผงละเอียด จากนั้น นำผงใบมะรุม (42 ก). แช่สกัดในเมทานอล (900 มล.) คนให้เข้ากัน 30 นาที และทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 24 ชม. กรองเอาสารสกัดและนำไประเหยแอลกอฮอล์ด้วยเครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดเมทานอลใบมะรุมที่ได้มาตั้งตำรับครีมมาส์กหน้า โดยเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเทศอินนีเซีย (Indonesian National Standard:SNI 16-6070-1999 และ SNI 16-4399-1996) ใช้สารสกัดใบมะรุม 0.625, 0.875, 1.250 และ 1.750 ก. ผสมกับแป้งข้าว (rice flour) 4.375, 4.125, 3.750 และ 3.250 ก. และน้ำมันกุหลาบ (rose oil) 3 หยด สำหรับครีมมาร์กหน้าที่มีความเข้มข้นของสารสกัดใบมะรุมเท่ากับ 12.5%(F1), 17.5% (F2), 25% (F3) และ 35% (F4) ตามลำดับ ครีมที่ได้มีลักษณะเป็นสีเหลืองและสีเข้มขึ้นตามความเข้มข้นของสารสกัดใบมะรุม มีค่า pH อยู่ระหว่าง 5.45-6.02 ค่าความถ่วงจำเพาะ (specific gravity) เท่ากับ 1 ก./มล. ค่าความคงตัวของอิมัลชัน (emulsion stability) 96.57-97.05% และปราศจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพ ผลการตรวจสอบคุณสมบัติทางประสาทสัมผัส (organoleptictest) พบว่า ครีมสูตรที่ได้คะแนนสูงสุดคือ ครีมมาร์กหน้าที่มีความเข้มข้นของสารสกัดใบมะรุมเท่ากับ 17.5% (F2)เมื่อนำครีมทั้ง 4 สูตรไปวิเคราะห์ค่าการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า ครีมมาร์กหน้าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีเปอร์เซ็นต์ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเท่ากับ 28.91±1.75, 51.44±1.42, 60.84±1.18 และ 66.04±0.07% สำหรับ F1, F2, F3 และ F4 ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดเมททานอลใบมะรุมและสารเปรียบเทียบ ascorbic acid มีค่าเท่ากับ 90.59±0.39 (ค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50เท่ากับ 56.34±0.13 มคก./มล.) และ 96.24±0.01% (ค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 เท่ากับ 2.17±0.01 มคก./มล.)ตามลำดับ (22)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีของผิวหนังของน้ำมันจากเมล็ดมะรุมโดยนำเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเซเนกัล) 30 ก. มาบดและแช่สกัดในเอ็น-เฮกเซน (200 มล.) นาน 24 ชม. ทำการกรองแยกสารสกัดและระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator นำน้ำมันที่สกัดได้ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีบนตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังของมนุษย์ (reconstructed human pigmented epidermis)โดยเลี้ยงตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังในจานเพาะเลี้ยงและเติมน้ำมันเมล็ดมะรุมซึ่งในระหว่างการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 4 วันแรกให้ทำการเปลี่ยนอาหารเพาะเลี้ยงและสารสกัดน้ำมันเมล็ดมะรุมทุกวัน ทำการเพาะเลี้ยงจนครบ 6 วัน จึงเก็บตัวอย่างเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อไปวิเคราะห์หาปริมาณเม็ดสี (melanin content) ผลจากการทดลองพบว่า การเติมสารสกัดน้ำมันเมล็ดมะรุมลงในอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อผิวหนังปริมาณ 8 มคล. จนครบ 6 วัน มีผลลดปริมาณเม็ดสีในตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังลง 17.63% และเมื่อเพิ่มปริมาณสารสกัดน้ำมันเมล็ดมะรุมเป็น 28 มคล. มีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นเป็น 21.31% ในขณะที่สารเปรียบเทียบ kojic acid (1 ก./ลิตร) สามารถยับยั้งได้ 24.85% ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าน้ำมันจากเมล็ดมะรุมมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีในผิวหนังได้ (23)
3.2 กันแดดสำหรับผิวกาย (S008)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันแสงแดดของครีมซึ่งประกอบด้วยสารกสัดจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเซเนกัล, Lot No. 34FE16) 3 ชนิด ได้แก่ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ [ผงใบมะรุม 10 ก. แช่สกัดในตัวทำละลายแอลกอฮอล์และน้ำ (อัตราส่วน เอทานอล:น้ำ เท่ากับ 70:3)ที่อุณหภูมิห้อง นาน 60 นาที บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็ก(magnetic stirrer)จากนั้นทำการกรองแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ] สารสกัดเมทานอล [ผงใบมะรุม 5 ก. แช่สกัดในเมทานอล 100 มล. บนเครื่องอัลตราโซนิค (40ºC, 60 นาที) จากนั้นทำการปั่นเหวี่ยงเพื่อแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ] และสารสกัดน้ำ (ผงใบมะรุม 10 ก. แช่สกัดในน้ำ 150 มล. บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็ก ที่อุณหภูมิ 100ºC นาน 45 นาที กรองแยกสารสกัด และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง) โดยใช้ความเข้มข้นข้องสารสกัดในตำรับครีมเท่ากับ 2 และ 4% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับครีมได้แก่ Aqua 74-87%, Coco-caprylate 1-5%, Cetearyl alcohol 1-3%, Caprylic/capric triglyceride 1-5%, Glyceryl stearate citrate 2-5%, Tridecane 1-5%, Udecane 1-5%, Glyceryl caprylate 2-5%, Benzyl alcohol 1-1.5%, Xanthan gum 0.3%, Benzoic acid 1-1.5%, Propanediol 1-1.5% และ Phytic acid 0.1-1%)นำครีมที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ป้องกันแสงแดดด้วยวิธี in vitro spectrophotometric evaluation โดยการวัดค่าดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง SHIMADZU UV-2600 spectrophotometer พบว่า ครีมสารสกัดใบมะรุมความเข้มข้น 2-4% มีค่า SPF (sun protection factor) เท่ากับ 2 ซึ่งหมายความว่าสามารถกรองรังสี UVB ได้ประมาณ 50% แสดงให้เห็นว่าครีมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันผิวจากแสงแดดได้(14)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันแสงแดดของตำรับครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดมะรุม โดยเก็บตัวอย่างฝักมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) แกะแยกเมล็ด ล้างทำความสะอาดและตากแดดให้แห้ง จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียด นำผงเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันด้วยตัวทำละลายปิโตรเลียมอีเทอร์ในเครื่อง Soxhlet extractor ที่อุณหภูมิ 60-80ºC นาน 6 ชม. ระเหยตัวทำละลายด้วยวิธีการกลั่น และทำให้เข้มข้นด้วยแผ่นให้ความร้อน (hot plate dying)และผึ่งลม (air-dying)ที่อุณหภูมิ 40±2 ºCนำน้ำมันเมล็ดมะรุมที่สกัดได้เตรียมตำรับครีมกันแดดโดยมีส่วนประกอบในตำรับได้แก่ cetosteryl alcohol 5%, stearic acid 2%, cetomacrogal-1000 2%, cetyl alcohol 1%, Carbopol 940 0.5%, disodium EDTA 0.02%, Na methyl paraben 0.3%, Na propyl paraben 0.06%, triethanolamine 0.5%, purified water 62%, น้ำมันจากเมล็ดมะรุม 20%และน้ำหอมสำหรับแต่งกลิ่น ทำการทดสอบลักษณะทางกายภาพของครีมและวัดค่าการป้องกันแสง (sun protection factor, SPF) ด้วยเครื่อง SPF-290 Analyzer ผลจากการศึกษาพบว่า ครีมที่ได้มีลักษณะสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม การกระจายตัว (spreadability) ดีและสม่ำเสมอ มีค่า pH เท่ากับ 6.7 ค่าความถ่วงจำเพาะ (specific gravity) เท่ากับ 1.14 ค่าความหนืด (viscosity) เท่ากับ 49500cP ปราศจากการปนเปื้อนของจุลชีพและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ มีค่า SPF เท่ากับ 1.05 และค่า Boots star rating เท่ากับ 3 ซึ่งหมายความว่า ตำรับครีมกันแดดน้ำมันเมล็ดมะรุมมีประสิทธิภาพในระดับดี (24-25)
3.3 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดใบมะรุม โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุมจากประเทศมาเลเซีย (voucher specimen SK 1561/08) มาแช่สกัดในเอทานอล 90% ที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นกรองเอาสารสกัดมาระเหยให้แห้งโดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 25ºC นำสารสกัดที่ได้มาแยกสกัดอีกครั้งด้วยวิธี solvent-solvent partition technique นำส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์รักษาแผลบนเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (human dermal fibroblast; HDF-N cells) พบว่าส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทจากใบมะรุมความเข้มข้น 12.5, 25 และ 20 มคก./มล. มีผลเพิ่มจำนวนเซลล์และการเคลื่อนย้ายเซลล์ (cell migration) อย่างรวดเร็วภายใน 24 ชม. แสดงให้เห็นว่าส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทจากใบมะรุมอาจมีประสิทธิภาพในการพัฒนาเป็นยารักษาแผลบนผิวหนังได้ (26)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดใบมะรุม (ตัวอย่างประเทศมาเลเซีย) โดยเก็บตัวอย่างใบมะรุมมาล้างทำความสะอาด จากนั้นผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง นาน 2 สัปดาห์ และทำให้เป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า (laboratory electric blender Elba A1812G, Germany)จากนั้นนำผงใบมะรุม (25 ก.) มาแช่สกัดในตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำ เอททานอล 50% เอทานอล 70% และเอทานอล 100% (ปริมาตรตัวทำละลายเท่ากับ 300 มล.) โดยใช้เวลาในการสกัดนาน 72 ชม. และเขย่าขวดขณะสกัดเบาๆ ตลอดเวลา จากนั้นกรองสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำสารสกัดน้ำจากใบมะรุมเก็บที่อุณหภูมิ 4-8ºC ส่วนสารสกัดเอทานอล 50, 70 และ 100% จากใบมะรุมนำไประเหยแอลกอฮอล์ด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 40ºC จากนั้นนำสารสกัดทั้งหมดไปทำให้แห้งด้วยวิธีการแช่เยือกแข็ง (freeze-drying)นำสารสกัดทั้งหมดไปทดสอบผลต่อการเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนย้ายเซลล์ผิวหนังมนุษย์HDF (human dermal fibroblast; ATCC®PCS201012™) และ HDK (primary epidermal keratinocytes; ATCC®PCS200011™) โดยนำสารสกัดละลายใน PBS (phosphate buffered saline) ให้มีความเข้มข้น 62.5, 125, 250 และ 500 มคก./มล. และผสมในอาหารเลี้ยงเซลล์ในอัตราส่วน 10:90 (ความเข้มข้นสุดท้ายเท่ากับ 12.5, 25, 50 และ 100 มคก./กก.) เติมลงในถาดเลี้ยงเซลล์ 24-well plate ซึ่งบรรจุเซลล์ HDF และ HDK ที่ความหนาแน่น 3x105เซลล์/มล.บ่มเซลล์ที่อุณหภูมิ 37ºC ความเข้มข้น CO2เท่ากับ 5%นาน 48 ชม. ตรวจสอบการเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนย้ายของเซลล์ที่เวลา 0, 6, 24 และ 48 ชม. ด้วยกล้อง digital microscopic camera (Xcam, Olympus Japan) พบว่า สารสกัดน้ำจากใบมะรุมที่ความเข้มข้น 12.5 มคก./มล. มีผลต่อการเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนย้ายของเซลล์ทั้ง 2 ชนิด ที่เวลา 48 ชม. ดีที่สุด จึงถูกเลือกนำมาบรรจุใน alginate-pectin (SA-PC)เพื่อทำแผ่นปิดแผล (film dressing)โดยใช้สารสกัดที่ความเข้มข้น 1, 0.5 และ 0.1% ของน้ำหนัก/ปริมาตร (w/v) ทำการทดสอบลักษณะทางกายภาพของแผ่นปิดแผลและประสิทธิภาพการปลดปล่อยสารสำคัญด้วยเครื่อง Franz diffusion cells (Permegear, Inc., USA) พบว่า สูตร SA-PC ที่เหมาะสมในการบรรจุสารสกัดน้ำจากใบมะรุมเพื่อทำแผ่นปิดแผลคือ 3% w/v นอกจากนี้ เมื่อทำการวิเคราะห์หาสารออกฤทธิ์สำคัญในสารสกัดด้วยวิธี HPLC พบว่า สารสกัดทุกชนิดประกอบด้วยสารประกอบฟีนอลิกได้แก่ vicenin-2, chlorogenic acid, gallic acid, quercetin, kaempferol, rosmarinicacid และ rutin ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารสกัดใบมะรุมและสารสำคัญที่พบมีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลได้ (7)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำจากผงใบมะรุม [ตัวอย่างผงใบมะรุม(ไม่ระบุที่มา) 660 มก. ละลายในแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ (เอทานอล:น้ำ เท่ากับ 50:50)บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็กด้วยความเร็ว 400 รอบต่อนาที (rpm) นาน 90 นาที จากนั้นนำไปปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ว 4000 rpm นาน 10 นาที กรองแยกส่วนใสที่อยู่ด้านบนด้วย cellulose membrane filter และทำให้สารสกัดเข้มข้นโดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 35ºC นำสารสกัดที่ได้ละลายในน้ำ 7 มล. และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็งและเก็บที่อุณหภูมิห้องสำหรับใช้ศึกษาต่อไป] ทำการทดสอบฤทธิ์รักษาแผลโดยวิเคราะห์การเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนย้ายเซลล์ keratinocyte cell line HaCatด้วยชุดเครื่องมือ CytoSelect™ Wound Healing Assay kit พบว่า สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำจากผงใบมะรุมที่ความเข้มข้น 0.04 มก./มล. มีผลทำให้เซลล์เพิ่มจำนวนและลดบริเวณบาดแผลเมื่อเวลาผ่านไป 12 ชม. และบริเวณแผลปิดสนิทเมื่อครบ 24 ชม. นอกจากนี้การทดสอบฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำจากผงใบมะรุมในรูปแบบอนุภาคไมโครจากพอลิเมอร์ (polymeric microparticles) ด้วยการสร้างแผลเทียมบนตัวอย่างผิวหนังสุกรขนาด 3 ซม. เติม stimulate wound fluid 100 มคก. และใช้อนุภาคไมโครจากพอลิเมอร์สูตร CS2-B (ประกอบด้วยสารสกัดใบมะรุม 7.31 มก.) 10 มก. ทาลงบนแผล พบว่า อนุภาค CS2-B ขยายตัวเป็น hydrated filmgel ปิดแผลภายใน 30 นาที และผลการศึกษาในหลอดทดลองพบว่าเจลที่ก่อตัวขึ้นดังกล่าวสามารถปลดปล่อยสารสกัดได้ในทันที ตั้งแต่นาทีแรกหลังการใช้และต่อเนื่องถึง 24 ชม. ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า อนุภาคไมโครจากพอลิเมอร์ซึ่งประกอบด้วยสารสกัดจากใบมะรุมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการใช้รักษาแผล (27)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลเบาหวานของใบมะรุม โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย, voucher specimen SK 1561/10)แช่สกัดในเมทานอล 80% ที่อุณหภูมิ 27ºC นาน 3 ชม. กรองแยกสารสกัด และนำตะกอนไปสกัดซ้ำด้วยวิธีและสารละลายชนิดเดียวกันอีก 2 ครั้ง นำสารสกัดที่ได้จากการสกัดทั้ง 3 ครั้งมารวมกัน จากนั้นนำไประเหยแอลกอฮอล์และทำให้แห้งด้วยการลดความดันโดยใช้เครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดแห้งที่ได้ (10 ก.) มาละลายในสารละลายน้ำ:เมทานอล (1:3 v/v) แล้วนำไปสกัดแยกอีกครั้งด้วยตัวทำละลาย เฮกเซน, ไดคลอโรมีเทน, เอทิลอะซิเตท และบิวทานอล ด้วยการใช้กรวยแยกสาร (separation funnel) ซึ่งจะได้ส่วนสกัด 5 ส่วนคือ ส่วนสกัดเฮกเซน, ไดคลอโรมีเทน, เอทิลอะซิเตท, บิวทานอล และน้ำ นำส่วนสกัดทั้ง 5 ไปผสมลงในอาหารเลี้ยงเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (humal dermal fibroblast; HDF) พบว่า ส่วนสกัดน้ำมีผลทำให้เซลล์ HDF เพิ่มจำนวนได้มากที่สุด จึงถูกเลือกมาใช้เพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus, Pseudomonas aeruginosa และ Escherichia coli ด้วยวิธี agar well diffusion method และ tube dilutionmethodและเตรียมตำรับยาทาสำหรับรักษาแผลโดยผสมลงใน soft paraffin ointmentที่ความเข้มข้น 0.5, 1 และ 2% จากนั้นนำไปทดสอบการรักษาแผลในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วยการฉีด nicotinamide (NAD) 65 มก./กก. และ streptozotocin (STZ) 150 มก./กก. เข้าทางช่องท้องและทำให้เป็นแผลบริเวณด้านหลังด้วยอุปกรณ์ตัดชิ้นเนื้อ (punch biopsy)ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม. ลึก 2 มม. ทาครีมส่วนสกัดใบมะรุมรอบ ๆ แผลวันละ 1 ครั้ง นานติดต่อกัน 21 วันผลจากการศึกษาพบว่า ส่วนสกัดน้ำจากใบมะรุมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย โดยมีค่าพื้นที่ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ (inhibition zone) อยู่ระหว่าง 3.60-18.00 มม. ในขณะที่สารเปรียบเทียบ (tetracycline) มีค่าอยู่ระหว่าง 13.0-17.0 มม. และมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย (minimum inhibitory concentration; MIC) S.aureus, P. aeruginosa และ E. coli เท่ากับ6.25, 6.25 และ 12.5 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่ tetracycline มีค่าเท่ากับ 6.25, 12.5 และ 6.25 มคก./มล. ตามลำดับ สรุปได้ว่าครีมส่วนสกัดใบมะรุมมีผลช่วยทำให้ขนาดของแผลเล็กลงและหายเร็วขึ้น โดยประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความเข้มข้น และการทาครีมส่วนสกัดใบมะรุมเข้มข้น 2% มีผลทำให้แผลหายเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับหนูแรทกลุ่มที่เป็นเบาหวานและทาแผลด้วยน้ำเกลือ (กลุ่มควบคุม) นอกจากนี้ การทาครีมส่วนสกัดใบมะรุมยังมีผลลดการแสดงออกของยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบของผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลได้แก่ tumor necrosis factor-α (TNF-α), interleukin-1β (IL-1β), IL-6, inducible nitric oxide synthase (iNOS) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) และเพิ่มการแสดงออกของ vascular endothelial growth factor (VEGF) ซึ่งบ่งชี้ถึงกระบวนการสร้างเส้นเลือดใหม่ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ส่วนสกัดน้ำจากใบมะรุมมีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลเบาหวานได้ (28)
ศึกษาผลของสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุมต่อการเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนย้ายเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (human skin fibroblast)โดยนำตัวอย่างใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศแมกซิโก, accession number 39567)มาทำความสะอาดและอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50ºC นาน 24 ชม. จากนั้นนำใบมะรุมแห้งไปสกัดในตัวทำละลายเมทานอลด้วยคลื่นอัลตราโซนิค ที่อุณหภูมิ 28ºC นาน 20 นาที และสารสกัดไปทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์ภายใต้ภาวะสุญญกาศที่อุณหภูมิ 35ºC นำสารสกัดที่ได้ผสมในอาหารเลี้ยงเซลล์ที่ความเข้มข้น 0.01, 0.1, 1, 10, 100 และ 500 มคก./มล. บ่มเซลล์ที่อุณหภูมิ 37ºC นาน 24 ชม. พบว่า สารสกัดเมทานลจากใบมะรุมที่ความเข้มข้น 0.01 และ 0.1 มคก./มล. มีผลทำให้เซลล์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงเซลล์ด้วยอาหารปกติไม่ผสมสารสกัดใดๆ คิดเป็น 17 และ 21% ตามลำดับในขณะที่การให้สารสกัดที่ความเข้มข้นสูงสุด (500 มคก./มล.) มีผลยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ และการบ่มเซลล์ด้วยอาหารเลี้ยงเซลล์ที่มีสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุมเข้มข้น 0.01 และ 0.1 มคก./มล. นาน 48 ชม. พบว่า มีผลทำให้การเคลื่อนย้ายเซลล์เพิ่มขึ้นคิดเป็น 64.4 และ 50.1% ตามลำดับ ที่เวลา 24 ชม. และ 98.9 และ 83.4% ตามลำดับ ที่เวลา 48 ชม. ซึ่งเมื่อนำสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุมมาวิเคราะห์หาสารออกฤทธิ์ด้วยวิธี HPLC พบว่า สารออกฤทธิ์คือ สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ 7 ชนิด ได้แก่ myricetin 3-O-xylopyranoside, neohesperidin, rutin, uercetin-3-O-glucoside (isoquercitrin), apigenin 6,8-di-C-glucoside (vicenin-2), kaempferol-3-O-glucoside (astragalin) และ quercetin-3-O-(6″-malonyl) glucoside ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากใบมะรุมมีผลช่วยเพิ่มจำนวนและเคลื่อนย้ายเซลล์ผิวหนังมนุษย์ชนิด fibroblast ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการใช้เพื่อเป็นยารักษาแผลได้ (8)
3.4 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผิวกาย (S006)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารกสัดจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเซเนกัล, Lot No. 34FE16) 3 ชนิด ได้แก่ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ [ผงใบมะรุม 10 ก. แช่สกัดในตัวทำละลายแอลกอฮอล์และน้ำ (อัตราส่วน เอทานอล:น้ำ เท่ากับ 70:3)ที่อุณหภูมิห้อง นาน 60 นาที บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็ก จากนั้นทำการกรองแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ] สารสกัดเมทานอล [ผงใบมะรุม 5 ก. แช่สกัดในเมทานอล 100 มล. บนเครื่องอัลตราโซนิค (40ºC, 60 นาที) จากนั้นทำการปั่นเหวี่ยงเพื่อแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ] และสารสกัดน้ำ (ผงใบมะรุม 10 ก. แช่สกัดในน้ำ 150 มล. บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็ก ที่อุณหภูมิ 100ºC นาน 45 นาที กรองแยกสารสกัด และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง) ด้วยวิธี DPPH assay, photochemiluminesence (PCL) assay, oxygen radical absorbance capacity (ORAC) assay และ ferric reducing antioxidant power (FRAP) assay พบว่า ค่าความเข้มข้นของสารสกัดแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ สารสกัดเมททานอล และสารสกัดน้ำที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระลงครึ่งหนึ่ง (IC50) เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay มีค่าเท่ากับ 232.6±7.61, 305.8±12.15 และ 232.8±0.60 มคก./มล. ตามลำดับ ผลการทดสอบด้วยวิธี PCL assay พบว่า ความเข้มข้นของสารสกัดแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ สารสกัดเมททานอล และสารสกัดน้ำที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 506.8±3.19, 367.1±6.96 และ 512.1±10.30 เทียบเท่า trolox/ก. ตามลำดับ ในขณะที่ผลการทดสอบด้วยวิธี ORAC assay พบว่า ความเข้มข้นของสารสกัดแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ สารสกัดเมททานอล และสารสกัดน้ำที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้มีค่าเท่ากับ 2942.8±27.28, 2272.5±14.72 และ 2345.2±10.64 เทียบเท่า trolox/ก. ตามลำดับ และผลการทดสอบด้วยวิธี FRAP assay พบว่า ค่าความเข้มข้นของสารสกัดแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ สารสกัดเมททานอล และสารสกัดน้ำที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 496.6±8.74,418.3±12.24 และ 369.24±27.52 เทียบเท่า trolox/ก. ตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารฟีนอลิกในสารสกัดด้วยวิธี Folin-Ciocalteu metod พบว่า สารสกัดแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ สารสกัดเมททานอล และสารสกัดน้ำมีปริมาณสารฟีนอลิก 47.7±1.58, 33.6±1.81 และ 51.9±4.88 มคก. เทียบเท่า gallic acid/มก. ของสารสกัด ตามลำดับ (14)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดใบมะรุม (ตัวอย่างจากกรุงเทพมหานคร) โดยนำตัวอย่างใบมะรุมมาล้างให้สะอาด บดให้ละเอียด ชั่งปริมาณ 500 ก. แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งนำไปแช่สกัดในเอทานอล 95% เก็บไว้ในที่มืดที่อุณหภูมิห้อง นาน 3 วัน อีกส่วนหนึ่งนำไปสกัดด้วยการต้มในน้ำเดือด นำสารสกัดทั้ง 2 ชนิด มาทำการกรองแยกกาก จากนั้นทำการระเหยตัวทำละลายโดยใช้เครื่องrotary evaporator นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay, 2,2′-azino-bis 3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid (ABTS) assay และ FRAP assay พบว่า สารสกัดเอทานอลและน้ำจากใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 184.86±6.46 และ 99.28±3.47 มคก./มล. ตามลำดับ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay (สารเปรียบเทียบ ascorbic acid เท่ากับ 4.01±0.99 มคก./มล.)และมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งอนุมูลอิสระเท่ากับ 2.26±0.07 และ 2.40±0.01 มิลลิโมลาร์ เทียบเท่า ascorbic acid/1 ก. ของสารสกัด ตามลำดับ เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS assay ในขณะที่ผลการทดสอบด้วยวิธี FRAP assay พบว่า สารสกัดเอทานอลและน้ำจากใบมะรุมมีค่า FRAP value เท่ากับ 14.59±0.51 และ 14.80±0.59 มิลลิโมลาร์ เทียบเท่า Fe2+/1 ก. ของสารสกัด ตามลำดับจากผลการศึกษาดังกล่าว นักวิจัยเลือกสารสกัดน้ำจากใบมะรุมมาพัฒนาตำรับผลิตภัณฑ์เจลบำรุงผิวต้านอนุมูลอิสระ (ประกอบด้วย carbomer 1%, disodium EDTA 0.1%, propylene glycol 3%, phenoxyethanol 0.8% และ สารสกัดสมุนไพร 0.1%)และศึกษาความคงตัวของตำรับในสภาวะเร่งด้วยวิธี hot and cold temperature cycle และสภาวะเร่งระยะยาวที่อุณหภูมิ 45ºC พบว่า สภาวะเร่งในรอบที่ 8 ตำรับมีความคงตัวทางเคมี โดยมีค่าการต้านอนุมูลอิสระ DPPH ไม่แตกต่างจากค่าเริ่มต้น (IC50เริ่มต้นเท่ากับ 138.04±5.76 มคก./มล. และในสภาวะเร่งรอบที่ 8 เท่ากับ138.04±3.84 มคก./มล.)และในสภาวะเร่งระยะยาวตำรับเจลสารสกัดใบมะรุมมีความคงตัวทางเคมีและกายภาพที่ดีเมื่อเทียบกับตำรับเจลควบคุม (ไม่มีสารสกัดใบมะรุม) โดยมีค่า IC50 สำหรับการต้านอนุมูลอิสระ DPPH อยู่ในช่วง 97.72±123.89 มคก./มล. ในระหว่างเวลา 90 วัน โดยในวันที่ 90 ประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระของเจลสารสกัดใบมะรุมลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเริ่มต้น (IC50ระยะเริ่มต้นเท่ากับ 97.72±5.25 มคก./มล. และในวันที่ 90 เท่ากับ 104.71±4.83 มคก./มล.) ดังนั้น ตำรับเจลสารสกัดใบมะรุมดังกล่าวจะมีความคงตัวในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากใบมะรุมมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระและมีความเหมาะสมในการพัฒนาตำรับเจลบำรุงผิวต้านอนุมูลอิสระ (29)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบมะรุม โดยนำตัวอย่างใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) มาทำความสะอาดและอบแห้งที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 2 วัน จากนั้นใบมะรุมแห้ง 5 ก. มาสกัดด้วยคลื่นอัลตราโซนิค (ultrasonic extraction)ที่อุณหภูมิห้อง นาน 10 นาที โดยใช้น้ำและกลีเซอรีน (อัตราส่วน 50/50, 60/40 และ 80/20) เป็นตัวทำละลาย (ปริมาณ 100 มล.) และกรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman filter เบอร์ 10 นำสารสกัดที่ได้ไปวิเคราะห์สารสำคัญด้วยวิธี high performance liquid chromatography ร่วมกับ tandem mass spectrometry (HPLC-ESI-MS) พบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และฟีนอลิก เมื่อนำสารสกัดไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดจากน้ำและกลีเซอร์รีนในอัตราส่วน 50/50 ที่ความเข้มข้น 50% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด และการทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดต่อเซลล์ผิวหนังชนิด HaCaT (normal human keratinocyte) และ BJ fibroblasts พบว่า สารสกัดน้ำและกลีเซอร์รีนในอัตราส่วน 50/50, 60/40 และ 80/20 ที่ความเข้มข้นไม่เกิน 5% มีผลเพิ่มจำนวนของเซลล์และลดการเกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ นอกจากนี้ ทำการทดสอบประสิทธิภาพการก่อให้เกิดอาการระคายเคือง (skin irritation) ของสารลดแรงตึงผิวsodium coco sulphate (SCS) 1% ที่ประกอบด้วยสารสกัดน้ำและกลีเซอร์รีน (อัตราส่วน 50/50, 60/40 และ 80/20) จากใบมะรุมเข้มข้น 5, 3 และ 1% ด้วยวิธี Zein test พบว่า มีแนวโน้มช่วยลดอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกาย จึงสามารถสรุปได้ว่า สารสกัดน้ำและกลีเซอร์จากใบมะรุมประกอบด้วยสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง โดยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง และช่วยเพิ่มความปลอดภัยของเครื่องสำอางประเภทผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย (30)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทนอลจากใบและเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเคนย่า, voucher specimen numbers 2018001-2018003)โดยนำผงใบ/เมล็ดมะรุม 5 ก. แช่สกัดในเอทานอล 90% (ปริมาตร 50 มล.) นาน 3 ชม. จากนั้นนำไปสกัดต่อในอ่างคลื่นอัลตราโซนิค (กำลัง 200 วัตต์ ความถี่ 40 กิโลเฮิร์ทซ์) นาน 30 นาที แล้วนำไปปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ว 5000 rpm นาน 5 นาที จากนั้นทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีการเดิมอีก 1 รอบ เก็บสารสกัดส่วนเหนือตะกอนและนำไประเหยให้แห้งโดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 45ºC นำสารสกัดที่ได้ไปวิเคราะห์หาปริมาณสารฟลาโวนอยด์ด้วยวิธี colorimetric methodพบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบและเมล็ดมะรุมมีปริมาณสารฟลาโวนอยด์ 192.36±2.96 และ 5.89±0.65 มก. เทียบเท่ากับ rutin/1 ก. ของสารสกัด ตามลำดับผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPHassayพบว่า ค่าIC50 ของสารสกัดเอทานอลจากใบและเมล็ดมะรุมมีค่าเท่ากับ 1.87±0.03 และ >64 มก./มล. ตามลำดับ (สารเปรียบเทียบ trolox และ ascorbic acid มีค่าเท่ากับ 0.10±0.01 และ 0.05±0.00 มก./มล. ตามลำดับ) ในขณะที่ ผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS assay พบว่า ค่า IC50ของสารสกัดเอทานอลจากใบและเมล็ดมะรุมมีค่าเท่ากับ 1.36±0.02 และ 40.35±1.47 มก./มล. ตามลำดับ (สารเปรียบเทียบ ascorbic acid มีค่าเท่ากับ 0.11±0.01 มก./มล.)และผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP assayพบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบและเมล็ดมะรุมสามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 0.99±0.06 และ 0.02±0.00 มิลลิโมลาร์ เทียบเท่ากับ Fe2+/1 ก. ของสารสกัด ตามลำดับ (6)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบมะรุมที่อายุต่างๆ (30, 40 และ 60 วัน หลังจากการตัดแต่งกิ่ง) โดยนำตัวอย่างใบมะรุมสด (ตัวอย่างจากประเทศแคเมอรูน)มาล้างทำความสะอาดและบดด้วยโกร่ง นำตัวอย่าง 1 ก. ผสมกับตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำ เอทานอล และเมทานอล (ปริมาตร 20 มล.) ในขวดรูปชมพู่ ปิดฝาขวดด้วยพาราฟิล์ม กวนผสมสารละลายด้วยเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็กนาน 2 ชม. ที่อุณหภูมิห้อง (ประมาณ 25±2ºC)จากนั้นนำเข้าเครื่องปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ว 2,500Gนาน 30 นาที ที่อุณหภูมิ 4ºC แยกสารละลายเหนือตะกอน และนำตะกอนที่เหลือไปสกัดซ้ำอีกครั้งด้วยตัวทำละลายชนิดเดียวกันโดยใช้ปริมาตร 15 มล. จากนั้นนำสารสกัดที่ได้จากการสกัดทั้ง 2 ครั้งมารวมกัน และปรับปริมาตรให้เท่ากับ 40 มล. ด้วยตัวทำละลายที่ใช้สกัด นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบหาปริมาณสารฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPHและ ABTS assay พบว่า สารสกัดน้ำ เอทานอล และเมทานอลจากใบมะรุมที่อายุต่างๆ มีปริมาณสารฟีนอลิกอยู่ระหว่าง 2.16±0.31 - 4.57±0.20 ก. เทียบเท่า gallic acid/100 ก. ของสารสกัด โดยสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุมอายุ 60 วัน มีค่าสูงที่สุด ในขณะที่ปริมาณสารฟลาโวนอยด์มีค่าอยู่ระหว่าง 0.92±0.04 – 1.82±0.08 ก. เทียบเท่ากับ catechin/100 ก. ของสารสกัด โดยสารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมอายุ 45 และ 60 วัน มีค่าสูงสุด และผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมในทุกช่วงอายุมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด โดยมีประสิทธิภาพคิดเป็น 53.3-71.1% ในขณะที่วิธี ABTS assay สารสกัดเอทานอลและเมทานอลจากใบมะรุมในทุกช่วงอายุมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ใกล้เคียงกันและให้ผลดีกว่าสารสกัดน้ำ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดเอทานอลและเมทานอลจากใบมะรุมที่อายุ 45 วันขึ้นไป มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้ดี (31)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม 153.91 ก. แช่สกัดในเมทานอล 1 ลิตร เป็นระยะเวลา 3 วัน จากนั้นกรองสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำสารสกัดไปทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์ จนได้สารสกัดที่มีน้ำหนัก 14.7 ก. นำสารสกัดที่ได้ไปวิเคราะห์หาปริมาณสารฟีนอลิกด้วยวิธี Folin-Ciocalteu method และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, ABTS และ FRAP assay พบว่าสารสกัดเมทานอลใบมะรุมที่สกัดได้ขนาด 10 และ 20 มก. มีปริมาณสารฟีนอลิก 16.2 และ 17.2 ไมโครโมลาร์ เทียบเท่า gallic acid/ลิตร ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดเมทานอลใบมะรุมที่สกัดได้ขนาด 10 และ 20 มก. มีผลยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 14 และ 49% ตามลำดับ ในขณะที่การทดสอบด้วยวิธี ABTS assay มีผลยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 80 และ 86.34% ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธี FRAP assay พบว่า สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 17.54 และ 87.72 ไมโครโมลาร์เทียบเท่ากับ ascorbic acid/ลิตร (32)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบมะรุม (ตัวอย่างจากจังหวัดขอนแก่น, voucher specimen ICAM Mo1.)โดยนำตัวอย่างใบมะรุมมาทำให้แห้งและบดเป็นผง จากนั้นนำผงใบมะรุม 100 ก. แช่สกัดในแอลกอฮอล์ 50% ปริมาตร 500 มล. นาน 3 วัน กรองสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำตะกอนผงใบมะรุมที่เหลือไปสกัดซ้ำอีกครั้งในโดยใช้ตัวทำละลายละลายและวิธีเดียวกัน นำสารสกัดที่ได้ทั้ง 2 ครั้งมารวมกัน และทำสารสกัดให้เข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์โดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 60ºC และความดัน 600 มม.ปรอท จะได้ % yield ของสารสกัดเท่ากับ 17.30% นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบหาปริมาณสารฟีนอลิกด้วยวิธี วิธี Folin-Ciocalteu method และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ FRAPassay พบว่า สารสกัดใบมะรุมมีที่สกัดได้มีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 68.16±0.71 มก./ลิตร เทียบเท่ากับ gallic acid/มก. ของสารสกัด และมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ FRAP assay เท่ากับ 96.49±0.87 มคก./มล. และ 171.54±1.21 ไมโครโมลาร์ เทียบเท่ากับ ascorbic acid/มก. ของสารสกัด ตามลำดับ (33)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบมะรุม โดยนำผงใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย, voucher specimen NBR 182376)แช่สกัดในเมทานอล 50% และ 6N HCl เข้มข้น 1% ที่อุณหภูมิห้อง นาน 3 วัน จากนั้นทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์ โดยใช้เครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดหยาบที่ได้ไปแยกสกัดต่อด้วยตัวทำละลายน้ำและไดเอทิลเอสเทอร์ (diethyl ether) นำส่วนสกัดน้ำมาปรับค่า pH ให้ได้ 8-9 ด้วยการเติม NaHCO3เข้มข้น 20%ซึ่งจะเปลี่ยนสารประกอบฟีนอลิกไปอยู่ในรูปเกลือโซเดียมแยกส่วนที่ไม่ใช่สารประกอบฟีนอลิก (non-phenolics) ออกมา และสกัดแยกอย่างหมดจดอีกครั้งด้วยคลอโรฟอร์มนอกจากนี้ นำส่วนสกัดน้ำมาปรับค่า pH ให้มีค่าเท่ากับ 3-4 ด้วยการเติม 6N HCl และสกัดซ้ำด้วยสารละลายเอทิลอะซิเตท จะได้ส่วนสกัดโพลีฟีนอลิค (ค่า pH เท่ากับ 3-4) จากวิธีการสกัดที่กล่าวมา จะได้สารสกัด/ส่วนสกัด 5 ชนิด คือ สารสกัดหยาบ (MOCE), ส่วนสกัดไดเอทิลเอสเทอร์ (MODF),ส่วนสกัดคลอโรฟอร์ม/ส่วนสกัดที่ไม่ใช่สารประกอบฟีนอลิก (MOCF), ส่วนสกัดเอทิลอะซิเตท/ส่วนสกัดโพลีฟีนอลิก (MOEF)และส่วนสกัดน้ำ (MOR) นำสารสกัด/ส่วนสกัดที่ได้ทั้งหมดไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี β-carotenebleaching and linoleic acid assay พบว่า สารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์ในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ (percentage of inhibition) อยู่ระหว่าง 22.36-89.35% การทดสอบด้วยวิธี reducing power พบว่า สารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดสามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ 0.59-2.18 เทียบเท่า ascorbic acid/มล.(สารเปรียบเทียบ quercetin เท่ากับ 0.51 เทียบเท่า ascorbic acid/มล.) การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่า ค่าIC50 ของสารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมด มีค่าอยู่ระหว่าง 0.04-1.19 มก./มล. (สารเปรียบเทียบquercetin เท่ากับ 0.02 มก./มล.) การทดสอบด้วยวิธี superoxide anion radical scavenging assay พบว่า ค่า IC50ของสารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดมีค่าอยู่ระหว่าง 0.17-1.86 มก./มล. (สารเปรียบเทียบ quercetin เท่ากับ 0.03 มก./มล.) การทดสอบด้วยวิธี non-site specific hydroxyl radical scavenging assay (EDTA) พบว่า ค่า IC50ของสารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดมีค่าอยู่ระหว่าง 0.25-1.26 มก./มล. มล. (สารเปรียบเทียบ quercetin เท่ากับ 0.07 มก./มล.) การทดสอบด้วยวิธี site-specific hydroxyl radical scavenging assay (without EDTA) พบว่า ค่า IC50ของสารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดมีค่าอยู่ระหว่าง 0.19-1.09 มก./มล. (สารเปรียบเทียบ quercetin เท่ากับ 0.06 มก./มล.) การทดสอบด้วยวิธี ferrous ion chelating capacity พบว่า ค่า IC50ของสารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดมีค่าอยู่ระหว่าง 0.28-2.17 มก./มล. (สารเปรียบเทียบ quercetin เท่ากับ 0.04 มก./มล.) และการทดสอบด้วยวิธี lipid peroxidation assay พบว่า ค่า IC50ของสารสกัด/ส่วนสกัดทั้งหมดมีค่าอยู่ระหว่าง 0.09-0.98 มก./มล. (สารเปรียบเทียบ quercetin เท่ากับ 0.05 มก./มล.) ซึ่งจากการทดสอบในทุกวิธีพบว่า สารที่มีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุดคือ ส่วนสกัดโพลีฟีนอลิก (MOEF)นอกจากนี้ เมื่อทำการทดสอบในสัตว์ทดลอง โดยทำการป้อนส่วนสกัดโพลีฟีนอลิก (MOEF)ให้แก่หนูแรทขนาด 50 และ 100 มก./กก./วัน และหลังจากป้อนส่วนสกัด 30 นาที ทำการฉีดสาร carbon tetrachloride (CCl4):liquid paraffin (1:1) ขนาด 2 มล./กก./วัน เข้าทางใต้ผิวหนัง นานติดต่อกัน14 วัน ทำการชำแหละซากหนูหลังจากฉีด CCl4ครั้งสุดท้าย 24 ชม. เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อตับและไตมาวิเคราะห์การทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ ผลจากการศึกษาพบว่า การป้อนส่วนสกัดโพลีฟีนอลิก (MOEF) มีผลลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidationซึ่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ และเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระได้แก่ catalase และ SOD ผลจากการศึกษาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าสารสกัด/ส่วนสกัดจากใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (13)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบแก่ (dark green)ใบอ่อน (bright green) ของมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย, specimen no. 3710) โดยเก็บตัวอย่างใบอ่อนจากส่วนยอดกิ่ง และใบแก่จากส่วนกลางลำต้นมะรุมมาล้างทำความสะอาด และอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60ºCจากนั้นบดเป็นผงและนำไปแช่สกัดด้วยน้ำ เอทานอล 95% และเฮกเซน 95% ที่อุณหภูมิห้อง นาน 48 ชม. (ยกเว้นสารสกัดเฮกเซน ทำการแช่สกัดที่อุณหภูมิ -4ºC)กรองแยกสารสกัดน้ำด้วยกระดาษกรอง Whatman grade 3 ส่วนสารสกัดเอทานอลและเฮกเซนนำไปปั่นแยกที่ความเร็ว 6,000 รอบ/นาที นาน 20 นาที ทำการแยกตะกอนของสารสกัดทั้ง 3 ชนิด ทั้งหมด 3 ครั้ง จากนั้นนำไประเหยสารละลายโดยใช้เครื่อง rotary evaporatorนำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี tetramethoxy azobizmethylene quinon (TMAMQ) assay และ ABTS assay พบว่า ใบมะรุมแก่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าใบอ่อน โดยสารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมแก่มีฤทธิ์ต้านนุมูลอิสระได้สูงสุด รองลงมาคือสารสกัดน้ำ และสารสกัดเฮกเซน (34)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบมะรุม โดยเก็บตัวอย่างจากสวนในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี นำมาล้างทำความสะอาด นำไปอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60ºC นาน 24 ชม. หรือจนกว่าจะได้ความชื้น 10% จากนั้นนำไปบดและร่อนผ่านตะแกรงขนาด 1 มม. นำผงใบมะรุม 2.5 ก. แช่สกัดในตัวทำละลาย 3 ชนิด ได้แก่ น้ำ เอทานอล 50% และเอทานอล 95% ปริมาตร 100 มล. ด้วยอัตราส่วนตัวอย่างต่อตัวทำละลาย 0.25:10 (น้ำหนัก/ปริมาตร) เขย่าด้วยความเร็วรอบ 150 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิห้อง นาน 24 ชม. จากนั้น กรองด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 และปรับปริมาตรให้ครบ 100 มล. นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS และ FRAP assay พบว่า สารสกัดใบมะรุมที่สกัดด้วยเอทานอล 50% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด โดยสามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 42.97 มก. เทียบเท่า trolox/ก. ของสารสกัด และ 0.59 มก. เทียบเท่าferrous/ก. ของสารสกัดตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าตัวทำละลายที่ใช้ในการสกัดมีผลต่อความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ โดยตัวทำละลายที่ให้ผลดีที่สุดคือ เอทานอล 50% รองลงมาคือ น้ำ และเอทานอล 95% ตามลำดับ (35)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) โดยเก็บตัวอย่างใบอ่อนและใบแก่มาตากให้แห้งและบดเป็นผง จากนั้นนำผงใบมะรุม (500 ก.) กวนในน้ำที่อุณหภูมิ 80ºC นาน 2 ชม. และตั้งทิ้งไว้ให้เย็นลงที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นกรองสารสกัด ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator และทำให้สารสกัดแห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง นำสารสกัดที่ได้วิเคราะห์หาปริมาณสารประกอบฟีนอลิก (quercetin และ kaempferol) ด้วยวิธี high performance thin-layer chromatography (HPTLC) และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี β-carotenebleaching and linoleic acidcoupled reaction method พบว่า สารสกัดใบมะรุมแก่มีปริมาณสาร quercetin และ kaempferol เท่ากับ 795±0.02 และ 216±0.03 มคก./ก. ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดใบมะรุมอ่อนมีค่าเท่ากับ 436.2±0.01 และ 115±0.02 มคก./ก. ตามลำดับ และสารสกัดใบมะรุมแก่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดใบมะรุมอ่อน โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์ในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเท่ากับ 84.56±0.51 และ 63.64±0.82% ตามลำดับ ในขณะที่สารเปรียบเทียบ α-tocopherol มีค่าเท่ากับ 71.76±0.42% นอกจากนี้ การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดใบมะรุมในเซลล์มะเร็งมนุษย์ (KB cells)ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระด้วย hydrogen peroxide (H2O2) พบว่า สารสกัดจากใบมะรุมทั้งใบอ่อนและใบแก่ (เข้มข้น 50 มก./มล.) มีผลลดความเสียหายของ DNA ลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation และเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระได้แก่ SOD และ catalase โดยสารสกัดใบมะรุมแก่จะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดใบมะรุมอ่อน (36)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำจากผงใบมะรุม (ไม่ระบุที่มา) โดยใช้ตัวอย่างผงใบมะรุม 660 มก. ละลายในแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ (เอทานอล:น้ำ เท่ากับ 50:50)บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็กด้วยความเร็ว 400 rpm นาน 90 นาที จากนั้นนำไปปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ว 4,000 rpm นาน 10 นาที กรองแยกส่วนใสที่อยู่ด้านบนด้วย cellulose membrane filter และทำให้สารสกัดเข้มข้นโดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 35ºC นำสารสกัดที่ได้ละลายในน้ำ 7 มล. และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็งและเก็บที่อุณหภูมิห้องสำหรับใช้ศึกษาต่อไป ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดที่ได้ด้วยวิธี FRAP assay และ ABTS assay พบว่า ค่าความเข้มข้นของสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำจากผงใบมะรุมที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP assay เท่ากับ 150.07±14.45 ไมโครโมลาร์เทียบเท่ากับ Fe2+/ก. ของสารสกัด และมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS assay เท่ากับ 23.50±0.45 มก. เทียบเท่า trolox/ก. ของสารสกัด และจากการทดสอบด้วยวิธี Folin-Ciocalteu assay พบว่า สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และน้ำจากผงใบมะรุมมีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 14.87±0.74 มก. เทียบเท่า gallic acid/ก. ของสารสกัด (27)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันจากเมล็ดมะรุม โดยนำตัวอย่างเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย, voucher specimen No. 8257)ที่แกะเปลือกออกแล้วปริมาณ 86.71 ก. มาบดด้วยโกร่ง จากนั้นนำไปสกัดน้ำมันด้วยวิธีsoxhlet extraction โดยใช้เอ็น-เฮกเซน (0.5 ลิตร) เป็นตัวทำละลาย ใช้เวลาสกัดนาน 16 ชม. ทำการระเหยตัวทำละลายออกจากน้ำมันในอ่างน้ำควบคุมอุณหภูมิ (water bath)นาน 12 ชม. หรือจนกว่าตัวทำละลายระเหยจนหมด น้ำมันเมล็ดมะรุมที่สกัดได้จะมีลักษณะสีเหลืองใส มีค่าดัชนีหักเหแสง (refractive index) จุดหลอมเหลว (melting point)และค่าความเป็นกรด (acid value) เท่ากับ 1.471±0.00, 28±0.00ºC และ3.80±0.28 มก.เทียบเท่า KOH/1 ก. น้ำมัน ตามลำดับ ในขณะที่ค่า iodine value, saponification valueและ peroxide valueมีค่าเท่ากับ 85.30±0.25เทียบเท่า I2/100 ก.ในน้ำมัน, 171.90±0.56 เทียบเท่า KOH/1 ก. น้ำมัน และ8.10±0.07 มิลลิโมลาร์/กก. ตามลำดับ นำน้ำมันเมล็ดมะรุมที่ได้ไปวิเคราะห์หาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ด้วยวิธี Folin-Ciocalteu method และaluminum trichloridecolorimetric methodและทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีphosphomolybdenum method, DPPH assay และ reducing power assay พบว่า น้ำมันเมล็ดมะรุมที่สกัดได้มีสารประกอบฟีนอลิก 40.17±0.01 มก. เทียบเท่า gallic acid/1 ก. น้ำมัน และมีฟลาโวนอยด์ 18.24±0.01 มก. เทียบเท่า rutin/1 ก. น้ำมันและมีค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวมเท่ากับ 37.94±0.02 มก. เทียบเท่า ascorbic acid/1 ก. น้ำมันในขณะที่ค่าเปอร์เซ็นต์ในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระในการทดสอบที่ความเข้มข้น 100 มคก/มล. เท่ากับ70.15±0.03%เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay (สารเปรียบเทียบคือน้ำมันปาล์มมีค่าเท่ากับ 88.16±0.03%)และค่าความสามารถในการรับอิเล็กตรอนจากสารต้านอนุมูลอิสระ(reducing power potential)ในการทดสอบที่ความเข้มข้น 100 มคก/มล.มีค่าเท่ากับ 0.798±0.03 (สารเปรียบเทียบคือน้ำมันปาล์มมีค่าเท่ากับ 0.955±0.001) (37)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันจากเมล็ดมะรุม โดยนำตัวอย่างเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ตากให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง นำมาสกัดน้ำมันด้วยวิธี soxhlet extractionโดยใช้ปิโตรเลียมอีเทอร์เป็นตัวทำละลาย นำน้ำมันเมล็ดมะรุมที่สกัดได้ทดสอบลักษณะทางกายภาพและทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า น้ำมันเมล็ดมะรุมที่สกัดได้มี %yield เท่ากับ 26.9% ค่าความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.1827 มีกรดไขมันอิสระเท่ากับ 2.51 มก. เทียบเท่า KOH/1 ก. น้ำมัน ค่าความเป็นกรดเท่ากับ 5.039 เทียบเท่า KOH/1 ก. น้ำมัน และ saponification valueมีค่าเท่ากับ 187.5 มีค่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระอยู่ระหว่าง 65-84% (ความเข้มข้น 10-500 มคก./มล.) โดยประสิทธิผลที่ได้เพิ่มขึ้นตาขนาดความเข้มข้น (38)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร isothiocyanate ที่สกัดได้จากเมล็ดมะรุม โดยนำตัวอย่างเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศจาไมกา, accession number: 146375) แช่ในน้ำ (อัตราส่วนเมล็ดมะรุม:น้ำ เท่ากับ 1:4) ที่อุณหภูมิ 37ºC นาน 2 ชม. จากนั้นเติมเอทานอลเป็นปริมาตร 4 เท่าของน้ำ แช่ต่อไปอีก 2 ชม. ที่อุณหภูมิ 37ºC กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง เมื่อวิเคราะห์ปริมาณสาร isothiocyanate ด้วยวิธี HPLC พบว่า สารสกัดเมล็ดมะรุมที่สกัดได้มีปริมาณสาร isothiocyanate เท่ากับ 38.9% (w/w) และ สารisothiocyanateความเข้มข้น 10 ไมโครโมลาร์ มีผลเพิ่มการแสดงออกของยีนส์ quinone oxidoreductase 1 (NQO1), glutathione S-transferase pi 1 (GSTP1)และ heme oxygenase1 (HO1) ที่มีบทบาทในการกระตุ้นโปรตีน nuclear factor (erythroid-derived 2)-like 2 (Nrf2) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทำการทดสอบบนเซลล์แมคโครฟาจน์ (RAW 264.7) ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS ผลจากการทดสอบแสดงให้เห็นว่า สาร isothiocyanate ที่สกัดได้จากเมล็ดมะรุม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (12)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดมะรุมที่ได้จากวิธีการสกัดเย็น (ตัวอย่างนำเข้าจากประเทศอินเดียโดยสั่งซื้อจาก Neo Moringa, Thailand) โดยทำการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในน้ำมันด้วยวิธี HPLC และgas chromatography (CG) และสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay ซึ่งพบว่า น้ำมันเมล็ดมะรุมประกอบด้วยสาร α-tocopherol สารกลุ่มสเตอรอล และกรดไขมันและค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ 50% (IC50) คือ 121.9 มก./มล. นำน้ำมันจากเมล็ดมะรุมไปเตรียมตำรับครีมบำรุงผิวโดยผสมลงในครีมเบสและกำหนดให้มีความเข้มข้น 25% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับได้แก่ oil phase; stearyl alcohol 4%, cetyl alcohol 5%, stearic acid 3% และ sorbitan ester 80 0.6%, water phase; propylene glycol 5%, polysorbate 80 4.40%, concentrated parabens 1.02%, triethanolamine 0.1% และ purified water 51.88%)ครีมที่ได้มีลักษณะเป็นสีเหลืองอ่อน เนื้อสัมผัสเรียบลื่น และมีกลิ่นของน้ำมันเมล็ดมะรุม มีค่า pH เท่ากับ 5.43±0.04 และมีค่าความหนืดเท่ากับ 17,786-1,442 cP เมื่อนำครีมที่ได้ไปทดสอบความคงตัวของตำรับในสภาวะเร่งด้วยวิธี heating–cooling cycles จำนวน 6 รอบ และทดสอบคุณสมบัติในการเก็บที่อุณหภูมิคงที่ (4, 30 และ 45ºC)นาน 28 วัน พบว่า สี กลิ่น เนื้อสัมผัส ค่าpH และค่าความหนืดของครีมไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อนำครีมไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า ครีมที่มีน้ำมันเมล็ดมะรุม (83.33 มก./มล.) สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ 35.97±0.01% ในขณะที่ครีมเบส (ไม่มีน้ำมันเมล็ดมะรุม) ยับยั้งได้เพียง 4.22±0.21% ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า น้ำมันจากเมล็ดมะรุมและตำรับครีมที่ประกอบด้วยน้ำมันจากเมล็ดมะรุมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (16)
3.5 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
ศึกษาฤทธิ์บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis)ของสารสกัดจากใบมะรุม โดยเก็บใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศกัมพูชา) มาทำความสะอาด และอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60ºC นาน 12 ชม. จากนั้นนำมาแช่สกัดในเอทานอล 70% นาน 2 ชม. กรองแยกสารสกัด และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง นำสารสกัดที่ได้มาทดสอบผลต่อการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบในเซลล์ผิวหนัง human keratinocytes (HaCaT) ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารชักนำการอักเสบ (pro-inflammatory mediators) tumor necrosis factor-α (TNF-α)และ interferon-γ (IFN-γ) และทดสอบฤทธิ์บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีอาการผื่นแพ้ผิวหนังบริเวณใบหูด้วยการทาสาร2,4-dinitrochlorobenzene (DNCB) และสิ่งสกัดจากไรฝุ่น (Dermatophagoides farinae extract, DFE)โดยทาสารสกัดเอทานอลใบมะรุมความเข้มข้น 1มก./มล. ปริมาตร 20 มคล. ในบริเวณที่มีอาการผื่นแพ้วันละครั้ง นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ผลจากการศึกษาพบว่า สารสกัดเอทานอลใบมะรุมความเข้มข้น 0.02, 0.5 และ 1.0 มก./มล. มีผลยับยั้งการแสดงออกของยีนส์และโปรตีนที่เกี่ยวข้องในการะบวนการอักเสบได้แก่ TNF-α, CC chemokine ligand 17 (CCL17), interleukin-1β (IL-1β), IL-6และ mitogen-activated protein kinases (MAPKs)ในเซลล์ HaCaT ที่ถูกกระตุ้นด้วย TNF-αและIFN-γโดยประสิทธิผลขึ้นกับขนาดความเข้มข้น ในขณะที่ผลการทดสอบฤทธิ์บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ในหนูเม้าส์พบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมมีผลช่วยบรรเทาอาการผื่นแพ้และลดความหนาของใบหูเมื่อเทียบกับหนูที่ถูกกระตุ้นให้อาการผื่นแพ้โดยไม่ได้รับยาหรือสารสกัดใดๆ (กลุ่มควบคุม) และมีผลลดจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดmast cells และระดับ immunoglobulin ในเลือด (IgE และ IgG2a) ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดอาการผื่นแพ้ผิวหนังอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการวิเคราะห์การแสดงออกของยีนส์และโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบในตัวอย่างเนื้อเยื่อใบหู ต่อมน้ำเหลือง และsplenocytesพบว่า สารสกัดเอทานอลใบมะรุมมีผลลดการแสดงออกของ IL-4, IL-5, IL-10, IL-17, IL-22, IL-31,IL-32,retinoic acid-related orphan receptor γT (RORγt), thymic stromal lymphopoietin (TSLP) และ mannose receptor (CD206) นอกจากนี้ สารสกัดเอทานอลใบมะรุมยังมีผลช่วยยับยั้งการลดขนาดของต่อมน้ำเหลืองซึ่งเกิดหลังจากเหนี่ยวนำให้เกิดอาการผื่นแพ้ผิวหนัง ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมมีฤทธิ์บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ได้ (39)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย, specimen number SK 1561/08) โดยเก็บตัวอย่างใบมะรุมมาทำความสะอาดและตากให้แห้งภายใต้อุณหภูมิห้อง นาน 2 วัน จากนั้นนำไปอบที่อุณหภูมิ 45ºC นาน 2 วัน นำใบมะรุมแห้งไปแช่สกัดในเอทานอล 90% ที่อุณหภูมิห้องนาน 72 ชม. กรองเก็บสารละลายโดยใช้กระดาษกรองและระเหยให้แห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดที่ได้ละลายในเอทานอล 90% อีกครั้ง และนำไปสกัดด้วยวิธี solvent-solvent partition techniqueโดยใช้ตัวทำละลาย เฮกเซน เอทิลอะซิเตท บิวทานอล และคลอโรฟอร์ม จากนั้นนำส่วนสกัดที่แยกได้จากตัวทำละลายแต่ละชนิดไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบบนเซลล์ mouse macrophage (RAW264.7) ที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่า ส่วนสกัดเฮกเซน เอทิลอะซิเตท บิวทานอล และคลอโรฟอร์ม ที่ความเข้มข้น 50, 100 และ 200 มคก./มล. มีผลยับยั้งการสร้างnitric oxide (NO) และยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่บ่งชี้ถึงการเกิดภาวะอักเสบได้แก่ prostaglandin E2 (PGE2), IL-6, IL-1βและ TNF-αโดยประสิทธิผลที่ได้ขึ้นกับขนาดความเข้มข้น และส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทความเข้มข้น 200 มคก./มล. สามารถยับยั้งได้มากที่สุดนอกจากนี้ ส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทยังมีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนและเอนไซม์ที่เป็นสารสื่อกลางในกระบวนการอักเสบ (inflammatory mediator)ได้แก่ cyclooxygenase (COX)-2, nitric oxide synthase (iNOS) และ nuclear factor (NF)-κB p65 โดยผ่านการยับยั้งวิถีส่งสัญญาณ NF-κB เพิ่มการแสดงออกของ inhibitor ของκB (IκBα) และปิดกั้นการเคลื่อนย้ายโปรตีนNF-κB ไปสู่นิวเคลียส ซึ่งมีบทบาทในการกระตุ้นการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทจากใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ RAW264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS โดยมีกลไกลการยับยั้งยั้งวิถีการส่งสัญญาณ NF-κB (40)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเอทนอลจากใบและเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเคนย่า, voucher specimen numbers 2018001-2018003)โดยนำผงใบ/เมล็ดมะรุม 5 ก. แช่สกัดในเอทานอล 90% (ปริมาตร 50 มล.) นาน 3 ชม. จากนั้นนำไปสกัดต่อในอ่างคลื่นอัลตราโซนิค (กำลัง 200 วัตต์ ความถี่ 40 กิโลเฮิร์ทซ์) นาน 30 นาที แล้วนำไปปั่นในเครื่อง centrifuge ที่ความเร็ว 5000 rpm นาน 5 นาที จากนั้นทำการสกัดซ้ำด้วยวิธีการเดิมอีก 1 รอบ เก็บสารสกัดส่วนเหนือตะกอนและนำไประเหยให้แห้งโดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 45ºC นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบบนเซลล์แมคโครฟาจน์ RAW264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS พบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบและเมล็ดมะรุมความเข้มข้น 11.11, 33.33 และ 100 มคก./มล. มีผลยับยั้งการสร้าง NO ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะการอักเสบในเซลล์ประสิทธิผลที่ได้ขึ้นกับขนาดความเข้มข้น โดยสารสกัดเอทานอลจากใบมะรุม 100 มคก./มล. สามารถยับยั้ง NO ได้มากกว่าสารเปรียบเทียบ aspirin อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดมะรุม 100 มคก./มล. มีผลในการยับยั้ง NO ได้ไม่แตกต่างจาก aspirin แสดงให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบดีกว่าเมล็ดมะรุม (6)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักสบของส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทจากใบมะรุม (ตัวอย่างจาก บริษัทขาวละออเภสัชจำกัด, จังหวัดสมุทรปราการ, Lot. 5534)โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม 2 กก. สกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน (5 ลิตร 3 ครั้ง) และเอทิลอะซิเตท (5 ลิตร 3 ครั้ง) จากนั้นทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการระเหยตัวทำละลายโดยใช้เครื่อง rotary evaporator ได้สารสกัดหยาบเฮกเซนใบมะรุม (44 ก., คิดเป็น 2.2% yield) และสารสกัดหยาบเอทิลอะซิเตทใบมะรุม (128 ก., คิดเป็น 6.4% yield) นำสารสกัดหยาบที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบบนเซลล์ human monocyte-derived macrophage (MDM) ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS เทียบกับสารสกัดจากใบมะรุมที่สกัดโดยใช้ตัวทำละลายอื่นๆ ได้แก่ เอทานอลและน้ำ พบว่า สารสกัดเอทิลอะซิเตทใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบดีที่สุด โดยมีผลยับยั้งการแสดงออกของยีนส์และโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบได้แก่ IL-6, TNF-α, prostaglandin-endoperoxide synthase 2(PTGS2), NF-κB และ v-rel reticuloendotheliosis viral oncogene homolog A (avian)(RelA)ดังนั้นจึงนำสารสกัดหยาบเอทิลอะซิเตทใบมะรุมไปแยกสกัดต่อด้วย flash column chromatography ชะด้วยตัวทำละลายเฮกเซน, เฮกเซน-เอทิลอะซิเตท และเอทิลอะซิเตท-เมทานอลทำให้ได้ส่วนสกัด 15 ชนิด (Fr.1-Fr.15)นำส่วนสกัดทั้งหมดไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบบนเซลล์ MDM ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS พบว่า ส่วนสกัด Fr.6 และ Fr.12 มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยส่วนสกัด Fr.6 มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีกว่า ดังนั้นนำส่วนสกัด Fr.6 แยกสกัดอีกครั้งด้วย flash column chromatographyจะได้ส่วนสกัดย่อย 17 ชนิด (Fr.6.1-Fr.6.17)เมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบพบว่ามีเพียงส่วนสกัดย่อย Fr.6.17 ที่มีฤทธิ์ดังกล่าว นำ Fr.6.17ไปแยกด้วย silica gel column chromatography และทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบจนเหลือเพียงสารออกฤทธิ์เพียงชนิดเดียว (Fr.6.17.2) นำสารที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิค liquid chromatography with electrospray ionization quadrupole time-of-flight mass spectrometer (LC-ESI-QTOF-MS/MS) พบสารประกอบ 7 ชนิด ได้แก่ 3,4-methyleneazelaic acid, (2S)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol, γ-diosphenol, 2,2,4,4-tetramethyl-6-(1-oxobutyl)-1,3,5-cyclohexanetrione, (2R)-2-phenylmethoxybutane-1,4-diol,3-hydroxy-β-ionone และ tuberonic acidผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ต้านการอักเสบของใบมะรุมและสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ดังกล่าว (9)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของใบมะรุม โดยเก็บตัวอย่างใบมะรุมจากสวนภายในมหาวิทยาลัย Putra ประเทศมาเลเซีย นำมาทำความสะอาดและผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง นาน 18 ชม. จากนั้นนำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 42ºC นานติดต่อกัน 2 วัน และบดให้เป็นผงละเอียด นำผงใบมะรุมที่ได้ไปแช่สกัดในตัวทำละลายเอทานอล-น้ำ ที่อุณหภูมิห้อง [อัตราส่วนของตัวทำละลายระหว่างเอทานอล:น้ำมี 3 ความเข้นข้นคือ 50:50 (50%), 70:30 (70%) และ 90:10 (90%)] ใช้เวลาในการสกัดนาน 3 วันกรองสารสกัดด้วยกระดาษกรอง และนำไปทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์โดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 40ºC นำสารสกัดเอทานอล 50, 70 และ 90% จากใบมะรุมไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบบนเซลล์แมคโครฟาจน์ RAW264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย PLS พบว่า สารสกัดเอทานอล 50, 70 และ 90% จากใบมะรุมความเข้มข้น 15.62-1000 มคก./มล. มีผลลดการสร้าง NO ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบ และลดการแสดงออกของโปรตีนและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบได้แก่ PGE2, TNF-α, IL-6, IL-1β, iNOS, COX2 และ NF-κBp65 แสดงให้เห็นว่าใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (41)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม 153.91 ก. แช่สกัดในเมทานอล 1 ลิตร เป็นระยะเวลา 3 วัน จากนั้นกรองสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำสารสกัดไปทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์ จนได้สารสกัดที่มีน้ำหนัก 14.7 ก. นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูแรทด้วยการฉีดสารสกัดเข้าช่องท้องหนูขนาด50, 100 และ 200 มก./กก. 1 ชม. ก่อนฉีดสาร carrageenan 1% ขนาด 0.1 มล. เข้าอุ้งเท้าหนู และการทดสอบฉีดสารสกัดขนาด 50, 100 และ 200 มก./กก. เข้าทางช่องท้องหนูแรท 1 ชม. ก่อนฉีดสาร histamine 0.1% เข้าอุ้งเท้าด้านหลัง สังเกตอาการบวมของอุ้งเท้าหนูหลังจากที่ฉีดสาร carrageenan 1% และ histamine 0.1% ที่ 0, 1, 2 และ 3 ชม. ผลจากการศึกษาพบว่า สารสกัดเมทานอลใบมะรุมสามารถยับยั้งอาการบวมของอุ้งเท้าหนูแรทที่เกิดจากการเหนี่ยวนำด้วย carrageenan 1%โดยขนาด 200 มก./กก. สามารถยับยั้งได้สูงสุดหลังจากฉีด 3 ชม. คิดเป็น 23.9% (สารเปรียบเทียบน้ำเกลือและยา indomethacin เท่ากับ 0 และ 4% ตามลำดับ) ในขณะที่ผลการเหนี่ยวนำด้วย histamine 0.1% พบว่า สารสกัดเมทานอลใบมะรุมสามารถยับยั้งอากรบวมของอุ้มเท้าหนูโดยประสิทธิภาพขึ้นกับขนาดความเข้มข้นและเวลา (dose and time-dependent) ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (32)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเม็กซิโก, voucher specimen MEXUS-1420215) โดยนำใบมะรุมมาตากแห้งและขยำให้ละเอียดด้วยมือ จากนั้นนำผงใบมะรุมแห้ง 600 ก. ไปแช่สกัดในเฮกเซน (3 ลิตร) ที่อุณหภูมิห้อง (22±1ºC)นาน 48 ชม. กรองแยกสารสกัด (ทำซ้ำ 3 ครั้ง แล้วเทสารสกัดรวมกัน) และนำตะกอนไปสกัดต่อในเอทานอล (3 ลิตร) ที่อุณหภูมิห้อง (22±1ºC)นาน 48 ชม. กรองแยกสารสกัด (ทำซ้ำ 3 ครั้ง แล้วเทสารสกัดรวมกัน) นำสารสกัดทั้ง 2 ชนิด ไปทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญกาศ จะได้สารสกัดเฮกเซนที่มีลักษณะสีเขียวเข้มและมีความมันวาว (24.30 ก., คิดเป็น 4.05%)และสารสกัดเอทานอลที่มีลักษณะสีเขียวเข้มกึ่งของแข็ง (32.64 ก., คิดเป็น 5.44%) นำสารสกัดทั้ง 2 ชนิด ไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยป้อนให้แก่หนูแรทขนาด 30, 100 และ 300 มก./กก. 30 นาทีก่อนฉีดอุ้งเท้าหนูด้วยสารcarrageenan เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดอาการอักเสบและบวมและสังเกตอาการบวมที่เวลา 0, 1, 2, 3, 4 และ 5 ชม. หลังการฉีด carrageenan ผลจากการศึกษาพบว่า สารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมขนาด 100 และ 300 มก./กก. สามารถยับยั้งอาการบวมของอุ้งเท้าหนูที่เกิดจากการฉีด carrageenan ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับหนูที่ป้อนน้ำเกลือ (กลุ่มควบคุม) ในขณะที่การป้อนสารสกัดเฮกเซนจากใบมะรุมให้ผลไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (42)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารisothiocyanateที่สกัดได้จากเมล็ดมะรุม โดยนำตัวอย่างเมล็ดมะรุม (ตัวอย่าจากประเทศจาไมกา, accession number: 146375) แช่ในน้ำ (อัตราส่วนเมล็ดมะรุม:น้ำ เท่ากับ 1:4) ที่อุณหภูมิ 37ºC นาน 2 ชม. จากนั้นเติมเอทานอลเป็นปริมาตร 4 เท่าของน้ำ แช่ต่อไปอีก 2 ชม. ที่อุณหภูมิ 37ºC กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็งวิเคราะห์ปริมาณสารisothiocyanate ด้วยวิธี HPLC และทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบบนเซลล์แมคโครฟาจน์ (RAW 264.7) ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS และป้อนให้แก่หนูแรท (250 และ 500 มก./กก.) 30 นาทีก่อนฉีดอุ้งเท้าหนูด้วยสารcarrageenan เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดอาการอักเสบและบวม ผลจากการศึกษาพบว่า สารสกัดเมล็ดมะรุมที่สกัดได้มีปริมาณสาร isothiocyanate เท่ากับ 38.9% (w/w) การป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุมให้แก่หนูแรท 500 มก./กก. มีผลลดอาการบวมของอุ้งเท้าหนูคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยับยั้งเท่ากับ 33% ในขณะที่กลุ่มเปรียบเทียบ (ป้อนยา aspirin 300 มก./กก.) ลดลงเพียง 27% ในขณะที่ผลการทดสอบบนเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS พบว่า สาร isothiocyanateเข้มข้น 1 ไมโครโมลาร์ มีผลยับยั้งการสร้าง NO และที่ความเข้มข้น 5 ไมโครโมลาร์มีผลยับยั้งการแสดงออกของ iNOS, IL-1β และ IL-6 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะอักเสบ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สาร isothiocyanate ที่สกัดได้จากเมล็ดมะรุม มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (12)
4 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
4.1 ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในช่องปาก (Staphylococcus aureus, Streptococcus mutans และ Candida albicans) ของสารสกัดจากใบและเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศอียิปต์) โดยเก็บตัวอย่างใบและเมล็ดล้างทำความสะอาด และผึ่งให้แห้งที่อุณหูมิห้อง หั่นให้เป็นชิ้นเล็กและบดให้เป็นผง จากนั้นนำใบและเมล็ดมะรุม 50 ก. แช่สกัดในตัวทำละลายชนิดต่าง ๆ (เอทานอล 95% อะซิโตน และเอทิลอะซิเตท) ปริมาตร 500 มล. นาน 72 ชม. ที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นนำสารสกัดจากใบและเมล็ดจากแต่ละตัวทำละลายรวมกันและนำไปกวนให้เข้ากันบนเครื่องกวนสารด้วยแม่เหล็ก นาน 48 ชม. ที่อุณหภูมิ 4ºC กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 และทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการระเหยตัวทำละลายอุณหภูมิ 40ºC ด้วยเครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. aureus, S. mutans และ C. albicans ด้วยวิธี disc diffusion method พบว่า สารสกัดเอทานอลมีผลยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus และ S.mutans ได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารละลายชนิดอื่น โดยสารสกัดเอทานอลจากใบให้ผลยับยั้งได้ดีกว่าสารสกัดจากเมล็ดและจากใบผสมเมล็ดรวมกัน อย่างไรก็ตาม สารสกัดทุกชนิดไม่มีผลในการยับยั้งเชื้อ C. albicans เมื่อนำสารสกัดเอทานอลจากใบมะรุมใช้เตรียมตำรับน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟัน (ภายใต้การจดสิทธิบัตรหมายเลข 2015/2069 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์ ประเทศอียิปต์) นำน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันสารสกัดใบมะรุมที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. aureus, S. mutans และ C. albicans ด้วยวิธี disc diffusion method พบว่า น้ำยาบ้วนปากมีผลยับยั้งเชื้อ S. aureus และ S.mutans ได้ดีกว่ายาสีฟัน แต่ยาสีฟันมีผลยับยั้งเชื้อ C. albicans ได้ ในขณะที่นำยาบ้วนปากไม่มีผลยับยั้งเชื้อดังกล่าว ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากใบมะรุมสามารถใช้เป็นสารเสริมสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากเพื่อใช้ควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรคได้ (43)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การศึกษาฤทธิ์ก่อระคายเคืองของครีมซึ่งประกอบด้วยสารกสกัดจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศเซเนกัล, Lot No. 34FE16) 3 ชนิด ได้แก่ สารสกัดด้วยเอทานอลผสมกับน้ำ [ผงใบมะรุม 10 ก. แช่สกัดในเอทานอลและน้ำ (อัตราส่วน เอทานอล : น้ำ เท่ากับ 70 : 30)ที่อุณหภูมิห้อง นาน 60 นาที บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็ก จากนั้นทำการกรองแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ] สารสกัดเมทานอล [ผงใบมะรุม 5 ก. แช่สกัดในเมทานอล 100 มล. บนเครื่องอัลตราโซนิค (40ºC, 60 นาที) จากนั้นทำการปั่นเหวี่ยงเพื่อแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ] และสารสกัดน้ำ (ผงใบมะรุม 10 ก. แช่สกัดในน้ำ 150 มล. บนเครื่องกวนสารชนิดแม่เหล็ก ที่อุณหภูมิ 100ºC นาน 45 นาที กรองแยกสารสกัด และทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง) โดยใช้ความเข้มข้นของสารสกัดในตำรับครีมเท่ากับ 2 และ 4% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับครีมได้แก่ Aqua 74-87%, Coco-caprylate 1-5%, Cetearyl alcohol 1-3%, Caprylic/capric triglyceride 1-5%, Glyceryl stearate citrate 2-5%, Tridecane 1-5%, Udecane 1-5%, Glyceryl caprylate 2-5%, Benzyl alcohol 1-1.5%, Xanthan gum 0.3%, Benzoic acid 1-1.5%, Propanediol 1-1.5% และ Phytic acid 0.1-1%)นำครีมที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ก่อระคายเคืองในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 20 คน ด้วยวิธี patch test บริเวณแขนบริเวณระหว่างข้อศอกกับข้อมือพบว่าครีมสารสกัดใบมะรุมทั้ง 3 ชนิด ทุกความเข้มข้น ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของอาสาสมัคร โดยมีค่าดัชนีการระคายเคืองที่น้อยที่สุด(minimum irritation index, MII) ต่ำกว่า 0.5 แสดงให้เห็นว่า ครีมสารสกัดใบมะรุมมีความปลอดภัยต่อผิวหนัง (14)
ศึกษาฤทธิ์ก่อระคายเคืองของครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดมะรุมที่ได้จากวิธีการสกัดเย็น (ตัวอย่างนำเข้าจากประเทศอินเดียโดยสั่งซื้อจาก Neo Moringa, Thailand) โดยทำการผสมลงในครีมเบสและกำหนดให้มีความเข้มข้น 25% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับได้แก่ Oil phase; Stearyl alcohol 4%, Catyl alcohol 5%, Stearic acid 3% และ Sorbitan ester 80 0.6%, Water phase; Propylene glycol 5%, Polysorbate 80 4.40%, Concentrated parabens 1.02%, Triethanolamine 0.1% และ Purified water 51.88%)นำครีมที่ได้ทดสอบฤทธิ์ก่อระคายเคืองในอาสาสมัคร 32 คน (อายุเฉลี่ย 31.9±12.3 ปี) ด้วยวิธี patch test โดยให้ปิดแผ่นแปะที่มีครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมและครีมเบสบริเวณท้องแขน นาน 48 ชม. พบว่า เมื่อครบ 48 ชม. ครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมไม่ก่อให้เกิดอาการก่อระคายเคืองต่อผิวหนัง และเมื่อสังเกตต่อไปอีกจนครบ 10 วัน ไม่พบอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ครีมน้ำมันเมล็ดมะรุมมีความปลอดภัยสำหรับการใช้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนัง (16)
ศึกษาความปลอดภัยต่อผิวหนังของสารสกัดจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยเก็บใบมะรุมมาล้างทำความสะอาดและตากให้แห้งนาน 3 วัน จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียดโดยใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า นำผงใบมะรุม 300 ก. มาสกัดในน้ำเปล่า (3 ลิตร) ด้วยวิธีsoxhlet extraction นาน 72 ชม. กรองสารสกัดด้วยผ้ามัสลิน (ความละเอียด 100 ไมครอน) และทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการลดความดันภายใต้ภาวะสุญญกาศ โดยใช้เครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งในตู้ดูดความชื้น (desiccator) ที่มีแคลเซียมคลอไรด์เป็นตัวดูดซับ นาน 48 ชม. จะได้สารสกัดที่มีลักษณะเป็นของแข็ง (%yield เท่ากับ 25%) นำสารสกัดใบมะรุมที่ได้เตรียมในรูปแบบเอทโทโซมเจล (ethosome gel)โดยกำหนดให้มีความเข้มข้นของสารสกัดใบมะรุมเท่ากับ 1, 2 และ 5% จากนั้นนำไปทดสอบการก่อระคายเคืองต่อผิวหนังในหนูแรทซึ่งถูกโกนและกำจัดขนบริเวณหลังขนาด 4 ตร.ซม. โดยทำการทาเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุมในบริเวณดังกล่าว และสังเกตอาการแพ้ของผิวหนังทุก 6 ชม. จนครบ 48 ชม. ผลจากการศึกษาพบว่า การทาเอทโทโซมเจลสารสกัดใบมะรุมทุกความเข้มข้นไม่ทำให้เกิดผื่นแดงและอาการบวม แสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำจากใบมะรุมที่เตรียมในรูปแบบเอทโทโซมเจลมีความปลอดภัยต่อการใช้บนผิวหนัง (21)
ศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของใบมะรุม (ตัวอย่างจากจังหวัดจันทบุรี) โดยนำใบมะรุมไปอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 40ºC จากนั้นบดให้เป็นผงและร่อนผ่านตะแกรงเบอร์ 80 นำผงใบมะรุมที่ได้มาแขวนตะกอนในน้ำกลั่นโดยปรับให้มีความเข้มข้น 1:8 ทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูเม้าส์ด้วยการป้อนทางปากขนาด 20 มล./กก. 2 ครั้ง ภายใน 1 วัน (คิดเป็นขนาดที่ได้รับเท่ากับ 5 ก./กก.) พบว่า ไม่ทำให้หนูตายและไม่แสดงอาการเป็นพิษตลอดช่วงเวลาที่เฝ้าสังเกตจนครบ 14 วัน และการผ่าซากชันสูตรตรวจอวัยวะภายในไม่พบความผิดปกติใด ๆ ซึ่งสรุปได้ว่า ผงใบมะรุมขนาด 5 ก./กก. ไม่ทำให้เกิดความเป็นพิษเฉียบพลันและขนาดของผงใบมะรุมที่ทำให้หนูเม้าส์ตายครึ่งหนึ่ง (IC50) มีค่ามากกว่า 5 ก./กก. (44)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดน้ำจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากจังหวัดจันทบุรี, voucher specimen DMS 5174)โดยนำใบมะรุมมาล้างทำความสะอาด และอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 10 ชม. บดให้เป็นผงละเอียด นำไปสกัดแบบไหลย้อนกลับ (refluxextraction)โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย นาน 2 ชม. ทำซ้ำ 2 ครั้ง นำสารสกัดที่ได้มารวมกันและทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง สารสกัดที่ได้จะมี%yield เท่ากับ 19.15% และมีปริมาณสารโพลีฟีอนอลซึ่งวิเคราะห์ได้จากวิธี Folin-Ciocalteumethodเท่ากับ 53.7 มก. เทียบเท่า gallic acid/ก. ของสารสกัด ทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูเม้าส์ด้วยการป้อนสารสกัดผงใบมะรุมซึ่งละลายในน้ำขนาด 20 ก./กก. โดยแบ่งให้ 2 ครั้ง (ครั้งละ 10 ก./กก. ห่างกัน 5 ชม.) พบว่า ไม่ทำให้หนูตายและหนูไม่แสดงพฤติกรรมผิดปกติที่บ่งชี้ถึงความเป็นพิษตลอดช่วงเวลาที่เฝ้าสังเกตจนครบ 14 วัน และการผ่าซากชันสูตรตรวจอวัยวะภายในไม่พบความผิดปกติใด ๆ และการทดสอบความเป็นพิษเรื้อรังในหนูแรท โดยป้อนสารสกัดผงใบมะรุมซึ่งละลายในน้ำขนาด 10, 100 และ 1000 ก./กก./วัน ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือนพบว่า สารสกัดใบมะรุมทุกขนาดไม่ส่งผลต่อการเจริญเติบโต การกินอาหาร สุขภาพทั่วไป น้ำหนักอวัยวะ และค่าทางโลหิตวิทยา หนูเพศเมียที่ได้รับสารสกัดขนาด 100 มก./กก./วัน มีค่าโปรตีนอัลบูมินสูงกว่ากลุ่มควบคุม (ป้อนน้ำเปล่า) อย่างมีนัยสำคัญ และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดขนาด 1000 มก./กก./วัน มีระดับโพแทสเซียมในเซรั่มต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ผลการตรวจอวัยวะภายในพบว่าไม่มีความแตกต่างจากหนูกลุ่มควบคุม แสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำจากใบมะรุมไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันและเรื้อรังที่รุนแรงต่อสัตว์ทดลอง (45)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดน้ำจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยนำตัวอย่างใบมะรุมมาตากให้แห้งที่อุณหภูมิ 30ºC นาน 7 วัน จากนั้นนำไปแช่สกัดในน้ำ (ใบมะรุมแห้ง 10 ก. ในน้ำ 2 ลิตร) นาน 24 ชม. กรองสารละลายและอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 4 วัน จะได้สารสกัดแห้งที่มีลักษณะสีเขียวอมน้ำตาล และมี%yield เท่ากับ 22%เมื่อนำไปทดสอบความเป็นพิษให้ละลายในน้ำเปล่า (ค่า pH = 6.8)โดยกำหนดให้มีความเข้มข้นเท่ากับ 200 มก./มล. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันทำโดยป้อนสารสกัดน้ำจากใบมะรุมให้แก่หนูเม้าส์ขนาด 400, 800, 1,600, 3,200 และ 6,400 มก./กก. เพียงครั้งเดียว และสังเกตพฤติกรรมหลังจากได้รับสารสกัดภายใน 24 ชม. และทดลองฉีดสารสกัดน้ำจากใบมะรุมเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ขนาด 250, 500, 1,000 และ 2,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว จากนั้น สังเกตพฤติกรรมหลังจากได้รับสารสกัดภายใน 24 ชม. ผลจากการทดลองพบว่า การป้อนสารสกัดทุกขนาดไม่ทำให้หนูตาย แต่การป้อนที่ปริมาณความเข้มข้นสูง 3,200 และ 6,400 มก./กก. มีผลทำให้การเคลื่อนไหวของหนูเม้าส์เชื่องช้าลงหลังจากได้รับสารสกัด 2 ชม. ส่วนการฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องพบว่า การฉีดปริมาณความเข้มข้นสูง 1,000 และ 2,000 มก./กก. มีผลทำให้หนูตายคิดเป็น 20 และ 80% ตามลำดับ สามารถคำนวณค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่ง (LD50)ได้เท่ากับ 1,585 มก./กก. นอกจากนี้ เมื่อทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังด้วยการป้อนสารสกัดน้ำจากใบมะรุมให้แก่หนูแรทขนาดวันละ 250, 500 และ 1,500 มก./กก. นานติดต่อกัน 60 วัน พบว่า ไม่ส่งผลต่อค่าโลหิตวิทยาและค่าชีวเคมีในเลือด ปริมาณการกินได้ของหนูลดลงโดยขึ้นกับปริมาณสารสกัดที่ได้รับ แต่น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มควบคุม (ป้อนน้ำเปล่า) ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าการใช้ประโยชน์จากใบมะรุมด้วยการกินค่อนข้างมีความปลอดภัย (46)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดน้ำจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศกานา) โดยนำใบมะรุมสด 2.8 กก. บดและต้มในน้ำเดือด จากนั้นทิ้งไว้ 1 คืน โดยควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 60ºC ตลอดเวลา จากนั้นกรองสารสกัดด้วย cellulose ester filter ความละเอียด 0.45 ไมครอน และทำให้สารสกัดแห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง นำสารสกัดน้ำใบมะรุมที่ได้มาทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูแรท โดยละลายผงสารสกัดใบมะรุมในน้ำเปล่าและป้อนให้แก่หนูขนาด 5,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว และสังเกตพฤติกรรมทุกชั่วโมงภายหลังการป้อนใน 6 ชม. แรก และติดตามสังเกตทุกวันต่อไปจนครบ 13 วัน และศึกษาความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน (subacute)โดยละลายผงสารสกัดใบมะรุมในน้ำเปล่าและป้อนให้แก่หนูแรทขนาด 40, 80, 200 และ 1,000 มก./กก./วัน นานติดต่อกัน 14 วัน ผลจากการศึกษาพบว่า การป้อนสารสกัดน้ำใบมะรุมให้แก่หนูแรทขนาด 5,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว ไม่ทำให้หนูตาย แต่ส่งผลให้หนูมีอาการตื่นตัว ชักกระตุก และหลั่งน้ำลายมาก แต่จากการชำแหละซากเพื่อประเมินอวัยวะภายในไม่พบความผิดปกติ ผลการวิเคราะห์ค่าเลือดพบว่า ปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาตรของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ยและเกล็ดเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ป้อนน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) และผลการศึกษาความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันพบว่า การป้อนสารสกัดน้ำใบมะรุมขนาดสูง (1,000 มก./กก.) ส่งผลต่อพฤติกรรมทำให้หนูมีอาการตื่นตัว ชักกระตุก และหลั่งน้ำลายมาก แต่ไม่ทำให้หนูตาย ผลการวิเคราะห์ค่าเลือดพบว่า การป้อนที่ขนาด 40 และ 80 มก./กก. มีผลเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม และการป้อนขนาด 200 และ 1,000 มก./กก. มีผลลดปริมาณของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ยและเกล็ดเลือดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการวิเคราะห์ค่าทางชีวเคมีพบว่า การป้อนสารสกัดน้ำใบมะรุมที่ขนาด 80 และ 1,000 มก./กก. มีผลเพิ่มระดับยูเรียในเลือด และการป้อนสารสกัดน้ำใบมะรุมทุกขนาดมีผลลดระดับ creatinine ลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ การป้อนสารสกัดน้ำใบมะรุมทุกขนาดมีผลเพิ่มระดับเอนไซม์ alanine aminotransferase (ALT) และ aspartate aminotransferase (AST) ซึ่งบ่งชี้ถึงการทำงานของตับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมอย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ทางจุลพยาธิวิทยา (histopathological) ของตัวอย่างเนื้อเยื่อตับและไตไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าควรระมัดระวังในการบริโภคสารสกัดใบมะรุมในขนาดสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน (47)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม (1.2 กก.) กำจัดไขมันด้วยเอ็น-เฮ็กเซน ที่อุณหภูมิ 60-80ºC จากนั้นสกัดด้วยตัวทำละลายเมทานอล 95% ในเครื่อง Soxhlet extractor ที่อุณหภูมิ 55ºC นาน 6 ชม. ทำการทดสอบความเป็นพิษด้วยการป้อนให้แก่หนูแรท โดยแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มละ 7 ตัว) กลุ่มแรกป้อนด้วยน้ำมันข้าวโพดวันละ 2 มล./กก. (กลุ่มควบคุม) และกลุ่มที่ 2 ป้อนสารสกัดเมทานอลใบมะรุมวันละ 400 มก./กก. นานติดต่อกัน 5 สัปดาห์ พบว่า เมื่อสิ้นสุดการทดลอง น้ำหนักตัวของหนูแรทที่ได้รับสารสกัดเมททานอลใบมะรุมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ปริมาณโปรตีนรวม (total protein) albumin และ globulin ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ระดับเอนไซม์ ALT ซึ่งบ่งชี้ถึงการทำงานของตับเพิ่มขึ้นแต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม ในขณะที่ระดับ BUN และ creatinine ซึ่งบ่งชี้ถึงการทำงานของไตมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า การป้อนสารสกัดเมทานอลใบมะรุมให้แก่หนูแรทในขนาดและระยะเวลาดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อไต แต่การบริโภคในระยะยาวควรระมัดระวังเกี่ยวกับการทำงานของตับ (48)
ศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยนำตัวอย่างผงใบมะรุม 153.91 ก. แช่สกัดในเมทานอล 1 ลิตร เป็นระยะเวลา 3 วัน จากนั้นกรองสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 นำสารสกัดไปทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยแอลกอฮอล์ จนได้สารสกัดที่มีน้ำหนัก 14.7 ก. นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบความเป็นพิษในหนูเม้าส์ โดยแบ่งหนูออกเป็น 6 กลุ่ม (กลุ่มละ 5 ตัว) กลุ่มที่ 1 ป้อนด้วยน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) กลุ่มที่ 2, 3, 4, 5 และ 6 ป้อนด้วยสารสกัดเมทานอลใบมะรุมขนาด 200, 400, 800, 1,600 และ 3,200 มก./กก. ตามลำดับ เพียงครั้งเดียว สังเกตพฤติกรรมและอาการที่แสดงออกภายใน 48 ชม. พบว่า การป้อนที่ขนาด 200, 400 และ 800 มก./กก. ส่งผลให้หนูมีอาการเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย จากนั้นมีอาการดีขึ้นหลังจาก 1 ชม. และมีอาการเป็นปกติเมื่อครบ 48 ชม. และไม่มีหนูตายจากการป้อนในขนาดดังกล่าว ในขณะที่การป้อนขนาด 1,600 มก./กก. หนูมีอาการเคลื่อนไหวช้าลงและเซื่องซึม และมีหนูตาย 2 ตัว (จากทั้งหมด 5 ตัว) หนูตัวที่เหลือกลับมามีอาการดีขึ้นหลังจาก 48 ชม. และการป้อนที่ขนาด 3,200 มก./กก. หนูแสดงอาการเซื่องซึมและขนยุ่งอย่างเห็นได้ชัด และมีหนูตาย 4 ตัว (จากทั้งหมด 5 ตัว) อาการของหนูตัวที่เหลือหลังจาก 48 ชม. ยังคงไม่ดีขึ้น ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การได้รับสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุมขนาดสูงมีความเป็นพิษ (32)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเมทานอลจากใบมะรุม โดยเก็บใบมะรุมสด (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน, voucher no. 101-1-16) บดและแช่สกัดในเมทานอล (อัตราส่วนใบมะรุมต่อเมทานอลคือ 1:10 น้ำหนัก/ปริมาตร) ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน กรองเก็บสารสกัดและทำให้แห้ง โดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 40ºC ภายใต้สุญญกาศ ทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ตับ human liver cancer (HepG2) และความเป็นพิษเฉียบพลันและกึ่งเรื้อรังในหนูแรท โดยการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันทำการป้อนสารสกัดเมทานอลใบมะรุมขนาด 2,000 มก./กก. ให้แก่หนูแรทเพียงครั้งเดียว และสังเกตพฤติกรรมภายใน 48 ชม. ส่วนการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังทำการป้อนสารสกัดเมทานอลใบมะรุมขนาดวันละ 150, 300 และ 600 มก./กก. ให้แก่หนูแรท นานติดต่อกัน 90 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลองทำการวิเคราะห์ค่าชีวเคมีในเลือดและชำแหละซากเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะภายใน ผลจากการศึกษาพบว่า ค่าความเข้มข้นของสารสกัดเมทานอลใบมะรุมที่มีผลทำให้เซลล์ HepG2 ตายลงครึ่งหนึ่ง (IC50)มีค่าเท่ากับ >1,000 มคก./มล. ในขณะที่การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันพบว่า การป้อนสารเมทานอลใบมะรุมขนาด 2,000 มก./กก. ไม่ทำให้หนูตายและไม่ส่งผลต่อพฤติกรรม และผลการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังพบว่า การป้อนสารสกัดเมทานอลใบมะรุมมีผลทำให้น้ำหนักตัวหนูลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ป้อนน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) ลดคอเลสเตอรอลและ low-density lipoprotein (LDL) ในเลือด และเพิ่มจำนวนของเกล็ดเลือด ลักษณะของอวัยวะภายใน (หัวใจ, ปอด และไต) เป็นปกติค่าเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการต้านอนุมูลอิสระในตับ (catalase และ SOD)ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการป้อนสารสกัดเมทานอลใบมะรุมให้แก่หนูแรทในขนาดและระยะเวลาดังกล่าวมีความปลอดภัย (15)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) โดยเก็บฝักมะรุมสดมาทำความสะอาด และแกะแยกเมล็ดบดให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้า จากนั้นนำเมล็ดมะรุมบดละเอียด 200 ก. ไปแช่สกัดในเอทานอล 80% ปริมาตร 500 มล. นาน 72 ชม. โดยเขย่าสารสกัดเป็นระยะ กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 1 ทำการระเหยแอลกอฮอล์โดยตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องและระวังไม่ให้โดนแสงแดด นาน 48 ชม. และนำสารสกัดไปทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง ทำการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัด โดยฉีดเข้าช่องท้องของหนูเม้าส์ขนาด 10, 100 และ 1,000 มก./กก. เพียงครั้งเดียว และป้อนทางปากขนาด 200, 400, 800 และ 1,600 มก./กก. เพียงครั้งเดียว สังเกตพฤติกรรมของหนูภายใน 24 ชม. พบว่า ปริมาณสารสกัดเอทานอลเมล็ดมะรุมที่มีผลทำให้หนูตายครึ่งหนึ่ง (LD50)มีค่าเท่ากับ 282.84 มก./กก. และเมื่อทำการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันด้วยการป้อนสารสกัดเอทานอลเมล็ดมะรุมให้แก่หนูแรทขนาด 100 และ 200 มก./กก./วัน นาน 28 วัน พบว่าการป้อนสารสกัดเอทานอลเมล็ดมะรุมขนาด 200 มก./กก. มีผลเพิ่มปริมาณเกล็ดเลือดอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (ป้อนน้ำเกลือ) ในขณะที่ค่าเอนไซม์ในตับและค่าทางโลหิตวิทยาอื่นๆ ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (49)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดน้ำผสมแอลกอฮอล์จากเมล็ดมะรุมและสาร moringa isothiocyanate-1 (MIC-1) ที่สกัดได้จากเมล็ดมะรุม โดยซื้อตัวอย่างเมล็ดมะรุมจากเมือง Kingston ประเทศจาไมกา นำมาบดให้เป็นผงละเอียด จากนั้นผสมลงในน้ำเปล่าที่อัตราส่วน ผงเมล็ดมะรุม 1 ก. ต่อน้ำ 3 มล. แช่ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิ 37ºC นาน 2 ชม. และเขย่าเป็นระยะ จากนั้นเติมเอทานอลเข้มข้น 95% โดยให้มีอัตราส่วนระหว่างสารสกัดต่อเอทานอลเท่ากับ 1:4 ผสมให้เข้ากันและกรองแยกสารสกัด นำไประเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator และนำสารสกัดไปทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็งและเก็บที่อุณหภูมิ -20ºC ระหว่างรอนำไปใช้เพื่อการทดสอบ การวิเคราะห์ปริมาณสาร MIC-1 จากสารสกัดเมล็ดมะรุม ทำได้โดยใช้วิธี HPLC-UV อ้างอิงจุดพื้นที่ใต้กราฟ (peak area) ที่ 222 นาโนเมตร 5 จุดและวิเคราะห์หาปริมาณจากกราฟมาตรฐาน(62.5-1,000 มคก./มล.; y = 5808.5x – 59084, R2 = 1) ซึ่งในสารสกัดเมล็ดมะรุมจะประกอบด้วยสาร MIC-1 38.9% (w/w) ใช้เป็นค่ามาตรฐานในการกำหนดปริมาณการป้อนสารสกัดให้แก่หนูแรทในการทดสอบความเป็นพิษ การศึกษาความเป็นพิษทำการแบ่งหนูแรทออกเป็น 5 กลุ่ม (กลุ่มละ 10 ตัว) กลุ่มที่ 1 ป้อนด้วยน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) กลุ่มที่ 2 ป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุม 78 มก./กก./วัน (ปริมาณสาร MIC-1 เท่ากับ 30 มก./กก./วัน) กลุ่มที่ 3 ป้อนป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุม 257 มก./กก./วัน (ปริมาณสาร MIC-1 เท่ากับ 100 มก./กก./วัน) กลุ่มที่ 4 ป้อนป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุม 772 มก./กก./วัน (ปริมาณสาร MIC-1 เท่ากับ 300 มก./กก./วัน) และกลุ่มที่ 5 ป้อนป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุม 2,571 มก./กก./วัน (ปริมาณสาร MIC-1 เท่ากับ 1,000 มก./กก./วัน) นานติดต่อกัน 14 วันพบว่า การป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุมขนาดสูง (2,571 มก./กก./วัน) มีผลทำให้หนูตายจำนวน 6 ตัว ก่อนสิ้นสุดการทดลอง (ตายในวันที่ 2, 3, 9 และ 13 จำนวน 4, 1, 1 และ 2 ตัว ตามลำดับ) และมีผลทำให้น้ำหนักตัวและปริมาณการกินอาหารได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม จากการสังเกตพฤติกรรมของหนูพบว่า การป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุมขนาด 772 และ 2571 มก./กก./วัน มีผลทำให้การหายใจไม่สม่ำเสมอและขนลุกชัน (piloerection)ในขณะที่ผลการวิเคราะห์ค่าโลหิตวิทยาพบว่า การป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุม 2,571 มก./กก./วัน มีผลเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil และลดค่าhematocrit และความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน (hemoglobin concentration) ในหนูเพศเมีย นอกจากนี้ ผลการผ่าชันสูตรซากพบว่า หนูแรทที่ได้รับสารสกัดเมล็ดมะรุม 2,571 มก./กก./วัน พบอาการท้องอืด (gastrointestinal distention) หรือมีขนาดท้องโตขึ้นและสีของกระเพาะอาหารซีดลงทั้งในหนูเพศผู้และเพศเมียและพบการเสื่อมสภาพของเซลล์ในระบบสืบพันธุ์ในหนูเพศผู้ และการป้อนสารสกัดเมล็ดมะรุมขนาด 772 และ 2,571 มก./กก./วัน มีผลทำให้น้ำหนักตับของหนูเพศเมียเพิ่มขึ้น ไม่พบอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในหนูที่ได้รับสารสกัดเมล็ดมะรุมขนาดต่ำ (78 มก./กก./วัน และ 257 มก./กก./วัน ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ขนาดปลอดภัยของสารสกัดเมล็ดมะรุมคือไม่เกิน 257 มก./กก./วัน เทียบเท่ากับสาร MIC-1 100 มก./กก./วัน (50)
ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเมล็ดมะรุม (ตัวอย่างจากจังหวัดลพบุรี, voucher specimen BKF No. 174540)โดนนำเมล็ดมะรุมแห้งมาบดให้ละเอียด จากนั้นนำไปแช่สกัดในเอทานอล 70% ที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 48 ชม. กรองแยกสารสกัดและทำให้เข้มข้นด้วยการลดความดันโดยใช้เครื่อง rotary evaporator จากนั้นนำสารสกัดไปทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็งทำการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูเม้าส์ด้วยการป้อนสารสกัดเอทานอลเมล็ดมะรุมทางปากขนาด 5.1, 6.4, 8.0 และ 10.0 ก./กก. เพียงครั้งเดียวพบว่า ทำให้เกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลันและมีจำนวนหนูตายสัมพันธ์กับขนาดที่ได้รับ และทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทด้วยการป้อนสารสกัดสารสกัดเอทานอลเมล็ดมะรุมทางปากขนาด 100, 500 และ 1,000 มก./กก./วัน ติดต่อกันนาน 90 วัน พบว่า หนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัดขนาด 1,000 มก./กก./วัน มีปริมาณเม็ดเลือดแดงต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (ป้อนน้ำเปล่า) อย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังอยู่ในค่าอ้างอิง ส่วนหนูเพศเมียที่ได้รับสารสกัดขนาด 500 และ 1,000 มก./กก./วัน และหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 1,000 มก./กก./วัน มีปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil ต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงอยู่ในช่วงปกติเช่นเดียวกัน หนูเพศเมียที่ได้รับสารสกัดขนาด 1,000 มก./กก./วัน มีผลทำให้ระดับกลูโคสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่หนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัดขนาด 1,000 มก./กก./วัน มีค่าโปรตีนรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การประเมินลักษณะอวัยวะภายในพบว่า กระเพาะอาหารของหนูทั้งเพศผู้และเพศเมียที่ได้รับสารสกัด 500 และ 1,000 มก./กก./วัน มีน้ำหนักสัมพัทธ์สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิเคราะห์ลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาพบว่า สารสกัดเอทานอลเมล็ดมะรุมไม่ก่อให้เกิดรอยโรคที่สัมพันธ์กับขนาดที่ได้รับ (51)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ครีมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดเมทานอล 80% จากใบมะรุมที่ความเข้มข้น 3% เมื่อทาลงบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ มีผลช่วยลดความมันบนใบหน้าในสัปดาห์ที่ 4 ถึง 8 และไม่พบรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ (17)
ครีมบำรุงผิวหน้าซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดจากใบมะรุม 3% (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เมื่อทาลงบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) เป็นระยะเวลา 3 เดือน มีผลทำให้ผิวเรียบเนียน ลดความหยาบกร้านและลดริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า (18)
ครีมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดเมทานอล 80% จากใบมะรุมที่ความเข้มข้น 3% เมื่อทาลงบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ มีผลช่วยลดการเสียน้ำจากชั้นผิวหนัง และเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง (19)
ครีมซึ่งประกอบด้วยน้ำมันจากเมล็ดมะรุมที่ได้จากวิธีการสกัดเย็นที่ความเข้มข้น 25% ใช้ทาลงบนผิวหนังบริเวณแขนระหว่างข้อศอกและข้อมือปริมาณ 0.2 ก. วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ มีผลเพิ่มค่าความชุ่มชื้นของผิวหนังคิดเป็น 16, 76, 77 และ 85% ในที่สัปดาห์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ตามลำดับ (วัดความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยเครื่อง Corneometer®) (16)
ครีมซึ่งประกอบด้วยน้ำมันจากเมล็ดมะรุมที่ได้จากวิธีการสกัดเย็นที่ความเข้มข้น 25% ใช้ทาลงบนผิวหนังบริเวณแขนระหว่างข้อศอกและข้อมือปริมาณ ปริมาณ 0.2 ก. วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ มีผลลดค่าเฉลี่ยของการเกิดผิวหนังแดงในสัปดาห์ที่ 2, 3 และ 4 (วัดด้วยเครื่อง Mexameter®) แต่ไม่มีผลลดปริมาณเม็ดสีเมลานิน (16)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
จากการรวบรวมข้อมูลงานวิจัย สารสกัดจากใบ เมล็ด และน้ำมันจากเมล็ดมะรุมมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สนับสนุนต่อการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ได้แก่ ลดความมันบนใบหน้า ลดความหยาบกร้านและริ้วรอยก่อนวัย เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวขาวป้องกันแสงแดด รักษาแผล ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ กระตุ้นการงอกของเส้นผม และยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคในช่องปาก ทั้งนี้ มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว ทนโรคและแมลง และสามารถปลูกได้ในทุกภาคของประเทศไทยโดยในบางพื้นที่อาจขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีการใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภคอย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อเพิ่มมูลค่าของสมุนไพร
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สักนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Moringa oleifera Lam. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-21400003
3. PolprasidP. Moringa oleifera (PROSEA). Plant Resources of South-East Asia [internet]. 2021 [cited 29 Aug 2021]. available from: https://uses.plantnet-project.org/en/Moringa_oleifera_(PROSEA)
4. ราชันย์ ภู่มา. สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเจริญมายุ 60 พรรษา. กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม; 2559.
5. Dhakad AK, Ikram M, Sharma S, Khan S, Pandey VV, Singh A. Biological, nutritional, and therapeutic significance of Moringa oleifera Lam. Phytother Res. 2019;33(11):2870-2903. doi: 10.1002/ptr.6475.
6. Xu YB, Chen GL, Guo MQ. Antioxidant and anti-inflammatory activities of the crude extracts of Moringa oleiferafrom Kenya and their correlations with flavonoids. Antioxidants (Basel). 2019;8(8):296. doi: 10.3390/antiox8080296.
7. Chin CY, Jalil J, Ng PY, Ng SF. Development and formulation of Moringa oleifera standardised leaf extract film dressing for wound healing application. J Ethnopharmacol. 2018;212:188-199. doi: 10.1016/j.jep.2017.10.016.
8. Rodríguez-García T, Camacho-DíazBH, Jiménez–Aparicio AR, Santaolalla‑Tapia J, Evangelista‑Lozano S, Arenas‑Ocampo ML. Cell proliferation and migration in human skin fibroblasts induced by Moringa oleifera. Rev Bras Farmacogn. 2021; doi: 10.1007/s43450-021-00160-7.
9. Luetragoon T, Pankla Sranujit R, Noysang C, Thongsri Y, Potup P, Suphrom N, et al. Bioactive compounds in Moringa oleifera Lam. leaves inhibit the pro-inflammatory mediators in lipopolysaccharide-Induced human monocyte-derived macrophages. Molecules. 2020;25(1):191. doi: 10.3390/molecules25010191.
11. Leone A, Spada A, Battezzati A, Schiraldi A, Aristil J, Bertoli S. Moringa oleifera seeds and oil: characteristics and uses for human health. Int J Mol Sci. 2016;17(12):2141. doi: 10.3390/ijms17122141.
12. Jaja-Chimedza A, Graf BL, Simmler C, Kim Y, Kuhn P, Pauli GF, et al. Biochemical characterization and anti-inflammatory properties of an isothiocyanate-enriched moringa (Moringa oleifera) seed extract. PLoS One. 2017;12(8):e0182658. doi: 10.1371/journal.pone.0182658.
13. Verma AR, Vijayakumar M, Mathela CS, Rao CV. In vitro and in vivo antioxidant properties of different fractions of Moringa oleifera leaves. Food Chem Toxicol. 2009;47(9):2196-201. doi: 10.1016/j.fct.2009.06.005.
14. Baldisserotto A, Buso P, Radice M, Dissette V, Lampronti I, Gambari R, et al. Moringa oleifera leaf extracts as multifunctional ingredients for "Natural and Organic" sunscreens and photoprotective preparations. Molecules. 2018;23(3):664. doi: 10.3390/molecules23030664.
15. Saleem A, Saleem M, Akhtar MF, Ashraf Baig MMF, Rasul A. HPLC analysis, cytotoxicity, and safety study of Moringa oleifera Lam. (wild type) leaf extract. J Food Biochem. 2020; e13400. doi: 10.1111/jfbc.13400.
16. Ahikomkulchai S, Tunit P, Tadtong S, Jantrawut P, Sommano SR, Chittasupho C. Moringa oleifera seed oil formulation physical stability and chemical constituents for enhancing skin hydration and antioxidant activity. Cosmetics. 2021;8(1):2. doi. 10.3390/cosmetics8010002.
17. Ali A, Akhtar N, Khan MS, Khan MT, Ullah A, Shah MI. Effect of Moringa oleifera on undesirable skin sebum secretions of sebaceous glands observed during winter season in human. Biomed Res-India. 2013;24(1):127-30.
18. Ali A, Akhtar N, Chowdhary F. Enhancement of human skin facial revitalization by moringa leaf extract cream. Postepy Dermatol Alergol. 2014;31(2):71-76. doi:10.5114/pdia.2014.40945.
19. Ali A, Akhtar N, Khan MS, Rasool F, Iqbal FM, Khan MT, et al. Moisturizing effect of cream containing Moringa oleifera (Sohajana) leaf extract by biophysical techniques: In vivo evaluation. JMPR. 2013;7(8):386-391. doi: 10.5897/JMPR12.504.
20. Hartoyo M, Purnomo SE, Budiyati, Lestari KP. Sawab. The effect of mouth washing with Moringa olivera to acidity saliva level of diabeties mellitus patient. MJSCR. 2017;5(12): 32092-6. doi. 10.18535/jmscr/v5i12.133.
21. Builders PF, Mbah CC, Iwu IW, Builders MI, Audu MM. Moringa oleifera ethosomes a potential hair growth activator: effect on rats. J Pharm Biomed Sci. 2014;4(7):611-8.
22. HendrawatiH, Azizah YN, Hapsari NK. Facial mask formulation enriched with moringa leaves (Moringa oleifera) extract and their activity as antioxidants and antibacterials. Jurnal Kimia Valensi. 2020;6(2):198-207. doi: 10.15408/jkv.v6i2.16982.
23. Zeitoun H, Michael-Jubeli R, El Khoury R, Baillet-Guffroy A, Tfayli A, Salameh D, et al. Skin lightening effect of natural extracts coming from Senegal botanical biodiversity. Int J Dermatol. 2020;59(2):178-183. doi: 10.1111/ijd.14699.
24. Gaikwad M, Kale S. Formulation and In vitro evaluation for sun protection factor of Moringa oleifera Lam (Family-Moringaceae) oil sunscreen cream. Int J Pharm Pharm Sci. 2011;3(4):371-5.
25. Kale S, Gaikward M, Bhandare S. Determination and comparision of In vitro SPF of topical formulation containing lutein ester from Tagetes erecta L. flowers, Moringa oleifera Lam seed oil and Moringa oleifera Lam seed oil containing lutein ester. IJRPBS.2011;2(3):1220-4.
26. Gothai S, Arulselvan P, Tan WS, Fakurazi S. Wound healing properties of ethyl acetate fraction of Moringa oleiferain normal human dermal fibroblasts. J Intercult Ethnopharmacol. 2016;5(1):1-6. doi: 10.5455/jice.20160201055629.
27. Pagano C, Perioli L, Baiocchi C, Bartoccini A, Beccari T, Blasi F, et al. Preparation and characterization of polymeric microparticles loaded with Moringa oleifera leaf extract for exuding wound treatment. Int J Pharm. 2020;587:119700. doi: 10.1016/j.ijpharm.2020.119700.
28. Muhammad AA, Arulselvan P, Cheah PS, Abas F, Fakurazi S. Evaluation of wound healing properties of bioactive aqueous fraction from Moringa oleifera Lam on experimentally induced diabetic animal model. Drug Des Devel Ther. 2016;10:1715-30. doi: 10.2147/DDDT.S96968.
29. บัลกีส มานะ, นูรีซัน นิสัน, ศุภรัตน์ ดวนใหญ่, สุชาดา มานอก. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากใบมะรุมที่พบในชุมชนศรีภูมิในพื้นที่ฝั่งธนบุรี. ว. เภสัชศาสตร์อีสาน. 2560;13(2): 80-9.
30. 30. Nizioł-Łukaszewska Z, Furman-Toczek D, Bujak T, Wasilewski T, Hordyjewicz-Baran Z. Moringa oleifera L. extracts as bioactive ingredients that increase safety of body wash cosmetics. Dermatol Res Pract. 2020;2020:8197902. doi: 10.1155/2020/8197902.
31. Nobossé P, Fombang EN, Mbofung CMF. Effects of age and extraction solvent on phytochemical content and antioxidant activity of fresh Moringa oleifera L. leaves. Food Sci Nutr. 2018;6(8):2188-98. doi:10.1002/fsn3.783.
32. Adedapo AA, Falayi OO, Oyagbemi AA. Evaluation of the analgesic, anti-inflammatory, anti-oxidant, phytochemical and toxicological properties of the methanolic leaf extract of commercially processed Moringa oleifera in some laboratory animals. J Basic Clin Physiol Pharmacol. 2015;26(5):491-9. doi: 10.1515/jbcpp-2014-0105.
33. Kirisattayakul W, Tong-Un T, Wattanathorn J, Muchimapura S, Wannanon P, Jittiwat J. Evaluation of total phenolic compound, antioxidant eccect and neuropharmacological activities of Moringa oleifera Lam. Leaves extract. North-Eastern Thai Journal of Neuroscience. 2011;6(4):80-92.
34. Imamsari M, Pertiwi-Koentjoro M, Nurhayati AP, Isdiantoni, Prasetyo EN. In-vivo preliminary examination of Moringa oleifera leaves extract as antiaging candidate in swiss webster male mice (Mus musculus). IJPSR. 2008;9(9):3638-46. doi: 10.13040/IJPSR.0975-8232.9(9).3638-46.
35. อุกฤตมากศรทรง, นวพรลาภส่งผล. ความสามารถในการต้านออกซิเดชันของมะรุมด้วยวิธีABTS และFRAP. การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 20; 15 มีนาคม 2562; มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
36. Sreelatha S, Padma PR. Modulatory effects of Moringa oleifera extracts against hydrogen peroxide-induced cytotoxicity and oxidative damage. Hum Exp Toxicol. 2011;30(9):1359-68. doi: 10.1177/0960327110391385.
37. OgbunugaforHA, Eneh FU, Ozumba AN, Igwo-Ezikpe MN, Okpuzor J, Igwilo IO, et al. Physico-chemical and antioxidant properties of Moringa oleifera seed oil. Pak J Nutr. 2011;10(5):409-14. doi: 10.3923/pjn.2011.409.414.
38. Ojiako EN, Okeke CC. Determination of antioxidant of Moringa oleifera seed oil and its use in the production of body cream. Asian J Plant Sci Res. 2013;3(3):1-4.
39. Choi EJ, Debnath T, Tang Y, Ryu YB, Moon SH, Kim EK. Topical application of Moringa oleifera leaf extract ameliorates experimentally induced atopic dermatitis by the regulation of Th1/Th2/Th17 balance. Biomed Pharmacother. 2016;84:870-877. doi: 10.1016/j.biopha.2016.09.085.
40. Arulselvan P, Tan WS, Gothai S, Muniandy K, Fakurazi S, Esa NM, et al. Anti-inflammatory potential of ethyl acetate fraction of Moringa oleifera in downregulating the NF-kB signaling pathway in lipopolysaccharide-stimulated macrophages. Molecules. 2016;21(11):1452. doi: 10.3390/molecules21111452.
41. Fard MT, Arulselvan P, Karthivashan G, Adam SK, Fakurazi S. Bioactive extract from Moringa oleifera inhibits the pro-inflammatory mediators in lipopolysaccharide stimulated macrophages. Pharmacogn Mag. 2015;11(Suppl4):S556-63. doi: 10.4103/0973-1296.172961.
42. Martínez-González CL, Martínez L, Martínez-Ortiz EJ, González-Trujano ME, Déciga-Campos M, Ventura-Martínez R,et al. Moringa oleifera, a species with potential analgesic and anti-inflammatory activities. Biomed Pharmacother. 2017;87:482-488. doi: 10.1016/j.biopha.2016.12.107.
43. Elgamily H, Moussa A, Elboraey A, EL-Sayed H, Al-Moghazy M, Abdalla A. Microbiological assessment of Moringa oleifera extracts and its incorporation in novel dental remedies againt some oral pathogens. Open Access Maced J Med Sci. 2016;4(4):585-90. doi. 10.3889/oamjms.2016.132.
44. ทรงพล ชีวะพัฒน์, เอมมนัส อัตตวิชญ์, ธิดารัตน์ บุญรอด, พิลาศลักษณ์ อัครชลานนท์, ประถม ทองศรีรักษ์, มาลี บรรจบ. การศึกษาพิษเฉียบพลันของใบมะรุม. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. มปท.
45. Chivapat S, Sincharoenpokai P, Suppajariyawat P, Rungsipipat A, Phattarapornchaiwat S, Chantarateptawan V. Safety evaluations of ethanolic extract of Moringa oleifera Lam. seed in experimental animals. The Thai J Vet Med. 2011;42(3):343-52.
46. Awodele O, Oreagba IA, Odoma S, da Silva JA, Osunkalu VO. Toxicological evaluation of the aqueous leaf extract of Moringa oleifera Lam. (Moringaceae). J Ethnopharmacol. 2012;139(2):330-6. doi: 10.1016/j.jep.2011.10.008.
47. Asiedu-Gyekye IJ, Frimpong-Manso S, Awortwe C, Antwi DA, Nyarko AK. Micro- and macroelemental composition and safety evaluation of the nutraceutical Moringa oleifera Leaves. J Toxicol. 2014;2014:786979. doi: 10.1155/2014/786979.
48. Omobowale TO, Oyagbemi AA, Abiola JO, Azeez IO, Adedokun RA, Nottidge HO. Effect of chronic administration of methanol extract of Moringa Oleifera on some biochemical indices in female wistar rats. Niger J Physiol Sci. 2014;29(2):107-11.
49. Ugochukwu GC, Ogbunugafor HA, Adindu CS, Igwilo IO, Onwubiko CE. Toxicological studies on the ethanol extract of Moringa oleifera seeds. IOSR-JPBS. 2016;11(5):74-7. doi: 10.9790/3008-1105047477.
50. Kim Y, Jaja-Chimedza A, Merrill D, Mendes O, Raskin I. A 14-day repeated-dose oral toxicological evaluation of an isothiocyanate-enriched hydro-alcoholic extract from Moringa oleifera Lam. seeds in rats. Toxicol Rep. 2018;5:418-426. doi: 10.1016/j.toxrep.2018.02.012.
51. Chivapat S, Sincharoenpokai P, Suppajariyawat P, Rungsipipat A, Phattarapornchaiwat S, Chantarateptawan V. Safety evaluations of ethanolic extract of Moringa oleifera Lam. seed in experimental animals. The Thai J Vet Med. 2012;42(3):343-52.
52. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. วีดิทัศน์และเอกสารส่งเสริมเผยแพร่: การปลูกมะรุม [อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: สำนักส่งเสริมและฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน [เข้าถึงเมื่อ 4 กันยายน2564]. เข้าถึงได้จาก:http://eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/tree_fruit/moringa.pdf
P037_(18).xlsx