กวาวเครือ
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Pueraria mirifica Airy Shaw &Suvat.
ชื่อวงค์
FABACEAE
ชื่อสมุนไพร
กวาวเครือ
ชื่ออังกฤษ
-
ชื่อพ้อง
Pueraria candolleivar. mirifica (Airy Shaw & Suvat.) Niyomdham
ชื่อท้องถิ่น
กวาวเครือขาว
ชื่อ INCI
PUERARIA MIRIFICA CALLUS CULTURE EXTRACT
PUERARIA MIRIFICA ROOT EXTRACT
PUERARIA MIRIFICA ROOT POWDER
PUERARIA MIRIFICA ROOT POWDER/PROPYLENE GLYCOL
FERMENT FILTRATE
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
กวาวเครือเป็นพันธุ์ไม้ถิ่นเดียวของไทย พบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นในป่าเบญจพรรณที่สูงจากระดับน้ำทะเล 250-800 ม. (3-4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มรอเลื้อย ยาวถึง 5 ม. มีหัวใต้ดินขนาดใหญ่ ค่อนข้างกลม มีหูใบรูปไข่ ใบประกอบแบบขนนกมีสามใบย่อย เรียงสลับ รูปไข่ ปลายใบมนถึงเรียวแหลม โคนใบสอบถึงมน ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ผิวใบด้านล่างมีขนประปราย ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง ยาว 20–30 ซม. ใบประดับมีลักษณะเป็นเกล็ดใบประดับย่อย รูปไข่ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันที่ส่วนโคนเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 4 แฉก แฉกบนสุดใหญ่กว่าแฉกอื่น ดอกรูปดอกถั่ว สีม่วงแกมสีน้ำเงิน มี 5 กลีบ กลีบกลางค่อนข้างกลม กลีบคู่ล่างติดกันเป็นรูปเรือ เกสรเพศผู้มี 10 อัน ก้านชูอับเรณูติดกัน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มี 1 ช่อง ฝักแบน รูปขอบขนาน ผิวมีขนสั้น ๆ ประปรายถึงเกลี้ยง มี 3–4 เมล็ด ค่อนข้างกลม (3)
การเพาะปลูก
นิยมขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ หรือเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การปลูก/สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก
ฤดูกาลเพาะปลูก กวาวเครือเป็นพืชตระกูลถั่ว ควรเพาะปลูกในฤดูฝนจะเจริญเติบโตงอกงามดี ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
การเตรียมดิน เช่นเดียวกับการปลูกถั่วทั่วไป โดยการไถดะ 1 ครั้ง ไถแปลง 1 ครั้ง แล้วไถพรวนกำจัดวัชพืชออกพร้อมกับการหว่านปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก พรวนไปด้วยกัน แล้วยกร่องเป็นการระบายน้ำ หรือทางเดินประมาณ 50 ซม. แปลงกว้างประมาณ 80 ซม. – 1 ม.
วิธีการปลูก นิยมเพาะเมล็ดก่อน โดยการนำเมล็ดแช่น้ำไว้ 1 คืน แล้วนำมาปลูกในกระบะเพาะเมล็ด ที่มีส่วนผสมของขี้เถ้าแกลบ เมื่อกวาวเครืองอกเป็นต้นอ่อน สูงประมาณ 10 - 15 ซม. แยกลงถุงเพาะชำ โดยผสมดินปุ๋ยคอกและมะพร้าวสับ แล้วนำต้นกล้าปลูกลงถุงๆ ละ 1 ต้น แล้วนำไปเรียงในเรือนเพาะชำ รดน้ำให้สม่ำเสมอ โดยมีหลักปักหรือร้านไม้ไผ่ เพื่อให้กวาวเครือเลื้อยได้เต็มที่ กวาวเครือชอบบริเวณแสงแดดจัด
การให้ปุ๋ย จะให้ปุ๋ยเมื่อตอนเตรียมดินไว้แล้ว หรือใส่ปุ๋ยคอกกับปุ๋ยหมัก ไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมีจะทำให้ดินแข็ง และกวาวเครือจะสะสมสารเคมีอยู่ที่หัว เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยง
การให้น้ำ กวาวเครือเป็นพืชชอบน้ำต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ชอบน้ำขังเป็นเวลานาน
การกำจัดวัชพืช ควรทำระยะแรกเมื่อกวาวเครืออายุ 6 เดือน โดยการดายหญ้าตามโคนต้น และทำการพรวนดินไปด้วยเพื่อช่วยให้กวาวเครือเลื้อยตามที่เราปักไม้ หรือทำร้านไว้ให้
การป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ในระยะแรกมีแมลงศัตรูพืชจำพวกหนอนกัดกินใบ ควรฉีดด้วยสารสกัดจากสะเดา
ฤดูกาลเก็บเกี่ยว กวาวเครือนิยมขุดในฤดูแล้งที่ไม่มีฝนตก เพราะกวาวเครือต้องการแดดจัด ช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน – เมษายน
วิธีการเก็บเกี่ยวกวาวเครือนิยมขุดเมื่อมีอายุ 1- 2 ปี โดยการตัดต้นกวาวเครือออกให้หมดแล้วค่อยๆ ขุดช่องโคนต้นจะเห็นรากที่มีหัวติดอยู่ ค่อยๆขุดล้อมหัวใต้ดินขึ้นมา แต่ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายก็ทำการถอนขึ้นมาได้เลย
การแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยวเมื่อได้กวาวเครือมาแล้ว นำหัวกวาวเครือมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วผึ่งให้แห้ง ปอกเปลือก หั่นให้บางที่สุด แล้วนำตากแดด 4 – 5 แดด จนแห้ง แล้วนำไปอบอีกครั้งจนแห้งสนิท
การบรรจุและการเก็บรักษา เมื่อได้กวาวเครือที่แห้งสนิทแล้ว ถ้าคุณภาพดีจะมีสีขาวเป็นแผ่นบางๆ นำมาบรรจุในถุงที่สะอาดและปิดปากถุงให้เรียบร้อย ห้ามโดนน้ำหรือความชื้น เพราะจะทำให้เกิดเชื้อรา เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องปกติ (24)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
บำรุงเนื้อหนังให้เต่งตึง บำรุงสุขภาพให้สมบูรณ์ (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารสำคัญที่พบในกวาวเครือแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้
สารกลุ่มไอโซฟลาโวน (isoflavones) ได้แก่ daidzein, genistein, kwakhurin, kwakhurin hydrate, daidzin, genistin, mirificin, puerarin, puerarin-6″-monoacetate
สารกลุ่มโครมีน (chromenes) ได้แก่ miroestrol, deoxymiroestrol, isomiroestrol
สารกลุ่มคูเมสแตน (coumestans) ได้แก่ coumestrol, mirificoumestan, mirificoumestan glycol, mirificoumestan hydrate
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ β–sitosterol, stigmasterol, spinasterol
สารกลุ่มเทอโรคาร์แพน (pterocarpans) ได้แก่puemiricarpene, tuberosin
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acid) ได้แก่ tetracosanoic acid (6-9)
สารกลุ่มไอโซฟลาโวน (isoflavones)
สารกลุ่มโครมีน(chromenes)
สารกลุ่มคูเมสแตน (coumestans)
สารกลุ่มสเตอรอล(sterols)
สารกลุ่มเทอโรคาร์แพน(pterocarpans)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acid)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูอิสระ คือ สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ได้แก่ puerarin, daidzin, genistin, daidzeinและ genistein (10)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 สารกลุ่มโครมีน (miroestrol, isomiroestrol และ deoxymiroestrol) : วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ Liquid chromatography mass spectrometry (LC-MS/MS), LC-Q-Orbitrap/MS และ High-performance liquid chromatography (HPLC) โดยมีสภาวะการทดลอง (condition) ดังนี้
การศึกษาที่ 1 วิธี LC-MS/MS สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (11) คือ
column : Water Xbridge C18 (3.5µm,2.1 x 150มม.2) อุณหภูมิคอลัมน์ 40 oC
mobile phase : 0.1% formic acid in deionized water (A): 0.1% formic acid in acetonitrile (B) (อัตราส่วนปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนดโดย ความเข้มข้นของ B คือ 10% ที่เวลา 0 นาที, 10% ที่เวลา 3 นาที, 50% ที่เวลา 8 นาที, 100% ที่เวลา 20 นาที, 100% ที่เวลา 15 นาที, 10% ที่เวลา 18 นาที และ 10% ที่เวลา 20 นาที)
flow rate : 0.25 มล./นาที
injection volume : 2 มคล.
detector : วิเคราะห์สารสำคัญด้วยเครื่อง QTrap 5500 linear ion trap quadrupolemass spectrometer โดยกำหนดตัวแปร ดังนี้
ionization mode : ESI-Negative
source temperature : 450 oC
ion voltage : 4,500 โวลต์
curtain gas pressure : 30 psi
การศึกษาที่ 2 วิธี LC-Q-Orbitrap/MS สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (11) คือ
column : Capcell Pak MGII C18 (3.0 µm, 2.0 x 100 มม.2)
mobile phase : 0.1% formic acid in deionized water (A): 0.1% formic acid in acetonitrile (B) (อัตราส่วนปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนดโดย ความเข้มข้นของ B คือ 10% ที่เวลา 0 นาที, 10% ที่เวลา 3 นาที, 50% ที่เวลา 8 นาที, 100% ที่เวลา 12 นาที, 100% ที่เวลา 15 นาที, 10% ที่เวลา 15.1 นาที และ 10% ที่เวลา 20 นาที)
flow rate : 0.25 มล./นาที
injection volume : 4 มคล.
detector : วิเคราะห์สารสำคัญด้วยเครื่อง Q-exactiveOrbitrap mass spectrometer (heat electrospray ionization source II interface) โดยกำหนดตัวแปร ดังนี้
ionization mode : negative
spray voltage : 3.3 กิโลโวลต์
sheath gas flow rate : 40 (arbitrary unit)
capillary temperature : 320 oC
S lens RF level : 50 (arbitrary unit)
heater temperature : 300 oC
auxillary gas flow rate : 10 (arbitrary unit)
การศึกษาที่ 3 วิธี HPLC สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (12) คือ
column :RP-18 column (5 µm, 125x4 มม.)
mobile phase : 20% acetonitrile containing 1.5% acetic acid
flow rate : 1.0 มล./นาที
injection volume : ไม่ระบุ
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
2 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (puerarin, daidzin, genistin, daidzeinและ genistein) : วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC ตัวอย่างการศึกษามีดังนี้
การศึกษาที่ 1สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (6) คือ
column :C18 (5 µm,220 x 4.6 มม.)
mobile phase : 1.5% acetic acid:acetonitrile (55:45)
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 15 มคล.
detector : UV detectorที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (10) คือ
column : C18 (5 µm,250 x 4.6 มม.)
mobile phase : 0.1% (v/v) acetic acid:acetonitrile (อัตราส่วน 86:14 ถึง 68:32)
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : photodiode array UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 3 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (13) คือ
column :XSelect® HSS C18 (2.5 µm, 3.0 x 75 มม.)
mobile phase : formic acid in acetonitrile (A): formic acid in water (B) (อัตราส่วนปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด โดย A:B มีค่าเท่ากับ 10:90 ที่เวลา 0 นาที, 30:70 ที่เวลา 2.5 นาที, 30:70 ที่เวลา 7 นาที, 10:90 ที่เวลา 8 นาที และ 10:90 ที่เวลา 10 นาที)
flow rate : 0.6 มล./นาที
injection volume : 5 มคล.
detector : photodiode array detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 4 สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (14) คือ
column : Symmetry C18 (5µm, 4.6 x 250 มม.)
mobile phase : solvent A (0.05% TFA) : solvent B (acetonitrile) (อัตราส่วนปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนดโดย ความเข้มข้นของsolvent B คือ 15-70% ที่ 0-39 นาที, 70-90% ที่ 39-40 นาที และ 90-90% ที่ 40-45 นาที)
flow rate : 0.7 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : UV detector ที่ความยาวคลื่น 280 นาโนเมตร
3 สาร kwakhurin : วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC และการวิเคราะห์โดยเทคนิคภูมิคุ้มกันวิทยา (immunoassay) ตัวอย่างการศึกษามีดังนี้
การศึกษาที่ 1 วิธี HPLC สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (15) คือ
column : VertiSep™C18 (5 µm,250 x 4.6 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 30 oC
mobile phase : 1% acetic acid in water (A): 60% acetonitrile in water (B) (อัตราส่วนปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนดโดย ความเข้มข้นของ B คือ 30-40% ที่เวลา 0-7 นาที, 40-70% ที่เวลา 7-10 นาที, 70% ที่เวลา 10-25 นาที และ 70-100% ที่เวลา 25-28 นาที)
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : UV detector ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 การวิเคราะห์โดยเทคนิคภูมิคุ้มกันวิทยาโดยสาร kwakhurin ถูกสังเคราะห์ให้อยู่ในรูปแบบคอนจูเกตกับโปรตีน bovine serum albumin (kwakhurin-BSA) และผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody) ด้วยการฉีดสาร kwakhurin-BSA เข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แล้วแยกเซลล์ม้ามของหนูและนำไปหลอมรวมกับเซลล์ myeloma cell line SP2/0 ได้เซลล์ลูกผสมที่ผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีต่อสาร kwakhurin(Mab 11F) ใช้สำหรับตรวจวิเคราะห์หาสาร kwakhurin จากตัวอย่างด้วยเทคนิค enzyme linked immunosorbent assay (ELISA) และการพัฒนาชุดตรวจแถบสี immunochromatographic strip test (15)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย (F008)
การศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบแบบครึ่งใบหน้าถึงประสิทธิผลของการทาครีมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดกวาวเครือ 4% (ตัวอย่างจากประเทศไทย/ไม่ระบุวิธีการสกัดสาร) กับการทาครีมที่มีส่วนประกอบของสารเตรติโนอิน (tretinoin)0.02% ในการรักษาริ้วรอยรอบดวงตาของอาสาสมัครเพศหญิงชาวไทยจำนวน 19 คน (อายุเฉลี่ย 39.21±9.34 ปี) โดยให้อาสาสมัครทาครีมรอบดวงตาข้างหนึ่งด้วยครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% และทารอบดวงตาอีกข้างหนึ่งด้วยครีมเตรติโนอิน 0.02% วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) เปรียบเทียบผลก่อนและหลังใช้ครีมในสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 12 ของการศึกษา วัดค่าริ้วรอยรอบดวงตาด้วยเครื่อง Visiocan® VC98 วัดค่าความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยเครื่อง Cutometer MPA 580 ประเมินสภาพผิวด้วยภาพถ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อสิ้นสุดการศึกษา (สัปดาห์ที่ 12) ให้อาสาสมัครประเมินความพึงพอใจจากการใช้ครีมทั้ง 2 ชนิด ผลจากการศึกษาพบว่า การทาครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% มีผลลดค่าการเกิดริ้วรอยบริเวณหางตาได้ดีกว่าการใช้ครีมเตรติโนอิน 0.02% อย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 12 ของการศึกษา ในขณะที่บริเวณใต้ตาและพื้นที่รอบดวงตาโดยเฉลี่ยไม่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้ครีมทั้ง 2 ชนิด เช่นเดียวกับผลการประเมินค่าความยืดหยุ่นของผิวซึ่งพบว่า การทาครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% มีผลช่วยเพิ่มค่าความยืดหยุ่นของผิวบริเวณหางตาได้ดีกว่าการใช้ครีมเตรติโนอิน 0.02% อย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 12 ของการศึกษา แต่บริเวณใต้ตาและพื้นที่รอบดวงตาโดยเฉลี่ยไม่มีความแตกต่างกัน การใช้ครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% และครีมเตรติโนอิน 0.02% มีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง แต่ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างการใช้ครีมทั้ง 2 ชนิด การประเมินสภาพผิวจากภาพถ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่พบความแตกต่างกันระหว่างการใช้ครีมทั้ง 2 ชนิด และผลการประเมินความพึงพอใจพบว่า อาสาสมัครมีความพึงพอใจในการใช้ครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% สูงกว่าการใช้ครีมเตรติโนอิน 0.02% อย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อจบการศึกษาให้อาสาสมัครเลือกผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปใช้พบว่า มีอาสาสมัครที่เลือกครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% จำนวน 17 คน (88.5%) ในขณะที่ผู้ที่เลือกครีมเตรติโนอิน 0.02% มีเพียง 2 คน (11.5%) นอกจากนี้ยังพบว่า การใช้ครีมทั้ง 2 ชนิด ก่อให้เกิดผลข้างเคียงคือ อาการแสบ และผิวลอกแห้ง โดยการใช้ครีมเตรตริโนอิน 0.02% ทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวมากกว่าการใช้ครีมสารสกัดกวาวเครือ 4% อย่างมีนัยสำคัญ จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า กวาวเครือ มีประสิทธิภาพในการช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวหนังบริเวณรอบดวงตา มีผลข้างเคียงต่ำ และเป็นที่พึงพอใจแก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ (16)
การศึกษาทางคลินิกแบบสุ่ม ปกปิดสองทาง และมีกลุ่มควบคุม (randomized double-blind vehicle-controlled trial)เพื่อศึกษาประสิทธิผลของยาทาที่มีส่วนประกอบของสารสกัดกวาวเครือ4% (ตัวอย่างจากประเทศไทย/ไม่ระบุวิธีการสกัดสาร) ในการลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นรอบดวงตาของอาสาสมัครเพศหญิงชาวไทยจำนวน 22 คน (อายุระหว่าง 30-60 ปี) โดยให้อาสาสมัครทายารอบดวงตาข้างหนึ่งด้วยยาทาสารสกัดกวาวเครือ 4% และทารอบดวงตาอีกข้างหนึ่งด้วยยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 2 สัปดาห์ ประเมินสภาพผิวในช่วงสัปดาห์ที่ 1, 4, 8 และ 12 และประเมินผลข้างเคียงในสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 12 ซึ่งการวิเคราะห์ริ้วรอยบนผิวหนังกระทำโดยแพทย์ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้วยการใช้แบบประเมิน Rao-Glodman 5 point scoring scale และวัดค่าริ้วรอยด้วยเครื่อง Visioscan และเมื่อสิ้นสุดการศึกษา (สัปดาห์ที่ 12) ให้อาสาสมัครประเมินความพึงพอใจต่อการลดลงของริ้วรอยรอบดวงตา ผลจากการประเมินด้วย Rao-Glodman 5 point scoring scale และเครื่อง Visioscan พบว่า การใช้ยาทาที่มีส่วนประกอบของสารสกัดกวาวเครือ4% มีผลลดค่าริ้วรอยรอบดวงตาลดลงอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 8 เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก การใช้ยาทาสารสกัดกวาวเครือ4% มีผลช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นบริเวณใต้ตาในสัปดาห์ที่ 8 และความยืดหยุ่นบริเวณหางตาในสัปดาห์ที่ 12 อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกผลการประเมินความชุ่มชื้นบริเวณรอบดวงตาพบว่า ยาทาสารสกัดกวาวเครือ4% มีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในบริเวณหางตาและใต้ตาได้อย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 8 เป็นต้นไปเมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก นอกจากนี้ ผลการประเมินความพึงพอใจจากอาสาสมัครเมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่า อาสาสมัครมีความพึงพอใจต่อผลการลดลงของริ้วรอยรอบดวงตาจากการใช้ยาทาสารสกัดกวาวเครือ 4% มากกว่าการใช้ยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ และไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ยา จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า ยาทาที่มีส่วนประกอบของสารสกัดกวาวเครือ4% ให้ผลในการลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นบริเวณรอบดวงตา โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ และอาสาสมัครมีความพึงพอใจกับประสิทธิผลที่ได้ (17)
การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลในการช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาระหว่างการใช้เจลสารสกัดใบบัวบก 5% (เจล 100 กรัมประกอบด้วยสารสกัดใบบัวบก 5 กรัม; ผลิตภัณฑ์จากบริษัทช้างแก้ว เนเชอรัล จำกัด ต. บางพูด อ. ปากเกร็ด จ. นนทบุรี) และเจลสารสกัดกวาวเครือ 5% (เจล 100 กรัมประกอบด้วยสารสกัดกวาวเครือ 5 กรัม; ผลิตภัณฑ์จากบริษัทช้างแก้ว เนเชอรัล จำกัด ต. บางพูด อ. ปากเกร็ด จ. นนทบุรี) โดยทำการทดสอบในอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 25 ราย (อายุระหว่าง 30-50 ปี) ให้อาสาสมัครทาเจลรอบดวงตาข้างหนึ่งด้วยเจลสารสกัดใบบัวบก 5% และทารอบดวงตาอีกข้างหนึ่งด้วยเจลสารสกัดกวาวเครือ 5% ทุกวัน เช้า-เย็น เป็นเวลานานติดต่อกัน 12 สัปดาห์ ประเมินสภาพผิวในช่วงสัปดาห์ที่ 1, 4, 8 และ 12 ด้วยเครื่อง Visioscan® VC98 และใช้แบบประเมิน Rao-Glodman 5 point scoring scale โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้เจลสารสกัดใบบัวบก 5% และเจลสารสกัดกวาวเครือ 5% สามารถลดริ้วรอยรอบดวงตาได้เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ โดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 4 สัปดาห์ของการใช้ยา อาสาสมัครมีความพึงพอใจในการใช้เจลทั้ง 2 ชนิดใกล้เคียงกัน และไม่พบรายงานการเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ (18)
1.2 ฤทธิ์เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนัง (F005)
การทดสอบประสิทธิภาพของเจลบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมหลักจากสารสกัดกวาวเครือกับสารสกัดกวาวเครือที่กักเก็บในนีโอโซม (Wellosome™ KwaoKrua)โดยสกัดสารออกฤทธิ์ออกจากผงกวาวเครือ (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ด้วยเอทานอล 95% ในขวดรูปชมพู่ อัตราส่วนระหว่างผงกวาวเครือกับเอทานอลเท่ากับ 1:10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร เขย่าที่อุณหภูมิห้องด้วยความเร็ว 150 rpm เป็นเวลา 6 ชม. จากนั้นกรองแยกสารละลายแล้วนำไประเหยตัวทำละลายออกด้วย rotary evaporator นำสารสกัดเอทานอลกวาวเครือที่สกัดได้ และสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือ ไปผสมในตำรับเจลบำรุงผิวหน้าโดยใช้สารก่อเจล ammonium acryloyldimethyltaurate/VP copolymer ที่ความเข้มข้น 1, 3 และ 5% จากนั้นนำไปทดสอบประสิทธิภาพในการช่วยรักษาความชุ่มชื้นและการเปลี่ยนแปลงเม็ดสีของผิวหนังในอาสาสมัครเพศหญิงที่มีสุขภาพดีจำนวน 20 คน (อายุระหว่าง 30-60 ปี) โดยให้อาสาสมัครใช้ผลิตภัณฑ์วันละ 1 ครั้งก่อนนอน นาน 60 วัน ประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในบริเวณที่ใช้เจลบำรุงผิวหน้ากวาวเครือและบริเวณที่ใช้ตำรับเจลพื้น วัดปริมาณน้ำในผิวหนังชั้นนอกสุดด้วย corneometer probe เพื่อประเมินความชุ่มชื้น และวัดค่าเม็ดสีเมลานินด้วย mexameter probe เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ผลจากการทดสอบพบว่า การใช้เจลบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลกวาวเครือและเจลสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือ มีผลทำให้ค่าความชุ่มชื้นของผิวหนังเพิ่มมากขึ้น เมื่อใช้ต่อเนื่อง 1 เดือนขึ้นไป โดยผลที่ได้จากการใช้เจลสารสกัดเอทานอลกวาวเครือและเจลสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือให้ประสิทธิภาพที่ไม่แตกต่างกัน และการเพิ่มความเข้มข้นของสารสกัด ไม่ได้มีผลทำให้ค่าความชุ่มชื้นของผิวหนังเปลี่ยนแปลงมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ผลการทดสอบค่าเม็ดสีเมลานินพบว่า การใช้เจลสารสกัดเอทานอลกวาวเครือและเจลสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือไม่มีผลทำให้ค่าเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนังเปลี่ยนแปลง (19)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย (S007)
การศึกษาประสิทธิภาพของครีมทาผิวกวาวเครือ ซึ่งเตรียมได้จากส่วนหัวใต้ดิน (เก็บตัวอย่างจาก จ. นครปฐม) โดยทำความสะอาดและหั่นหัวกวาวเครือด้วยเครื่องอัตโนมัติและอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60 oC แล้วบดให้เป็นผง นำผงกวาวเครือที่ได้แช่สกัดในเอทานอล 95% นาน 7 วัน และนำสารละลายที่ได้ไประเหยแอลกอฮอล์ด้วยเครื่อง evaporator ได้สารสกัดเอทานอล 95% กวาวเครือขาวในรูปแบบสารสกัดหยาบ (PCM crude extract) จากนั้นนำสารสกัดดังกล่าวผสมลงในครีมเบส โดยกำหนดให้มีปริมาณสารสกัด 0.6% (น้ำหนักโดยน้ำหนัก; w/w) ซึ่งจะได้ครีมที่มีลักษณะเป็นสีขาว มีค่า pH เท่ากับ 6.80 และมีค่าความหนืด (viscosity) เท่ากับ 4.069±0.01 Pa เมื่อทดสอบทาครีมดังกล่าวลงบนผิวหนังบริเวณแขนของอาสาสมัคร 6 คน (อายุระหว่าง 45-60 ปี) เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน 7 และ 14 วัน พบว่า ครีมสารสกัดกวาวเครือมีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยและคงความชุ่มชื้นของผิวหนัง ผลการประเมินความพึงพอใจของอาสาสมัครในการใช้ครีมดังกล่าวอยู่ในระดับดี (20)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (F007)
การศึกษาในหลอดทดลอง เปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระระหว่างเจลบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมหลักจากสารสกัดกวาวเครือกับสารสกัดกวาวเครือที่กักเก็บในนีโอโซม (Wellosome™ KwaoKrua) โดยสกัดสารออกฤทธิ์ออกจากผงกวาวเครือ (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ด้วยเอทานอล 95% ในขวดรูปชมพู่ อัตราส่วนระหว่างผงกวาวเครือกับเอทานอลเท่ากับ 1:10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร เขย่าที่อุณหภูมิห้องด้วยความเร็ว 150 rpm เป็นเวลา 6 ชม. จากนั้นกรองแยกสารละลายแล้วนำไประเหยตัวทำละลายออกด้วย rotary evaporator นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl (DPPH) radical scavenging assay และ thiobarbituric acid reactivity substance (TBARS) assay พบว่า สารสกัดเอทานอลกวาวเครือมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือ โดยสารสกัดเอทานอลกวาวเครือมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระลงครึ่งหนึ่ง (IC50) เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay และ TBARS assay เท่ากับ 32.65 และ 43.15 มคก./มล.ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดนีโอโซมกวาวเครือ มีค่า IC50เท่ากับ 285.14 และ 352.47 มคก./มล.ตามลำดับเมื่อนำสารสกัดเอทานอลกวาวเครือไปพัฒนาตำรับเจลบำรุงผิวหน้าโดยใช้สารก่อเจล 5 ชนิด ได้แก่ sodiumpolyacrylate, polyvinylpyrrolidone, carbomer, hydroxypropylmethylcellulose และ ammonium acryloyldimethyltaurate/VP copolymer พบว่าการใช้ ammonium acryloyldimethyltaurate/VP copolymer ให้ลักษณะทางกายภาพและความคงตัวที่ดีที่สุด จึงเลือกใช้เป็นตำรับเจลบำรุงผิวหน้าสำหรับการทดสอบ โดยผสมสารสกัดเอทานอลกวาวเครือและสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือที่ความเข้มข้น 1, 3 และ 5% นำตำรับเจลที่ได้ไปทดสอบความคงตัวในสภาวะเร่งด้วยวิธี heating-cooling และความคงตัวที่อุณหภูมิห้องพบว่า ลักษณะความคงตัวทางกายภาพของเจลบำรุงผิวสารสกัดเอทานอลกวาวเครือและเจลสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือทุกตำรับ มีลักษณะของเนื้อเจล สี ค่าความเป็นกรด-ด่าง และค่าความหนืดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย กลิ่นไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ลักษณะความคงตัวทางชีวภาพซึ่งใช้วิธีทดสอบหาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า ในความเข้มข้นเท่ากันเจลสารสกัดเอทานอลกวาวเครือมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเจลสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือ และเจลบำรุงผิวหน้าทุกตำรับยังคงรักษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระไว้ได้ตลอด 7 วันของการทดสอบ (19)
สารสกัดเมทานอลจากส่วนหัวใต้ดินของกวาวเครือ (ตัวอย่างจากอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งเตรียมโดยการนำส่วนหัวใต้ดินมาล้างให้สะอาด หั่น และอบแห้งที่อุณหภูมิ 60 oC นาน 72 ชม. แล้วใช้โกร่งบดให้เป็นผง จากนั้นนำผงกวาวเครือ 1 ก. มาสกัดด้วยวิธีการแช่ในเมทานอลปริมาตร 100 มล. นาน 24 ชม. กรองสารสกัดผ่านกระดาษกรองขนาด 0.45 ไมครอน และนำสารละลายที่ได้ไประเหยแอลกอฮอล์ด้วยเครื่องอบลมร้อน (hot air oven) อุณหภูมิ 60 oC เมื่อนำสารสกัดที่ได้ไปทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่า ค่าความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระลงครึ่งหนึ่ง (IC50) มีค่าเท่ากับ15.65±0.35 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบ ascorbic acid มีค่าเท่ากับ 0.02±0.00 มก./มล. (10)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากส่วนหัวใต้ดินของกวาวเครือที่เก็บตัวอย่างจาก 28 จังหวัด ในประเทศไทย (อุบลราชธานี หนองบัวลำภู เพชรบุรี พิษณุโลก ราชบุรี เชียงใหม่ นครสวรรค์ ลำพูน น่าน เชียงราย สุโขทัย กาญจนบุรี ลพบุรี แพร่ ชุมพร นครราชสีมา สกลนคร พะเยา อุตรดิตถ์ ลำปาง ตาก ชัยภูมิ แม่ฮ่องสอน ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี สระบุรี และกำแพงเพชร) เปรียบเทียบกับ kudzu (Puerarialobata) ซึ่งเป็นพืชในสกุลเดียวกันจากประเทศจีน เตรียมตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์โดยใช้ผงแห้งจากส่วนรากสะสมอาหารของกวาวเครือ 6 มก. ละลายในเอทานอล 1 มล. เมื่อนำสารสกัดไปทำการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH assay พบว่า ความสามารถในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระของสารสกัดกวาวเครือที่เก็บตัวอย่างในประเทศไทยโดยเฉลี่ยต่ำกว่า kudzu จากประเทศจีน โดยพบว่าค่าเฉลี่ยความเข้มข้นในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระลงครึ่งหนึ่ง (IC50) ของสารสกัดกวาวเครือที่เก็บตัวอย่างในประเทศไทยทั้งหมดมีค่าเท่ากับ 2,904.52±30.37 มคก./มล. ในขณะที่ค่า IC50ของ kudzu มีค่าเท่ากับ 2,482.00±66.11 มคก./มล. (สารมาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบคือ α–tocopherol มีค่าเท่ากับ 72.33±6.48 มก./มล.) ทั้งนี้ กวาวเครือจากประเทศไทยมีเพียงตัวอย่างเดียวที่มีค่า IC50น้อยกว่า kudzu และมีค่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตัวอย่างกวาวเครือจากแหล่งอื่นในประเทศไทย ได้แก่ ตัวอย่างจากจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีค่า IC50 เท่ากับ 2,470.38±37.81 มคก./มล. (7)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบอาการระคายเคืองจากการใช้เจลบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมหลักจากสารสกัดกวาวเครือกับสารสกัดกวาวเครือที่กักเก็บในนีโอโซม (Wellosome™ KwaoKrua) โดยสกัดสารออกฤทธิ์ออกจากผงกวาวเครือ (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ด้วยเอทานอล 95% ในขวดรูปชมพู่ อัตราส่วนระหว่างผงกวาวเครือกับเอทานอลเท่ากับ 1:10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร เขย่าที่อุณหภูมิห้องด้วยความเร็ว 150 rpm เป็นเวลา 6 ชม. จากนั้นกรองแยกสารละลายแล้วนำไประเหยตัวทำละลายออกด้วย rotary evaporator นำสารสกัดเอทานอลกวาวเครือที่สกัดได้ และสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือ ไปผสมในตำรับเจลบำรุงผิวหน้าโดยใช้สารก่อเจล ammonium acryloyldimethyltaurate/VP copolymer ที่ความเข้มข้น 1, 3 และ 5%จากนั้นนำไปทดสอบอาการระคายเคืองในอาสาสมัครเพศหญิงที่มีสุขภาพดีจำนวน 20 คน (อายุระหว่าง 30-60 ปี) ด้วยวิธี patch test โดยแบ่งพื้นที่บริเวณต้นแขนออกเป็น 7 ส่วน แต่ละส่วนมีขนาด 2x2 ซม. ทาตัวอย่างลงในบริเวณที่กำหนด โดยใช้ปริมาณตัวอย่าง 20 มคล. สำหรับตัวอย่างที่เป็นของเหลว และ 50 มก. สำหรับตัวอย่างที่เป็นเจล ปิดทับบริเวณที่ทาด้วยผ้าก๊อซ เมื่อครบ 30 นาที,24 ชม. และ 48 ชม. ประเมินอาการแพ้ด้วยตาเปล่าแล้วให้คะแนนก่อนนำมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยดัชนีของการระคายเคือง (mean irritation index) ผลจากการทดสอบพบว่า อาสาสมัครทั้งหมดไม่แสดงอาการระคายเคืองเมื่อเวลาผ่านไป 30 นาที,24 ชม. และ 48 ชม. และมีค่าเฉลี่ยดัชนีของการระคายเคืองเท่ากับ 0 แสดงให้เห็นว่าเจลบำรุงผิวสารสกัดเอทานอลกวาวเครือและเจลสารสกัดนีโอโซมกวาวเครือทุกตำรับมีความปลอดภัย (19)
การศึกษาประสิทธิภาพของครีมทาผิวกวาวเครือ ซึ่งเตรียมได้จากส่วนหัวใต้ดิน (เก็บตัวอย่างจาก จ. นครปฐม) โดยทำความสะอาดและหั่นหัวกวาวเครือด้วยเครื่องอัตโนมัติและอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60°C แล้วบดให้เป็นผง นำผงกวาวเครือที่ได้แช่สกัดในเอทานอล 95% นาน 7 วัน และนำสารละลายที่ได้ไประเหยแอลกอฮอล์ด้วยเครื่อง evaporator ได้สารสกัดเอทานอล 95% กวาวเครือขาวในรูปแบบสารสกัดหยาบ (PCM crude extract) จากนั้นนำสารสกัดดังกล่าวผสมลงในครีมเบส โดยกำหนดให้มีปริมาณสารสกัด 0.6% (น้ำหนักโดยน้ำหนัก; w/w) ซึ่งจะได้ครีมที่มีลักษณะเป็นสีขาว มีค่า pH เท่ากับ 6.80 และมีค่าความหนืด (viscosity) เท่ากับ 4.069±0.01 Pa เมื่อนำครีมสารสกัดกวาวเครือที่ได้ไปทดสอบการแพ้ด้วยการทาครีมดังกล่าวปริมาณ 1 ก. ลงในแผ่นพลาสเตอร์ที่มีหลุมอลูมิเนียม (Finn chamber) และนำไปแปะลงบนผิวหนังบริเวณหลังส่วนบนของอาสาสมัครจำนวน 9 คน นาน 24 ชม. สังเกตอาการผื่นแพ้บนผิวหนังหลังจากแกะพลาสเตอร์ออก (24 ชม., 48 ชม. และ 7 วัน) ซึ่งผลจากการทดสอบพบว่า ครีมสารสกัดกวาวเครือไม่ก่อให้เกิดอาการระเคืองต่อผิวหนังของอาสาสมัคร (20)
การศึกษาฤทธิ์ก่อความระคายเคืองแบบเฉียบพลันในกระต่ายพบว่า ตำรับยาทาภายนอกที่ประกอบด้วยสารสกัดเอทานอลกวาวเครือที่แยกสกัดต่อด้วย CHCl3:MeOH (ไม่ระบุแหล่งที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัดสาร) ก่อให้เกิดการระคายเคืองในระดับต่ำมาก ในกระต่าย 1 ตัว จากทั้งหมด 3 ตัว (21)
ส่วนหัวใต้ดินกวาวเครือขนาดประมาณ 2 กก. (จัดหาและตรวจสอบทางพฤกษศาสตร์โดย รศ.ยุทธนา สมิตะศิริ ม. แม่ฟ้าหลวง) นำมาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นแว่นอบแห้ง บดเป็นผงและผ่านตะแกรงเบอร์ 100 เพื่อให้ได้ผงละเอียด ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารกลุ่มไอโซฟลาโวนในผงกวาวเครือ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรมพบว่า มีสารสำคัญที่ตรวจพบได้แก่ genistin, diadzin, puerarinและ genistein คิดเป็นร้อยละ 0.0164, 0.0136, 0.0486 และ 0.0006 ของผงกวาวเครือ ตามลำดับ นำผงกวาวเครือมาปรับปริมาตรด้วยน้ำกลั่น ให้มีความเข้มข้นตามต้องการ เพื่อให้ได้ผงกวาวเครือแขวนตะกอนน้ำและนำไปทดสอบความเป็นพิษของผงกวาวเครือในรูปของผงยาแขวนตะกอนในน้ำ โดยป้อนสารดังกล่าวให้แก่หนูเม้าส์ที่ความเข้มข้น 1:2.5 (ซึ่งเป็นความเข้มข้นสูงสุดที่สามารถป้อนให้สัตว์ทดลองได้) โดยป้อนทางปากครั้งละ 20 มล./กก. ทำการป้อน 2 ครั้ง โดยป้อนครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 6 ชม. คิดเป็นขนาดของผงกวาวเครือที่ได้รับเท่ากับ 16 ก./กก. เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งทำการป้อนน้ำกลั่นให้แก่หนูเม้าส์ในปริมาตรเท่ากัน สังเกตและบันทึกอาการของสัตว์ทดลองใน 5 ชม. หลังจากป้อนสารสกัด และเฝ้าสังเกตทุกวันจนครบ 14 วัน ผลจากการทดลองพบว่าการป้อนผงกวาวเครือในรูปของผงยาแขวนตะกอนในน้ำในขนาดดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลัน และขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 (LD50) มีค่ามากกว่า 16 ก./กก. และการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง โดยป้อนผงกวาวเครือแขวนตะกอนในน้ำให้แก่หนูแรทขนาด 10, 100 และ 1,000 มก./กก. ต่อวัน นาน 90 วันพบว่า การป้อนผงกวาวเครือแขวนตะกอนในน้ำ ขนาดวันละ 10 และ 100 มก./กก. ไม่พบว่าค่าโลหิตวิทยาและค่าทางชีวเคมีมีความผิดปกติ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดพยาธิสภาพใดๆ ต่ออวัยวะภายในที่เป็นการบ่งชี้ถึงภาวะความเป็นพิษ แต่หนูในกลุ่มที่ได้รับการป้อนผงกวาวเครือแขวนตะกอนในน้ำขนาดวันละ 100 และ 1,000 มก./กก. จะมีอัตราการเจริญเติบโตช้าและกินอาหารได้น้อยกว่าหนูกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ การป้อนผงกวาวเครือแขวนตะกอนในน้ำ ขนาดวันละ 1,000 มก./กก. มีผลทำให้หนูเกิดภาวะโลหิตจาง โดยมีค่าร้อยละของเม็ดเลือดแดง (hematocrit) จำนวนเม็ดเลือดแดง และปริมาณฮีโมโกลบินต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และมีค่าร้อยละของจำนวนเม็ดเลือดแดงที่ยังเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ (reticulocyte) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนูเพศผู้ที่ได้รับการป้อนผงกวาวเครือแขวนตะกอนในน้ำ ขนาดวันละ 1,000 มก./กก. มีจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดลดลง มีน้ำหนักอัณฑะค่อนข้างต่ำ และมีอัตราการเกิด hyperemia ของอัณฑะสูงกว่าหนูกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนูเพศเมียที่ได้รับกวาวเครือขนาด 100 และ 1,000 มก./กก. ตรวจพบมดลูกมีลักษณะบวมเต่ง และในกลุ่มที่ได้รับกวาวเครือขนาด 1,000 มก./กก. มีอัตราการเกิดแท่งโปรตีนในหลอดไต(kidney tubular cast) สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (22)
การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของกวาวเครือ โดยนำหัวใต้ดินกวาวเครือสดสายพันธุ์วิชัย-3 (ประเทศไทย) มาล้างทำความสะอาด ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ อบแห้งด้วยเครื่องอบลมร้อน (hot air oven) บดเป็นผงและผ่านตะแกรงเบอร์ 100 เพื่อให้ได้ผงละเอียดจากนั้นทดลองป้อนผงดังกล่าวให้แก่หนูเม้าส์ขนาด 250, 500, 1,000 และ 2,000 มก./กก. สังเกตพฤติกรรมของหนูหลังจากป้อนผงกวาวเครือที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 12 ชม. และเฝ้าสังเกตทุกวันจนครบ 14 วัน พบว่า การป้อนผงกวาวเครือไม่ทำให้หนูตาย ขนาดผงกวาวเครือที่ป้อนให้แก่หนูเม้าส์ที่ทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 (LC50) มีค่ามากกว่า 2,000 มก./กก. และผลการตรวจวิเคราะห์สภาพซากและอวัยวะภายในไม่พบความแตกต่างระหว่างหนูที่ได้รับผงกวาวเครือและหนูกลุ่มควบคุม เมื่อนำผงกวาวเครือมาผสมลงในสารละลายซึ่งประกอบด้วย propylene glycol และน้ำสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อและกำจัดไอออน (sterile de-ionzed water) ในอัตราส่วน 1:1 (ไม่ระบุปริมาณผงกวาวเครือที่ใช้หรือขนาดความเข้มข้นของสารสกัดที่ได้) และนำสารสกัดที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ก่อระคายเคืองบนผิวหนังของกระต่ายด้วยวิธี patch test และทดสอบการระคายเคืองต่อดวงตากระต่ายด้วยวิธี Draize testพบว่า สารสกัดกวาวเครือไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบนผิวหนังและดวงตาของกระต่าย และเมื่อนำสารสกัดกวาวเครือมาทดสอบการก่อให้เกิดการแพ้ต่อผิวหนังของหนูตะเภาด้วยวิธี guinea pig maximisation test (GPMT) และทดสอบปฏิกิริยาการตอบสนองต่อแสงของผิวหนัง (photo toxicity test) หลังได้รับสารสกัดกวาวเครือในหนูตะเภาพบว่า สารสกัดกวาวเครือไม่ก่อให้เกิดการการผื่นแพ้และผิวหนังไม่แสดงอาการอักเสบภายหลังจากการได้รับแสงยูวีเอนอกจากนี้ เมื่อนำสารสกัดกวาวเครือมาทดสอบฤทธิ์ก่อระคายเคืองบนผิวหนังของอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 30 คน (อายุระหว่า 20-30 ปี) ด้วยวิธี patch test พบว่า สารสกัดกวาวเครือไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือผื่นแพ้ต่อผิวหนังของอาสาสมัคร ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หัวกวาวเครือสายพันธุ์วิชัย-3 ทั้งในรูปแบบผงและสารละลายในน้ำและ propylene glycol มีความปลอดภัย (23)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ขนาดที่มีรายงานว่ามีผลช่วยลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหน้าได้แก่
- ครีมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดกวาวเครือ 4% w/w(ไม่ระบุวิธีการสกัดสาร)ทารอบดวงตาวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) นาน 12 สัปดาห์ (16-17)
- เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดกวาวเครือ 5%w/w (ไม่ระบุวิธีสกัดสาร) ทารอบดาวงตาวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) นาน 12 สัปดาห์ โดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 4 สัปดาห์ของการใช้ (18)
- เจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอล 95% จากผงกวาวเครือ (เข้มข้น 1-5% w/w) ทาผิวหนังบริเวณใบหน้าวันละ 1 ครั้งก่อนนอน นาน 60 วัน โดยจะเริ่มเห็นผลเมื่อใช้ต่อเนื่อง 1 เดือนขึ้นไป (19)
ขนาดที่มีรายงานว่ามีผลช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวกายได้แก่
- ครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอล 95% จากผงกวาวเครือ 0.6% w/wทาผิวหนังบริเวณแขนเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน14 วัน (20)
สิทธิบัตร
https://docs.google.com/spreadsheets/d/1x7XAq383k0IJrQ7PcYm0mYbRSvXTChk5L8kmfGsQfyY/edit?usp=sharing
DIP (THAILAND-TH)
DIP (THAILAND-EN)
USPTO (USA)
สรุป
หัวใต้ดินของกวาวเครือ อุดมไปด้วยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนได้แก่ สารกลุ่มโครมีน ไอโซฟลาโวน และไอโซฟลาโวนไกลโคไซด์ กวาวเครือถูกนำมาสกัดและทดสอบประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์ด้านเครื่องสำอางอย่างแพร่หลาย ซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ในการช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาและผิวกาย รวมถึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เกิดผลข้างเคียงจากการใช้น้อย สร้างความพึงพอใจแก่อาสาสมัครผู้เข้าร่วมการทดสอบ แต่การใช้ในปริมาณที่สูงอาจจะก่อเกิดพิษได้ ฉะนั้นการส่งเสริมหรือพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจะต้องคำนึงถึงปริมาณสารสกัดของกวาวเครือในผลิตภัณฑ์ด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สักนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Pueraria candollei var. mirifica (Airy Shaw &Suvat.) Niyomdham. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-40424
3. ราชบัณฑิตยสถานสถาน. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถานสถาน; 2543.
4. เอมอร โสมนะพันธุ์, วีณา จิรัจฉริยากูล. กวาวเครือ-กวาวขาว. จุลสารข้อมูลสมุนไพร. 2542;16(4):9-16.
5. นันทวันบุณยะประภัศรอรนุชโชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (1). กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชนจำกัด; 2539.
6. Cherdshewasart W, Subtang S, Dahlan W. Major isoflavonoid contents of the phytoestrogen rich-herb Pueraria mirifica in comparison with Pueraria lobata. J Pharm Biomed Anal. 2007;43(2):428-34.doi: 10.1016/j.jpba.2006.07.013.
7. Cherdshewasart W, Sutjit W. Correlation of antioxidant activity and major isoflavonoid contents of the phytoestrogen-rich Pueraria mirifica and Pueraria lobata tubers. Phytomedicine. 2008;15(1-2):38-43.doi: 10.1016/j.phymed.2007.07.058.
8. รุ่งระวีเต็มศิริฤกษ์กุล. องค์ความรู้จากงานวิจัยสมุนไพรไทย10 ชนิดกระชายดำกวาวเครือขาวขมิ้นชันขิงบัวบกพริกไทยไพลฟ้าทะลายมะขามป้อมมะระขี้นก. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ; 2550.
9. วีณา นุกูลการ และชุติมา เพ็ชรประยูร, บรรณาธิการ. สมุนไพร Champion Products. กรุงเทพฯ : บริษัท บุญศิริการพิมพ์ จำกัด; 2560.
10. Saisavoey T, Palaga T, Malaivijitnond S, Jaroenporn S, Thongchul N, Sangvanich P, et al. Anti-osteoclastogenic, estrogenic, and antioxidant activities of cell suspension cultures and tuber root extracts from Pueraria mirifica. Food SciBiotechnol. 2014;23(4):1253-9.doi: 10.1007/s10068-014-0172-7.
11. Lee JH, Kim JY, Cho SH, Jeong JH, Cho S, Park HJ, et al. Determination of miroesterol and isomiroesterol from Pueraria mirifica (White KwaoKrua) in dietery supplements by LC-MS-MS and LC-Q-Orbitrap/MS. J Chromatogr Sci. 2017;55(3):214-21.doi: 10.1093/chromsci/bmw171.
12. Yusakul G, Putalun W, Udomsin O, Juengwatanatrakul T, Chaichantipyuth C. Comparative analysis of the chemical constituents of two varieties of Pueraria candollei. Fitoterapia. 2011;82(2):203-7.doi: 10.1016/j.fitote.2010.09.009.
13. Intharuksa A, Kitamura M, Peerakam N, Charoensup W, Ando H, Sasaki Y, et al. Evaluation of white KwaoKrua (Pueraria candollei Grah. ex Benth.) products sold in Thailand by molecular, chemical, and microscopic analyses. J Nat Med. 2020;74(1):106-18.doi: 10.1007/s11418-019-01351-2.
14. Cho JG, Park HJ, Huh GW, Lee SS, Bang MH, Choi KS, et al. Flavonoids from Pueraria mirifica roots and quantitative analysis using HPLC. Food SciBiotechnol. 2014;23(6):1815-20.doi: 10.1007/s10068-014-0248-4.
15. Phaisan S, Yusakul G, Nuntawong P, Sakamoto S, Putalun W, Morimoto S, et al. Immunochromatographic assay for the detection of kwakhurin and its application for the identification of Pueraria candollei var. mirifica (Airy Shaw &Suvat.) Niyomdham. Phytochem Anal. 2021;32(4):503-511. doi: 10.1002/pca.2998.
16. วีระ อาชาพานิช. การศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบแบบครึ่งใบหน้าถึงประสิทธิผลของการทาครีมสกัด 4% กวาวเครือขาวเทียบกับการทาครีม 0.02% เตรติโนอินในการรักษาริ้วรอยรอบดวงตาในคนไทย [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต]. เชียงราย: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง; 2557.
17. กนกวรรณ สารพัดวิทยา. การศึกษาประสิทธิผลของยาทาที่มีส่วนประกอบของสารสกัดกวาวเครือขาว 4% ในการลดริ้วรอยรอบดวงตา [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต]. เชียงราย: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง; 2555.
18. เชาวนีย์ ทองศรีแก้ว. การศึกษาสุ่มเปรียบเทียบแบ่งครึ่งหน้าประสิทธิผลของสารสกัดเจล 5% ใบบัวบก เทียบกับ สารสกัดเจล 5% กวาวเครือขาวในการรักษาริ้วรอยรอบดวงตาในผู้หญิง [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต]. เชียงราย: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง; 2559.
19. ฉัตรนภา จิตไธสง. การพัฒนาเจลบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมสารสกัดกวาวเครือขาว [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต]. เชียงราย: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง; 2556.
20. Sirisa-ard P, Peerakam N, Huy NQ, On TV, Long PT, Intharuksa A. Development of anti-wrinkle cream from Pueraria candollei var. mirifica (Airy Shaw &Suvat.) Niyomdham, “KwaoKrua Kao” for menopausal women. Int J Pharm Pharm. 2018;10(7):16-21.doi:10.22159/ijpps.2018v10i7.24665.
21. เนติวระนุช,ชาลีทองเรือง. ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งแอนโดรเจนและพิษวิทยาระยะสั้นของสารสกัดจากกวาวเครือขาวเมื่อใช้ในรูปแบบยาทาเฉพาะที่. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2542.
22. ทรงพล ชีวะพัฒน์, ปราณี ชวลิตรธำรง, สดุดี รัตนจรัสโรจน์, อัญชลี จูฑะพุทธิ, สมเกียรติ ปัญญามัง. พิษวิทยาของกวาวเครือขาว. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. 2543;42(3):202-23.
23. Cherdshewasart W. Toxicity test of a phytoestrogen-rich herb; Puerariamirifica. J Sci Chula Univ. 2003;28(1):1-13.
24. สถาบันการแพทย์แผนไทย. คู่มือการปลูกสมุนไพร: กวาวเครือขาว [อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: กรมการแพทย์แผนไทย์และการแพทย์ทางเลือก; 2562 [เข้าถึงเมื่อ 25 มกราคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://ittm.dtam.moph.go.th/images/knowleaga/3/17กวาวเครือขาว%20หน้า47-49.pdf