มังคุด
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Garcinia × mangostana L.
ชื่อวงค์
CLUSIACEAE
ชื่อสมุนไพร
มังคุด
ชื่ออังกฤษ
Mangosteen
ชื่อพ้อง
Mangostana garcinia Gaertn.
ชื่อท้องถิ่น
-
ชื่อ INCI
GARCINIA MANGOSTANA AMINO ACIDS
GARCINIA MANGOSTANA BARK EXTRACT
GARCINIA MANGOSTANA FRUIT EXTRACT
GARCINIA MANGOSTANA FRUIT JUICE
GARCINIA MANGOSTANA LEAF POWDER
GARCINIA MANGOSTANA PEEL EXTRACT
GARCINIA MANGOSTANA PEEL POWDER
GARCINIA MANGOSTANA PERICARP POWDER
GARCINIA MANGOSTANA SEED OIL
HYDROLYZED GARCINIA MANGOSTANA FRUIT EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมาลายู ในอดีตมีการเพาะปลูกเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณอินโดนีเซียไปทางตะวันออกในนิวกินีและมินดาเนา ไปทางตอนเหนือในแหลมมลายู ตอนใต้ของไทย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ในช่วงหลังมีการขยายพื้นที่ปลูกในเขตร้อนอื่นๆ ได้แก่ ศรีลังกา ตอนใต้ของอินเดีย อเมริกากลาง บราซิล และรัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย (4-5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น สูง 10 - 12 ม. ดอกแยกเพศต่างต้น ทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 6 - 11 ซม. ยาว 15 - 25 ซม. เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยง สีเขียวแกมสีเหลือง ติดทน กลีบดอก สีแดง ฉ่ำน้ำ ผลเป็นผลสด สีม่วงแดง ค่อนข้างกลม (3)
การเพาะปลูก
การเตรียมพื้นที่
พื้นที่ดอน ให้ทำการไถพรวน เพื่อปรับพื้นที่ให้เรียบและขุดร่องระบายน้ำ หากมีปัญหาน้ำท่วมขังหากเป็นพื้นที่ดอนที่เคยปลูกไม้ยืนต้นมาก่อน ไม่ต้องทำการไถพรวน
พื้นที่ลุ่มเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังไม่มาก ให้นำดินมาเทกองตามผังปลูก ความสูงประมาณ 1.0-1.5 ม. แล้วปลูกมังคุดบนสันกลางของกองดิน หากพื้นที่มีน้ำท่วมขังมากทำการยกร่องสวนให้มีขนาดสันร่องกว้างไม่น้อยกว่า 6 ม. ร่องน้ำกว้าง 1.5ม. ลึก 1 ม. มีระบบระบายน้ำเข้าและออกเป็นอย่างดี
วิธีการปลูก
สามารถทำได้ทั้งการขุดหลุมปลูกซึ่งเหมาะกับพื้นที่ที่ค่อนข้างแห้งแล้งและยังไม่มีการวางระบบน้ำไว้ก่อนปลูกวิธีนี้ดินที่อยู่ในหลุมจะช่วยเก็บความชื้นได้ดีขึ้น แต่หากมีฝนตกชุก น้ำขังรากเน่า และต้นจะตายได้ง่ายส่วนการปลูกโดยไม่ต้องขุดหลุม (ปลูกแบบนั่งแท่นหรือยกโคก) เหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุกวิธีนี้ช่วยในการระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ขังโคนต้น แต่ต้องมีการวางระบบน้ำไว้ก่อนจะทำการปลูก ซึ่งต้นมังคุดจะเจริญเติบโตเร็วกว่าการขุดหลุมทั้งนี้จุดเน้นที่สำคัญในการปลูกมังคุด คือ ควรใช้ต้นกล้าที่มีระบบรากดี ไม่ขดงอในถุง แต่หากจะใช้ต้นกล้าขนาดใหญ่ก็ให้ตัดดินและรากที่ขดหรือพันตรงก้นถุงออก
ระยะปลูก
เนื่องจากมังคุดเป็นไม้ผลที่มีทรงพุ่มขนาดใหญ่ เจริญเติบโตช้า ระยะปลูกที่แนะนำคือ 8 ถึง 9 x 8 ถึง 9ม. สำหรับสวนที่จะใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานควรจะเว้นระยะระหว่างแถวให้ห่างพอที่เครื่องจักรกลจะเข้าไปทำงานแต่ให้ระยะระหว่างต้นชิดขึ้น โดยมีจำนวนต้นต่อไร่ประมาณ 20-25 ต้นต่อไร่
การให้น้ำ
ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอช่วงการเจริญเติบโตทางใบและงดให้น้ำช่วงปลายฝน ต้นมังคุดที่มีอายุตายอด 9 ถึง 12 สัปดาห์และผ่านสภาพแล้ง 20 ถึง 30 วัน เมื่อแสดงอาการใบตก ปลายใบบิด ก้านใบและกิ่งที่ปลายยอดเริ่มเป็นร่อง ให้กระตุ้นการออกดอกโดยการให้น้ำอย่างเต็มที่ให้มากถึง 1,100-1,600ล./ต้น จากนั้นให้หยุดดูอาการ 7 ถึง 10 วัน เมื่อพบว่าก้านใบและกิ่งที่ปลายยอดเริ่มเต่งขึ้นก็ให้น้ำ เป็นครั้งที่ 2 ในปริมาณ 1/2 ของครั้งแรก หลังจากนั้น 10 ถึง 14 วัน ตาดอกจะผลิออกมาให้เห็น และควรมีการจัดการน้ำเพื่อควบคุมให้มีปริมาณดอกเพียง ร้อยละ 35 ถึง 50 ของยอดทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยหลังจากมังคุดออกดอกแล้ว 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของตายอดทั้งหมด ควรให้น้ำปริมาณมากถึง 220-280ล./ต้นทุกวัน จนกระทั่งพบว่ายอดที่ยังไม่ออกดอกเริ่มมียอดอ่อนแทนตาดอกจึงค่อยให้น้ำตามปกติ คือ 80-110ล./ต้น และจะต้องให้น้ำในปริมาณนี้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้ผลมังคุดมีพัฒนาการที่ดี
การใส่ปุ๋ยแก่มังคุดจะแบ่งใส่ตามระยะพัฒนาของต้นและการเก็บเกี่ยวเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. เพื่อบำรุงต้นหลังการเก็บเกี่ยว
ปุ๋ยอินทรีย์ 20-50กก./ต้น
ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ในปริมาณ 1-3กก./ต้น
2. เพื่อส่งเสริมการออกดอก (ช่วงปลายฝน)
ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 หรือ 9-24-24 ในปริมาณ 2-3กก./ต้น
3. เพื่อบำรุงผล (หลังติดผล 3-4 สัปดาห์)
ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 ในปริมาณ 2-3กก./ต้น
การปฏิบัติอื่นๆ
การเตรียมสภาพต้นมังคุดให้พร้อม คือ การจัดการให้ต้นมังคุดแตกใบอ่อนในเวลาที่เหมาะสม และพัฒนาไปเป็นใบแก่ได้พอดีกับช่วงที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมปกติต้นมังคุดที่ตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำจะแตกใบอ่อนตามเวลาที่เหมาะสมแต่ต้นที่ไว้ผลมากและขาดการบำรุงที่ดีในฤดูที่ผ่านมา แม้จะจัดการต่างๆ แล้ว แต่ก็มักจะไม่ค่อยแตกใบอ่อนหรือแตกใบอ่อนช้าจึงควรกระตุ้นการแตกใบอ่อนโดยฉีดพ่นปุ๋ยยูเรีย อัตรา 100- 200ก./น้ำ 20ล. แต่หากพ่นปุ๋ยยูเรียไปแล้ว มังคุดยังไม่ยอมแตกใบอ่อนก็ให้ใช้ไทโอยูเรียจำนวน 20-40ก. ผสมน้ำตาลเด็กซ์โตรสจำนวน 600ก. ในน้ำ 20ล.(ไทโอยูเรียมีความเป็นพิษต่อพืชสูงจะทำให้ใบแก่ร่วงได้จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง) เมื่อมังคุดแตกใบอ่อนแล้วให้ดูแลรักษาใบอ่อนที่แตกออกมาให้สมบูรณ์ โดยการหมั่นตรวจสอบและป้องกันการระบาดของหนอนกัดกินใบและโรคใบจุดอย่างใกล้ชิ
การจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตที่มีคุณภาพ (มังคุดคุณภาพ หมายถึง ผลมังคุดที่มีผิวลายไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของผิวผลและมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 80ก. ปราศจากอาการเนื้อแก้วยางไหลภายในผล และจะต้องเป็นผลที่เก็บเกี่ยวถูกวิธี) ส่วนการควบคุมปริมาณดอก มังคุดทุกดอกจะเจริญเติบโตเป็นผลได้โดยไม่ต้องผสมเกสรหากปล่อยให้ออกดอกมากเกินไป ผลที่ได้มีขนาดเล็กราคาไม่ดีและยังมีผลต่อความสมบูรณ์ของต้นในปีถัดไป นอกจากจะจัดการน้ำตามที่กล่าวแล้ว ในกรณีที่พบว่ามังคุดออกดอกมากเกินไปให้หว่านปุ๋ยทางดิน สูตร 16-16-16 หรือ 15-15-15 ในปริมาณ 2 เท่าของปกติควบคู่กับการให้น้ำจะทำให้ผลที่มีอายุ 2 ถึง 3 สัปดาห์ร่วงได้บางส่วนและจะต้องทำการตรวจสอบและป้องกันกำจัดศัตรูเพลี้ยไฟ ไรแดง ไรขาวอย่างใกล้ชิดในช่วงดอกใกล้บาน และติดผลขนาดเล็ก
การเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวผลมังคุดที่แก่พอเหมาะ เมื่อผลเริ่มเป็นระยะสายเลือด คือ ผลที่มีสีเหลืองอ่อนปนสีเขียว มีจุดประสีชมพูกระจายอยู่ทั่วผล แนะนำให้เก็บเกี่ยวด้วยตะกร้อผ้าเพื่อป้องกันผลตกลงมากระแทกกับพื้นและรอยขีดข่วนที่ผิว
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
เปลือกผล แก้แผลเป็นหนอง แก้แผลเปื่อย ยาพอกแผลกลาย สมานแผล ชะล้างบาดแผล รักษาบาดแผล บาดแผลเรื้อรัง ทาบาดแผลทั่วไป รักษาโรคนิ้วเท้าเปื่อย แก้แผลเน่าเปื่อย (3)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มแซนโทน (xanthones) ได้แก่ α-mangostin, β-mangostin, γ-mangostin, mangosenone F, gartanin, garcinoxanthone A, garcinoxanthone B, garcinoxanthone C, garcinoxanthone D, garcinoxanthone E, garcinoxanthone F,garcinoxanthone G, 9-hydroxycabaxanthone, garciniafuran, garcinone B, garcinone C, garcinone D,garcinone E, garcimangosone A, garcimangosone B, garcimangosone C, 1,3,6,7-tetrahydroxy-2,8-(3-methyl-2-butenyl)xanthone P1, 1,3,6-trihydroxy-7-methoxy-2,8-(3-methyl-2-butenyl) xanthone P2, 1,5-dihydroxy-2-(3-methylbut-2-enyl)-3-methoxy-xanthone, 1,5-dihydroxy-2-isopentyl-3-methoxy xanthone, 1,7-dihydroxy-2-(3-methylbut-2-enyl)-3-methoxy-xanthone, 1,7-dihydroxy-2-isopentyl-3-methoxy xanthone, 1,7-dihydroxy-2-isopentyl-3-methoxy xanthone, 1-isomangostin, 1-isomangostin hydrate, 2-(γ,γ-dimethylallyl)-1,7-dihydroxy-3-methoxyxanthone, 3-isomangostin, 3-isomangostin hydrate, 8-deoxygartanin, 8-hydroxycudraxanthone, BR-xanthone, cudraxanthone G, mangostanin, mangostenol,mangostenone A, mangostenone B, mangostinone, smeathxanthone A, tovophyllin A, tovophyllin B และ trapezifolixanthone (9-20)
สารกลุ่มเบนโซฟีโนน (benzophenones) ได้แก่ garcimangosone D, maclurin, kolanone และ isogarcinol (9, 14)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ epicatehin (9, 14)
สารกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins) ได้แก่ chrysanthemin, cyanidin-3-sophoroside และ cyanidin-3-glucoside (11, 14)
สารกลุ่มแซนโทน (xanthones)
สารกลุ่มเบนโซฟีโนน (benzophenones)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ สารกลุ่ม xanthones ได้แก่ a-mangostin (21)
- สารออกฤทธิ์ต้านสิว ได้แก่ สารกลุ่ม xanthones ได้แก่ a-mangostin (8, 22-27)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ สารกลุ่ม xanthones ได้แก่ a-mangostin (28-30)
- สารออกฤทธิ์ต้านอักเสบ ได้แก่ สารกลุ่ม xanthones ได้แก่ a-mangostin (31-32)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การวิเคราะห์ปริมาณสาร α-mangostin ในวัตถุดิบและสารสกัดมังคุดและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผสมมังคุดโดยวิธี High Performance Liquid Chromatography (HPLC) (33)
การเตรียมกราฟมาตรฐานในการวิเคราะห์สาร α-mangostin
เตรียม stock standard solution ของสาร α-mangostin ความเข้มข้น ~ 1,000 มคก./มล. โดย ชั่งสารมาตรฐาน α-mangostin ประมาณ 0.01 ก. ความละเอียด 0.1 มก. ใส่ใน volumetric flask ขนาด 10 มล. สารละลายมาตรฐานและปรับปริมาตรด้วยเมทานอลแล้วดูดสารละลายมาตรฐาน stock standard solution ปริมาณ 20, 40, 60, 80 และ 100 มคล. ใส่ใน volumetric flask ขนาด 10 มล. ปรับปริมาตรด้วย เมทานอล ได้สารละลายมาตรฐาน α-mangostin ความเข้มข้น ~ 2, 4, 6, 8 และ 10 มคก./มล. ตามลำดับ
การเตรียมตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์ปริมาณ
ชั่งตัวอย่างที่ต้องการวิเคราะห์ ประมาณ 1.0 ก. ความละเอียด 0.1 มก. ใส่ใน volumetric flask ขนาด 25 มล. เติมเมทานอลประมาณ 10 มล. ลงในขวด A และ B ละลายและผสมโดยใช้ ultrasonic bath และ vortex mixer จนเป็นเนื้อเดียวกัน ปรับปริมาตรด้วยเมทานอล กรองสารละลาย A และ B โดยใช้ syringeผ่าน membrane filter ลงใน vial นำไปตรวจวิเคราะห์ด้วย HPLC/UHPLC (ดำเนินการซ้ำอย่างน้อย 3 ครั้ง)
สภาวะสำหรับการวิเคราะห์สาร α-mangostin/xanthones ด้วย HPLC/UHPLC มีตัวอย่างการศึกษาดังนี้
Stationary Phase: Column BEH C18, 1.7 มคม., 2.1 × 100 มม.
Mobile phase: methyl alcohol: 0.1% acetic acid อัตราส่วน 80 : 20 โดยปริมาตร
Detection: Photodiode array
scan wavelength: 210 - 350 nm และ detection wavelength: 244 nm
Flow rate: 0.4 มล./นาที
Injection volume: 1 มคล.
Run time: 5 นาที (33)
Stationary Phase: Hypersil BDS C18 analytical column (125 × 4.0มม. i.d., 5 มคม.) และ C18 guard column
Mobile phase: 0.2% formic acid : acetonitrile (30 : 70, v/v)
Detection: UV spectra 200 - 400 nm
Flow rate: 1.0 มล./นาที
Injection volume: 20 มคล. (20)
Stationary Phase: HypersilBDS C18 column (250 × 4.6มม., 5 มคม.) และ C18 guard column
Mobile phase: 0.1% v/v orthophosphoric acid (A) : acetonitrile (B)
Detection: UV spectra 320 nm
Flow rate: 1.0 มล./นาที(25)
Stationary Phase: Novapak C18 (3.9 × 150 มม.2)
Mobile phase: A: 0.1% formic acid in water และ B: methanol (gradient system : 65%- 90% B ตั้งแต่เวลา0 - 30 min)
Detection: UV spectra 200 - 400 nm
Flow rate: 1.0 มล./นาที
Injection volume: 10 มคล. (19)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ฤทธิ์ต้านสิว (F006)
การศึกษาทางคลินิกต่อการรักษาสิว (double - blinded, split - face, randomized, control study) ของเจลผสมสารสกัดเปลือกมังคุด ในอาสาสมัครจำนวน 28 ราย อายุระหว่าง 18 - 40 ปี ที่มีอาการของสิวเล็กน้อยถึงปานกลางตามเกณฑ์ของ Global Acne Grading system (GAGs)โดยให้อาสาสมัครทา 2.5% benzoyl peroxideทั่วใบหน้า วันละครั้ง เป็นเวลา5 นาที แล้วจึงล้างออก และให้ทาเจลอนุภาคนาโนที่มีส่วนผสมของ 0.5% w/wสารสกัดจากเปลือกมังคุด (mangosteen extract nanoparticleloaded gel) ที่ประกอบด้วยสาร α-mangostin 94%ครึ่งหน้า เปรียบเทียบกับอีกครึ่งหน้าให้ทาเจล 1% clindamycin (ทั้งเจลสารสกัดเปลือกมังคุดและเจล clindamycinเตรียมสูตรโดย Welltech Biotechnology Co., Ltd., Thailand)โดยทาเจล 2 ครั้ง/วัน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าเจลสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีผลในการลดการเกิดสิวอุดตัน(comedone) จากช่วงเริ่มการทดสอบจนกระทั่งสัปดาห์ที่ 12 จาก 6.07 ± 5.52 ถึง 3.04 ± 2.2 คิดเป็น 66.86% ในขณะที่เจล 1% clindamycin ลดการเกิดสิวอุดตันจาก 6.18 ± 4.7 ถึง 2.48 ± 1.9 คิดเป็น 55.33% ตามลำดับ และเจลสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีผลในการลดรอยอักเสบ (inflammatory lesions) จากช่วงเริ่มการทดสอบจนกระทั่งสัปดาห์ที่ 12 จาก18.32 ± 13.45 ถึง 6.8± 6.34คิดเป็น 67.05% ในขณะที่เจล 1% clindamycinลดรอยอักเสบจาก 17.5 ± 12.87 เป็น 8.04 ± 9.52 คิดเป็น 64.16% ตามลำดับ และพบว่าการรักษาทั้งสองแบบมีผลในลดอาการสิวได้ตั้งแต่ช่วง 2 สัปดาห์หลังการรักษา จากการวัดความรุนแรงของอาการทางคลินิก (porphyrin severity grading) ด้วย Wood's lamp พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีผลในการลดความรุนแรงของอาการทางคลินิกและไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงรุนแรงใด ๆ (8)
การศึกษาทางคลินิกต่อการรักษาสิว (randomized, double-blind, placebo-controlled, split-face study) ของเจลผสมสารα-mangostin ในอาสาสมัครทั้งเพศหญิงและชายจำนวน 10 ราย อายุเฉลี่ย 23.60 ± 3.13 ปี ที่มีรอยสิวทั้งสิวไม่อักเสบและสิวอักเสบมากกว่าหรือเท่ากับ 5 รอย บริเวณใบหน้า โดยให้ทาเจลที่มีส่วนผสมของสาร α-mangostin 1.2% w/w (Welltech Biotechnology Co., Ltd., Thailand) ในรูปแบบอนุภาคนาโน (mangostin nanoparticles) ครึ่งหน้า เปรียบเทียบกับอีกครึ่งหน้าให้ทาเจลเบส (gel base) 2 ครั้ง/วัน ตอนเช้าและกลางคืนหลังจากอาบน้ำ ทำการทดสอบเป็นระยะเวลา 28 วัน ผลการทดสอบพบว่าเจลอนุภาคนาโนของสาร α-mangostin มีผลในการบรรเทาอาการของสิวในอาสาสมัครได้ โดยมีผลในการลดค่าดัชนีความรุนแรงของสิว (acne severity index; ASI) และการเกิดรอยอักเสบ ได้ดีกว่าข้างที่ให้ทา gel base (22)
2 การศึกษาเกี่ยวกับช่องปาก
2.1 ฤทธิ์ต้านอักเสบ (L006)
การศึกษาทางคลินิกต่อการบรรเทาอาการโรคปริทันต์อักเสบ (periodontal disease) หรือโรคเหงือกอักเสบของเจลที่มีส่วนผสมของผงสารสกัดหยาบจากเปลือกมังคุดในอาสาสมัครที่มีอาการโรคปริทันต์อักเสบ จำนวน 50 ราย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ใช้เจลที่มีส่วนผสมของผงสารสกัดหยาบจากเปลือกมังคุด 4% (เจลประกอบด้วยผงสารสกัดหยาบจากเปลือกมังคุด 4 ก. glycerin (wetting agent) 0.2 มล.peppermint oil (flavoring agent) 0.1 มล.sodium saccharine (sweetening agent) 0.1มล. purified water ปรับปริมาตรให้ครบ100 มล.) ร่วมกับการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน (an adjunct to scaling and root planing) เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้เจลยาหลอก ประเมินผลในช่วงเริ่มการทดสอบและเดือนที่ 3 ของการทดสอบ ผลการทดสอบพบว่าจากการประเมินอาการทางคลินิก ความลึกของร่องลึกปริทันต์ (probing pocket depth) ดัชนีการมีเลือดออกบริเวณเหงือก (bleeding index) ดัชนีคราบจุลินทรีย์ (plaque index) แบคทีเรียในช่องปากสาเหตุของโรคปริทันต์อักเสบ Treponema denticola พบว่าลดลงในกลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากเปลือกมังคุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเจลยาหลอก จากช่วงเริ่มการทดสอบจนกระทั่งเดือนที่ 3 ของการทดสอบ (6)
2.2 น้ำยาบ้วนปาก/ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
การศึกษาทางคลินิกต่อการบรรเทาอาการกลิ่นปาก (halitosis) ก๊าซที่มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ที่ระเหยได้ (volatile sulfur compound; VSC) ดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีการมีเลือดออกบริเวณเหงือกของน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุดในอาสาสมัครจำนวน 60 ราย ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการเหงือกอักเสบเรื้อรังเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุด (ไม่มีข้อมูลรายละเอียดการเตรียมสารสกัด) เปรียบเทียบกับกลุ่มยาหลอก หลังจากแปรงฟัน 2 ครั้ง/วัน เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ประเมินผลในวันที่ 1 ของการรักษา ช่วง 30 นาที และ 3 ชม. หลังจากใช้น้ำยาบ้วนปาก และในวันที่ 15 ของการทดสอบ โดยมีระยะพัก 4 สัปดาห์ (washout period) อาสาสมัครจะได้รับการขูดหินปูนและขัดฟัน (scaling and polishing) แล้วสลับการรักษา ผลการทดสอบพบว่าดัชนีชี้วัดเกี่ยวกับอาการกลิ่นปากของทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 30 นาที และ 3 ชม. และในวันที่ 15 ของการทดสอบ ค่า VSC แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 15 ของการทดสอบ หลังจากอาสาสมัครได้รับการขูดหินปูนและขัดฟันร่วมกับการใช้น้ำยาบ้วนปาก เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีการมีเลือดออกบริเวณเหงือกแตกต่างกันจากช่วงเริ่มการทดสอบ ในขณะที่ค่า VSC ไม่มีความแตกต่าง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มจะพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการทดสอบสรุปได้ว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการกลิ่นปากได้ (7)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบฤทธิ์ของสาร α-mangostin ที่สกัดแยกได้จากเปลือกมังคุด (Wako: Osaka, Japan) ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase, tyrosinase relative protein (TRP)-2 และ microphthalmia-associated transcription factor (MITF) และผลที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณ extracellular signal-regulated kinase (ERK) และ glycogen synthase kinase 3 (GSK-3β) โดยทำการทดสอบในเซลล์มะเร็งผิวหนังชนิดB16F10 ด้วยเทคนิค western blottingและผลต่อการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์เม็ดสีผิวหนังปกติ normal human epidermal melanocytes (NHEMs) ใช้สาร α-mangostin ละลายใน dimethyl sulfoxide (DMSO) สำหรับการทดสอบในเซลล์ B16F10 และละลายใน70% เอทานอล สำหรับการทดสอบในเซลล์ NHEMsผลการทดสอบพบว่าสาร α-mangostinขนาด 3, 6 และ 10 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์ขึ้นอยู่กับขนาดของสารและมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase, TRP-2 และ MITF โดยการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินของสาร α-mangostin นั้น ผ่านกลไกการส่งสัญญาณ ERK และ GSK-3β (21)
1.2 ฤทธิ์ต้านสิว (S005)
การทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระและการต้านสิวของสารสกัดจากเปลือกมังคุด (กรุงเทพฯ) ล้างมังคุดสดให้สะอาด นำส่วนที่รับประทานได้ออก หั่นเปลือกมังคุดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งโดยใช้ตู้อบ 50 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 72 ชั่วโมง นำมาทำให้เป็นผง ร่อนผ่านตะแกรง 20 mesh เก็บแบบสุญญากาศและกันแสง นำผงเปลือกมังคุดมาสกัดด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ การสกัดโดยแช่สกัด (maceration) ใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก. แช่ใน 95% เอทานอล 100 มล. ที่อุณหภูมิห้อง เป็นระยะเวลา 10 วัน ทำการเขย่าเป็นครั้งคราวแล้วกรองด้วยกระดาษกรอง ทำซ้ำจนการสกัดสมบูรณ์ (exhausted extraction) (100 มล. × 10ครั้ง) การสกัดโดยปล่อยให้ตัวทำละลายไหลผ่านสมุนไพรอย่างช้าๆ (percolation) ใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก. ผสมด้วย 95% เอทานอล 10 มล. ทิ้งไว้ 1 ชม. สกัดโดยใช้เครื่อง percolator แล้วเติม 95% เอทานอล 3.6 ล. สกัดที่อุณหภูมิห้องด้วยอัตราการไหล (flow rate) 3 มล./นาที จนกระทั่งได้การสกัดสมบูรณ์ ใช้เวลา 20 ชม. การสกัดแบบต่อเนื่องโดยใช้ความร้อน (Soxhlet extraction) โดยใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก. ใส่ในหลอดกระดาษกรองสำหรับการสกัด (thimble) แล้วสกัดแยกโดยใช้ 50, 70และ95% เอทานอล ทำการสกัด 5 รอบ จนได้สารสกัดที่สมบูรณ์ (15 ชม.)การสกัดโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonic extraction)โดยใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก. ผสมด้วย 95% เอทานอล 100 มล.ใช้อ่างควบคุมอุณหภูมิ (water bath) ที่ 30 องศาเซลเซียส เปลี่ยนตัวทำละลายทุก 30 นาที จนกระทั่งการสกัดสมบูรณ์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ชม. (1 ชม. × 10 ครั้ง)และการสกัดโดยใช้เครื่องกวนสาร (magnetic stirrer) โดยใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก. ผสมด้วย 95% เอทานอล 100 มล.ในขวด flash ขนาด 250 มล. ที่อุณหภูมิห้อง 28 - 30 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 1 ชม. โดยใช้เครื่องกวนสารความเร็ว 500 rpm ทำซ้ำ 10 ครั้ง จนกระทั่งได้การสกัดสมบูรณ์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ชม. (1 ชม. × 10 ครั้ง) ผลการทดสอบพบว่าการสกัดด้วย Soxhlet extraction ทำให้ได้ส่วนประกอบของสารสกัดหยาบสูงสุด 26.60% น้ำหนักแห้ง และ สาร α-mangostin 13.51% ของสารสกัดหยาบ และมีผลในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิว Propionibacterium acnes และ Staphylococcus epidermidisมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งเชื้อ (minimal inhibitory concentration; MIC) เท่ากับ 7.81 และ15.63 มคก./มล.และความเข้มข้นต่ำสุดในการฆ่าเชื้อ (minimal bactericidal concentration; MBC) เท่ากับ15.53 และ31.25มคก./มล. ตามลำดับ การสกัดด้วยSoxhlet extraction โดยใช้ 50% เอทานอล ทำให้สารสกัดมีค่าสารประกอบ total phenolic สูงสุด เท่ากับ 26.96 ก. gallic acid equivalents/สารสกัด 100ก. และ total tannins สูงสุด เท่ากับ 46.83 ก. tannic acid equivalents/สารสกัด 100ก.และมีผลในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุดวัดด้วยเทคนิค DPPH-scavenging activity มีค่า EC50 12.84มคก./มล. (23)
การทดสอบฤทธิ์ของสาร α-mangostin(94% α-mangostin, Welltech Biotechnology Co., Ltd., Thailand) ในรูปแบบอนุภาค α-mangostin ที่กระจายตัวในน้ำ (water-dispersible unadulterated α-mangostin particles; MG-E) เปรียบเทียบกับสารละลาย α-mangostin (α-mangostin solution) ในการต้านสิว โดยวัดการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย P. acne (ATCC 6919) ด้วยเทคนิค agar disc diffusion และทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบและผลต่อการมีชีวิตรอดของเซลล์ (cell viability) โดยทำการทดสอบในเซลล์ RAW 264.7 ด้วยเทคนิค nitric oxide (NO) assay ผลการทดสอบพบว่าอนุภาคสาร α-mangostin ในน้ำ ในน้ำ (MG-E) มีผลในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิวใกล้เคียงกับ 5% α-mangostin solution ใน dimethyl sulfoxideและจากการเตรียมอนุภาค MG-E ในน้ำความเข้มข้น 12.7 ppm พบว่ามีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบที่สูงกว่า 5% α-mangostin solution และจากการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์พบการเกิดเซลล์ตายน้อยกว่า 20% (24)
การทดสอบเปรียบเทียบปริมาณสารสำคัญ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ในการต้านสิว ระหว่างสารสกัดที่เตรียมจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกที่มีลักษณะเปลือกสีเขียว (young) และมังคุดสุกที่มีลักษณะเปลือกสีม่วงแดงเข้ม (mature)โดยใช้ตัวอย่างมังคุดจากตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มีการพิสูจน์ความถูกต้องและเก็บตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (voucher specimens; WGM0606U และ WGM0606R) เตรียมสารสกัดโดยนำส่วนที่รับประทานได้ออก หั่นเปลือกผลให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งโดยนำไปอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 72 ชม. นำมาทำให้เป็นผง แล้วนำมาร่อนด้วยตะแกรง 20meshesใช้ผงเปลือกมังคุดทั้งสองแบบอย่างละ 25 ก. หมักด้วย 95% เอทานอล (8 × 100 มล.) ที่อุณหภูมิห้อง 25 - 28 องศาเซลเซียส จนกระทั่งได้สารสกัดที่สมบูรณ์ นำมากรอง แล้วนำไประเหยด้วย rotary vacuum evaporator ที่ 50 องศาเซลเซียส ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิค DPPH radical scavenging activity และทดสอบฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิว P. acnes (ATCC 6919) และ S. epidermidis (ATCC 14990) ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกมีสาร total phenolics และ tannins และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุกโดยสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกและสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุกมีค่า total phenolics เท่ากับ 42.57 ± 0.11 และ 28.88 ± 0.73 ก. gallic acid equivalents (GAE)/100 ก. สารสกัด ตามลำดับ และมีค่า total tannins เท่ากับ 51.25 ± 0.20 และ 36.66 ± 0.43 ก. tannic acid equivalents (TAE)/100 ก. สารสกัด ตามลำดับสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกและสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุก มีค่า EC50 เท่ากับ 5.56 ± 0.12 และ 10.94±0.06 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดจากเปลือกมังคุดสุกมีสาร flavonoids และα-mangostin xanthone และฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิวสูงกว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุก โดยสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกและสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุกมีค่า α-mangostin เท่ากับ 8.07 ± 0.11 และ 13.63 ± 0.06 % w/w ของสารสกัด ตามลำดับ และมีค่า total flavonoids เท่ากับ 2.91 ± 0.09 และ 4.08 ± 0.07 ก.quercetin equivalents (QE)/100 ก. สารสกัด ตามลำดับ สารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกและสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุกมีฤทธิ์ยับยั้ง P. acneมีค่า MIC เท่ากัน เท่ากับ 15.63 มคก./มล. และค่า MBC เท่ากับ 31.25 และ 15.63 มคก./มล. ตามลำดับ และมีฤทธิ์ยับยั้ง S. epidermidis โดยมีค่า MIC เท่ากับ 31.25 และ 15.63 มคก./มล. ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ 62.50 และ 31.25 มคก./มล. ตามลำดับ จากผลการทดสอบสรุปได้ว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุกมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุก และสารสกัดจากเปลือกมังคุดสุกมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิวได้ดีกว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ยังไม่สุก (25)
การทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากเปลือกมังคุด สกัดด้วยเฮกเซน(hexane), ไดคลอโรมีเทน(dichloromethane), เอทานอล (ethanol)และสารสกัดน้ำ(water)โดยใช้ตัวอย่างมังคุดจากอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีการพิสูจน์ความถูกต้องและเก็บตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (voucher specimens; WGM0806)เตรียมสารสกัดโดยนำส่วนที่รับประทานได้ออก หั่นเปลือกผลให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งโดยนำไปอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 72 ชม. นำมาทำให้เป็นผง แล้วนำมาร่อนด้วยตะแกรง (20meshes) ใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก.สกัดด้วยเฮกเซนไดคลอโรมีเทน และ 95% เอทานอล 1,000 มล. ด้วย Soxhlet apparatus แล้วนำมากรอง และนำไประเหยด้วย rotary vacuum evaporator ที่ 50 องศาเซลเซียส และสกัดด้วยน้ำ โดยใช้ผงเปลือกมังคุด 10 ก. ต้มในน้ำเดือด 200 มล. เป็นระยะเวลา 1 ชม. แล้วนำมากรอง ทำซ้ำ 5 ครั้ง จนกระทั่งการสกัดสมบูรณ์ นำไประเหยตัวทำละลายออกในอ่างควบคุมอุณหภูมิ ทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิวได้แก่เชื้อP. acnes (ATCC 6919) และ S. epidermidis (ATCC 14990) พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่สกัดด้วยไดคลอโรมีเทนมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียสูงสุด โดยมีค่า MIC ต่อเชื้อ P. acnesและ S. epidermidis เท่ากัน เท่ากับ 3.91 มคก./มล. และมีค่า MBC ต่อเชื้อ P. acnesและ S. epidermidis เท่ากับ 3.91 และ15.63 มคก./มล. ตามลำดับ และจากการวิเคราะห์สารด้วยเทคนิค HPLC พบว่าสารสกัดไดคลอโรมีเทนมีปริมาณสาร α-mangostin สูงสุดเท่ากับ 46.21% w/w สารสกัดเอทานอลเท่ากับ 18.03% w/w สารสกัดเฮกเซนเท่ากับ 17.21% w/w และสารสกัดน้ำเท่ากับ 0.54%w/w จากผลการทดลองสรุปได้ว่าสารสกัดไดคลอโรมีเทนจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิวสูงสุด และมีปริมาณสารสำคัญ α-mangostin สูงสุด (26)
การทดสอบฤทธิ์ในการต้านสิวของสารสกัดจากเปลือกมังคุด ใช้ตัวอย่างมังคุดจากจังหวัดปทุมธานี นำมาล้างให้สะอาด นำส่วนกลีบเลี้ยงออก ผ่าครึ่ง นำส่วนเนื้อออก ล้างเปลือกมังคุดให้สะอาดอีกครั้ง ทำให้แห้งในตู้อบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นผง นำมาสกัดด้วยไดคลอโรมีเทน 3 ครั้ง ได้สารสกัดหยาบ นำไประเหยแห้งด้วย rotary vacuum evaporator วิเคราะห์สารด้วย Thin layer chromatography (TLC) นำสารสกัดจากเปลือกมังคุดมาเตรียมในรูปแบบแผ่นฟิล์มที่มีส่วนผสมของสารα-mangostin (film-forming solutions containing α-mangostin rich extract) และทดสอบฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียสาเหตุของการเกิดสิว P. acnes เปรียบเทียบกับแผ่นฟิล์มที่ไม่มีส่วนผสมของสาร α-mangostin ด้วยเทคนิค disk diffusion method พบว่าแผ่นฟิล์มที่มีส่วนผสมของสาร α-mangostin มีผลในการยับยั้งเชื้อ P. acnesโดยทำให้เกิด clear zone 23.5 ± 1.5 มม. ในขณะที่แผ่นฟิล์มที่ไม่มีส่วนผสมของสารα-mangostin ไม่มีผลในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย (27)
1.3 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากเปลือกมังคุด (Mount Cisalak-Subang, West Java, Indonesia) ที่เตรียมโดยแช่เปลือกมังคุดแห้งใน 70% เอทานอล ทิ้งไว้ 1 คืน นำมากรองแล้วระเหยแห้งและวิเคราะห์ปริมาณสารกลุ่ม flavonoidsจากสารสกัดเปลือกมังคุดด้วยเทคนิค aluminum chloride colorimetric assay ทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการชะลอวัย พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระจากการทดสอบด้วยวิธี ferric reducing antioxidant power (FRAP)โดยมีค่า FRAP เท่ากับ 116.31 ± 0.60 ไมโครโมลาร์ Fe(II) ต่อไมโครกรัมของสารสกัด และจากการทดสอบด้วยวิธี H2O2 scavenging มีค่า IC50เท่ากับ 54.61 มคก./มล. และมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการชะลอวัย โดยสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ elastase ด้วยค่า IC50เท่ากับ 7.40 มคก./มล. สาร α-mangostin มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ collagenase ด้วยค่า IC50เท่ากับ 9.75 มคก./มล. สาร γ-mangostin มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ hyaluronidase และ tyrosinase ด้วยค่า IC50เท่ากับ 23.85 และ 50.35 มคก./มล. ตามลำดับ (28)
การทดสอบฤทธิ์ของสาร α-mangostin (Sigma-Aldrich: Merck KGaA, Darmstadt, Germany) ในการต้านอนุมูลอิสระในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจของหนูแรท H9C2 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์ด้วย CoCl2 พบว่าสาร α-mangostin มีผลในการปรับปรุงการมีชีวิตรอดของเซลล์ (viability) ได้ถึง 79.6% มีผลในการลดการเกิดอนุมูลอิสระ ลดความเข้มข้นของ malondialdehyde (MDA) ลดการตายของเซลล์ และเพิ่มการทำงานของเอนไซม์superoxide dismutaseนอกจากนี้จากการเหนี่ยวนำเซลล์ด้วย CoCl2 มีผลทำให้เพิ่มการแสดงออกของโปรตีนที่มีบทบาทควบคุมการตายของเซลล์ BAX และเพิ่มการตัดย่อย (cleavage) ของ caspase-9 และ caspase-3 เท่ากับ 194, 138 และ 193% ตามลำดับ และลดการแสดงออกของ Bcl-2 เท่ากับ 64.9% ซึ่งพบว่าสาร α-mangostin ขนาด 0.06 มิลลิโมลาร์มีผลในการปรับเปลี่ยนค่าดังกล่าว โดยลด Bax, caspase-9 และ caspase-3 เท่ากับ 110, 120และ133% ตามลำดับ และเพิ่ม Bcl-2 เท่ากับ 81.4% และสาร α-mangostin ขนาด 0.3 มิลลิโมลาร์ มีผลในการลด Bax, caspase-9 และ caspase-3 เท่ากับ 142, 126 และ183% ตามลำดับ และเพิ่ม Bcl-2 เท่ากับ 70.8% จากผลการทดสอบนักวิจัยระบุว่าสาร α-mangostin มีฤทธิ์ยับยั้ง CoCl2ที่จะกระตุ้นให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน (hypoxia) ได้ (29)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากเปลือกมังคุด (จากจังหวัดจันทบุรี) สกัดโดยนำส่วนที่นิ่มด้านในเปลือกมังคุดออกมา 1 กก. แช่สกัดด้วยน้ำกลั่น 1 ล. และภายใต้อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชม. จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ไปทำให้เข้มข้นโดยระเหยน้ำออกด้วยด้วย rotary evaporator ที่ 55 องศาเซลเซียส ภายใต้สภาวะลดความดัน และทำให้แห้งด้วยการพ่นฝอยอบแห้ง (spray drying) ทำการทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงและเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular remodeling) ด้วยการให้ Nω-Nitro-L-arginine methyl ester (L-NAME) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุมที่ให้น้ำ กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ให้สารสกัดเปลือกมังคุดเพียงอย่างเดียว กลุ่มที่ 3 ให้ L-NAME 40 มก./กก./วัน ทางน้ำดื่ม เพียงอย่างเดียว และกลุ่มที่ 4 ให้ L-NAME 40 มก./กก./วัน ทางน้ำดื่มและสารสกัดจากเปลือกมังคุด 200 มก./กก./วัน ทางสายยางผ่านทางกระเพาะอาหาร (intragastric tube) เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าการเหนี่ยวนำด้วย L-NAME มีผลทำให้หนูแรทเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เกิดการหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (aorta wall) เพิ่มระดับของการสร้าง superoxide, MDA และ tumor necrosis factor alpha (TNF-α) สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของ p47phox NADPH oxidase subunit และการแสดงออกของโปรตีน iNOS ในเนื้อเยื่อหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา กลุ่มที่ให้สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีผลในการป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดหัวใจดังกล่าว ลดการเกิดภาวะเครียดออกซิเดชันและการต้านอักเสบ จากผลการทดสอบครั้งนี้สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ยับยั้ง L-NAME ในการเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงและเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดหัวใจผ่านการยับยั้ง p47phox NADPH oxidase subunitและการแสดงออกของโปรตีน iNOS (34)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมังคุดเข้มข้น (LordDuke Biotechnology Co., Ltd. Taipei, Taiwan) ใช้เนื้อมังคุดผสมกับส่วนเปลือกมังคุด ได้น้ำมังคุดสีน้ำตาลแดง (ส่วนประกอบ ต่อกรัม, พลังงาน7กิโลแคลอรีโปรตีน 6.36 มก. คาร์โบไฮเดรต 174.5 มก. ไฟเบอร์ 8.2 มก.และสาร α-mangostin 1.44 มก.) ทดสอบในหนูแรทที่ให้ออกกำลังกายโดยการวิ่งบนสายพาน โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ไม่ให้ออกกำลังกายและไม่ให้น้ำมังคุดเข้มข้น กลุ่มที่ให้ออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว และกลุ่มที่ให้ออกกำลังกายและให้น้ำมังคุดเข้มข้น 1× dose (M1), 5× dose (M5)และ10× dose (M10) ตามลำดับ (0.9, 4.5และ9 มล./วัน) เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำมังคุดเข้มข้นมีผลในการเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ต้านออกซิเดชันได้แก่glutathione peroxidase (GPx) และ catalase (CAT) ลดภาวะเครียดออกซิเดชันในกล้ามเนื้อ เพิ่มการกำจัดแลคเตท (lactate clearance) และลดอาการเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย (30)
1.4 ฤทธิ์ต้านอักเสบ (S014)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ต้านอักเสบในหลอดทดลองของสมุนไพร 19 ชนิดได้แก่ ฟ้าทะลายโจร สะเดา เสลดพังพอน คำฝอย บัวบก พญายอ ตะไคร้ สาบเสือ มังคุด กระเจี๊ยบแดง พลูคาว เทียนกิ่ง มะเขือเทศ หญ้าปักกิ่ง ฝรั่ง ชุมเห็ดเทศ ชุมเห็ดเล็ก ขี้เหล็ก และดาวเรือง โดยเลือกเก็บตัวอย่างสมุนไพรจากหลายพื้นที่ในประเทศไทยและมีการพิสูจน์ความถูกต้องโดยพิพิธภัณฑ์พืชกรุงเทพ(BangkokHerbarium, Botanical Section Botany and Weed Science Division, Department of Agriculture) ตัวอย่างพรรณไม้ เก็บรักษาไว้ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำสมุนไพรแห้งมาทำให้เป็นผง สกัดด้วยเอทานอลแล้วกรอง นำไประเหยในสภาวะสุญญากาศ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิค DPPH radical scavenging activityและทดสอบฤทธิ์ต้านอักเสบโดยแยกเม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์จากเลือดของมนุษย์ (peripheral blood mononuclear cells; PBMCs) 1 × 106 เซลล์ ทดสอบใน 24-well tissue culture plates โดยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย P. acnes (ATCC 6919) 108organisms/มล. และใช้สารสกัดสมุนไพรความเข้มข้น 5 และ 50 มคก./มล. เปรียบเทียบกับการไม่ใช้สารสกัดสมุนไพร ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดมังคุดมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุด มีค่า IC50เท่ากับ 6.13 มคก./มล.และมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ มีผลลดการสร้างไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจากการกระตุ้นด้วยแบคทีเรีย P. acnes ได้ สารสกัดมังคุดความเข้มข้น 5 และ 50 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง TNF-α มีค่า % inhibition เท่ากับ 77.84 และ 94.59 ตามลำดับ (35)
การทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดเอทานอลจากเปลือกมังคุด (G. mangostana pericarp ethanolic extract; GME) โดยเลือกตัวอย่างมังคุดจากตลาดในจังหวัดขอนแก่น และมีการพิสูจน์ความถูกต้องโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตัวอย่างพรรณไม้ เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นสกัดโดยนำเปลือกมังคุดมาล้างและทำให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส แล้วนำมาบด สกัดด้วย soxhlet extraction ด้วย 95% เอทานอล นาน 3 ชม. นำมากรองและระเหยด้วย rotary evaporation ที่อุณหภูมิ 50 - 60 องศาเซลเซียส แล้วนำไปทำให้แห้งต่อด้วยการแช่เยือกแข็งที่ -20 องศาเซลเซียส (Freeze dry) และสาร α-mangostin (purity > 98%; Chengdu Biopurify Phytochemicals Ltd., Sichuan, China)ทดสอบฤทธิ์ในการต้านการอักเสบในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังด้วย methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA )และทดสอบด้วยเทคนิคการลอกผิวหนัง (tape stripping model) โดยจะแปะผ้าพันยืด (elastic bandage) บริเวณผิวหนังด้านบน 2 × 2 ซม.2 จนค่าการสูญเสียน้ำจากชั้นผิวหนัง (transepidermal water loss; TEWL) อยู่ที่ประมาณ 70 - 80 ก./ม.2 ชม. จนผิวหนังมีอาการแดง (reddened) และแวว (glistened) แล้วจึงนำ MRSA 1 × 108 CPU/มล. 10 มคล.มาทาบริเวณดังกล่าว หลังจากนั้น 24 ชม. ให้ทาสารตามการแบ่งกลุ่มเพื่อทดสอบ ได้แก่ 10% เอทานอลใน propylene glycol (vehicle, NT), 10% สารสกัดเอทานอลเปลือกมังคุดใน10%เอทานอลใน propylene glycol (GME), 1.32%α-mangostin ใน 10%เอทานอลใน propylene glycol (α-mangostin) และ1.32% erythromycin ใน10%เอทานอลในpropylene glycol (erythromycin) และกลุ่มควบคุมปกติที่ไม่ถูกเหนี่ยวนำด้วย MRSAโดยทาสารวันละครั้ง เป็นระยะเวลา 10 วัน ถ่ายรูปรอยแผลเพื่อประเมินผลและวัดค่า TEWL ในวันที่ 1, 5 และ 10ของการทดสอบ ผลการทดสอบพบว่ากลุ่ม GME มีผลทำให้โคโลนีของ MRSA ลดลงตั้งแต่วันแรกของการทดสอบ และในวันที่ 10 มีจำนวนโคโลนีอยู่ที่ 8 ± 4 โคโลนี ในขณะที่กลุ่ม α-mangostin 14 ± 6 โคโลนีกลุ่ม NT 18 ± 6 โคโลนี และกลุ่ม erythromycin 3 ± 1 โคโลนี กลุ่ม GME ยังมีผลลดการอักเสบ ในขณะที่กลุ่ม α-mangostin พบเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล (neutrophil infiltration) และการรวมกลุ่มของ mast call กลุ่มที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย MRSA เพียงอย่างเดียวมีผลทำให้ระดับของ TNF-α, IL-6, IL-1βและ TLR-2 gene เพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง GME มีผลในการลด mRNA และปรับปรุงยีนดังกล่าวให้กลับสู่ปกติ ในขณะที่ α-mangostin ไม่มีผลในกาลดระดับไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบดังกล่าว (31)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารα-mangostin (purity of 98%; SanHerb Bioscience Inc., Chengdu, Sichuan, China) ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปอดเกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS)โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดสอบ 2 กลุ่ม ที่ให้สาร α-mangostin ในสารละลาย CMC-Na ขนาด 15 และ 45 มก./กก./วัน ต่อเนื่องกัน 3 วัน ผ่านทางหลอดให้อาหาร (gavage) กลุ่มควบคุมปกติและกลุ่มควบคุมที่ให้ CMC-Na เพียงอย่างเดียว หลังจากทดสอบให้สารวันสุดท้ายเป็นเวลา 1 ชม. จึงฉีด LPS ขนาด 10 มก./กก. เข้าทางใต้ผิวหนัง หลังจากนั้น 12 ชม. จึงประเมินผลการทดสอบ ผลการทดสอบพบว่ากลุ่มที่ให้สาร α-mangostin มีผลในการปรับปรุงลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของเนื้อเยื่อ ลดระดับ leucocytesและ TNF-α และลดภาวะเครียดออกซิเดชัน สาร α-mangostin ยังมีผลลดการแสดงออกของ nicotinamide phosphoribosyltransferase (NAMPT) และ Sirt1 สอดคล้องกับการยับยั้ง NAD และ TNF-α นอกจากนี้ยังมีการทดสอบพบว่าสาร α-mangostin มีฤทธิ์ลด HMGB1, TLR4 และ p-p65 ในเซลล์ RAW264.7 (32)
1.5 ฤทธิ์ในการรักษาแผล (S015)
การทดสอบฤทธิ์ในการรักษาแผลของสมุนไพร 8 ชนิด ได้แก่ เปลือกผลมังคุด รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra L.) เมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa L.) เปลือกต้นพิกุล (Mimusops elengi L.) ผลมะขามป้อมแห้ง(Phyllanthus emblica L.) ผลมะแว้งต้นแห้ง (Solanum indicum L.) ผลมะแว้งเครือแห้ง(Solanum trilobatum L.) และดอกตูมกานพลู (Syzygium aromaticum L.) เก็บตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สมุนไพรแต่ละชนิดนำมาสกัดด้วยเอทานอลและสกัดด้วยน้ำ เตรียมสารสกัดเอทานอลโดยล้างสมุนไพรให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทำให้แห้งด้วยตู้อบที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 24 ชม. แล้วนำมาทำให้เป็นผง สกัดด้วย 95% เอทานอล ที่อุณหภูมิห้อง อัตราส่วน 300 ก./500 มล. เป็นเวลา 3 วัน แล้วกรอง แล้วนำไประเหยแห้ง และเตรียมสารสกัดน้ำโดยการต้มในน้ำเดือด นาน 15 นาที แล้วกรอง ทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง (Freeze dry) เก็บสารสกัดทั้งสองแบบที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง nitric oxide ด้วยเทคนิค nitric oxide production inhibition assay ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวของหนู (murine macrophage leukemia cell line) RAW 264.7 ทดสอบฤทธิ์ยับยั้ง superoxide ด้วยเทคนิค superoxide anion radical reduction assay ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (human promyelocytic leukemia cell line)HL-60ทดสอบฤทธิ์ต่อการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังไฟโบรบลาสต์ ในเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนไฟโบรบลาสต์ของหนู (murine embryonic fibroblast cell line) 3T3-CCL92 และทดสอบและการปิดของรอยแผล (wound closure) ในเซลล์ 3T3-CCL92 ด้วยเทคนิค scratch wound closure assay แล้ววัดการลดดลงของรอยแผลด้วย ImageJ softwareผลการทดสอบพบว่าสารสกัดเอทานอลของเปลือกมังคุด ชะเอมเทศ และเทียนดำ มีฤทธิ์ยับยั้ง superoxide anion ด้วยค่า IC50เท่ากับ 13.97 ± 0.38, 28.62 ± 1.91และ71.54 ± 3.22มคก./มล.และยับยั้ง nitric oxide ด้วยค่าIC50 เท่ากับ23.97 ± 0.91, 46.35 ± 0.43และ78.48 ± 4.46 มคก./มล. ตามลำดับ มีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ และเร่งการฟื้นฟูของรอยแผลที่อัตรา 2.02 ± 0.03, 2.12 ± 0.03และ2.65 ± 0.05% /ชม. ตามลำดับ (36)
2 การศึกษาเกี่ยวกับช่องปาก
2.1 ฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
การทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่สาเหตุของการเกิดโรคในช่องปากStreptococcus mutans (ATCC-3198) และ Porphyromonas gingivalis (ATCC-3327) ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มแบคทีเรีย (biofilm)ของสารสกัดจากเปลือกมังคุด โดยใช้เปลือกมังคุด (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ที่ทำให้แห้งด้วยแสงแดดในช่วง 8.00-15.00 น. เป็นเวลา 2 วัน นำมาบดให้เป็นผง และแช่สกัดด้วย 96% เอทานอล เป็นเวลา 1 วัน หลังจากระเหยตัวทำละลายออกทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดเปลือกมังคุดที่ได้ด้วยเทคนิค crystal violet biofilm assay โดยเตรียมแบคทีเรียในอาหารเลี้ยงเชื้อ (brain–heart infusion broth) เป็นเวลา 24 ชม. ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ในสภาวะไร้ออกซิเจน (anaerobic conditions) ปริมาตร 200 มคล. (107 colony-forming ยูนิต/มล.) แล้วเตรียมใน microplate wells บ่มเชื้อเป็นเวลา 24 ชม. แล้วเติมสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่ละลายใน 5% dimethyl sulfoxide ความเข้มข้นต่าง ๆ5 ความเข้มข้น(ไม่ระบุความเข้มข้นเริ่มต้น โดยเจือจางแบบ 2 เท่า)ลงไปใน biofilm wells เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ใส่สารสกัดจากเปลือกมังคุด วัด biofilm mass ด้วย 0.5% crystal violet stainingและตรวจวัดด้วย microplate reader ที่ความยาวคลื่น 600 นาโนเมตร ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อS.mutansและ P. gingivalisเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยสารสกัดที่ความเข้มข้นสูงสุดที่ใช้ทดสอบมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการยับยั้งเชื้อ S. mutans และ P. gingivalis ที่ระยะเวลาในการบ่มเชื้อเท่ากับ6 ชม. และใน24 ชม. ตามลำดับ (37)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดจากเปลือกมังคุดในหนูเม้าส์ เก็บตัวอย่างมังคุดจากจังหวัดจันทบุรี ล้างให้สะอาด หั่นเปลือกมังคุดเป็นชิ้น ๆ ทำให้แห้งโดยใช้อุณหภูมิห้อง (ambient temperature) เป็นเวลา 5 วัน นำมาทำให้เป็นผง ใช้ผงเปลือกมังคุด 1 กก. สกัดโดยการแช่ด้วยเมทานอล 5 ล. เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นำสารสกัดมากรอง แล้วระเหยตัวทำละลายออกด้วย vacuum rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส ทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน โดยให้สารสกัดขนาด 0, 50, 100, 250, 500, 1,000 และ 2,000 มก./กก. เข้าทางช่องท้อง ครั้งเดียว ประเมินผลในช่วง 1, 3, 6, 12 และ 24 ชม. หลังจากให้สาร ผลการทดสอบพบว่าค่าปริมาณสารที่ให้แก่หนูเม้าส์และไม่ทำให้หนูเม้าส์ตายอยู่ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 500 มก./กก. ค่าปริมาณสารที่ให้กับหนูเม้าส์ แล้วหนูเม้าส์ตายไปครึ่งหนึ่ง (lethal dose; LD50) เท่ากับ 1,000มก./กก. และทำการทดสอบเพิ่มเติมโดยให้สารสกัดขนาด 0, 50, 100, 150, 200, 250 และ 500 มก./กก. เป็นเวลา 14 วัน ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดขนาด 50 - 250 มก./กก. ไม่พบความเป็นพิษและการตายของหนูเม้าส์ แต่ในขนาดที่สูงกว่านี้มีผลทำให้ค่าการทำงานของตับ SGOT และ SGPT และค่าการทำงานของไต BUN เพิ่มสูงขึ้น ที่ขนาด 500 มก./กก. พบการตายของหนูเม้าส์ในวันที่ 5 ของการทดสอบ และหนูเม้าส์ทุกตัวตายก่อนสิ้นสุดการทดลอง (38)
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดจากเปลือกมังคุด เก็บตัวอย่างมังคุดจากจังหวัดชุมพร เก็บตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (voucher specimen; SKP 0803071301) ล้างเปลือกมังคุดให้สะอาด หั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งด้วยอุณหภูมิ 50 - 60 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นผง ใช้ผงเปลือกมังคุด 1 กก. สกัดด้วยน้ำและเอทานอล (1:1 v/v) (3 ล. × 3 ครั้ง) นำมากรอง ทำให้แห้งโดยการลดความดัน และแช่เยือกแข็ง คำนวณหาปริมาณสารสกัดได้ผลผลิตร้อยละ (percentage yield) เท่ากับ 21.7% w/wซึ่งประกอบด้วยสารสำคัญเป็น (-)epicathechin 11.38 มก./ก. สารสกัดแห้งจากการวิเคราะห์ด้วย HPLCทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูเม้าส์ โดยให้สารสกัดขนาด 2 และ 5 ก./กก. ทางปาก ครั้งเดียว ผลการทดสอบพบว่าไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในช่วงหลังจากให้สาร 14 วัน ที่สังเกตอาการ และทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังโดยให้สารสกัดขนาด 0, 400, 600และ 1,200 มก./กก.นน.ตัว ทางปาก เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่าไม่มีผลต่อพฤติกรรม การกินอาหารและน้ำ การเจริญเติบโต และสุขภาพ ค่าทางโลหิตวิทยาไม่เปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มควบคุม หลังจากช่วง 12 สัปดาห์ค่าทางชีวเคมีในกลุ่มหนูเพศเมียที่ได้รับสารสกัดแต่ละขนาด ไม่พบความแตกต่างใด ๆ แต่ในหนูเพศผู้พบว่าค่า direct bilirubin เพิ่มสูงขึ้นตามขนาดของสารสกัดที่ให้ สำหรับการตรวจทางจุลพยาธิวิทยาไม่พบความผิดปกติใด ๆ (39)
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดจากเปลือกมังคุดในหนูแรท เก็บตัวอย่างมังคุดจากจังหวัดจันทบุรี เก็บตัวอย่างพรรณไม้อ้างอิงโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (WGM0615) นำเปลือกมังคุดแห้งมาทำให้เป็นผง สกัดโดยการแช่สกัดด้วย 95% เอทานอล 2 ครั้ง ใช้เวลา 48 และ 24 ชม. นำมากรอง ระเหยแห้งโดยการลดความดัน ผสมสารสกัดเข้าด้วยกัน ให้ความร้อน 50 องศาเซลเซียส นำสารสกัดส่วนบนไประเหยแห้งด้วย rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส ภายใต้สภาวะลดความดัน ทำให้แห้งด้วยตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชม. ทดสอบความเป็นพิษเรื้อรังโดยให้สารสกัดเปลือกมังคุดขนาด 10, 100, 500,1,000 และ 1,000 มก./กก./วัน เป็นเวลา 6 เดือนตามลําดับ และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มศึกษาผลย้อนกลับ (satellite group) ภายหลังหยุดให้สารสกัดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดเปลือกมังคุดขนาด 1,000 มก./กก./วัน ทําให้หนูเพศผู้และเพศเมีย มีน้ำหนักตัวต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ สารสกัดทุกขนาดไม่มีผลต่อพฤติกรรม สุขภาพ รวมทั้งไม่ทําให้หนูมีอาการแสดงออกและค่าทางโลหิตวิทยาผิดปกติแต่อย่างใด การตรวจค่าทางเคมีคลินิก พบว่าหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัดตั้งแต่ 500 มก./กก./วันขึ้นไป มีค่าเอนไซม์ ALT สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ (p<0.05) หนูเพศผู้และเพศเมียที่ได้รับสารสกัดขนาด 1,000 มก./กก./วัน มีเอนไซม์ AST สูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ (p<0.05) แต่มีระดับกลูโคสลดลงอย่างมีนัยสําคัญ (p<0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม หนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัดขนาด 1,000 มก./กก./วัน และกลุ่ม satellite มีค่า BUN สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ (p<0.05) ส่วนหนูเพศเมียกลุ่มที่ได้รับสารสกัดตั้งแต่ 500 มก./กก./วัน ขึ้นไปมีค่า BUN และ creatinine สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ (p<0.05) ผลทางจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน ไม่พบรอยโรคใดๆ ที่เกิดจากสารสกัดเปลือกมังคุด ยกเว้นหนูกลุ่ม satellite พบรอยโรคการเสื่อมแบบมีน้ำในเซลล์ตับสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญ (p<0.05) ซึ่งอาจเกิดจากสารสกัดเปลือกมังคุดขนาดสูงสุด การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า สารสกัดเปลือกมังคุดขนาดสูงมีผลต่อตับและไต ควรมีการศึกษาด้านความปลอดภัยขององค์ประกอบทางเคมีต่างๆเพิ่มเติมต่อไป (40)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ห้ามทาบริเวณขอบตาและเนื้อเยื่ออ่อน (41)
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
ผลิตภัณฑ์ต่อการรักษาสิว
เจลอนุภาคนาโนที่มีส่วนผสมของ 0.5% w/w สารสกัดจากเปลือกมังคุด (mangosteen extract nanoparticleloaded gel) ประกอบด้วยสาร α-mangostin 94% โดยทาวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ มีผลในการลดการเกิดสิวอุดตันและรอยอักเสบ(8)
เจลอนุภาคนาโนที่มีส่วนผสมของสาร α-mangostin 1.2% w/wโดยทาวันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 28 วัน มีผลในการบรรเทาอาการของสิว (22)
การศึกษาเกี่ยวกับช่องปาก
ผลิตภัณฑ์ต่อการบรรเทาอาการโรคปริทันต์อักเสบ
เจลที่มีส่วนผสมของผงสารสกัดหยาบจากเปลือกมังคุด 4% (เจลประกอบด้วยผงสารสกัดหยาบจากเปลือกมังคุด 4 ก. glycerin 0.2 มล.peppermint oil 0.1 มล.sodium saccharine 0.1มล. purified water ปรับปริมาตรเป็น 100 มล.) ใช้ร่วมกับการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน (an adjunct to scaling and root planing) ช่วยลดความลึกของร่องลึกปริทันต์ ดัชนีการมีเลือดออกบริเวณเหงือก ดัชนีคราบจุลินทรีย์ และแบคทีเรียในช่องปากสาเหตุของโรคปริทันต์อักเสบ T.denticola (6)
ผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปาก/ฆ่าเชื้อในช่องปาก
น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุด ใช้หลังจากแปรงฟัน 2 ครั้ง/วัน เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ มีผลต่อการบรรเทาอาการกลิ่นปากได้ (7)
การใช้ตามข้อมูลยาจากสมุนไพร ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ยาเปลือกมังคุด ตัวยาสำคัญคือ สารสกัดเอทิลแอลกอฮอล์ (95%) ของเปลือกมังคุดแห้ง ร้อยละ 10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร (w/v) ใช้ทาแผลสด และแผลเรื้อรัง ทาบริเวณที่เป็นแผล วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น (41)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
มังคุด ผลไม้ที่มีการเพาะปลูกเป็นจำนวนมากทางภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศไทย เปลือกมังคุดประกอบด้วยสารสำคัญกลุ่ม xanthones โดยมีสาร a-mangostinเป็นสารประกอบหลัก มีข้อมูลงานวิจัยการเตรียมสารสกัดจากเปลือกมังคุด และมีการศึกษาทางคลินิกพบว่ามีผลในการต้านสิว บรรเทาอาการของโรคปริทันต์อักเสบใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปากมีผลช่วยลดอาการกลิ่นปาก และมีการศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ได้แก่ ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียก่อสิว ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ รักษาแผล และฆ่าเชื้อในช่องปาก ซึ่งเป็นข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเปลือกมังคุดมาใช้ประโยชน์ในทางเครื่องสำอาง เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า และลดการทิ้งทำลาย
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Garcinia × mangostana L. World flora online. [Internet]. 2021 [cited 2021 Nov2]. Available from: http://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0000694452.
3. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (3). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2542.
4. พีรศักดิ์ วรสุทโรสถ, สุนทร ดุริยะประพันธ์, ทักษิณ อาชวาคม, สายันต์ ตันพานิช, ชลธิชา นิวาสประกฤติ, ปรียานันท์ ศรสูงเนิน. ทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2 ไม้ผลและไม้ผลเคี้ยวมัน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์;2544.
5. จริงแท้ ศิริพานิช, บรรณาธิการ. มังคุด: นวัตกรรมจากงานวิจัย.กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.); 2557.
6. Mahendra J, Mahendra L, Svedha P, Cherukuri S, Romanos GE. Clinical and microbiological efficacy of 4% Garcinia mangostana L. pericarp gel as local drug delivery in the treatment of chronic periodontitis: a randomized, controlled clinical trial. J Investig Clin Dent. 2017;8(4). doi: 10.1111/jicd.12262.
7. Rassameemasmaung S, Sirikulsathean A, Amornchat C, Hirunrat K, Rojanapanthu P, Gritsanapan W. Effects of herbal mouthwash containing the pericarp extract of Garcinia mangostana L on halitosis, plaque and papillary bleeding index. J Int Acad Periodontol. 2007;9(1):19-25.
8. Lueangarun S, Sriviriyakul K, Tempark T, Managit C, Sithisarn P. Clinical efficacy of 0.5% topical mangosteen extract in nanoparticle loaded gel in treatment of mild-to-moderate acne vulgaris: a12-week, split-face, double-blinded, randomized, controlled trial. J Cosmet Dermatol. 2019. doi: 10.1111/jocd.12856.
9. Ovalle-Magallanes B, Eugenio-Pérez D, Pedraza-Chaverri J. Medicinal properties of mangosteen (Garcinia mangostana L.): a comprehensive update. Food Chem Toxicol. 2017;109:102-22. doi: 10.1016/j.fct.2017.08.021.
10. Watson RR, Preedy VR, (editors). Food as dietary interventions for arthritis and related inflammatory diseases (second edition): Chapter 17 Current review on mangosteen usages in antiinflammation and other related disorders. [Internet].[cited2021Nov 2].Available from: https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/B9780128138205000179.
11. Aizat WM, Ahmad-Hashim FH, Jaafar SNS. Valorization of mangosteen, ‘‘The Queen of fruits,” and new advances in postharvest and in food and engineering applications: a review. J Adv Res. 2019;20:61-70. doi: 10.1016/j.jare.2019.05.005.
12. Gutierrez-Orozco F, Failla ML. Biological activities and bioavailability of mangosteen xanthones: a critical review of the current evidence. Nutrients. 2013;5(8):3163-83. doi: 10.3390/nu5083163.
13. Yang R, Li P, Li N, Zhang Q, Bai X, Wang L, et al. Xanthones from the pericarp of Garcinia mangostana. Molecules. 2017;22(5):683. doi: 10.3390/molecules22050683.
14. Obolskiy D, Pischel I, Siriwatanametanon N, Heinrich M. Garcinia mangostana L.: a phytochemical and pharmacological review. Phytother Res. 2009;23(8):1047-65. doi: 10.1002/ptr.2730.
15. Suttirak W, Manurakchinakorn S. In vitro antioxidant properties of mangosteen peel extract. J Food Sci Technol. 2014;51(12):3546-58. doi: 10.1007/s13197-012-0887-5.
16. Sukatta U, Tekenaka M, Ono H, Okadome H, Sotome I, Nanayama K, et al. Distribution of major xanthones in the pericarp, aril, and yellow gum of mangosteen (Garcinia mangostana Linn.) fruit and their contribution to antioxidantive activity. Biosci Biotechnol Biochem. 2013;77(5):984-7.doi: 10.1271/bbb.120931.
17. Yoshimura M, Ninomiya K, Tagashira Y, Maejima K, Yoshida T, Amakura Y. Polyphenolic constituents of the pericarp of mangosteen (Garcinia mangostana L.). J Agric Food Chem. 2015;63(35):7670-4. doi: 10.1021/acs.jafc.5b01771.
18. Fu C, Loo AE, Chia FP, Huang D. Oligomeric proanthocyanidins from mangosteen pericarps. J Agric Food Chem. 2007;55(19):7689-94. doi: 10.1021/jf071166n.
19. Walker EB. HPLC analysis of selected xanthones in mangosteen fruit. J Sep Sci. 2007;30(9):1229-34. doi: 10.1002/jssc.200700024.
20. Yodhnu S, Sirikatitham A, Wattanapiromsakul C. Validation of LC for the determination of alpha-mangostin in mangosteen peel extract: a tool for quality assessment of Garcinia mangostana L. J Chromatogr Sci. 2009;47(3):185-9. doi: 10.1093/chromsci/47.3.185.
21. Zhou S, Yotsumoto H, Tian Y, Sakamoto K. α-Mangostin suppressed melanogenesis in B16F10 murine melanoma cells through GSK3β and ERK signaling pathway. Biochem Biophys Rep. 2021;26:100949. doi: 10.1016/j.bbrep.2021.100949.
22. Pan-In P, Wongsomboon A, Kokpol C, Chaichanawongsaroj N, Wanichwecharungruang S. Depositing α-mangostin nanoparticles to sebaceous gland area for acne treatment. J Pharmacol Sci. 2015;129(4):226-32. doi: 10.1016/j.jphs.2015.11.005.
23. Pothitirat W, Chomnawang MT, Supabphol R, Gritsanapan W. Free radical scavenging and anti-acne activities of mangosteen fruit rind extracts prepared by different extraction methods. Pharm Biol. 2010;48(2):182-6. doi: 10.3109/13880200903062671.
24. Bumrung J, Chanchao C, Intasanta V, Palaga T, Wanichwecharungruang S. Water-dispersible unadulterated α-mangostin particles for biomedical applications. R Soc Open Sci. 2020;7(11):200543. doi: 10.1098/rsos.200543.
25. Pothitirat W, Chomnawang MT, Supabphol R, Gritsanapan W. Comparison of bioactive compounds content, free radical scavenging and anti-acne inducing bacteria activities of extracts from the mangosteen fruit rind at two stages of maturity. Fitoterapia. 2009;80(7):442-7. doi: 10.1016/j.fitote.2009.06.005.
26. Pothitirat W, Chomnawang MT, Gritsanapan W. Anti-acne-inducing bacterial activity of mangosteen fruit rind extracts. Med Princ Pract. 2010;19(4):281-6. doi: 10.1159/000312714.
27. Asasutjarit R, Larpmahawong P, Fuongfuchat A, Sareedenchai V, Veeranondha S. Physicochemical properties and anti-Propionibacteriumacnes activity of film-forming solutions containing alpha-mangostin-rich extract. AAPS PharmSciTech. 2014;15(2):306-16. doi: 10.1208/s12249-013-0057-8.
28. Widowati W, Ginting CN, Lister INE, Girsang E, Amalia A, Wibowo SHB, et al. Anti-aging effects of mangosteen peel extract and its phytochemical compounds: antioxidant activity, enzyme inhibition and molecular docking simulation. Trop Life Sci Res. 2020;31(3):127-44. doi: 10.21315/tlsr2020.31.3.9.
29. Fang Z, Luo W, Luo Y. Protective effect of α-mangostin against CoCl2-induced apoptosis by suppressing oxidative stress in H9C2 rat cardiomyoblasts. Mol Med Rep. 2018;17(5):6697-704. doi: 10.3892/mmr.2018.8680.
30. Chang CC, Chen CW, Owaga E, Lee WT, Liu TN, Hsieh RH. Mangosteen concentrate drink supplementation promotes antioxidant status and lactate clearance in rats after exercise. Nutrients. 2020;12(5):1447. doi: 10.3390/nu12051447.
31. Tatiya-Aphiradee N, Chatuphonprasert W, Jarukamjorn K. Anti-inflammatory effect of Garcinia mangostana Linn. pericarp extract in methicillin-resistant Staphylococcus aureusinduced superficial skin infection in mice. Biomed Pharmacother. 2019;111:705-13. doi: 10.1016/j.biopha.2018.12.142.
32. Tao M, Jiang J, Wang L, Li Y, Mao Q, Dong J, et al. α-mangostin alleviated lipopolysaccharide induced acute lung injury in rats by suppressing NAMPT/NAD controlled inflammatory reactions. Evid Based Complement Alternat Med. 2018;2018:5470187. doi: 10.1155/2018/5470187.
33. กุลธิดา ศิริวัฒน์, บรรณาธิการ. มาตรฐานสมุนไพรไทยในทางเครื่องสำอาง เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
34. Boonprom P, Boonla O, Chayaburakul K, Welbat JU, Pannangpetch P, Kukongviriyapan U, et al. Garcinia mangostana pericarp extract protects against oxidative stress and cardiovascular remodeling via suppression of p47phox and iNOS in nitric oxide deficient rats. Ann Anat. 2017;212:27-36. doi: 10.1016/j.aanat.2017.03.007.
35. Chomnawang MT, Surassmo S, Nukoolkarn VS, Gritsanapan W. Effect of Garcinia mangostana on inflammation caused by Propionibacterium acnes. Fitoterapia. 2007;78(6):401-8. doi: 10.1016/j.fitote.2007.02.019.
36. Siriwattanasatorn M, Itharat A, Thongdeeying P, Ooraikul B. In vitro wound healing activities of three most commonly used Thai medicinal plants and their three markers. Evid Based Complement Alternat Med. 2020;2020:6795383. doi: 10.1155/2020/6795383.
37. Widyarman AS, Lay SH, Wendhita IP, Tjakra EE, Murdono FI, Binartha CTO. Indonesian mangosteen fruit (Garcinia mangostana L.) peel extract inhibits Streptococcus mutans and Porphyromonas gingivalis in biofilms in vitro. Contemp Clin Dent. 2019;10(1):123-8. doi: 10.4103/ccd.ccd_758_18.
38. Kosem N, Ichikawa K, Utsumi H, Moongkarndi P. In vivo toxicity and antitumor activity of mangosteen extract. J Nat Med. 2013;67(2):255-63. doi: 10.1007/s11418-012-0673-8.
39. Hutadilok-Towatana N, Reanmongkol W, Wattanapiromsakul C, Bunkrongcheap R. Acute and subchronic toxicity evaluation of the hydroethanolic extract of mangosteen pericarp. J Med Plant Res. 2010;4(10):969-74.
40. Chivapat S, Chavalittumrong P, Wongsinkongman P, Phisalpong C, Rungsipipat A. Chronic toxicity study of Garcinia mangostana Linn. pericarp extract. Thai J Vet Med. 2011;41(1): 45-53.
41. บัญชียาจากสมุนไพร รายการบัญชียาหลักแหงชาติ.[อินเตอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 1 พ.ย. 2564].เขาถึงไดจาก:http://ndi.fda.moph.go.th/uploads/file_news/20210723999860392.pdf.
42. มังคุด. คลังข้อมูลสารสนเทศระดับภูมิภาค (ภาคใต้) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) . [อินเตอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 1 พ.ย. 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.arda.or.th/kasetinfo/south/mangosteen/controller/01-02.php.
P040_(18).xlsx