องุ่น
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Vitis vinifera L.
ชื่อวงค์
VITACEAE
ชื่อสมุนไพร
องุ่น
ชื่ออังกฤษ
Grape
ชื่อพ้อง
Cissus vinifera (L.) Kuntze
Vitis sylvestris C.C.Gmel.
ชื่อท้องถิ่น
-
ชื่อ INCI
GRAPE SEED OIL GLYCERETH-8 ESTERS
GRAPE SEED OIL PEG-8 ESTERS
GRAPE SEED OIL POLYGLYCERYL-6 ESTERS
HYDROGENATED GRAPESEED OIL
OLEOYL GRAPE SEED EXTRACT
PALMITOYL GRAPE SEED EXTRACT
PEG-9 GRAPESEEDATE
POLY (DIMER GRAPESEED OIL)
PROPYL OLEOYL GRAPE SEED EXTRACT
SODIUM GRAPE SEED EXTRACT PHOSPHATE
SODIUM GRAPESEEDATE
T-BUTYL DIMETHYL SILYL GRAPE SEED EXTRACT
UNDECYLENOYL GRAPE SEED EXTRACT
VITIS VINIFERA
VITIS VINIFERA LEAF/SEED/SKIN EXTRACT
VITIS VINIFERA SEED
VITIS VINIFERA SEED EXTRACT
VITIS VINIFERA SEED OIL
VITIS VINIFERA SEED POWDER
VITIS VINIFERA SEED/SKIN/STEM EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
เชื่อกันว่าพันธุ์องุ่นต่างๆ ในแถบโลกเก่า (ทวีปแอฟริกา ทวีปยุโรป และ ทวีปเอเชีย) มีการพัฒนามาจากพันธุ์ป่าของ V. vinifera L. ที่ขึ้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟกานิสถาน ในแถบตอนใต้ของทะเลดำและทะเลสาบแคสเบียน มีการพัฒนาเป็นพืชปลูกนับตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นมีการกระจายพันธุ์ไปปลูกในพื้นที่แถบเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปตะวันตก อินเดีย จีนและญี่ปุ่น มีการกระจายพันธุ์ไปสู่พื้นที่แถบโลกใหม่ (ทวีปอเมริกา และโอเชียเนีย) โดยชาวสเปนและปอร์ตุเกส ทั้งนี้เมื่อนำเข้าไปปลูกในพื้นที่ใหม่ๆ มักจะผสมพันธุ์กับองุ่นพันธุ์พื้นเมือง เพื่อให้ได้พันธุ์ลูกผสมที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ได้ดี ในปัจจุบันมีการปลูกองุ่นทั่วโลก ส่วนมากเป็นพันธุ์ลูกผสมที่ไม่ทราบแหล่งกำเนิดที่แน่นอน (4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มเลื้อย ยาว 2-8 ม. กิ่งทรงกระบอก ผิวเกลี้ยงหรือมีขนยาวห่าง มือเกาะแยกเป็นสองแฉก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ เว้าเป็นพู 3-5 พู โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบหยักซี่ฟันหยาบ ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงออกตรงข้ามใบดอกย่อย สีเหลืองแกมสีเขียว รังไข่รูปไข่ มีจานฐานดอกเชื่อมติดกับโคนรังไข่ ก้านชูเกสรเพศเมียสั้น ผลสดรูปทรงกลม รูปกลมแกมรี หรือรูปไข่ เมล็ดรูปไข่กลับ (3)
การเพาะปลูก
องุ่นเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้ง่ายและรวดเร็ว และสามารถทำได้หลายวิธีเช่น
การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดวิธีนี้ทำได้ง่ายแต่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากใช้เวลานานและอาจกลายพันธุ์ได้ง่าย การเพาะเมล็ดทำได้โดยการเก็บเมล็ดมาล้างให้สะอาด และต้องทำลายการฟักตัวของเมล็ดก่อนโดยเก็บไว้ในตู้เย็น 2-3 เดือน แล้วจึงนำไปเพาะ เมล็ดจะงอกง่ายและเติบโตเร็วต้นองุ่นที่ได้จากการเพาะเมล็ดในอายุ 1 ปี ควรมีเถายาว 3 ฟุต เป็นอย่างน้อยและควรปลูกชำเสียก่อนอย่างน้อย 7 เดือน เมื่อทำการตัดเถาแล้วจึงย้ายปลูกในแปลงถาวรต่อไป
การขยายพันธุ์แบบทับกิ่ง การขยายพันธุ์วิธีนี้ทำได้โดยโน้มกิ่งที่แก่ลงวางกับดินแล้วใช้ดินกลบ หรือขุดดินกลบ บางทีก็ขุดดินเป็นรางลึกประมาณ 5 นิ้ว โน้มกิ่งให้ทอดยาวไปตามราง แล้วใช้ดินที่ชื้นกลบไว้ ไม่นานก็จะเห็นว่ามีต้นองุ่นเกิดขึ้นมาหลายต้นจากกิ่งดังกล่าว ควรพูนดินขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อล่อราก ทิ้งไว้จนต้นโตพอควร จึงตัดออกจากกันแล้วนำไปปลูก
การตอน เป็นวิธีการที่ดีและเหมาะสม เพราะองุ่นออกรากง่าย ใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ก็ออกราก โดยไม่ต้องใช้สารฮอร์โมนช่วยในการออกราก วิธีการตอนจะได้ผลถึง 100% แต่ก็มีข้อเสียคือ เปลืองกิ่งเพราะกิ่งหนึ่งจะตอนได้เพียง 1 ต้น เมื่อกิ่งที่ตอนออกรากดีแล้ว อาจตัดไปปลูก หรือสามารถปลูกในแปลงกล้าอ่อนก่อนได้
การปักชำ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่เหมาะสมอีกวิธีหนึ่ง กิ่งองุ่นที่เหมาะสมสำหรับการปักชำและออกรากดีควรเป็นกิ่งที่มีสีนํ้าตาล อายุประมาณ 7 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 1 ปี กิ่งที่แก่หรืออ่อนเกินไป การออกรากจะไม่ค่อยดี และควรเลือกกิ่งขนาดกลาง ๆ ไม่ใหญ่หรือไม่เล็กเกินไป กิ่งที่มีข้อถี่ๆ จะออกรากดีกว่ากิ่งที่ข้อห่าง ๆ เวลาจะทำการปักชำ ให้ตัดกิ่งองุ่นเป็นท่อน ๆ ท่อนหนึ่งยาว 6-9 นิ้ว หรือ 1 ฟุต โดยประมาณ หลังจากนั้นประมาณ 15-20 วัน กิ่งที่ปักชำจะแตกราก การขยายพันธุ์โดยการปักชำจะให้ผลประมาณ 80% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา ข้อดีของการปักชำคือ องุ่นกิ่งหนึ่งสามารถตัดเป็นท่อนสำหรับปักชำ ได้ถึง 2-4 กิ่ง ทำให้ไม่เปลืองกิ่ง
การเตรียมหลุมปลูก
ขุดหลุมปลูกขนาดกว้าง-ยาว-ลึก 50-100 ซม. ถ้าดินดีร่วนซุยสามารถขุดหลุมขนาดเล็กได้ ถ้าสภาพดินไม่ดีขาดธาตุอาหารต่าง ๆ ก็ควรขุดหลุมปลูกให้ใหญ่เพื่อจะได้ปรับปรุงสภาพดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ดินที่ขุดขึ้นมา ให้แยกเป็นสองกองคือ กองดินชั้นบน และกองดินชั้นล่าง ตากดินให้แห้งแล้วผสมดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ต่าง ๆ แล้วจึงกลบลงในหลุมตามเดิม โดยเอาดินชั้นบนกลบลงก้นหลุมและดินชั้นล่างกลบไว้ด้านบนเสร็จแล้วรดนํ้าให้ดินยุบตัวเสียก่อนจึงลงมือปลูก
วิธีปลูก
เมื่อเตรียมหลุมปลูกเสร็จแล้ว ให้ทำหลุมเล็ก ๆ ในหลุมนั้น นำกิ่งลงปลูก กลบดินโดยรอบให้แน่น รดนํ้าให้ชุ่ม ปักไม้รวก ผูกกิ่งองุ่นกับหลักไม้รวกให้แน่น หลังจากปลูกใหม่ ๆ ถ้าฝนไม่ตกให้รดนํ้าทุกวันและฉีดยาป้องกันโรคแมลงเป็นครั้งคราว ในช่วงที่ต้นองุ่นยังเล็กอยู่นี้ ควรปลูกพืชพวกล้มลุกเป็นพืชแซม เพื่อช่วยปรับปรุงสภาพของดินให้ดี ในช่วงที่ต้นองุ่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต้องคอยผูกต้นให้ติดกับหลักอยู่เสมอ
การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยที่ใช้มีทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เช่น มูลสัตว์ต่าง ๆ ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์นั้นถึงแม้จะมีธาตุอาหารที่พืชต้องการจำนวนน้อย แต่ก็ช่วยปรับสภาพของดินให้ดีขึ้น ช่วยให้ดินระบายน้ำและระบายอากาศดี ทำให้รากเติบโตแข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดเป็นด่างของดิน เหมาะต่อการเจริญเติบโตขององุ่น และช่วยให้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปเป็นประโยชน์ต่อต้นองุ่นอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์ทุกปี เพื่อให้สภาพของดินดีขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์นั้น หลังจากการตัดแต่งเพื่อให้ออกดอกแล้ว ควรให้ปุ๋ยอีก 1-2 ครั้ง ปุ๋ยที่ให้ในช่วงออกดอกแล้วนี้ เพื่อบำรุงต้นและทำให้ผลเติบโตดี เลือกปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักครบทั้ง 3 ตัว (N-P-K) และควรมีธาตุฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงกว่าไนโตรเจน เช่น สูตร 6-12-12 และ 6-12-24 หรืออื่น ๆ ที่มีขายตามท้องตลาด การใส่ให้ใส่ต้นละ 1 กก. โดยแบ่งใส่สองครั้ง ครั้งละ½ กก. โดยครั้งแรกให้ใส่ในระยะที่ผลองุ่นมีขนาดประมาณเมล็ดถั่วเขียว และอีกครั้งหนึ่งเมื่อผลโตเต็มที่ เริ่มจะเปลี่ยนสี การใส่ปุ๋ยในช่วงนี้ไม่ควรพรวนดิน เพราะจะไปกระทบกระเทือนรากองุ่น เพราะรากอยู่ตื้นมาก ถ้าต้องการพรวนเพื่อให้ปุ๋ยคลุกเคล้ากับดิน ป้องกันการสูญเสียปุ๋ย ให้พรวนเพียงบาง ๆ ด้วยความระมัดระวัง หรือใส่พร้อมกับปุ๋ยอินทรีย์ก็ได้
การให้นํ้า
หลังจากการตัดแต่งแล้วต้องให้นํ้าอย่างสมํ่าเสมอ อย่าให้ดินแห้ง โดยเฉพาะช่วงตัดแต่งใหม่ ๆ ต้นองุ่นจะไม่มีใบเหลืออยู่เลย แดดจะส่องถึงโคนต้นโดยตรงทำให้ดินแห้งเร็ว ในช่วงที่ฝนไม่ตกต้องรดนํ้าทุกวัน หลังจากที่องุ่นเริ่มแตกใบหนาแน่นขึ้น สามารถให้นํ้าห่างออกไปได้ ไม่ต้องให้น้ำทุกวันโดยสังเกตจากดินในแปลงอย่าให้ดินแห้งมาก ต้องให้น้ำอย่างเพียงพอและสมํ่าเสมอ จนถึงระยะที่ผลแก่จึงงดให้นํ้า
การป้องกันกำจัดโรคแมลง
องุ่นเป็นพืชที่มีโรคแมลงศัตรูเข้าทำลายมาก การป้องกันกำจัดต้องกระทำอยู่เสมอ โรคที่สำคัญขององุ่นได้แก่
1. โรครานํ้าค้าง (Downy mildew) - Plasmopara viticola
ข้อแนะนำในการป้องกันกำจัด
หมั่นทำความสะอาดสวน อย่าให้รกรุงรัง กิ่งต่างๆ รวมทั้งใบที่ตัดออกจากต้นให้นำใปเผาทิ้งหรือฝัง อย่าปล่อยทิ้งไว้ในสวนจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค
หลังจากต้นองุ่นแตกกิ่งและใบใหม่แล้ว ควรจัดกิ่งเถาให้กระจายทั่ว ๆ ค้าง อย่าให้ทับซ้อนกันมาก กิ่งที่ไม่ต้องการให้ตัดแต่งออกให้โปร่ง อย่าให้กิ่งห้อยย้อยลงจากค้าง ให้อากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยลดความชื้นและช่วยลดการระบาดของโรค
การฉีดยาป้องกันกำจัด ให้ทำเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม ตามฤดูกาล ฤดูฝนอาจต้องฉีดยาบ่อย ในฤดูแล้งอาจฉีดยาห่างออกไปได้บ้าง โดยเริ่มฉีดครั้งแรกเมื่อเริ่มแตกยอดอ่อน ครั้งที่สองเมื่อมีใบอ่อน 3-4 ใบ ครั้งต่อ ๆ ไปก็ฉีดตามความเหมาะสมเป็นระยะ ๆ ยาที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคนี้ได้ดี เช่น
1) ตัวยาที่มีส่วนผสมของ ไซเนบ-มาเนบ เช่น ไดเทน เอ็นที เอ็ม-45,แมนเซท-ดี เป็นต้น
2) ตัวยาที่มีส่วนผสมของธาตุทองแดงและไซเนบ เช่น คูโปรซาน ซูเปอร์-ดี
3) ยาที่มีส่วนผสมของเหล็ก เช่น เฟอร์แบม เป็นต้น
การใช้ยาป้องกันโรคราต่าง ๆ ควรเติมนํ้ายาช่วยจับใบลงไปด้วย โดยเฉพาะในฤดูฝนจะช่วยให้ยาจับใบได้ดี ไม่โดนชะล้างอย่างรวดเร็ว
2. โรคช่อแห้ง (Bacterial blight)
ข้อแนะนำในการป้องกันกำจัด
หมั่นทำความสะอาดสวนอย่าให้รกรุงรัง กิ่งเถาต่างๆ ตัดแต่งให้โปร่ง อย่าให้แน่นทึบ กิ่งใบที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นให้เก็บกวาดไปเผาทิ้งให้หมด
ระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลบนต้น ในท้องที่หรือช่วงที่โรคนี้ระบาดมาก การตัดแต่งให้ทำด้วยความระมัดระวัง โดยทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ตัดแต่งบ่อย ๆ
ป้องกันแมลงต่าง ๆ ที่เข้าทำลาย
การใช้ยาป้องกันกำจัด เช่น
1) ยาปฏิชีวนะ เช่น แอกกริมัยซิน, สเตรปโตมัยซิน เป็นต้น
2) ยาแนทริฟิน (ซิเดียม ออโรเฟนินฟีเนท) ใช้ในอัตรา 2 ชต./นํ้า 3 ปี๊บหรือ 15 ก./นํ้า 60 ล. โดยฉีดครั้งแรกเมื่อเริ่มเห็นอาการช่อแห้ง ครั้งต่อไปอีก 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 สัปดาห์ก็เพียงพอ เพราะเมื่อองุ่นติดผลดีแล้ว ความรุนแรงของโรคจะลดลง
3. โรคแอนแทรกโนส หรือโรคผลเน่า หรือโรคแบลคสปอต (Anthracnose or black spot) - Gloeosporium ampelophagum
ข้อแนะนำในการป้องกันกำจัด
หมั่นทำความสะอาดสวน เก็บกวาดกิ่งใบองุ่นทั้งสดและแห้งที่ตกอยู่ใต้ต้นไปเผาทิ้งหรือฝังให้หมดเพราะส่วนต่าง ๆ เหล่านี้เป็นแหล่งขยายแพร่พันธุ์โรคได้
เมื่อพบว่าเป็นโรคนี้ที่ผล ยอด หรือใบ ให้ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคออกก่อน และจึงฉีดพ่นด้วยยากำจัดเชื้อรา จะช่วยทำลายเชื้อโรคที่หลงเหลืออยู่ได้มาก
คอยตัดแต่งกิ่ง จัดกิ่งให้โปร่ง อย่าให้อับทึบ จะช่วยลดการเกิดโรคได้มาก โดยเฉพาะในช่วงที่โรคระบาดมาก
การป้องกันกำจัดโดยฉีดพ่นด้วยยากำจัดเชื้อราต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ คือ ฉีดพ่นยาครั้งแรกหลังจากตัดแต่งเรียบร้อยแล้ว เพื่อทำลายเชื้อโรคที่อาจติดอยู่กับกิ่งที่เหลือ และครั้งที่สองเมื่อเริ่มแตกใบอ่อน และครั้งต่อ ๆ ไปดูตามความเหมาะสม เช่น ในฤดูฝนอาจฉีดถี่กว่าในฤดูแล้งเป็นต้น เมื่อเริ่มติดผลดีแล้ว อาจเว้นระยะได้ช่วงหนึ่ง จนถึงระยะผลแก่ใกล้จะเข้าสีจึงเริ่มฉีดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันโรคที่จะเกิดกับผล ยาป้องกันกำจัดเชื้อราที่ใช้ได้ผลดีกับโรคนี้คือ
1) บีโนมีล, เบนเลท
2) แคปแทนหรือออโธไซด์
3) ยาที่มีส่วนผสมของธาตุสังกะสี เช่น คูโปรซาน ซูเปอร์-ดี, ไซเนบ เป็นต้น
4) ยาที่มีส่วนผสมของ ไซเนบ-มาเนบ เช่น ไดเทน เอ็นที เอ็ม-45, แมนเซท-ดี
ยาที่กล่าวมาข้างต้นยกเว้นเบนเลท เมื่อใช้ตามที่กำหนดในฉลากจะสามารถป้องกันกำจัดได้เมื่อโรคระบาดไม่รุนแรงมากนัก โดยเว้นระยะห่างประมาณ 5-7 วัน/ครั้ง ส่วนเบนเลทสามารถทิ้งระยะห่างได้นานกว่า
4. โรคราแป้งขาว (Powdery mildew) - Oidium tuckeri
โรคนี้จะระบาดเฉพาะช่วงแล้งเท่านั้นและไม่รุนแรงมาก แต่ต้องหมั่นตรวจตราต้นองุ่นอยู่เสมอ เมื่อพบอาการเพียงเล็กน้อยให้ทำการป้องกันกำจัดทันที อย่าปล่อยให้ระบาดมาก หรือตัดส่วนที่เป็นโรคทิ้งไป การป้องกันโดยใช้สารเคมี เช่น
1) กำมะถันผง เป็นผงสีเหลือง อาจใช้แบบพ่นเป็นผง หรือแบบผสมนํ้าก็ได้ โดยการพ่นแบบผงควรทำตอนเช้ามืดในขณะที่นํ้าค้างยังจับใบอยู่ จะทำให้ผลกำมะถันเกาะติดใบและส่วนต่าง ๆ ได้ดี ส่วนการพ่นแบบผสมนํ้าจะพ่นตอนไหนก็ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงที่จะฉีดพ่นตอนแดดจัด เพราะจะทำให้ใบองุ่นไหม้ได้
2) ยาที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน เช่น คาราเทน
3) ยาพวกที่มีสารทองแดงเป็นส่วนประกอบ เช่น คูปาวิต
ถ้าพบว่าหลังจากฉีดพ่นด้วยยาดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถป้องกันกำจัดได้ควรเปลี่ยนไปใช้เบนเลท
5. โรคกิ่งแห้ง (ที่เกิดจากเชื้อรา Melaconium furiginium)
โรคนี้ยังไม่ค่อยพบบ่อยนัก การป้องกันกำจัดทำควบคู่ไปกับการป้องกันโรคอื่น ๆ กล่าวคือ การฉีดยาป้องกันกำจัดโรคต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วจะเป็นการป้องกันกำจัดโรคนี้ไปด้วยในตัว เมื่อพบอาการที่ส่วนใดขององุ่น ให้ตัดไปเผาทิ้งเสีย อย่าปล่อยให้ระบาดไปยังส่วนอื่น
แมลงและการป้องกันกำจัด
แมงมุมแดง (ไรแดง)ใช้เคลเทน
เพลี้ยไฟใช้ยาประเภทดูดซึมต่าง ๆ เช่น มาลาไธออน
ไข่ของหนอนและแมลงปีกแข็ง ใช้เลนเนท
แมลงปีกแข็ง ใช้เซฟวิน 85
หนอนเจาะผล ใช้เลนเนท,ฟาสดริน
หนอนใย หนอนเขียว หนอนลูกแมว หนอนไอ้แก้ว ใช้เอนดริว,ฟอสดริน
(27)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
น้ำมันเมล็ดองุ่นมีกรดไขมันเป็นองค์ประกอบหลัก และมีสารอื่น ๆ ดังนี้ (5-13)
กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) ได้แก่ myristic acid, palmitic acid, margaric acid, stearic acid, arachidic acid, behenic acid, lignoceric acid
กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่ 1 พันธะ (monounsaturated fatty acid) ได้แก่ oleic acid, palmitoleic acid, eicosenoic acid, heptadecenoic acid, erucic acid
กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่มากกว่า 1 พันธะ (polyunsaturated fatty acid) ได้แก่ linoleic acid และ linolenic acid โดยมี linoleic acid มากที่สุด คือ 60-80% ของน้ำมันทั้งหมด
สารกลุ่มโทโคเฟอรอล (tocopherols) ได้แก่ α-tocopherol, β-tocopherol,γ-tocopherol, และ δ-tocopherol
สารกลุ่มโทโคไตรอีนอล (tocotrienols) ได้แก่ α-tocotrienol, β-tocotrienol,γ-tocotrienol, และ δ-tocotrienol
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ β-sitosterol, stigmasterol, campesterol, sitostanol
สารกลุ่มไตรเทอปีนอยด์ (triterpenoids) ได้แก่ dammaradienol, cycloartenol (cicloartenol), erythrodiol
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ epicatechin, catechin
กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid)
กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่ 1 พันธะ(monounsaturated fatty acid)
กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่มากกว่า 1 พันธะ (polyunsaturated fatty acid)
สารกลุ่มโทโคเฟอรอล (tocopherols)
สารกลุ่มโทโคไตรอีนอล (tocotrienols)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols)
สารกลุ่มไตรเทอปีนอยด์ (triterpenoids)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ น้ำมันจากเมล็ด (13)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ น้ำมันจากเมล็ด (9, 11, 13-20)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ ส่วนสกัดที่ไม่เปลี่ยนเป็นสบู่ (unsaponfiable fraction; UF) จากน้ำมันเมล็ดองุ่น (12)
- สารออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ น้ำมันจากเมล็ด (7, 15, 21)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
ตามมาตรฐานของ Codex Alimentarius International Food standards เรื่อง Standard for named vegetable oils หมวด CXS 210-1999 (22) ระบุว่า น้ำมันเมล็ดองุ่น (grapeseed oil) คือ น้ำมันที่ได้มาจากเมล็ดขององุ่น (Vitis vinifera L.) มีสี กลิ่น และรสชาติตามที่ผลิตภัณฑ์กำหนด และไม่มีสิ่งแปลกปลอม กลิ่นหืน หรือรสชาติที่ผิดปกติ
ปริมาณของสารที่ระเหยได้ (matter volatile) ที่อุณหภูมิ 105 oC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
ปริมาณสารปนเปื้อนที่ไม่ละลาย (insoluble impurities) ไม่เกินร้อยละ 0.05 ของน้ำหนัก
ปริมาณสบู่ (soap content) ไม่เกินร้อยละ 0.005 ของน้ำหนัก
ปริมาณเหล็ก (Fe) ไม่เกิน 1.5 มก./กก. สำหรับ refined oils และไม่เกิน 5.0 มก./กก. สำหรับ virgin oils
ปริมาณทองแดง (Cu) ไม่เกิน 0.1 มก./กก. สำหรับ refined oils และไม่เกิน 0.4 มก./กก.สำหรับ virgin oils
ค่าของกรด (acid value) ไม่เกิน 0.6 มก. โพแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) ต่อน้ำมัน 1 ก. สำหรับ refined oils และไม่เกิน 4.0 มก. โพแตสเซียมไฮดรอกไซด์ต่อน้ำมัน 1 ก. สำหรับ cold pressed และ virgin oils
ค่าเพอร์ออกไซด์ (peroxide value) ไม่เกิน 10 มิลลิสมมูลย์ ต่อน้ำมัน 1 กก. (milliequivalents of active oxygen/kg oil) สำหรับ refined oils และไม่เกิน 15 มิลลิสมมูลย์ ต่อน้ำมัน 1 กก.สำหรับ cold pressed และ virgin oils
น้ำมันเมล็ดองุ่น ต้องมีปริมาณสาร erythrodiol ไม่เกินร้อยละ 2 ของปริมาณผลรวม sterols
คุณลักษณะทางเคมีและกายภาพของน้ำมันเมล็ดองุ่นตาม Codex Alimentarius International Food standards มีรายละเอียดดังนี้
ความหนาแน่นสัมพัทธ์ (relative density) ที่อุณหภูมิ 20ºC/น้ำอุณหภูมิ 20ºC เท่ากับ 0.920-0.926
ค่าดัชนีการหักเหของแสง (refractive index ที่ ND 40ºC มีค่า 1.467-1.477
ค่าแซพอนิฟีเคชัน(saponification value) เท่ากับ 188-194 มก. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ต่อน้ำมัน 1 ก.
ค่าไอโอดีน(iodine value) เท่ากับ 128-150 ก. ไอโอดีนต่อน้ำมัน 100 ก.
อันแซพอนิฟิเอเบิลแมตเตอร์(unsaponifiable matter) ไม่เกิน 20 ก. ต่อน้ำมัน 1 กก.
องค์ประกอบของกรดไขมันของน้ำมันเมล็ดองุ่นเมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี gas liquid chromatography (GLC) มีรายละเอียดดังนี้
กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acids)
myristic acid (tetradecanoic acid) C14:0 เท่ากับ 0-0.3%ของกรดไขมันทั้งหมด
palmitic acid (hexadecanoic acid) C16:0 เท่ากับ5.5-11.0%ของกรดไขมันทั้งหมด
margaric acid (heptadecanoic acid) C17:0 เท่ากับ 0-0.2%ของกรดไขมันทั้งหมด
stearic acid (octadecanoic acid) C18:0 เท่ากับ 3.0-6.5%ของกรดไขมันทั้งหมด
arachidic acid (icosanoic acid) C20:0 เท่ากับ 0-1.0%ของกรดไขมันทั้งหมด
behenic acid (docosanoic acid) C22:0 เท่ากับ 0-0.5%ของกรดไขมันทั้งหมด
lignoceric acid (tetracosanoic acid) C24:0 เท่ากับ 0-0.4% ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acids)
palmitoleic acid C16:1 เท่ากับ 0-1.2%ของกรดไขมันทั้งหมด
heptadecenoic acid C17:1 เท่ากับ 0-0.1%ของกรดไขมันทั้งหมด
oleic acid C18:1 เท่ากับ 12.0-28.0%ของกรดไขมันทั้งหมด
linoleic acid C18:2 เท่ากับ 58.0-78.0%ของกรดไขมันทั้งหมด
α-linolenic acid (omega-3, ALA) C18:3 เท่ากับ 0-1.0%ของกรดไขมันทั้งหมด
eicosenoic acid (gadoleic acid) C20:1 เท่ากับ 0-0.3%ของกรดไขมันทั้งหมด
erucic acid C22:1 เท่ากับ 0-0.3%ของกรดไขมันทั้งหมด
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดคุณภาพ ได้แก่วัตถุเจือปนอาหาร สารกันหืน ความสะอาดของผลิตภัณฑ์กระบวนการผลิตสารปนเปื้อน การปนเปื้อนของเชื้อ และการแสดงฉลาก สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในCodex Alimentarius International Food standards เรื่อง Standard for named vegetable oils หมวด CXS 210-1999
มาตรฐานน้ำมันเมล็ดองุ่นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 421) พ.ศ. 2564 เรื่อง น้ำมันและไขมัน (23) ระบุว่าน้ำมันเมล็ดองุ่น (grapeseed oil) ได้จากเมล็ดขององุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Vitis vinifera L. ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังนี้
สี เป็นไปตามลักษณะเฉพาะของน้ำมัน
กลิ่นและรส ตามคุณลักษณะเฉพาะของน้ำมัน โดยไม่มีสิ่งแปลกปลอม และไม่มีกลิ่นหืน
ค่าของกรด (acid value) ไม่เกิน 4.0 มก. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ต่อน้ำมัน 1 ก.สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ* และไม่เกิน 0.6 มิลลิกรัมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ต่อน้ำมัน 1 ก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี*
* หมายเหตุ: วิธีการผลิตน้ำมันมีรายละเอียดดังนี้ 1. วิธีธรรมชาติ ทำโดยการบีบอัดอาจบีบร้อนหรือบีบเย็น การสกัดเย็น การใช้ความร้อน การกลั่นและแยกลำดับส่วนโดยวิธีทางกายภาพ เป็นต้น และ 2. วิธีผ่านกรรมวิธี ทำโดยนำน้ำมันที่ได้จากวิธีธรรมชาติหรือที่ได้จากการสกัดด้วยตัวทำละลายมาผ่านกรรมวิธีการกำจัดกรดไขมันอิสระ อาจฟอกสี หรือกำจัดกลิ่นด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ให้รวมถึงการนำมาผ่านการแยกลำดับส่วน (fractionation) หรือกระบวนการเติมเต็มไฮโดรเจน (ฟูลไฮโดรจิเนชัน หรือ full hydrogenation) หรือกระบวนการอินเตอร์เอสเทอริฟิเคชัน(interesterification) หรือกระบวนการเกิดเอสเตอร์ใหม่ (รีเอสเตอร์ริฟิเคชัน หรือ re-esterification) โดยอาจมีการใช้สารเคมีเอนไซม์ หรือความร้อน ช่วยเร่งปฏิกิริยา เป็นต้น
ค่าเพอร์ออกไซด์ (peroxide value) ไม่เกิน 15 มิลลิสมมูลย์ ต่อน้ำมัน 1 กก.สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 10 มิลลิสมมูลย์ ต่อน้ำมัน 1 กก.สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
น้ำและสิ่งที่ระเหยได้ (water and volatile matter) ที่อุณหภูมิ 105oC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
ปริมาณสบู่ (soap content) ไม่เกินร้อยละ 0.005 ของน้ำหนัก
สิ่งอื่นที่ไม่ละลาย (insoluble impurities) ไม่เกินร้อยละ 0.05 ของน้ำหนัก
สารอื่นที่อาจปนเปื้อนมา สามารถพบได้ไม่เกินที่กำหนด ดังนี้
ไม่พบน้ำมันแร่ (mineral oil)
เหล็ก ไม่เกิน 5.0 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 1.5 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
ทองแดง ไม่เกิน 0.4 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 0.1 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
คุณลักษณะทางเคมีและกายภาพของน้ำมันเมล็ดองุ่นตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขมีรายละเอียดดังนี้
ค่าแซพอนิฟีเคชัน(saponification value) 188-194 มก. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ต่อน้ำมัน 1 ก.
ค่าไอโอดีน แบบวิจส์(iodine value) (wijs) 128-150 ก. ไอโอดีนต่อน้ำมัน 100 ก.
อันแซพอนิฟิเอเบิลแมตเตอร์(unsaponifiable matter) ไม่เกิน 20 ก. ต่อน้ำมัน 1 กก.
องค์ประกอบของกรดไขมันของน้ำมันเมล็ดองุ่น เมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี gas liquid chromatography (GLC) มีรายละเอียดดังนี้
กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acids)
กรดไมริสติก (myristic acid) C14:0 ไม่เกินร้อยละ 0.3ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดพัลมิติก (palmitic acid) C16:0 ร้อยละ 5.5-11.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดเฮปตะเดคาโนอิก (heptadecanoic acid) C17:0 ไม่เกินร้อยละ 0.2ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดสเตียริก (stearic acid) C18:0 ร้อยละ 3.0-6.5ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดอะแรคิดิก (arachidic acid) C20:0 ไม่เกินร้อยละ 1.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดเบเฮนิก (behenic acid) C22:0 ไม่เกินร้อยละ 0.5ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิกโนซีริก (lignoceric acid) C24:0 ไม่เกินร้อยละ 0.4% ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acids)
กรดพัลมิโทลีอิก (palmitoleic acid) C16:1 ไม่เกินร้อยละ 1.2ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดเฮปตะเดซีโนอิก (heptadecenoic acid) C17:1 ไม่เกินร้อยละ 0.1ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดโอลีอิก (oleic acid) C18:1 ร้อยละ 12.0-28.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิโนลีอิก (linoleic acid) C18:2 ร้อยละ 58.0-78.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิโนลีนิก (linolenic acid) C18:3 ไม่เกินร้อยละ 1.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดแกโดลีอิก (gadoleic acid) C20:1 ไม่เกินร้อยละ 0.3ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดอีรูซิก (erucic acid) C22:1 ไม่เกินร้อยละ 0.3ของกรดไขมันทั้งหมด
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณสารสารปนเปื้อน การใช้วัตถุเจือปนอาหาร ปริมาณจุลินทรีย์ที่ก่อเกิดโรค ผู้ผลิตหรือนำเข้าเพื่อจำหน่าย ภาชนะบรรจุการแสดงฉลาก สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข
การวิเคราะห์กรดไขมัน (fatty acid) ในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี Gas Chromatography (GC)
ตัวอย่างที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของกรดไขมันในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี GC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (7) (น้ำมันองุ่นต้องผ่านกระบวนการ methylation ด้วยวิธี Fatty acid methyl esters (FAME) ก่อนนำมาวิเคราะห์ด้วย GC)
GC: GC model 5890 Hewlett-Packard เชื่อมต่อกับ flame ionization detector, auto sampler, และ ChemStation software system
Column: 100 ม. CP-Sil 88 fused capillary column
Injector/detector temperature: 250 oC
Temperature program: เริ่มต้นที่อุณหภูมิ 45 oC คงไว้ 4 นาที และเพิ่มเป็น 175 oC ด้วยอัตราเร็ว 13 oC/นาที คงไว้ 27 นาที และเพิ่มเป็น 215 oC ด้วยอัตราเร็ว 4 oC/นาที คงไว้ 35 นาที
Standard: FAME standard mixture 463
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่นที่ได้จากการบีบเย็นมีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว 10.99-11.64% (เป็น palmitic acid 7.10-7.36% และ stearic acid 3.67-3.96%), กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่ 1 พันธะ 15.22-16.56% (เป็น oleic acid 14.86-16.23%), กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่มากกว่า 1 พันธะ 68.94-69.59% (เป็น linolenic acid 0.35-0.40% และ linoleic acid 68.59-69.19%)
ตัวอย่างที่ 2 นำน้ำมันเมล็ดองุ่นซึ่งได้จากการบีบเย็นด้วยเครื่องscrew press extractor มาผ่านกระบวนการ fatty acid methyl esters (FAME) โดยนำน้ำมันเมล็ดองุ่น 0.1 ก. ใส่ในหลอดที่มีฝาปิด เติม 2.0 N KOH 0.5 มล. และ heptane 5 มล. นำไปผสมให้เข้ากันด้วยเครื่อง vortex จากนั้นกำจัดน้ำด้วยการเติม anhydrous sodium sulfate ทิ้งไว้ 1 นาที นำสารละลายที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วย GC ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (9)
GC: Perkin Elmer, Autosystem GLX เชื่อต่อกับ flame ionization detector (FID)
Column: Supelco SPTM-2380 (30ม. x 0.25มม.,0.25 มคม. film thickness
Carrier gas: helium
Flow rate: 0.5มล./นาที
Injector temperature: 280oC
Detector temperature: 260oC
Oven temperature: เริ่มต้นที่อุณหภูมิ120oC คงไว้ 2 นาทีจากนั้นเพิ่มเป็น 220 oC ด้วยอัตราเร็ว 5oC/นาที คงไว้ 10 นาที
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่นที่ได้จากการบีบเย็นมีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว 12.74-14.56% (เป็น palmitic acid 8.19-9.44% และ stearic acid 3.74-4.98%), กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่ 1 พันธะ 16.72-29.63% (เป็น oleic acid 16.45-29.38%), กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่มากกว่า 1 พันธะ 56.65-68.97% (เป็น linolenic acid 0.24-0.41% และ linoleic acid 56.38-68.56%)
ตัวอย่างที่ 3 เตรียมน้ำมันโดยการนำองุ่นมาแยกเมล็ด ล้างด้วยน้ำ เป่าด้วยลมให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง เมื่อเมล็ดมีความชื้นต่ำกว่า 10% นำมาบดด้วยเครื่องบดเมล็ดกาแฟนาน 30 วินาที นำเมล็ดองุ่น 20 ก. มาสกัดด้วยอุปกรณ์ soxhlet โดยใช้ chloroform เป็นตัวทำละลาย สกัดอย่างต่อเนื่องนาน 6 ชม. ที่อุณหภูมิ 70 oC ระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำน้ำมันที่ได้มาเปลี่ยนให้อยู่ในรูป volatile methyl esters โดยเติม methanol 1.5 มล. และ 8% HCl 0.3 มล.ผสมให้เข้ากัน ตั้งบน water bath อุณหภูมิ 100 oC นาน 1 ชม. ทิ้งให้เย็น จากนั้นจึงเติมน้ำ 1 มล. และ hexane 1 มล. เพื่อสกัดกรดไขมัน โดยใช้ส่วนของชั้น haxane เพื่อนำไปวิเคราะห์ด้วย GC ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (13)
GC: Agilent Technologies 7890A เชื่อมต่อกับ flame ionization detector
Column: CP-Sil 88 (100 ม. × 0.25 มม. × 0.2 มคม.)
Carrier gas: helium
Flow rate: 1 มล./นาที
Injector temperature: 250 oC
Detector temperature: 270 oC
Oven temperature: เริ่มต้นที่ 80 oC และเพิ่มเป็น 220 oC ด้วยอัตราเร็ว 4 oC/นาที คงไว้ 5 นาที และเพิ่มเป็น 240 oC ด้วยอัตราเร็ว 4 oC/นาทีคงไว้ 10 นาที
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่นมีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว 14.6-16.1% (เป็น palmitic acid 9.9-11.4%และ stearic acid 4.4-4.9%), กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่ 1 พันธะ 16.0-19.8% (เป็น oleic acid 15.3-18.9% และ oleic acid isomer 0.6-0.9%), กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดมีพันธะคู่มากกว่า 1 พันธะ 63.6-67.9% (เป็น α-linolenic acid 0.4-0.9% และ linoleic acid 62.8-67.4%)
การวิเคราะห์ผลรวมสารฟีนอล (total phenols) ในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี Folin-Ciocalteu colorimetric method
ตัวอย่างที่ 1 นำน้ำมันเมล็ดองุ่น 5 ก. มาเติม 90% methanol 15 มล. ผสมด้วยเครื่อง vortex นาน 3 นาที นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 3,500 รอบ/นาที นาน 10 นาที เก็บส่วนใส นำมาวิเคราะห์ด้วยวิธี Folin-Ciocalteu colorimetric method โดยนำส่วนที่สกัดได้ 500 มคล. มาเติม Folin-Ciocalteau reagent 1 มล. และน้ำกลั่น 2 มล. ทิ้งไว้ 5 นาที เติมสารละลาย 10% sodium carbonate 0.5 มล. ผสมให้เข้ากัน และตั้งทิ้งไว้ 2 ชม. ในที่มืด นำมาวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง UV-Vis spectrophotometer ที่ความยาวคลื่น 765 นาโนเมตร วิเคราะห์ผลโดยเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐานของสาร gallic acid ที่ความเข้มข้น 5, 10, 25, 50, 75, และ 100 มก./ตัวทำละลาย 100 มล. แสดงผลในหน่วยเทียบเท่ามิลลิกรัมของสาร gallic acid ต่อน้ำมัน 1 กรัม (gallic acid equivalents in milligrams per gram of oil จากตัวอย่างการศึกษาข้างต้นพบว่า น้ำมันเมล็ดองุ่นที่ได้จากการบีบเย็น 1 กรัม มีสารฟีนอลเทียบเท่ากับสาร gallic acid 3.330 ± 0.123 มิลลิกรัม) (7)
การวิเคราะห์สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี High Performance Liquid Chromatography (HPLC)
ตัวอย่างที่ 1 การวิเคราะห์สารประกอบฟีนอลิกในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี HPLC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (7)
HPLC: HP 1100 HPLC system เชื่อมต่อกับ Agilent 1100 series ChemStation software
Column: alphaBond C18 125A column (4.6×250 มม. particle size 5 มคม.)
Mobile phase: 2.0% acetic acid ในน้ำกลั่น (A) และ acetonitrile (B)
Flow rate: 1.0 มล./นาที โดยใช้ linear gradient เริ่มจาก mobile phase B 5% เป็น 75% ภายในเวลา 20 นาที จากนั้นเพิ่มเป็น 100% ภายในเวลา 5 นาที และคงไว้ที่ 100% นาน 5 นาที หลังจากนั้นลดเป็น 25% ภายในเวลา 5 นาที และลดลงเป็น 5% ภายในเวลา 5 นาที
Injection volume: 20 มคล.
Detector: HP 1100 series UV diode array detector ที่ความยาวคลื่น 280 นาโนเมตร
Standard: catechin และ epicatechin
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่นที่ได้จากการบีบเย็นมีสาร catechin และ epicatechin368.6 ± 71.4 มก. และ 276.3 ± 56.3 มก./เมล็ดองุ่น 1 ก. ตามลำดับ
การวิเคราะห์สารกลุ่มโทโคเฟอรอล (tocopherols) และโทโคไตรอีนอล (tocotrienols) ในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี HPLC
ตัวอย่างที่ 1 นำน้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ก. ใส่ลงในหลอดที่มีฝาปิด เติม n-heptane 25 มล. ผสมให้เข้ากันด้วยเครื่อง vortex นาน 10 นาที กรอง และนำไปวิเคราะห์ด้วย HPLC ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (9)
HPLC: Agilent Series 1100 เชื่อมต่อกับ fluorescence detector
Column: normal-phase 5 มคม. LiCrosorb Si60 (25 ซม. x 4.6 มม.)
Mobile phase: isocratic 3.8% tetrahydrofuran ใน heptane
Flow rate: 1 มล./นาที
Excitation wavelength: 270 นาโนเมตร
Emission wavelength: 310 นาโนเมตร
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่น 1 กก. มีผลรวมของสารกลุ่มโทโคเฟอรอล 102.30-305.43มก. ซึ่งประกอบด้วย α-tocopherol 77.33-257.21มก., β-tocopherol<0.01 มก.,γ-tocopherol 0-48.21มก., δ-tocopherol <0.01 มก.และมีผลรวมของสารกลุ่มโทโคไตรอีนอล 251.47-468.22 มก. ซึ่งประกอบด้วย α-tocotrienol 137.19-264.33 มก., β-tocotrienol < 0.01 มก.,γ-tocotrienol 74.79-322.18 มก., และ δ-tocotrienol 0-37.17 มก.
ตัวอย่างที่ 2 น้ำมันเมล็ดองุ่นซึ่งสกัดโดยการนำเมล็ดองุ่นที่บดแล้ว 5 ก. มาเติมn-hexane 25 มล. ผสมด้วยเครื่อง vortex 1 นาที นำไปผ่านคลื่นเสียงความถี่สูงโดยใช้เครื่องSonorex RK 510 H ultrasonic bath ที่อุณหภูมิ 35 oC นาน 5 นาที และปั่นด้วยครื่อง centrifuge ความเร็ว 10,000xgที่อุณหภูมิ 21 oC นาน 5 นาที เก็บส่วนใส นำกากที่เหลือไปสกัดซ้ำ 2 ครั้ง รวมส่วนใสที่ได้ นำไประเหยตัวทำละลายออกที่อุณหภูมิ 40 oC นำน้ำมันที่ได้ 0.2 ก. มาละลายใน 2-propanol 10 มล. และนำไปวิเคราะห์ด้วย HPLC ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้(10)
HPLC: RP-HPLC/FLD Shimadzu HPLC system
Column: Luna PFP column (3 มคม., 150 x 4.6 มม.), guard column (4 x 3 มม.) (Phenomenex), อุณหภูมิ column oven 40 oC
Mobile phase: methanol : water (93:7; v/v)
Flow rate: 1.0 มล./นาที
Detector: RF-10AXL fluorescence detector
Excitation wavelength: 295 นาโนเมตร
Emission wavelength: 330 นาโนเมตร
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่น 100 ก. ประกอบด้วย α-tocopherol 9.62 มก., β-tocopherol 0.08 มก.,γ-tocopherol 3.41 มก., δ-tocopherol 0.09 มก., α-tocotrienol 34.53 มก., β-tocotrienol 0.27มก., และ γ-tocotrienol 49.49มก.
ตัวอย่างที่ 3 นำน้ำมันเมล็ดองุ่นมาผ่านกระบวนการ saponification โดยนำน้ำมันเมล็ดองุ่น 0.5 มล. มาเติมสาร pyrogallol 0.12 ก., 96% ethanol 20 มล.,และ KOH ความเข้มข้น 8.9 โมลาร์ 3 มล. ผสมให้เข้ากัน นำไป reflux ที่อุณหภูมิ 60 oC นาน 30 นาทีทิ้งให้เย็น ถ่ายใส่ volumetric flask ขนาด 50 มล. และเติม ethanol จนครบ 50 มล.นำไปสกัดด้วย hexane จากนั้นนำไปทำให้แห้งภายใต้ก๊าซ nitrogen นำสารที่ได้มาละลายด้วย methanol 4 มล. กรองผ่าน membrane syringe filter (Cronus Syringe Filter Nylon 25 มม., 0.45 มคม.) นำไปวิเคราะห์ด้วย HPLC ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (13)
HPLC: Waters M600E เชื่อมต่อกับ fluorescence detector, MPT reader
Mobile phase: ใช้ isocratic elution คือ 95% methanol
Injection volume: 10 มคล.
Flow rate: 1.2 มล./นาที
Excitation wavelength: 290 นาโนเมตร
Emission wavelength: 330 นาโนเมตร
Standard:α-tocopherol, β-tocopherol, δ-tocopherol, และ γ-tocopherol
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่น 1 กก. มีผลรวมของสารกลุ่มโทโคเฟอรอล (total tocopherol) 28.4-152.5 มก. ประกอบด้วย α-tocopherol 8.53-90.97 มก., β- และ γ-tocopherol 0-31.07 มก., และ δ-tocopherol 0-30.50 มก.
การวิเคราะห์สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี Gas Chromatography (GC)
ตัวอย่างที่ 1 นำน้ำมันเมล็ดองุ่น 0.5 ก. มาใส่ในหลอดที่มีฝาปิด เติม internal standard คือ สาร5α-cholestan-3β-ol (ความเข้มเข้น 1,000 มก./ล.) 1 มล. และนำมาผ่านกระบวนการ saponification ด้วยการเติม saturated methanolic KOH 0.5 มล. ให้ความร้อนที่อุณหภูมิ80oC นาน 1 ชม. จากนั้นนำมาสกัดด้วย hexane 5 มล. 3 ครั้ง รวมสารสกัดที่ได้ และเป่าด้วยก๊าซ nitrogen จนปริมาตรลดลงเหลือ10มล.กำจัดน้ำออกด้วยการเติม anhydrous sodium sulfate นำสารสกัดที่ได้0.5มล. มาผ่านกระบวนการ silylation ด้วยการเติม bis(trimethylsilyl)trifluoroacetamide/ trimethylchlorosilane (4:1) 250 มคล. และ dry pure pyridine 250 มคล. ให้ความร้อนที่อุณหภูมิ60oC นาน 15 นาที นำสารที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วย GC ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (9)
GC: Perkin Elmer, Autosystem GLX เชื่อต่อกับ flame ionization detector (FID)
Column: SE-54 (5%-phenyl-1%-vinylmethylpolysiloxane (30 ม. x 0.32 มม. x 0.25 มคม.)
Carrier gas: helium
Flow rate: 0.8มล./นาที
Injector temperature: 280oC
Detector temperature: 300oC
Oven temperature: เริ่มต้นที่อุณหภูมิ 60oC คงไว้2นาทีจากนั้นเพิ่มเป็น 220 oC ด้วยอัตราเร็ว 40oC/นาที คงไว้1นาทีและเพิ่มเป็น 310 oC ด้วยอัตราเร็ว 5 oC/นาที คงไว้ 30 นาที
ผลการศึกษา: น้ำมันเมล็ดองุ่น 1 กก. มีผลรวมสารกลุ่มสเตอรอล 2,672-3,000 มก. ซึ่งมีองค์ประกอบหลักคือ β-sitosterol 64.19-71.62%, stigmasterol 12.05-14.83%, campesterol 7.23-9.81%, และsitostanol 1.54-7.06%
การวิเคราะห์สารในส่วนสกัดที่ไม่เปลี่ยนเป็นสบู่ (unsaponfiable fraction; UF) ในน้ำมันเมล็ดองุ่นด้วยวิธี GC และ HPLC
ตัวอย่างที่ 1 แยก unsaponfiable fraction (UF) จากน้ำมันเมล็ดองุ่น โดยนำน้ำมันเมล็ดองุ่นมาผ่านกระบวนการsaponificationที่อุณหภูมิ 80 oC ด้วยวิธี reflux กับสารละลาย 2 N potassium hydroxide ใน ethanol ปริมาตร 50 มล. เมื่อสารละลายใส ให้ความร้อนต่ออีก 20 นาที จากนั้นจึงหยุดให้ความร้อนแล้วเติมน้ำกลั่น 50 มล. ผสมให้เข้ากัน ทิ้งให้อุณหภูมิลดลงเหลือ 30-35 oC ล้าง (rinse) สารละลายด้วยน้ำหลาย ๆ ครั้ง นำสารที่ได้ไปสกัดด้วยการกลั่นกับ diethyl ether โดยใช้เครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 30 oC ภายใต้สภาวะสุญญากาศ แยกส่วนที่เป็นน้ำออก นำส่วนที่เหลือ (organic sample) มากำจัดน้ำด้วย anhydrous sodium sulphate กรอง และทำให้แห้ง ซึ่งจะได้สาร UF ประมาณ 2.2-2.4% การวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี GC (ต้องเปลี่ยน UF ให้อยู่ในรูปtrimethylsilyl ethers ก่อน) และวิธีHLPC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้ (12)
GC: HP 5890 series II gas chromatograph เชื่อต่อกับ flame ionisation detector
Column: 30 ม. X 0.32 มม. i.d. Tracsil TRB-5 (95% dimethylpolysiloxane 5% diphenyl, film thickness 0.25 มคม.) capillary column, อุณหภูมิ 275 oC
Injector/detector temperature: 300 oC
Oven temperature: เริ่มต้นที่ 215 oC คงไว้ 5 นาที เพิ่มเป็น 290 oC ด้วยอัตราเร็ว 3 oC/นาที และคงไว้ 2 นาที (oven temperatureใช้เฉพาะการวิเคราะห์สารกลุ่มแอลกอฮอล์)
Split ratio: 1:50
Carrier gas: hydrogen
Flow rate: 1.0 มล./นาที, 130 kPa
เตรียมสารตัวอย่างโดยนำมาละลายใน hexane ให้มีความเข้มข้น 10% จากนั้นนำไปวิเคราะห์ด้วย HPLC
HPLC: HPLC system (Hewlett-Packard)
Column: HPLC analytical column silica (250 มม. x 4 มม. i.d. 5 มคม.) (Merck Superspher Si60), อุณหภูมิ 30 oC
Flow rate: 1 มล./นาที, 400 bar
Detector: fluorescence detector (Shimadzu RF-535)
Excitation wavelength: 290 และ 170 นาโนเมตร
Emission wavelength: 330 นาโนเมตร
Standard: R-tocopherol
ผลการศึกษา:UF ในน้ำมันเมล็ดองุ่น 100 ก. มีผลรวมสารกลุ่มสเตอรอล (total sterols) 418.63 มก. (เป็น β-Sitosterol 292.85 มก.) มีผลรวมสารกลุ่มอะลิฟาติกแอลกอฮอล์ (total aliphatic alcohols) 63.33 มก. (เป็น C:26 18.15 มก.) มีผลรวมสารกลุ่มเมทิลสเตอรอล (total methylsterols) 20.17 มก. (เป็น dammaradienol 3.92 มก.) มีผลรวมสารกลุ่มไตรเทอปีนิกแอลกอฮอล์ (total triterpenic alcohols) 28.76 มก. (เป็น cicloartenol 6.98 มก.) มีสารกลุ่มโทโคเฟอรอล (tocopherols) และโทโคไตรอีนอล (tocotrienols) 328.3 มก. (เป็น α-tocopherol 154.1 มก.)
การศึกษาทางคลินิก
ยังไม่มีการรายงานการศึกษาทางคลินิกสำหรับการใช้ประโยชน์ทางด้านเครื่องสำอางของน้ำมันเมล็ดองุ่น
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (S005)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันเมล็ดองุ่นจาก Joseph’s Natural Products Inc. (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีบีบเย็น (cold pressed) โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus (ATCC25923) และ methicillin resistant S. aureus (MRSA) (ATCC 43300) ด้วยวิธี sensitivity testing โดยใช้ Muller Hinton agar plates พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นขนาดความเข้มข้น 5 มก./มล. ไม่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อทั้ง 2 ชนิดได้ (7)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันเมล็ดองุ่นสายพันธุ์ต่าง ๆ จากสาธารณรัฐเซอร์เบีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยการนำองุ่นมาแยกเมล็ด ล้างด้วยน้ำ เป่าด้วยลมให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง เมื่อเมล็ดมีความชื้นต่ำกว่า 10% นำมาบดด้วยเครื่องบดเมล็ดกาแฟนาน 30 วินาที นำเมล็ดองุ่น 20 ก. มาสกัดด้วยอุปกรณ์soxhlet โดยใช้chloroform เป็นตัวทำละลาย สกัดอย่างต่อเนื่องนาน 6 ชม.ที่อุณหภูมิ 70 oC ระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียS. aureus (ATCC 25923) ด้วยวิธี agar diffusion method โดยใช้น้ำมันเมล็ดองุ่นความเข้มข้น 50% และ 100% พบว่ามีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อ (inhibition zone) อยู่ในช่วง 5.00-7.40 มม. และ 6.77-10.33 มม. ตามลำดับ (13)
1.2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่น(ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ซึ่งได้จากการบีบเย็น (virgin cold pressed unfiltrated grape seed oils) เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox 0.09-1.16 มคก. (14)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นจากประเทศตุรกี (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งได้จากการบีบเย็นด้วยเครื่อง screw press extractor เมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี oxygen radical absorbance capacity (ORAC) assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่น 100 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox 1,048-2,569 ไมโครโมล (micromoles of trolox equivalents per 100 g of oil; μmol of TE/100 g)(9)
การเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นจากประเทศอิตาลี (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีต่างกัน ได้แก่ การสกัดด้วยวิธี supercritical carbon dioxide (SC-CO2) และการสกัดด้วยอุปกรณ์ soxhlet โดยการสกัดมีรายละเอียดดังนี้
- การสกัดด้วยวิธี SC-CO2โดยนำเมล็ดองุ่นที่บดแล้ว 65 ก. ใส่ในอุปกรณ์สกัด ที่อุณหภูมิคงที่ 50 oC, ความดัน 50 MPa, flow rate ของ CO28ก./นาที, นาน 3 ชม.
- การสกัดด้วยอุปกรณ์ soxhlet โดยนำเมล็ดองุ่นที่บดแล้ว 10 ก. มาสกัดด้วย n-hexane และระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator
นำน้ำมันที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี TEAC assay พบว่า ส่วนที่ชอบน้ำ (hydrophilic) ของน้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ก. ที่สกัดได้จากวิธี SC-CO2และอุปกรณ์ soxhlet มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox 0.9-2.0 ไมโครโมล และ 1.0-2.1 ไมโครโมล ตามลำดับ และส่วนที่ชอบน้ำมัน (lipophilic) ของน้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ก. ที่สกัดได้จากวิธี SC-CO2และอุปกรณ์ soxhlet มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox 4.9-8.2 ไมโครโมล และ 4.4-6.5 ไมโครโมล ตามลำดับ จากผลการทดลองจะเห็นว่า ส่วนที่ชอบน้ำมันของน้ำมันเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าส่วนที่ชอบน้ำ และการสกัดด้วยวิธี SC-CO2 ทำให้ได้สารที่มีฤทธิ์ต้านอนมูลอิสระดีกว่าวิธีสกัดด้วยอุปกรณ์ soxhlet (11)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่น (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ด้วยวิธี 2,2′-diphenyl-picrylhydrazyl (DPPH) พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นที่ความเข้มข้น 1 มก./ก. สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 68.12% ในขณะที่สารมาตรฐาน butylated hydroxytoluene (BHT) ที่ความเข้มข้นเดียวกับยับยั้งได้ 54.6% (15)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นจากประเทศบราซิล (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งได้จากการนำเมล็ดองุ่นมาอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 oC นาน 6 ชม. บดด้วยเครื่อง seed mill นาน 20 วินาที นำมาผ่านแร่งเบอร์ 20 เพื่อให้ได้ขนาด 0.841 มม. จากนั้นนำมาสกัดด้วยวิธีที่ต่างกัน 2 วิธี คือ
วิธีที่ 1 สกัดด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound-assisted extraction;UAE) โดยนำเมล็ดองุ่น 18.75 ก. มากระจายตัวใน hexane 150 มล. (อัตราส่วนเมล็ดองุ่น : hexane คือ 1:8 m/v) นำไปสกัดด้วยเครื่อง sonicator กำลังไฟ 700W อุณหภูมิคงที่ 15 oC ความถี่ 20 กิโลเฮิร์ทซ์นาน 30 นาที กรอง และระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 50oC นาน 15นาที
วิธีที่ 2 สกัดโดยไม่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (control) โดยนำเมล็ดองุ่น 18.75 ก. มากระจายตัวใน hexane 150 มล. (อัตราส่วนเมล็ดองุ่น : hexane คือ 1:8 m/v) นำมากวนด้วยเครื่อง magnetic stirring ความเร็ว 1,130 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิ 15 oC นาน 30 นาที กรอง และระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 50oC นาน 15นาที
นำน้ำมันที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay และ ferric ion reducing antioxidant power (FRAP) assay การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่า น้ำมันที่สกัดด้วยวิธี UAE และ control 1 กก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox 44.06 และ 68.48 โมลาร์ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธี FRAP assay พบว่า น้ำมันที่สกัดด้วยวิธี UAE และ control 1 กก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox 16.93 และ 14.65 โมลาร์ตามลำดับ การวิเคราะห์ปริมาณผลรวมฟีนอลิกด้วยวิธี Folin–Ciocalteau methodพบว่า น้ำมันที่สกัดด้วยวิธี UAE มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกมากกว่า control (น้ำมัน 1 กก. มีผลรวมสารฟีนอลิกเทียบเท่าสาร gallic acid 68.82 ก. และ 61.50 ก. ตามลำดับ) ซึ่งน้ำมันที่สกัดด้วยวิธี UAE จึงน่าจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่า control แต่ในการทดสอบด้วยวิธี DPPH assay กลับพบว่ามีฤทธิ์น้อยกว่า จึงคาดว่าสารออกฤทธิ์ในน้ำมันที่สกัดด้วยวิธี UAE อาจละลายในตัวทำละลายของวิธีทดสอบดังกล่าวได้น้อยกว่า control (16)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นสายพันธุ์ต่าง ๆ จากประเทศตูนิเซีย(ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งได้จากการนำเมล็ดองุ่นบด 20 ก. มาสกัดด้วย hexane 100 มล. โดยใช้อุปกรณ์ soxhlet และใช้เวลาในการสกัดนาน 8 ชม. กรองและระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำน้ำมันที่ได้มาทดสอบด้วยวิธีDPPH assay,ferrous ion chelating (FIC) assay, และ reducing powerassay การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่า น้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (IC50) เท่ากับ 30.97-49.18มคก./ก. (สารมาตรฐาน BHT มีค่า IC50เท่ากับ 41.38 มคก./ก.)การทดสอบด้วยวิธี FIC assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่า IC50เท่ากับ 8.96-46.69 มคก./ก. (สาร BHT มีค่า IC50เท่ากับ 61.21 มคก./ก.) และการทดสอบด้วยวิธี reducing power assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่า EC50เท่ากับ 23.20-52.10 มคก./ก. (สาร BHT มีค่า IC50เท่ากับ 17.58 มคก./ก.) เมื่อ EC50 คือค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (effective concentration) ที่ค่าการดูดกลืนแสงเท่ากับ 0.5 (17)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของไขมันที่ไม่เปลี่ยนเป็นสบู่ (unsaponfiable fraction; UF) ซึ่งแยกได้จากน้ำมันเมล็ดองุ่นจากประเทศตูนิเซีย(ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งได้จากการนำเมล็ดองุ่นบด 20 ก. มาสกัดด้วย hexane 100 มล. โดยใช้อุปกรณ์ soxhlet และใช้เวลาในการสกัดนาน 12 ชม. กรองและระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำน้ำมันที่ได้มาผ่านกระบวนการ saponification โดยใช้น้ำมัน 5 ก. และ internal betulin standard ควมเข้มข้น 20มก./100 ก. มาทำปฏิกิริยากับ potassium hydroxide ethanolic solution เติมน้ำต้มเดือดลงไป และสกัดแยก UF ออกมาด้วย diethyl ether ระเหยตัวทำละลายออกด้วยการกลั่นในเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 30 oC ภายใต้ภาวะสุญญากาศ แยกส่วนน้ำออก และกำจัดน้ำที่เหลือด้วยanhydrous sodium sulfateนำมาทดสอบด้วยวิธี DPPH assay และFIC assay การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่า น้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่า IC50เท่ากับ 2.21-2.96 ก./ก. (สารมาตรฐาน BHT มีค่า IC50เท่ากับ 12.69 ก./ก.) และการทดสอบด้วยวิธี FIC assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่า IC50เท่ากับ 261.60-280.60ก./ก. (สารมาตรฐาน trolox มีค่า IC50เท่ากับ 266.301 มคก./ก.) แสดงให้เห็นว่า UF จากน้ำมันเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าสาร BHT และมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับสาร trolox (18)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นแดงและองุ่นขาวจากสาธารณรัฐเซอร์เบีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยเมล็ดองุ่นแดงประกอบด้วยสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon, Merlot และ Pinot noir อัตราส่วน 65:30:5 (m/m/m) และเมล็ดองุ่นขาวประกอบด้วยสายพันธุ์ Chardonnay, Sauvignon blanc และ Riesling อัตราส่วน 60:30:10 (m/m/m)นำเมล็ดองุ่นมาบดและสกัดด้วยวิธีที่ต่างกัน 4 วิธี คือ
วิธีที่ 1 สกัดด้วยอุปกรณ์ soxhlet (SE) โดยนำเมล็ดองุ่นที่บดแล้ว 30 ก. มาสกัดด้วย n-hexane 120 มล.โดยใช้อุปกรณ์ soxhlet ใช้เวลาในการสกัดนาน 6 ชม. โดยมีการเปลี่ยนตัวทำละลาย 15 ครั้ง นำมากรองและระเหยตัวทำละลายออกภายใต้สภาวะสุญญากาศที่อุณหภูมิ 40oC
วิธีที่ 2 สกัดด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound-assisted extraction; UAE) โดยนำเมล็ดองุ่น 30 ก. ใส่ใน flask ที่ต่อกับ condenser ด้านบน (ป้องกันการระเหยของตัวทำละลาย) เติม n-hexane 300 มล. ทำการสกัดโดยนำflask ไปใส่ในsonication bath กำลังไฟ 60W /L ความถี่คงที่ 40 กิโลเฮิร์ทซ์ อุณหภูมิ 50oC นาน 40 นาที
วิธีที่ 3 สกัดด้วยการใช้คลื่นไมโครเวฟ (microwave-assisted extraction; MAE) โดยนำเมล็ดองุ่น 10 ก. ใส่ใน flask เติม n-hexane 100 มล. ทำการสกัดโดยนำflask ไปใส่ในเครื่องไมโครเวฟกำลังไฟ 600W ซึ่งเชื่อมต่อกับ condenser ด้านบน ทำการสกัดนาน 15 นาที นำมากรองและระเหยตัวทำละลายออกภายใต้สภาวะสุญญากาศที่อุณหภูมิ 40oC
วิธีที่ 4 สกัดด้วยของไหลวิกฤติยิ่งยวด (supercritical fluid extraction, SFE) ด้วยเครื่องสกัดแรงดันสูง (laboratory scale with high-pressure extraction equipment)โดยใช้เมล็ดองุ่น 100 ก. เวลาในการสกัด 4 ชม. ความดัน 350 bar อุณหภูมิ 60oC อัตราการไหลของ CO2 0.4 กก./ชม.
นำน้ำมันที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay และ 2,2′-azino-bis-(-3-ethylbenzothiazoline-6-sulfonic acid) (ABTS) assay การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่า น้ำมันเมล็ดองุ่นแดงและน้ำมันเมล็ดองุ่นขาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ UAE > MAE > SFE > SE โดยน้ำมันเมล็ดองุ่นแดง 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบสารมาตรฐาน trolox 1.33-9.97 ไมโครโมลาร์ และน้ำมันเมล็ดองุ่นขาว 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบสารมาตรฐาน trolox 1.41-4.85 ไมโครโมลาร์ การทดสอบด้วยวิธี ABTS assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นแดงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ UAE > SFE > MAE > SE และน้ำมันเมล็ดองุ่นขาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ UAE > MAE > SFE > SE โดยน้ำมันเมล็ดองุ่นแดง 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบสารมาตรฐาน trolox 3.14-9.67ไมโครโมลาร์ และน้ำมันเมล็ดองุ่นขาว 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบสารมาตรฐาน trolox 3.48-6.27ไมโครโมลาร์ ซึ่งจะเห็นว่า การสกัดด้วยวิธี UAE จะทำให้ได้น้ำมันที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดและน้ำมันเมล็ดองุ่นแดงอาจมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นขาว (19)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นสายพันธุ์ต่าง ๆ จากสาธารณรัฐเซอร์เบีย(ไม่ระบุ voucher specimen) โดยการนำองุ่นมาแยกเมล็ด ล้างด้วยน้ำ เป่าด้วยลมให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง เมื่อเมล็ดมีความชื้นต่ำกว่า 10% นำมาบดด้วยเครื่องบดเมล็ดกาแฟนาน 30 วินาที นำเมล็ดองุ่น 20 ก. มาสกัดด้วยอุปกรณ์soxhlet โดยใช้chloroform เป็นตัวทำละลาย สกัดอย่างต่อเนื่องนาน 6 ชม.ที่อุณหภูมิ 70 oC ระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีFRAP assay, DPPH assay, และ ABTS assay การทดสอบด้วยวิธี FRAP assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่น 100 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox 150.6-443.6 มคก.การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่า IC50เท่ากับ 13.0-66.6 มคก./มล.การทดสอบด้วยวิธี ABTS assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นมีค่า IC50เท่ากับ 15.8-65.8 มคก./มล. (13)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันเมล็ดองุ่นสายพันธุ์ต่าง ๆ จากประเทศฮังการี(ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งได้จากการนำเมล็ดองุ่นแห้ง (ความชื้น 7-8%) มาบดด้วยเครื่องบดเมล็ดกาแฟ นำเมล็ดองุ่น 10 ก. มาสกัดด้วย petroleum ether170 มล. โดยใช้อุปกรณ์ soxhlet อุณหภูมิสูงสุด 70 oC ใช้เวลาในการสกัดนาน 3 ชม. ระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำมาทดสอบด้วยวิธีFRAP assay พบว่าน้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox 0.12-0.78 ไมโครกรัม (20)
1.3 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวของส่วนสกัดที่ไม่เปลี่ยนเป็นสบู่ (unsaponfiable fraction; UF) ซึ่งแยกได้จากน้ำมันเมล็ดองุ่นจากประเทศสเปน (ไม่ระบุ voucher specimen) ในเม็ดเลือดขาวชนิด monocyte ของมนุษย์ซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) ขนาด 100 นาโนกรัม/มล. หลังจากนั้นจึงให้เซลล์สัมผัสกับสาร UF ขนาด 10-100 มิลลิโมลาร์ นาน 24 ชม. พบว่า UF ทำให้ระดับreactive oxygen species (ROS) ในเซลล์ ระดับสารก่อการอักเสบชนิด interleukin (IL)-1β, IL-6, และ tumor necrosis factor (TNF)-α รวมทั้งการสร้างสาร nitrite ลดลง โดยประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาดที่ให้ (12)
1.4 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
การทดสอบฤทธิ์รักษาแผลของน้ำมันเมล็ดองุ่นจากJoseph’s Natural Products Inc ซึ่งสกัดด้วยวิธีบีบเย็น (cold pressed) นำมาทดสอบฤทธิ์รักษาแผลในหนูแรทที่ถูกทำให้เกิดแผลด้วย excision wound model โดยโกนขนหนูบริเวณหลังและทำให้เกิดแผลรูปวงกลมขนาดพื้นที่ 250 ตร.มม. ความลึก 2 มม. จากนั้นทาแผลด้วย petroleum jelly (กลุ่มควบคุม), ยาขี้ผึ้งมาตรฐานที่มีตัวยา mupirocin ขนาด 100 มก./กก. หรือน้ำมันเมล็ดองุ่นในขนาด 100 มก./กก. ทำการศึกษานาน 13 วัน โดยวัดขนาดของแผลในวันที่ 1, 3, 5, 7, 9, 11 และ 13 รวมทั้งวัดระดับของ hydroxyproline และศึกษาลักษณะของเนื้อเยื่อ granulation tissueเมื่อสิ้นสุดการทดลอง พบว่า ในวันที่ 13 กลุ่มที่ทา petroleum jelly, ยา mupirocin, และน้ำมันเมล็ดองุ่นมีขนาดแผลลดลง (wound closure) 74.1%, 78.4%, และ 84.6% ตามลำดับ ระดับของ hydroxyproline รวมทั้งจำนวนของ collagen fibres และ fibroblasts ใน granulation tissueของกลุ่มที่ทาน้ำมันเมล็ดองุ่นสูงกว่ากลุ่มควบคุม แต่ต่ำกว่ากลุ่มที่ทายา mupirocin ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์รักษาแผล (7)
การทดสอบฤทธิ์รักษาแผลของน้ำมันเมล็ดองุ่น (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ในหนูแรทที่ถูกทำให้เกิดแผลด้วย circular excision wound model โดยโกนขนหนูบริเวณหลังและทำให้เกิดแผลรูปวงกลมขนาดพื้นที่ 200 ตร.มม. กลุ่มที่ 1 (กลุ่มควบคุม) ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ (physiologic saline), กลุ่มที่ 2 ทาด้วยน้ำมันเมล็ดองุ่น (ไม่ระบุขนาด) และกลุ่มที่ 3 ทาด้วยครีมทาแผลมาตรฐานCICAFLORA® (ไม่ระบุขนาด) ทำการศึกษานาน 10 วัน พบว่า กลุ่มควบคุม, น้ำมันเมล็ดองุ่น และ CICAFLORA® มีขนาดแผลลดลง (wound closure)86.05%, 99.84%, และ 94.82% ตามลำดับแสดงให้เห็นว่าน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์รักษาแผลและให้ผลดีกว่าครีมทาแผลมาตรฐานCICAFLORA®(15)
การทดสอบฤทธิ์รักษาแผลของน้ำมันเมล็ดองุ่น (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ในกระต่ายจำนวน 20 ตัว โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุม ถูกทำให้เกิดแผลด้วยการกรีดมีดผ่าตัดลงบนผิวหนังกลุ่มที่ 2-5 ถูกทำให้เกิดแผลด้วยการกรีดมีดผ่าตัดลงบนผิวหนังและใส่น้ำมันเมล็ดองุ่น 5 มล. โดยกลุ่มที่ 2, 3, 4, และ 5 จะทำการสังเกตผลและเก็บชิ้นเนื้อจากบาดแผลในวันที่ 5, 10, 15, และ 20 ตามลำดับ พบว่า กลุ่มที่ 2-5 แผลหายเร็วกว่ากลุ่มควบคุม โดยแผลจะหายดีภายในวันที่ 10-12 หลังการเกิดแผล ในขณะที่กลุ่มควบคุมจะใช้เวลาในการสมานแผลมากกว่า 4 สัปดาห์ การติดตามผลหลังจากจบการทดลอง (clinical follow up)พบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำมันเมล็ดองุ่นไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แต่กลุ่มควบคุมพบว่าแผลมีอาการบวมและพอง(edema and swelling) เล็กน้อย การทดสอบเนื้อเยื่อพบว่า กลุ่มที่ได้รับน้ำมันเมล็ดองุ่นเกิดกระบวนการแทรกซึมของเซลล์ก่อการอักเสบ (infiltration of inflammatory cell) และกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อเส้นใย (fibrous connective tissue formation) บริเวณบาดแผลเร็วกว่ากลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเมล็ดองุ่นจะเกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน (collagen fiber) ในวันที่ 5 แสดงให้เห็นว่าน้ำมันเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์รักษาแผล (21)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบการแพ้ในผู้ป่วยจำนวน 5 ราย ที่มีอาการผิวหนังอักเสบและผื่นแพ้จากการสัมผัส (allergic contact dermatitis) หลังการใช้น้ำมันหอมระเหยในสุคนธบำบัด (essential aromatherapy oils) โดยทำการทดสอบด้วยวิธี patch test กับน้ำมันและน้ำมันหอมระเหยต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในน้ำหอม (ไม่ระบุแหล่งที่มา) พบว่า มีผู้ป่วย 1 รายที่ให้ผลเป็นบวกกับน้ำมันเมล็ดองุ่นความเข้มข้น 2%(24)
การทดสอบอาการระคายเคืองและการแพ้ที่ผิวหนังของน้ำมันเมล็ดองุ่นซึ่งผสมอยู่ในโลชั่นโกนหนวด (preshave lotion) 39% (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ในอาสาสมัคร 105 คน ด้วยวิธีhuman repeat insult patch test (HRIPT)* พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองและการแพ้ที่ผิวหนัง (25)
การทดสอบอาการระคายเคืองและการแพ้ที่ผิวหนังของน้ำมันเมล็ดองุ่นซึ่งผสมอยู่ในน้ำมันหอม (fragrance oil) 90% (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ในอาสาสมัคร 105 คน ด้วยวิธีHRIPT พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองและการแพ้ที่ผิวหนัง (25)
การทดสอบอาการระคายเคืองและการแพ้ที่ผิวหนังของ hydrogenated grapeseed oil ซึ่งผสมอยู่ในลิปสติก 0.5% (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ในอาสาสมัคร 53 คน ด้วยวิธีHRIPT พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองและการแพ้ที่ผิวหนัง (25)
*Human repeat insult patch test (HRIPT) คือการทดสอบ hypoallergenic ที่นิยมใช้ในวงการเครื่องสำอาง เป็นการทดสอบผลิตภัณฑ์ด้วยวิธี patch test โดยแปะผลิตภัณฑ์ที่ผิวหนังบริเวณหลังส่วนบน ของผู้ทดสอบอย่างน้อย 50 คน นาน24-48 ชม.และแปลผลโดยดูจากปฏิกิริยานูนแดงบนผิวหนังที่เวลา48 ชม. จากนั้นจะทำการทดสอบซ้ำรวมทั้งหมด 9 ครั้ง และมีการพัก 10-21 วัน และกลับมาทำการทดสอบที่ต่างบริเวณ 1 ครั้ง รวมระยะเวลาการทดสอบทั้งหมดประมาณ 6 สัปดาห์ และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการรับรองจากแพทย์ผิวหนัง(26)
การศึกษาในหลอดทดลอง
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวของส่วนสกัดที่ไม่เปลี่ยนเป็นสบู่ (unsaponfiable fraction; UF) ซึ่งแยกได้จากน้ำมันเมล็ดองุ่นจากประเทศสเปน (ไม่ระบุ voucher specimen) ในเม็ดเลือดขาวชนิด monocyte ของมนุษย์ ด้วยวิธี cell viability assay (MTT) โดยให้เซลล์สัมผัสกับสาร UF ขนาดสูงถึง 200 มคก./มล. นาน 24 ชม. พบว่า UF ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติใด ๆ กับเม็ดเลือดขาวดังกล่าว (12)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
น้ำมันเมล็ดองุ่นอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรือทำให้ผิวหนังอักเสบได้
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ไม่มีข้อมูล เนื่องจากยังไม่มีรายงานการศึกษาในคน มีแต่การศึกษาในหลอดทดลองหรือสัตว์ทดลอง
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
น้ำมันเมล็ดองุ่นมีกรดไขมันเป็นองค์ประกอบหลัก โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิกซึ่งมีมากถึง 60 - 80% ของน้ำมันทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีสาร a-tocopherol หรือวิตามินอี ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิว ซึ่งปริมาณสารสำคัญจะขึ้นกับสายพันธุ์และวิธีการสกัดน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า น้ำมันเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และมีฤทธิ์รักษาแผลที่ดี ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาเป็นเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Vitis vinifera L.World Flora Online. [Internet]. 2012 [cited 2021 Sep 21]. Available from: http://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0000421791
3. Backer CA, Brink RCB. Flora of Java Vol. II. Groningen: N.V. Wolters-Norrdhoff; 1965.
4. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. โครงการทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (PROSEA): ทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้ 2 ไม้ผลและไม้ผลเคี้ยวมัน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์; 2544.
5. Baydar NG, Özkan G, Çetin ES. Characterization of grape seed and pomace oil extracts. Grasas Y Aceites. 2007;58(1):29-33.
6. Tangolar SG, OZogul Y, Tangolar S, Torun A. Evaluation of fatty acid profiles and mineral content of grape seed oil of some grape genotypes. Int J Food Sci Nutr. 2009;60(1):32-9.
7. Shivananda Nayak B, Dan Ramdath D, Marshall JR, Isitor G, Xue S, Shi J. Wound-healing properties of the oils of Vitis vinifera and Vaccinium macrocarpon. Phytother Res. 2011;25:1201-8.doi: 10.1002/ptr.3363.
8. Sabir A, Unver A, Kara Z. The fatty acid and tocopherol constituents of the seed oil extracted from 21 grape varieties (Vitis spp.). J Sci Food Agric. 2012;92(9):1982-7.
9. Demirtas I, Pelvan E, Ozdemir IS, Alasalvar C, Ertas E. Lipid characteristics and phenolics of native grape seed oils grown in Turkey. Eur J Lipid Sci Technol. 2013;115:641-7.
10. Gornas P, Soliven A, Seglina D. Seed oils recovered from industrial fruit by-products are a rich source of tocopherols and tocotrienols: Rapid separation of a/b/g/d homologues by RP-HPLC/FLD. Eur J Lipid Sci Technol. 2015;117(6):773-7. doi: 10.1002/ejlt.201400566.
11. Ben Mohamed H, Duba KS, Fiori L, Abdelgawed H, Tlili I, Tounekti T, et al. Bioactive compounds and antioxidant activities of different grape (Vitis vinifera L.) seed oils extracted by supercritical CO2 and organic solvent. LWT-Food Sci Technol. 2016;74:557-62. doi: 10.1016/j.lwt.2016.08.023.
12. Millan-Linares MC, Bermudez B, Martin ME, Munoz E, Abia R, Millan F, et al. Unsaponifiable fraction isolated from grape (Vitis vinifera L.) seed oil attenuates oxidative and inflammatory responses in human primary monocytes. Food Funct. 2018;9(4):2517-23. doi: 10.1039/c8fo00063h.
13. Dabetic NM, Todorovic VM, Djuricic ID, Antic Stankovic JA, Basic ZN, Vujovic DS, et al. Grape seed oil characterization: a novel approach for oil quality assessment. Eur J Lipid Sci Technol. 2020;122(6):1900447. doi: 10.1002/ejlt.201900447.
14. Bail S, Stuebiger G, Krist S, Unterweger H, Buchbauer G. Characterization of various grape seed oils by volatile compounds, triacylglycerol composition, total phenols and antioxidant capacity. Food Chem. 2008;108(3):1122-32. doi: 10.1016/j.foodchem.2007.11.063.
15. Rekik DM, Khedir SB, Moalla KK, Kammoun NG, Rebai T, Sahnoun Z. Evaluation of wound healing properties of grape seed, sesame, and fenugreek oils. Evid Based Complement Alternat Med. 2016;7965689. doi: 10.1155/2016/7965689.
16. Böger BR, Salviato A, Valezi DF, Mauro ED, Georgetti SR, Kurozawa LE. Optimization of ultrasound-assisted extraction of grape-seed oil to enhance process yield and minimize free radical formation. J Sci Food Agric. 2018;98:5019–26. doi: 10.1002/jsfa.9036.
17. Harbeoui H, Rebey IB, Ouerghemmi I, Wannes WA, Zemni H, Zoghlami N, et al. Biochemical characterization and antioxidant activity of grape (Vitis vinifera L.) seed oils from nine Tunisian varieties. J Food Biochem. 2018;42:e12595. doi: 10.1111/jfbc.12595.
18. Harbeoui H, Dakhlaoui S, Wannes WA, Bourgou S, Hammami M, Khan NA, et al. Does unsaponifiable fraction of grape seed oil attenuate nitric oxide production, oxidant and cytotoxicity activities. J Food Biochem. 2019;43:e12940. doi: 10.1111/jfbc.12940.
19. Dimic I, Teslic N, Putnik P, Kovacevic DB, Zekovic Z, Sojic B, et al. Innovative and conventional valorizations of grape seeds from winery by-products as sustainable source of lipophilic antioxidants. Antioxidants. 2020;9:568. doi: 10.3390/antiox9070568.
21. Bayati AJA, Enaad DF. Histopathological study and surgery the effect of grape seed oil on wound healing in rabbits. IJSR. 2015;4(6):959-62.
22. Codex Alimentarius International Food standards. Standard for named vegetable oils. CXS 210-1999. [Internet]. 2019 [cited 2021 Sep 19]. Available from: http://www.fao.org/fao-who-codexalimentarius/sh-proxy/tr/?lnk=1&url=https%253A%252F%252Fworkspace.fao.org%252Fsites%252Fcodex%252FStandards%252FCXS%2B210-1999%252FCXS_210e.pdf
23. กระทรวงสาธารณสุข. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 421) พ.ศ. 2564 เรื่อง น้ำมันและไขมัน. ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่มที่ 138, ตอนพิเศษ 31 ง (ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564). http://food.fda.moph.go.th/law/data/announ_moph/P421.pdf
24. Trattner A, David M, Lazarov A. Occupational contact dermatitis due to essential oils. Contact Dermatitis. 2008;58(5):282-4.
25. Burnett CL, Fiume MM, Bergfeld WF, Belsito DV, Hill RA, Klaassen CD, et al. Safety assessment of plant-derived fatty acid oils. Int J Toxicol. 2017;36(3_suppl):51S-129S. doi: 10.1177/1091581817740569.
26. Hypoallergenic cosmetics. [Internet]. 2019 [cited 2021 Sep 19]. Available from: https://www.verymwl.com/1110-autosave-v1/
27. วัฒนา สวรรยาธิปติ. การปลูกองุ่น [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ:สํานักสงเสริมและฝกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร; ไม่ระบุปีพ.ศ. [เข้าถึงเมื่อ 25 ก.ย. 2564]. เข้าถึงได้จาก:http://eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/tree_fruit/grape.pdf
P049_(18).xlsx