สมอพิเภก
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb.
ชื่อวงค์
COMBRETACEAE
ชื่อสมุนไพร
สมอพิเภก
ชื่ออังกฤษ
Beleric myrobalan, Ink nut
ชื่อพ้อง
Buceras bellirica (Gaertn.) Lyons
Myrobalanus bellirica Gaertn.
Terminalia laurinoides Teijsm. & Binn.
ชื่อท้องถิ่น
ชิบะดู่ ลัน สมอแหน สะคู้ แหน แหนขาว แหนต้น
ชื่อ INCI
TERMINALIA BELLIRICA FRUIT OIL
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
สมอพิเภกมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถได้โดยทั่วไปในประเทศแถบนี้ ในประเทศไทยพบขึ้นนกระจายทั่วๆไปตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือภาคตะวันออกภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคตะวันตกและภาคกลางที่สูงจากน้ำทะเล 100-400 เมตรสำหรับทางภาคใตhพบขึ้นตามที่ราบในป่าดงดิบ (5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้นสูง 10- 20 ม.ที่โคนมีพูพอนขนาดใหญ่ กิ่งอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลับ หรือสลับเวียนใกล้ปลายกิ่ง แผ่นใบ รูปรีกว้างถึงรูปเกือบกลมแกมรูปไข่กลับ โคนใบกลมกว้างขอบเรียบ ปลายใบกลมถึงเว้าตื้น เมื่อยังอ่อนอยู่มีขนสีน้ำตาลเหลือง ช่อดอกแบบช่อเชิงลดออกที่ซอกใบ แกนกลางมีขนสีเหลือง ดอกย่อยสีครีม กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็นแฉกรูปคล้ายสามเหลี่ยมกว้าง โค้งเมื่อบานเต็มที่ ผลสดรูปกระสวยกว้างถึงรูปเกือบกลม กว้าง 15- 18 มม. ยาว 25- 28 มม. มีสันมนตามยาว 5- 6 สัน มีขนนุ่มละเอียดสีเหลือง (4)
การเพาะปลูก
การขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ด
ฤดูการเพาะปลูก : ปลูกได้ทุกฤดูกาล
การเตรียมดิน : ขุดหลุมกว้าง 50 ซม.ยาว 50 ซม. กว้าง 50 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้ากับดิน
วิธีการปลูก : เมื่อต้นกล้าสมอพิเภกอายุได้ 1 - 2 ปี นำลงในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินปักผูกเชือก รดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
การให้ปุ๋ย : ให้ปุ๋ยหลังปลูกได้ 6 เดือน ทำการพรวนดิน จะใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ได้ ควรใส่ปุ๋ยปีละ 1 - 2 ครั้ง
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) ได้แก่ bellericoside, bellericanin (6)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids) ได้แก่ belleric acid (6)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ chebulinic acid (6-7), chebulagic acid (6-9) 1,3,6-trigalloylglucose, 1,2,3,4,6-pentagalloylglucose, corilagin, glucogallin (6-7), ellagic acid, gallic acid (7-9), ethyl gallate, galloyl glucose, phenyllemblin (8), chebulanin, methyl neochebulagate (7)
สารกลุ่มไฟโตสเตอรอล (phytosterols) ได้แก่ β-sitosterol (8)
สารกลุ่มลิกแนน (lignans) ได้แก่ termilignan, thannilignin, hydroxy-3′, 4′-(methylenedioxy) flavan, anolignan B (6, 8-9)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins)
สารกลุ่มไตรเทอร์ปีนอยด์ (triterpenoids)
สารกลุ่มไฟโตสเตอรอล (phytosterols)
สารกลุ่มลิกแนน (lignans)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย ได้แก่ ellagic acid (10)
- สารต้านการอักเสบของผิวกาย ได้แก่ ellagic acid (10)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของผลสมอพิเภก มีรายละเอียดดังนี้
การศึกษาที่ 1 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ High-Performance Liquid Chromatography-Mass Spectrometry (HPLC-MS) วิเคราะห์สารกลุ่ม phenolic compounds สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (7)
- column : WAT054275-Waters Symmetry C18 column (4.6 มม.× 250 มม., 5 มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 25 °C
- mobile phase : ใช้ binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วย A : 0.1% กรดฟอร์มิก และ B : อะซิโตไนไตรล์ โดยเริ่มต้นที่ 5% B นาน 6 นาที จากนั้น ปรับจาก 5% เป็น 15% B นาน 6 นาทีคงที่ที่ 15% B นานอีก 6 นาที จากนั้นปรับจาก 15% B เป็น 20% B นาน 7 นาที และคงที่ที่ 20% B นานอีก 15 นาที และปรับจาก 20% เป็น 5% B นาน 5 นาที
- flow rate : 1.0มล./นาที
- detector : UV ที่ความยาวคลื่น 275 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ High-Performance Liquid Chromatography (HPLC) วิเคราะห์สารกลุ่ม phenolic compounds สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (11)
- column : RP-18 column (4.6มม.× 250มม., 5มคม.)
- mobile phase : ใช้ binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วย A : อะซิโตไนไตรล์ และ B :0.05% trifluoroacetic acid in water (ไม่ได้บอก gradient)
- flow rate : 1.0 มล./นาที
- detector :photodiode array
การศึกษาทางคลินิก
ยังไม่มีรายงาน
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
สารสกัดเนื้อผลสมอพิเภกด้วย 70% เมทานอลและน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 200 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี broth microdilution method พบว่าค่า MIC (Minimum Inhibition Concentration) ที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus มีค่าเท่ากับ 19 ± 0.5 และ 19± 0.2 มคก./มล. ในขณะที่ gentamycin และ tetracycline ความเข้มข้น 30 มคก./disc ค่า MIC เท่ากับ 15± 0.5 และ 17 ± 0.3 มคก./มล. (12)
สารสกัดน้ำผลสมอพิเภก (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 10, 20, 30 และ 40มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี The Thornberry’s method พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10, 12, 13 และ 14มม. ตามลำดับ และสารสกัดน้ำผลสมอพิเภกในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล (nanoparticles) โดยทำในรูปแบบอนุภาคนาโนเงิน อนุภาคนาโนทอง และอนุภาคนาโนเงินผสมทอง ที่ความเข้มข้น 10, 20, 30 และ 40มก./มล. พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 13, 15, 17.5 และ 18 มม., 12, 14.5, 15 และ 17มม., 14, 16, 18 และ 20 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ gentamycin ความเข้มข้น 20มก./มล. ขนาด 10 มคล. บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 23 มม. จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดน้ำผลสมอพิเภกในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิลมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ได้ดีกว่าสารสกัดน้ำผลสมอพิเภก (13)
สารสกัดน้ำผลสมอพิเภกในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 1.25 มิลลิโมลาร์ เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี disc diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 14.67 ± 1.53มม. และมีค่า MIC เท่ากับ 156 - 313 ไมโครโมลาร์ ในขณะที่ streptomycin ความเข้มข้น 20มคก./มล.บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 33.00 ± 2.00 มม.(14)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยน้ำและเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)ความเข้มข้น 100 มก./มล. ขนาด 20 มคล./well เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10.5 ± 0.5 และ 9.5±0.5 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ ampicillin ไม่ระบุความเข้มข้น บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อ มีความกว้างเท่ากับ 24 มม. (15)
สารสกัดน้ำผลสมอพิเภก ด้วยวิธี refluxmethod, bottle- shakermethod และ sonicationmethod(ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) ความเข้มข้น 10 มก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar dilution methodพบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) โดยที่ค่า MIC ที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้มีค่าเท่ากับ 0.25 - 0.5, 0.5 และ 0.25 - 0.5มก./มล.ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดลำดับส่วนของผลสมอพิเภกด้วยเมทานอลด้วยวิธี soxhlet method, bottle- shaker method และ sonicationmethodพบว่าค่า MIC มีค่าเท่ากับ 0.25, 0.5, 0.5มก./มล. ตามลำดับและสารสกัดลำดับส่วนของผลสมอพิเภกด้วยน้ำ ด้วยวิธี soxhlet method, bottle- shaker method และ sonication method พบว่าค่า MIC มีค่าเท่ากับ 0.5 มก./มล. เท่ากันทั้ง 3 วิธี (16)
1.2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
สารสกัดผลแห้งสมอพิเภกด้วย 70% เอทานอล ไม่ระบุความเข้มข้น (ตัวอย่างจากจังหวัดเชียงใหม่) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีค่าเท่ากับ97.47±0.06% (17)
สารสกัดผลสมอพิเภกโดยตรงด้วยน้ำ และสารสกัดลำดับส่วนเมทานอลและ น้ำ(ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) ด้วยวิธี soxhlet, bottle-shaker, sonication method เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assa y พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (EC50) ของสารสกัด โดยสารสกัดทุกวิธีมีค่าอยู่ในช่วง 0.007 - 0.02 มก./มล. และสารสกัดลำดับส่วนด้วยเมทานอลมีค่า EC50 น้อยที่สุด (0.007 มก./มล.) ในขณะที่วิตามินซี มีค่า EC50 เท่ากับ 0.037 มก./มล.(16)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยน้ำ และเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ที่ความเข้มข้น 1 มก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีค่าเท่ากับ 76.02และ 80.15% ตามลำดับ ในขณะที่วิตามินซีสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 91.25% (15)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเอทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 50 - 200 มคก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี free radical scavenging activity (DPPH), superoxide anion radical scavenging activity, hydroxyl radical scavenging activityพบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ 62, 39 และ 27 มคก./มล. ตามลำดับ หรือสารสกัดที่ความเข้มข้น 200 มคก./มล. มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 84.16, 78.39 และ 78.87% ตามลำดับ ส่วนสาร quercetinความเข้มข้น 200 มคก./มล.มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีดังกล่าวได้เท่ากับ 90.25, 91.77 และ 91.12% ตามลำดับ (18)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยด้วย 70% เมทานอล และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 50 - 200 มคก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี free radical scavenging activity (DPPH),superoxide anion radical scavenging activity, hydroxyl radical scavenging activity พบว่าสารสกัดความเข้มข้น 200 มคก./มล. สามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 68.34 และ 51.58%, 75.86 และ 62.91%, 74.86 และ 56.23%ตามลำดับ และสารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเมทานอล เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธีดังกล่าว มีค่าIC50เท่ากับ 118.70, 77.65และ73.76มคก./มล. ตามลำดับส่วนสาร quercetin ความเข้มข้น 200 มคก./มล.สามารถต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีดังกล่าวได้เท่ากับ 90.25, 91.77 และ 91.12% ตามลำดับ (12)
สารฟลาโวนอยด์จากผลแห้งสมอพิเภกที่สกัดด้วยไดเอทิลอีเทอร์ และเอทิลอะซิเตด (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 10 - 25 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าค่า IC50 มีค่าเท่ากับ 10.21 และ 16.47 มคก./มล.ตามลำดับ ในขณะที่ IC50 ของวิตามินซีมีค่าเท่ากับ 11.33 มคก./มล. สารสกัดฟลาโวนอยด์ที่สกัดด้วยไดเอทิลอีเทอร์ และเอทิลอะซิเตด ที่ความเข้มข้น 50 - 200 มคก./มล.เมื่อทดสอบด้วยวิธี hydroxyl radical scavenging activity และ nitric oxide radical scavenging activity พบว่าค่า IC50 มีค่าเท่ากับ 138.70 และ 68.21 มคก./มล., 32.95 และ78.83 มคก./มล. ตามลำดับส่วนสาร gallic acid มีค่า IC50 เท่ากับ 167.95, 15.07 มคก./มล. ตามลำดับ (19)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 25 -300 มคก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity.พบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 21.22 - 73.23% โดยมีค่า IC50เท่ากับ87.29มคก./มล.ส่วนวิตามินซี มีค่า IC50เท่ากับ 60.23 มคก./มล.สารสกัดดังกล่าว เมื่อทดสอบด้วยวิธีnitric oxide radical scavenging activity พบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 19.23 - 70.76% โดยมีค่า IC50มีค่าเท่ากับ97.08มคก./มล. ส่วนวิตามินซี มีค่าIC50เท่ากับ81.61มคก./มล.(20)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วย 70% อะซิโตน (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 13.78 ± 0.72 มคก./มล.ส่วนสาร gallic acid มีค่าIC50 เท่ากับ 12.43 มคก./มล. (11)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเมทานอล เอทิลอะซิเตด เอ็น-บิวทานอล และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ3.1, 2.8, 2.7 และ 3.5 มคก./มล. ตามลำดับ ส่วนวิตามินซี, butylated hydroxyl toluene (BHT), butylhydroquinone (BHQ) และ trolox มีค่าIC50 เท่ากับ 4.2, 4.3, 1.7 และ2.1 มคก./มล. ตามลำดับ (21)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเมทานอลเอทิลอะซิเตดเอ็น-บิวทานอลและน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS radical assayพบว่ามีค่าIC50เท่ากับ 42.9, 40.8, 38.8 และ 52.6 มคก./มล. ตามลำดับ ส่วนสารวิตามินซี, butylated hydroxyl toluene (BHT), butylhydroquinone (BHQ), และtrolox มีค่าIC50 เท่ากับ 42.7, 116.5, 64.4 และ47.4 มคก./มล. ตามลำดับ (21)
ส่วนสกัดผลสมอพิเภกด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซิเตด, บิวทานอล และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่ามีค่าIC50เท่ากับ4054.95 ± 807.27, 21.89 ± 0.43, 7.11 ± 0.31, 17.20 ± 0.13, 9.51 ± 0.07 มคก./มล. ตามลำดับวิตามินซีมีค่าIC50เท่ากับ 5.29 ± 0.28 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าส่วนสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี ยกเว้นส่วนสกัดของเฮกเซน (22)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเมทานอล (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ 9.64 ± 0.13 มคก./มล.วิตามินซีมีค่า IC50 เท่ากับ 6.60 ± 0.66 มคก./มล.(23)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยอะซิโตนกับน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี nitric oxide radical scavenging activity พบว่าความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 79.7% โดยมีค่า IC50เท่ากับ 413.05± 13.48 มคก./มล. วิตามินซีสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 92.8% และค่า IC50เท่ากับ 162.42± 8.98 มคก./มล. (24)
ส่วนสกัดผลสมอพิเภกด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์, คลอโรฟอร์ม, เอทิลอะซิเตด และเอ็นบิวทานอล (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging activity พบว่าค่าIC50เท่ากับ13.88 ± 0.27, 11.04 ± 0.85,1.10 ± 0.08และ6.78 ± 0.23 มคก./มล. ตามลำดับวิตามินซีและ butylated hydroxytoluene (BHT) มีค่าIC50เท่ากับ 13.88 ± 0.27 และ 11.04 ± 0.85มคก./มล. ตามลำดับ ส่วนสกัดดังกล่าวเมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS พบว่า IC50 มีค่าเท่ากับ 5.30 ± 0.53, 2.03 ± 0.10, 0.82 ± 0.09, 1.89 ± 0.04 ส่วนวิตามินซี และ butylated hydroxytoluene (BHT) มีค่า IC50 เท่ากับ1.38 ± 0.15 และ1.63 ± 0.03 มคก./มล. ตามลำดับ ผลการศึกษาสรุปได้ว่าส่วนสกัดผลสมอพิเภกด้วยเอทิลอะซิเตด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (7)
สาร ellagic acidจากผลสมอพิเภกและสารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเอทิลอะซิเตด และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS radical assay พบว่าค่าIC50มีค่าเท่ากับ 1.71, 11.78, 14.44 มคก./มล. ตามลำดับส่วนวิตามินซีมีค่า IC50 เท่ากับ 1.46 มคก./มล.สรุปได้ว่าสาร ellagic acid มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ใกล้เคียงกับวิตามินซี (10)
1.3 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
เมื่อป้อนสารสกัดไฮโดรแอลกอฮอลิกผลสมอพิเภก (ตัวอย่างประเทศอินเดีย) ขนาด 100, 200, และ 400 มก./กก.ทางปาก ครั้งเดียว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน หลังจากนั้น 3 ชม. พบว่าสารสกัดผลสมอพิเภกสามารถยับยั้งการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูได้ 54.9, 57.6 และ 56.7% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับยา indomethacin ขนาด 3 มก./กก. สามารถยับยั้งการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูได้ 63.8% (25)
สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเอทิลอะซิเตด (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ขนาด 25, 50 และ 100 มคก./มล.เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เม็ดเลือดขาว (RAW 264.7 Murine Macrophages) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยสารไลโปโพลีแซคคาไรด์ (lipopolysaccharide; LPS) พบว่าที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล.สามารถลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ [cyclooxygenase (COX), 5-lipoxygenase (5-LOX), Inducible nitric oxide synthase (iNOS)] ได้ 67.68, 62.61 และ 70.0% ตามลำดับ ส่วนยา diclofenac ขนาด100 มคก./มล. มีฤทธิ์ลดการอักเสบได้ 89, 83 และ 88% ตามลำดับ (26)
สาร ellagic acid, สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเอทิลอะซิเตด และน้ำ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยวิธีการยับยั้งการเสียสภาพของโปรตีนอัลบูมิน (inhibition of heat-induced albumin denaturation) พบว่าสารดังกล่าวมีค่า IC50 ต่อการยับยั้งการเสียสภาพของโปรตีนอัลบูมินเท่ากับ 7.64, 28.03 และ 36.22 มคก./มล. ตามลำดับ โดยที่สาร ellagic acid ที่ความเข้มข้น 16.7 มคก./มล. สามารถยับยั้งการเสียสภาพของโปรตีนอัลบูมินได้ 95.56 ± 0.56% สารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเอทิลอะซิเตดและน้ำที่ความเข้มข้น 50มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการเสียสภาพของโปรตีนอัลบูมินได้ 77.67 และ 67.57% ตามลำดับ ส่วนยา diclofenac ความเข้มข้น 16.7 มคก./มล.มีฤทธิ์ยับยั้งการเสียสภาพของโปรตีนอัลบูมินได้ 95.56 ± 0.56 % และมีค่า IC50 เท่ากับ 5.66 มคก./มล. (10)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน
เมื่อป้อนสารสกัดผลสมอพิเภกด้วย 50% เอทานอลให้หนูทางปากในขนาด 10 ก./กก. (คิดเป็น 1,515 เท่าเปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษและเมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) เท่ากับ 6.156 ก./กก. นน.ตัว (27)
การศึกษาในหนูแรท จำนวน 30 ตัว แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มๆ ละ 6 ตัว โดยป้อนสารสกัดเมทานอลของผลสมอพิเภก (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ขนาด 5, 50, 300, 1,000, และ2,000 มก./กก. ครั้งเดียว และสังเกตอาการภายใน 14 วัน ไม่พบหนูตายในสารสกัดทุกขนาดแสดงว่าสารสกัดผลสมอพิเภกด้วยเมทานอล ขนาด 2,000 มก./กก. ไม่ทำให้เกิดพิษ (15)
เมื่อป้อนสารสกัดไฮโดรแอลกอฮอลิกผลสมอพิเภก (ตัวอย่างประเทศอินเดีย) ขนาด2,000 มก./กก. ทางปากให้กับหนูแรทครั้งเดียวสังเกตอาการภายใน 14 วันพบว่าไม่พบอาการผิดปกติใดๆ ในหนู และไม่มีหนูตาย และLD50 มีค่ามากกว่า 2,000 มก./กก. (25)
การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลัน
เมื่อป้อนสารสกัดไฮโดรแอลกอฮอลิกผลสมอพิเภก (ตัวอย่างประเทศอินเดีย) ขนาด1,000 มก./กก. ให้กับหนูแรททางปากวันละ 1 ครั้ง นาน 28 วันพบว่าไม่พบอาการผิดปกติใดๆในหนูและไม่มีหนูตายแสดงว่าสารสกัดผลสมอพิเภกไม่ก่อพิษกึ่งเฉียบพลัน (25)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ไม่มีข้อมูลเนื่องจากยังไม่มีรายงานการศึกษาในคนมีแต่การศึกษาในหลอดทดลองหรือสัตว์ทดลอง
สิทธิบัตร
สรุป
จากข้อมูลการศึกษาวิจัยถึงแม้ว่าสมอพิเภกจะไม่มีการศึกษาทางคลินิก แต่มีข้อมูลสนับสนุนในฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระต้านเชื้อแบคทีเรียบนผิวกายต้านการอักเสบเป็นต้น และการศึกษาด้านความเป็นพิษก็ค่อนข้างปลอดภัยดังนั้นสมอพิเภกน่าจะมีศักยภาพในการที่จะใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ภู่มา, สมรานสุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทยเต็มสมิตินันทน์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืชกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช; 2557.
2. นันทวันบุณยะประภัศร, อรนุชโชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (4). กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชนจำกัด,2543.
3. Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb. The Plant List. [Internet]. 2012 [cited 2021Sep8]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8200807.
4. Philcox D. Combretaceae. In: Dassanayake MD, Fosberg FR, Clayton WD, eds. A Revised Handbook to the Flora of Ceylon.Vol. 9. New Delhi: Amerind Publishing Co. Pvt. Ltd., 1995:39-43.
5. สมอพิเภก. [cited 2021Sep 15]. Available from: https://ittm.dtam.moph.go.th/images/knowleaga/3/92สมอภิเภก%20หน้า246-248.pdf.
6. Gupta A, Kumar R, Kumar S, Pandey AK. Molecular Biology and Pharmacognosy of Beneficial Plants. Delhi: Lenin Media Private Limited; 2017.
7. Chen Y, Zhou G, Ma B, Tong J, Wang Y. Active constituent in the ethyl acetate extract fraction of Terminalia belliricafruit exhibits antioxidation, antifibrosis, and proapoptosis capabilities in vitro.Oxid Med Cell Longev. 2019, Article ID 5176090. doi: 10.1155/2019/5176090.
8. Saraswathi MN, Karthikeyan M, Kannan M, Rajasekar S. Terminalia belerica Roxb. A phytopharmacological review. Int J Res Pharm Biomed Sci. 2012;3(1):96-9.
9. Kumar N, KhuranaSMP.Phytochemistry and medicinal potential of the Terminalia bellirica Roxb. (Bahera). Indian J Nat Prod Resour. 2018;9(2):97-107.
10. Gupta A, Kumar R, Ganguly R, Singh AM, Rana HK, Pandey AK. Antioxidant, anti-inflammatory and hepatoprotective activities of Terminalia bellirica and its bioactive component ellagic acid against diclofenac induced oxidative stress and hepatotoxicity. Toxicol Rep. 2021;8:44-52. doi: 10.1016/j.toxrep.2020.12.010.
11. Deshmukh AG, Pawar AR, Tapre V, Deshmukh SD.Comparative evaluation of quality parameters in leaves, fruits and bark of Terminalia sp. Int J Chem Stud. 2019;7(2):64-9.
12. Gupta R, Singh RL, Gupta A. Antioxidant, DNA protective and antibacterial activities of Terminalia bellericaextracts. J Med Plants Res. 2019;13(18):431-42. doi: 10.5897/JMPR2017.6548.
13. Malik T, Madan VK. Enhanced antimicrobial activity of as synthesized nanoparticles using natural antioxidants of plants origin. Ann Phytomed. 2020;9(1):199-206.
14. Patil S, Chaudhari G, Paradeshi J, Mahajan R, Chaudhari BL. Instant green synthesis of silver-based herbo-metallic colloidal nanosuspension in Terminalia bellirica fruit aqueous extract for catalytic and antibacterial applications. Biotech. 2017;7:36 doi: 10.1007/s13205-016-0589-1.
15. Badoni H, Sharma P, Waheed SM, Singh S. Phytochemical analyses and evaluation of antioxidant, antibacterial and toxic properties of Emblica officinalis and Terminalia bellirica fruit extracts. Asian J Pharm Clin Res. 2016;9(6):96-102. doi: 10.22159/ajpcr.2016.v9i6.13731.
16. Dharmaratne MPJ, Manoraj A, Thevanesam V, Ekanayake A, Kumar NS, Liyanapathirana V. Terminalia belliricafruit extracts: In-vitro antibacterial activity against selected multidrug-resistant bacteria, radical scavenging activity and cytotoxicity study on BHK-21 cells. BMC Complement Altern Med. 2018;18:325. doi: 10.1186/s12906-018-2382-7.
17. Chaiyasut C, Kesika P, Chaiyasut K, Sittiyuno P, Peerajan S, Sivamaruthi BS. Total phenolic content and free radical scavenging activity of representative medicinal plants of Thailand. Asian J Pharm Clin Res. 2017;10(11):137-41. doi: 10.22159/ajpcr.2017.v10i11.20741.
18. Gupta R, Singh RL, Dwivedi N. In vitro antioxidant activity and GC-MS analysis of the ethanolic extracts of Terminalia bellerica Roxb. (Baheda). Int J Pharm Pharm Sci. 2016;8(11):275-82. doi: 10.22159/ijpps.2016v8i11.14175.
19. Jesna J, Soumya K, Archana TM, Sudheesh S. Free radical scavenging and in vitro a-amylase inhibition activities of flavonoids from the fruit rind of Terminalia bellirica. Int J Res Pharm Sci. 2018;9(4):1306-12. doi: 10.26452/ijrps.v9i4.1678.
20. Meenukrishna KS, Faheemah AP, Aiswarya Lakshmi AG, Chaithanya AV. Effect of anti-oxidant potential on anti-alzheimers activity of methanolic fruit extact of Terminalia bellirica Roxb. World J Pharm Pharm Sci. 2021;10(5):1574-86. doi: 10.20959/wjpps20215-18969.
21. Shah S, Dhanani T, Kumar S. Comparative evaluation of antioxidant potential of extracts of Vitex negundo, Vitex trifolia, Terminalia bellerica, Terminalia chebula, Embelica officinalis and Asparagus racemosus. Innov Pharm Pharmacother. 2013;1(1):44-53.
22. Basu T, Panja S, Ghate NB, Chaudhuri D, Mandal N. Antioxidant and antiproliferative effects of different solvent fractions from Terminalia belerica Roxb. fruit on various cancer cells. Cytotechnology. 2017;69:201-16. doi: 10.1007/s10616-016-0051-6.
23. Singh AV. Asha H. Antioxidant activity of Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb. of Tawang, Arunachal Pradesh, India. J Bioresources. 2017;4(2):65-72.
24. Jayesha K, Helena LR, Binila E, Latha MS. Comparative antioxidant properties of Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb. fruit extract: A component of ayurvedic formulation ‘Triphala’. Int J Pharm Pharm Res. 2016;7(4):310-20.
25. Chauhan P, Singh S, Gupta YK, Kumar U. Evaluation of toxicity studies and anti-inflammatory activity of Terminalia bellerica in carrageenan-induced paw edema in experimental rats. J Nat Sci Biol Med. 2018;9:169-74. doi: 10.4103/jnsbm.JNSBM_159_17.
26. Jayesh K, Helen LR, Vysakh A, Binil E, Latha MS. Ethyl acetate fraction of Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb. fruits inhibits proinflammatory mediators via down regulating nuclear factor-κB in LPS stimulated Raw 264.7 cells. Biomed Pharmacother. 2017;95:1654-60. doi: 10.1016/j.biopha.2017.09.080.
27. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์การศาสนา;2546.
P045_(18).xlsx