งา
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Sesamum indicum L.
ชื่อวงค์
PEDALIACEAE
ชื่อสมุนไพร
งา
ชื่ออังกฤษ
Benne, Gingelly, Sesame, Teel
ชื่อพ้อง
Sesamum africanum Tod.
Volkameria orientalis (L.) Kuntze
ชื่อท้องถิ่น
งาขาว งาดำ นีโซ ไอยู่มั้ว
ชื่อ INCI
SESAMUM INDICUM OIL EXTRACT
SESAMUM INDICUM SEED
SESAMUM INDICUM SEED EXTRACT
SESAMUM INDICUM SEED OIL
SESAMUM INDICUM SEEDCAKE EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
แหล่งกำเนิดของงาคาดว่าอยู่ในทวีปแอฟริกาที่ประเทศเอธิโอเปีย และถูกนำเข้าไปในประเทศอินเดีย แล้วเผยแพร่ไปยังจีน แอฟริกาเหนือ และเอเชียใต้ ในราว 2,000 ปี ก่อนคริสตศักราช ในราวศตวรรษที่ 17 ได้ถูกนำเข้าไปยังทวีปอเมริกา มีการปลูกงาอย่างแพร่หลายในประเทศเมียนมาร์ และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และไทย (4,5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งตรง สันเป็นสี่เหลี่ยม สูงถึง 1 ม. มีร่องตามยาวและมีขนนุ่ม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือสลับ แผ่นใบใกล้โคนต้น รูปไข่หรือรูปใบหอก แผ่นใบส่วนปลายยอด รูปแถบหรือรูปใบหอก โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว สีชมพู หรือสีชมพูแกมสีม่วง ผลเป็นผลแห้งแตก ปลายมีจะงอยสั้น เมล็ดรูปไข่ แบน น้ำตาลหรือขาว เมื่อสุกมีสีดำ (3)
การเพาะปลูก
งาเป็นพืชเขตร้อนชอบอากาศร้อนและแดดจัดอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ประมาณ 27-30 oC ไม่ชอบอากาศหนาวเย็น สามารถขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิดแต่จะขึ้นได้ดีที่สุดในดินร่วนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร มีการระบายนํ้าดีและมีความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 6.0-6.5
วิธีการปลูกงามี 2 วิธี คือ การปลูกแบบหว่าน และการปลูกแบบโรยเป็นแถว โดยช่วงที่นิยมปลูกงา คือ ช่วงต้นฤดูฝน และช่วงปลายฤดูฝน
การเก็บเกี่ยวงาระยะสุกแก่ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้จะมีลักษณะใบล่างเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วงหล่นไปเรื่อย ๆ ฝักเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ประมาณ 2 ใน 3 ของต้น เมล็ดค่อนข้างเต่งตึงและเปลี่ยนสีตามพันธุ์ หรือแกะฝัก (งาดำ) ที่ 3 จากยอดออกมาดู ถ้าเมล็ดมีสีน้ำตาลแสดงว่าแก่เก็บเกี่ยวได้ หรือนับอายุการเก็บเกี่ยว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพอากาศ
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
น้ำมัน ใช้บำรุงผิว ใส่บาดแผล (6, 7), บำรุงรากผม (7)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มลิกแนน (lignans) ได้แก่ aptosimon, asarinin (8), pinoresinol, piperitol, sesamin (8-26), sesaminol diglucoside (9, 27), sesamolin (8-16, 19, 26)
สารอนุพันธ์ของลิกแนน (lignan derivatives) ได้แก่ (7S,8′R,8R)-acuminatolide(8), sesamol(8, 9, 11, 14-16, 18, 19,22, 25, 26, 28-36), samin (8, 9)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids) ได้แก่ arachidic acid (12, 37-41), capric acid, caprylic acid (37), gadoleic acid(12, 41), linoleic acid (11, 12, 37-43), linolenic acid (11, 12, 38-42), oleic acid, palmitic acid (11, 12, 38-43), stearic acid (11, 12, 37-39, 41-43)
วิตามิน ได้แก่ วิตามินอี (40, 44, 45)
สารกลุ่ม phytosterols ได้แก่ campesterol, stigmasterol, β-sitosterol, Δ5-avenasterol (40)
สารกลุ่มลิกแนน (lignans)
สารอนุพันธ์ของลิกแนน (lignan derivatives)
สารกลุ่มกรดไขมัน (fatty acids)
วิตามินอี
สารกลุ่ม phytosterols
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์/ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ได้แก่ น้ำมันงา (46-48)
สารออกฤทธิ์ระงับกลิ่นปาก ได้แก่ น้ำมันงา (49)
สารออกฤทธิ์ป้องกันผมหงอก ได้แก่ sesamin (24)
สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ sesamol (14, 16, 28-30, 34), sesamin (14,16), sesamolin (14,16, 50)
สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวชุ่มชื้น ได้แก่ น้ำมันงา (51)
สารออกฤทธิ์ต้านสิว ได้แก่ น้ำมันงา (18, 52, 53), sesamin (15, 21), sesamol, sesamolin (15)
สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ (7S,8′R,8R)-acuminatolide, aptosimon, asarinin, pinoresinol, piperitol, samin(8), sesamin (8, 15), sesamol (8, 15, 28, 35), sesaminol diglucoside (27), sesamolin (8, 15),น้ำมันงา (38,40, 45, 54)
สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ได้แก่ sesaminol diglucoside (27), sesamin (17)
สารออกฤทธิ์ป้องกันแสงแดด ได้แก่ sesamin, sesamol, sesamolin (14), น้ำมันงา (41)
สารออกฤทธิ์ทำให้ผิวสีแทน ได้แก่ sesamin (25)
สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ sesamin (17, 20-23), sesamol (22, 32, 33), น้ำมันงา (20, 55)
สารออกฤทธิ์รักษาแผล ได้แก่ sesamol (36), น้ำมันงา (56-59)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 สาร sesamol, sesamin, sesamolin และ วิตามินอี : วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ normal-phase liquid chromatography (NP-LC) (26) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : Sepax HP Silica (250×2.1 มม., 5 μ), อุณหภูมิคอลัมน์ 30oC
mobile phase : เฮกเซน:ไอโซโพรพานอล (98:2)
flow rate : 0.8 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : UV/Vis detector ที่ความยาวคลื่น 295 นาโนเมตร
2 กรดไขมัน : วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ gas chromatography (GC)(60) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์มีดังนี้
column : HP-5MS capillary column (60 ม.x0.25มม.)
oven temperature : เริ่มต้นอุณหภูมิที่ 50 oC, เพิ่มอุณหภูมิจาก 50oC ถึง 175oC ด้วยอัตรา 25 oC/นาที คงที่6 นาที, เพิ่มอุณหภูมิจาก175oC ถึง230oC ด้วยอัตรา4oC/นาทีคงที่ 10 นาที
carrier gas : ฮีเลียม, อัตราการไหล เท่ากับ 0.6มล./นาที
detector : flame ionization detector (FID)
3 สาร sesamol และ sesamolin: วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ high-pressure liquid chromatography (HPLC) (31) สภาวะการทดลอง (condition) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
column : SunFire C-18(250×4.5 มม., 5 μ), อุณหภูมิคอลัมน์ 25 oC
mobile phase :ระบบ gradient ระหว่างตัวทำละลายคือ น้ำ (A) และเมทานอล (B)โดยโปรแกรม คือเวลา 0 นาที (5% B), 0-5 นาที (5-30% B), 5-25 นาที (30-80% B), 25-30 นาที (80-100% B), 30-35 นาที (5% B)
flow rate : 1 มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector : Photodiode array detector และความยาวคลื่น 290 นาโนเมตร
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
1.1 น้ำยาบ้วนปาก
1.1.1 ยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์/ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก (L001)
การศึกษาเปรียบเทียบผลในการยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ (plaque) ของการอมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว(ตัวอย่างจากบริษัท Oneva, Neva, ประเทศตุรกี) ในอาสาสมัคร จำนวน 24 ราย อายุ 19-39 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันงาสกัดเย็น และกลุ่มให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น โดยกลั้วปาก ครั้งละ 10 มล. นาน 15-20 นาที วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น เป็นเวลา 4 วัน หลังจากนั้นทำการสลับกลุ่มทดสอบ โดยมีช่วงหยุดพัก (wash out) 14 วัน ประเมิน ผลจากตัวชี้วัด ได้แก่ ดัชนีคราบจุลินทรีย์ (plaque index, PI), ดัชนีสภาพเหงือก (gingival index, GI), ดัชนีคราบสีของฟัน (stain index, SI) และการมีเลือดออกภายหลังใช้เครื่องมือตรวจปริทันต์ (bleeding on probing, BOP) พบว่าการอมกลั้วปากด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว สามารถยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ และกำจัดคราบสีของฟันได้ไม่แตกต่างกัน (46)
การศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 75 ราย อายุ 12-14 ปี ซึ่งแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันงา และน้ำมันงาที่ผ่านการเติมโอโซน (ozonated sesame oil)(Idhayam®, ตัวอย่างจากบริษัท V.V.V. and Sons edible oil, ประเทศอินเดีย) ปริมาณ 10 มล. นาน 10 นาที และกลุ่มที่ให้บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12%ปริมาณ 10 มล. นาน 1 นาที ทดสอบเป็นเวลา 15 วัน ประเมินผลจากตัวชี้วัด ได้แก่ ดัชนีแผ่นคราบนุ่ม (debris index, DI-S), ดัชนีหินปูน (calculus index, CI-S)ดัชนีอนามัยช่องปากอย่างง่าย (simplified oral hygiene index, OHI-S), ดัชนีคราบจุลินทรีย์ (plaque index, PI) และจำนวนของเชื้อ Streptococcus mutans ที่เวลาเริ่มต้น และหลังการทดสอบ 15 และ 30 วัน พบว่าทั้ง 3 กลุ่ม มีค่า DI-S, CI-S, OHI-S และจำนวนของเชื้อ S.mutans ลดลง เมื่อเทียบกับเวลาเริ่มต้น ขณะที่ค่า PI ในกลุ่มที่บ้วนปากด้วยน้ำมันงาที่ผ่านการเติมโอโซน และน้ำยาบ้วนปากchlorhexidine จะลดลงมากกว่ากลุ่มที่บ้วนปากด้วยน้ำมันงา ดังนั้นการอมกลั้วปากด้วยน้ำมันงา และน้ำมันงาที่ผ่านการเติมโอโซนสามารถใช้เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพในช่องปากแทนน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine ได้ (47)
การศึกษาในอาสาสมัครที่มีคราบจุลินทรีย์และเหงือกอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง จำนวน 40 ราย แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันงา(Idhayam®, ตัวอย่างจากบริษัท V.V.V. and Sons edible oil, ประเทศอินเดีย) ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ นาน 15-20 นาที ในตอนเช้า เป็นเวลา 45 วัน และกลุ่มควบคุมที่ให้ดูแลช่องปากตามปกติ ประเมินผลจากค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ดัชนีสภาพเหงือก และจำนวนเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก พบว่ากลุ่มที่อมกลั้วปากด้วยน้ำมันงา จะมีค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ดัชนีสภาพเหงือก และจำนวนเชื้อแบคทีเรียในช่องปากลดลง 13.13%, 19.84% และ 16.44% เมื่อเทียบกับก่อนการทดลอง (48)
1.1.2 ระงับกลิ่นปาก (L005)
การเปรียบเทียบผลในการระงับกลิ่นปากและยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นปากของการอมกลั้วปากแบบ oil pulling ด้วยน้ำมันงา (Idhayam®, ตัวอย่างจากบริษัท V.V.V. and Sons edible oil, ประเทศอินเดีย) กับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% โดยทดสอบในอาสาสมัคร จำนวน 20 ราย อายุ 17-19 ปี แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้อมกลั้วปากด้วยน้ำมันงา นาน 10-15 นาที ทุกวัน ในตอนเช้าก่อนแปรงฟัน และกลุ่มที่ให้บ้วนปากด้วยchlorhexidine 0.2% นาน 1 นาที ในตอนเช้า ทดสอบเป็นเวลา 14 วันประเมินผลจากตัวชี้วัด ได้แก่ ค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ดัชนีสภาพเหงือก คะแนนของการวัดกลิ่นปากด้วยจมูก (organoleptic breath assessment, ORG 1)คะแนนของการวัดกลิ่นปากด้วยตัวเอง(self-assessment of breath,ORG 2) โดยให้อาสาสมัครใช้ลิ้นเลียที่ข้อมือปล่อยให้น้ำลายแห้ง จากนั้นดมข้อมือว่ามีกลิ่นหรือไม่ และตรวจเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นปาก (Treponema denticola, Porphyromonas gingivalis และ Bacteroides forsythus) ด้วยวิธี BANA test พบว่าค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ดัชนีสภาพเหงือก คะแนนของ ORG 1, ORG 2 และปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ลดลงในทั้ง 2 กลุ่ม แสดงว่าการอมกลั้วปากด้วยน้ำมันงามีผลในการระงับกลิ่นปากและยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นปากได้เทียบเท่ากับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% (49)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สารสกัดเอทิลอะซีเตทจากเมล็ดงาดำ ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากจ.เชียงใหม่) ความเข้มข้น 0.5 มก./มล.มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของเส้นผมได้ เมื่อทดสอบในเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของมนุษย์ชนิด DU-145 (24)
1.2 ป้องกันผมหงอก (H006)
สารสกัดเอทิลอะซีเตทจากเมล็ดงาดำ ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากจ.เชียงใหม่) ความเข้มข้น 10 มก./มล. และสารsesamin (ตัวอย่างจากบริษัท Wako Pure Chemical Industrial, ประเทศญี่ปุ่น) ความเข้มข้น 1 มก./มล. มีฤทธิ์กระตุ้นเอนไซม์ไทโรซิเนส เมื่อทดสอบในเซลล์melanoma B16F10 โดยสามารถกระตุ้นเอนไซม์ได้ 1.04 และ 1.10 เท่า ตามลำดับแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด แต่ไม่มีผลต่อเอนไซม์ tyrosinase-related protein-2 (TRP-2) นอกจากนี้สาร sesamin ที่ความเข้มข้น 1 มก./มล. มีฤทธิ์เพิ่มปริมาณของเมลานินได้เล็กน้อย เท่ากับ 1.03เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด (24)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบในเซลล์melanoma B16F10 ของสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากเมล็ดงาดำ ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากจ.เชียงใหม่) ความเข้มข้น 10 มก./มล.พบว่ามีผลลดปริมาณเมลานินได้ 0.19 เท่า เมื่อเทียบกับเซลล์ในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัด (24)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinaseของสารสกัดจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศบราซิล) เตรียมโดยสกัดตัวอย่างด้วย 50% propylene glycol ในน้ำกลั่น (ไม่ระบุวิธีการสกัด) ที่อุณหภูมิ 45 oC เป็นเวลา 2 ชม. พบว่ามีฤทธิ์อ่อนในการยับยั้งเอนไซม์ โดยยับยั้งได้ 23% เมื่อเทียบกับสารสกัดจากใบหม่อนที่ใช้เป็นตัวควบคุมบวก ซึ่งยับยั้งได้ 97% (61)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ของสาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Spectrum Chemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ในหลอดทดลอง พบว่าสาร sesamolมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์tyrosinase ในได้โดยมีค่า IC50เท่ากับ 1.6 ไมโครโมลาร์ ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่า kojic acid(IC50เท่ากับ 67.6 ไมโครโมลาร์)(28) ซึ่งสอดคล้องกับอีกการศึกษาหนึ่งที่พบว่าสาร sesamol มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ในหลอดทดลองได้ดีโดยมีค่า IC50เท่ากับ 0.33 มคก./มล. และมีฤทธิ์ดีกว่า kojic acid(IC50เท่ากับ 6.15 มคก./มล.) ขณะที่สารsesamin และsesamolin มีผลยับยั้งได้เล็กน้อย และสาร β-arbutin ไม่มีผลยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase(14) และผลฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ของสาร sesamol อีกรายงานหนึ่งพบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 3.2 ไมโครโมลาร์ ในปฏิกิริยาที่มี L-tyramine hydrochloride เป็นสารตั้งต้น และ IC50เท่ากับ 1.92 ไมโครโมลาร์ในปฏิกิริยาที่มีL-DOPA เป็นสารตั้งต้นขณะที่สาร sesamin และ sesamolin ไม่มีผล (16)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินของสารsesamol (ตัวอย่างจากบริษัทSpectrum Chemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา)สาร sesamin และ sesamolin ที่แยกได้จากน้ำมันงา (ไม่ระบุวิธีการสกัด และแหล่งที่มา) ในเซลล์ melanoma B16F10 พบว่าสาร sesamol ที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. สามารถยับยั้งการสร้างเมลานินได้ 63% ขณะที่สาร sesamin และ sesamolin ที่แยกได้จากน้ำมันงามีผลยับยั้งได้เล็กน้อย (<5%) (16) และมีรายงานว่าสาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท SigmaChemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา)ที่ความเข้มข้น 5-50 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินและเอนไซม์tyrosinase ได้เมื่อทดสอบในเซลล์ melanoma B16F10 ที่ถูกกระตุ้นด้วย α-melanocyte stimulating hormone (α-MSH) ซึ่งมีฤทธิ์แปรผันตามความเข้มข้น โดยสาร seamol ที่ความเข้มข้น 50 ไมโครโมลาร์ สามารถลดปริมาณของเมลานินจาก 191.9±3.5% เป็น 90.1±3.3% และลดปริมาณเอนไซม์ tyrosinase ในเซลล์จาก 159.6±1.0% เป็น 133.6±6.4% เมื่อเทียบกับเซลล์ที่ไม่ได้รับสาร sesamol (29)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินและเอนไซม์ tyrosinase ของสาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัทSigma Chemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา) sesamin และsesamolin (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ในเซลล์ human melanoma SK-MEL2 พบว่าสาร sesamolin ที่ความเข้มข้น 25มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินได้ 41.67±1.67% ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าสาร sesamin ที่ความเข้มข้น 25 มคก./มล. (32.78±2.89%), สาร sesamol ที่ความเข้มข้น 30 มคก./มล. (7.77±1.66%), kojic acid ที่ความเข้มข้น60 มคก./มล. (7.78±0.96%) และสารβ-arbutin ที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. (12.78±2.55%) และพบว่าสาร sesamolin ที่ความเข้มข้น 50มคก./มล.ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ในเซลล์ได้ 50.00±4.35% ซึ่งมีฤทธิ์มากกว่าสารsesamol ความเข้มข้น 30มคก./มล. (23.55±8.25%), สาร sesamin ความเข้มข้น 50มคก./มล. (23.14±4.95%), kojic acid ความเข้มข้น 600มคก./มล. (33.88±1.43%)และสาร β-arbutin ความเข้มข้น 1 มก./มล. (8.26±8.67%) นอกจากนี้สาร sesamolin และ sesamin ยังมีผลยับยั้งการแสดงออกของ TRP-1 และ TRP-2 (14) การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ในเซลล์ human melanoma SK-MEL2 อีกการศึกษาหนึ่งพบว่า สาร sesamol ความเข้มข้น 217 ไมโครโมลาร์ สามารถยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 23.55 ±8.25% ขณะที่ kojic acid ความเข้มข้น 4,222 ไมโครโมลาร์ และสาร β-arbutin ความเข้มข้น 3,673 ไมโครโมลาร์ ยับยั้งได้ 33.88±1.43% และ8.26±8.78% ตามลำดับ แสดงว่าสาร sesamol มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ดีกว่า kojic acid และ β-arbutin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวขาว (28)
สาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ความเข้มข้น 12.5, 25 และ 50 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินและเอนไซม์ tyrosinase ได้ เมื่อทดสอบในเซลล์ melanocytemelan-a ซึ่งฤทธิ์แปรผันตามความเข้มข้น โดยสาร sesamol ที่ความเข้มข้น 50 ไมโครโมลาร์ สามารถลดปริมาณเมลานินได้ 69±0.5% ขณะที่สาร arbutin ความเข้มข้น 1 มิลลิโมลาร์ ซึ่งเป็นตัวควบคุมบวกสามารถลดได้ 35±3.4% และสาร sesamol ที่ความเข้มข้น 12.5, 25 และ 50 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ด้วยค่า IC50เท่ากับ 97 ไมโครโมลาร์ นอกจากนี้ยังมีผลยับยั้งการแสดงออกของtyrosinase, TRP-1, TRP-2, MITF และ melanocortin 1 receptor (MC1R) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างเมลานิน และการทดสอบในตัวอ่อนของปลาม้าลาย (zebrafish) พบว่าสาร sesamol ความเข้มข้น 25 และ 50 ไมโครโมลาร์ สามารถยับยั้งการสร้างเมลานิน และยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ในตัวอ่อนของปลาม้าลายได้เช่นกัน (34)
สาร sesamolin (ตัวอย่างจากบริษัทSigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ความเข้มข้น12.5, 25 และ50 ไมโครโมลาร์มีผลยับยั้งการสร้างเมลานิน และยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase เมื่อทดสอบในเซลล์melanoma B16F10 ที่ถูกกระตุ้นด้วยสาร 3-isobutyl-1-methylxanthine (IBMX) ซึ่งฤทธิ์แปรผันตามความเข้มข้น และมีฤทธิ์ดีกว่าสารarbutinโดยสาร sesamolin ที่ความเข้มข้น 50 ไมโครโมลาร์สามารถลดปริมาณเมลานินได้ 80±2.3% และยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 59±0.9% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ขณะที่สาร arbutin ความเข้มข้น 2 มิลลิโมลาร์ สามารถลดปริมาณเมลานินได้ 17±3.6% และยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 28±1.6% นอกจากนี้สาร sesamolin ยังมีผลยับยั้งการแสดงออกของ tyrosinase, TRP-1และ TRP-2 (50)
การศึกษาในหนูเม้าส์ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วยการฉายรังสี UVB ที่ผิวหนังบริเวณหลังใบหูโดยแบ่งเป็น กลุ่มที่ให้ทาสาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ความเข้มข้น 1% และ 3% ทุกวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับสาร arbutin 3%, และกลุ่มควบคุม ประเมินผลโดยการวัดค่า melanin index ด้วยเครื่อง Mexameter® MX18 พบว่าสาร sesamol ทั้ง 2 ความเข้มข้น มีผลลดปริมาณเมลานินได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (ค่า melanin index เท่ากับ 757.4±27.0,717.4±11.5 และ 865.4±21.9 ตามลำดับ) โดยสาร sesamol ความเข้มข้น 3% สามารถลดปริมาณเมลานินได้เทียบเท่ากับสาร arbutin นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มค่า L* value ซึ่งแสดงถึงความสว่างของผิวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (ค่า L* value เท่ากับ 53.2±1.8, 52.6±2.3 และ 47.5±1.3 ตามลำดับ) จากการตรวจสอบลักษณะของเนื้อเยื่อผิวหนัง พบว่าสาร sesamol มีผลลดปริมาณของเมลานิน, เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน และลดความหนาของผิวหนังชั้น epidermis ได้ นอกจากนี้ยังมีผลลดการแสดงออกของ tyrosinase, tyrosinase-related protein (TRP-1), TRP-2 และ microphthalmia-associated transcrip- tion factor (MITF) (30)
2.2 ทำให้ผิวชุ่มชื้น (S004)
การศึกษาผลป้องกันการระเหยของน้ำออกจากผิวของอนุภาคไขมันขนาดนาโนเมตรที่กักเก็บน้ำมันงา(ตัวอย่างน้ำมันงาดำบริสุทธิ์สกัดเย็นจาก จ.อุบลราชธานี) ซึ่งมีสัดส่วนของน้ำมันงา 10, 20, 30, 40 และ 100% ของปริมาณไขมันรวม, สารก่ออิมัลชัน 5% และปริมาณไขมันรวม 7.58% โดยประเมินผลจากค่าการป้องกันน้ำระเหยจากผิว (occlusion factor) พบว่าตำรับอนุภาคไขมันขนาดนาโนเมตรซึ่งประกอบด้วยน้ำมันงา 10% ของปริมาณไขมันรวม สามารถป้องกันน้ำระเหยออกจากผิวได้ดีที่สุด มีค่า occlusion factor เท่ากับ 20.28±4.97และตำรับอนุภาคไขมันขนาดนาโนเมตรที่มีเฉพาะน้ำมันงา 100% ให้ผลต่ำสุด (ค่าocclusion factorเท่ากับ12.36±1.37) (51)
2.3 ต้านสิว (S005)
น้ำมันงา (ตัวอย่างจากประเทศซาอุดีอาระเบีย) เตรียมโดยการสกัดเมล็ดงาด้วยวิธีการสกัดเย็น ไม่ระบุตวามเข้มข้น มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus โดยมีค่าของโซนใส (zone of inhibition) เท่ากับ 25±1.7 มม. ซึ่งใกล้เคียงกับยา ciprofloxacin ความเข้มข้น 5 มคก./แผ่น (26.6±1.3 มม.) สารสำคัญหลักที่พบในน้ำมันงา ได้แก่ sesamin และ sesamol (18)
น้ำมันงา (ไม่ระบุวิธีการสกัด, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 25, 50 และ 75 มคล./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.aureusโดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 37, 38 และ 40 มม. ตามลำดับ (52)
น้ำมันงา (ไม่ระบุวิธีการสกัด, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 10 มคล./แผ่น มีฤทธิ์อ่อนในการต้านเชื้อ S. aureus และ methicillin resistant S. aureus (MRSA) โดยมีค่าของโซนใสเท่ากับ 11.33±0.57 และ 10.00±0.00 มม. ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยา ampicillin ความเข้มข้น 10 มคก./มล.ที่มีค่าของโซนใส เท่ากับ 27.67±1.16 และ 24.00±0.00 ตามลำดับ (53)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ของส่วนสกัดจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) เตรียมโดยการแช่สกัดเมล็ดงาด้วยเมทานอล จากนั้นนำมาแยกสกัดด้วยวิธี column chromatography โดยใช้ตัวทำละลาย คือ 1%, 2%, 3%, 5%, 9%, 12%, 15%, 20%, 25%และ 30% เมทานอลในคลอโรฟอร์ม พบว่าส่วนสกัดทุกชนิด (ไม่ระบุความเข้มข้น) มีฤทธิ์อ่อนในการต้านเชื้อ S. aureusโดยส่วนสกัดด้วย 3%เมทานอลในคลอโรฟอร์มจะมีฤทธิ์ดีที่สุด มีค่าของโซนใสเท่ากับ 11±1.04 มม. (62)
สาร sesamin, sesamolin และ sesamol ที่แยกได้จากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 0.25-2 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.aureusได้ โดยสาร sesamolมีฤทธิ์ดีที่สุด มีค่าความเข้มข้นตํ่าสุดของสารสกัด ที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (MIC) เท่ากับ 2 มก./มล. (15)
สาร sesamin ที่แยกได้จากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusโดยมีค่า MIC เท่ากับ148.9 มคก./มล. และเมื่อให้ร่วมกับสาร secoisolariciresinol diglucoside ที่สกัดได้จากเมล็ด flaxseed (Linum usitatissimum) พบว่ามีผลเพิ่มฤทธิ์ในต้านเชื้อได้ โดยมีค่า MIC เท่ากับ 127.3มคก./มล. แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับยา chloramphenicol (MIC เท่ากับ 62.1 มคก./มล.) (21)
2.4 ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศกานา) เตรียมโดยการแช่สกัดด้วยตัวทำละลาย ได้แก่ 70% เอทานอล, 70% เมทานอล และ 70% อะซีโตน เป็นเวลา 48 ชม. โดยทำการเขย่าเปนระยะๆ ด้วยวิธี 1,1-diphenyl-2-picrylhydrazyl radical scavenging (DPPH), 2,2′-azinobis-(-ethyl-benzthiazoline-6-sulfonic acid) (ABTS)และ ferric reducing antioxidant power (FRAP) พบว่าสารสกัด 70% อะซีโตนมีฤทธิ์ดีที่สุด โดยสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH และ ABTS ได้ 60.12% และ 96.45% ตามลำดับ และมีค่า FRAP value เท่ากับ0.408 รองลงมา คือ สารสกัด 70%เอทา- นอลและ 70% เมทานอล และสอดคล้องกับปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด70% อะซีโตน ซึ่งมีมาก กว่าสารสกัด 70% เอทานอล และ 70% เมทานอล โดยมีค่าเท่ากับ 99.67, 95.6 และ 81.72 มคก. สมมูลของกรดแกลลิก(gallic acid equivalent, GAE)/10 มคล. ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณของสารฟลาโวนอยด์รวมในสารสกัด 70%เมทานอล มีค่ามากที่สุด รองลงมา คือ สารสกัด 70% อะซีโตน และ 70% เอทานอล ซึ่งมีค่าเท่ากับ 61.2, 36.86 และ 9.17 มคก. สมมูลของ catechin (catechinequivalent, CE)/10 มคล. ตามลำดับ (63)
สารสกัดจากเมล็ดงาดำและงาขาว (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เตรียมสารสกัดโดยวิธีการรีฟลักซ์ (reflux) ด้วยตัวทำละลาย ได้แก่ เฮกเซน เอทิลอะซีเตท และเอทานอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH, ABTS และ FRAP โดยค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) ในการทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS อยู่ในช่วง 8.88-44.21 และ 24.9-141.19 มคก./มล. ตามลำดับ และค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ทำให้จำนวนของอนุมูลอิสระลดลงครึ่งหนึ่ง (EC50)ในการทดสอบด้วยวิธี FRAP อยู่ในช่วง 222.40-872.57 มคก./มล. ซึ่งสารสกัดเฮกเซนจากงาดำ มีฤทธิ์ดีที่สุดในการทดสอบด้วยวิธี DPPH และสารสกัดเอทานอลจากงาดำ มีฤทธิ์ดีที่สุดเมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS และ FRAP สารสกัดเอทานอลจากงาดำมีปริมาณของสารฟีนอลิกรวมสูงที่สุด (1.57 ก. GAE/100 ก. สารสกัด)ขณะที่สารสกัดเอทิลอะซีเตทจากงาขาวจะมีปริมาณของสารฟลาโวนอยด์รวมสูงที่สุด (4.29 ก. สมมูลของ quercetin (quercetin equivalent, QE)/ 100 ก. สารสกัด) (64)
สารสกัดเมทานอลจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศตูนิเซีย) เตรียมโดยการเขย่าใน shaker incubator อัตราเร็ว 600 รอบ/วินาที ที่อุณหภูมิ 37 oC เป็นเวลา 1 ชม. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS โดยมีค่า trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) เท่ากับ 14±1 และ 7±2มก./100 ก. สารสกัด ตามลำดับ ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 50±10 มก. GAE/100 ก. สารสกัด (42)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ซึ่งสกัดด้วย 0.1% hydrochloric acid ใน 70% เมทานอล โดยการเขย่า (shaking) ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 4 ชม. พบว่าความสามารถในการตานอนุมูลอิสระของสารสกัด เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH เท่ากับ 154±15.4 มก. สมมูลของ trolox (trolox equivalent, TE)/100 ก. และมีค่า FRAP value เท่ากับ 5,693±165.9 มก. FeSO4/100 ก. เมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP ปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด เท่ากับ 1483±5.3มก. GAE/100 ก. (65)
สารสกัดจากน้ำมันงา (ตัวอย่างจากประเทศศรีลังกา) เตรียมโดยการสกัดด้วยวิธี column chromatography ด้วยตัวทำละลายคือ เมทานอล ความเข้มข้น 0.1-0.5 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่า IC50เท่ากับ 0.026 มก./มล. ขณะที่วิตามินอี (α-tocopherol) มีค่า IC50เท่ากับ 0.031 มก./มล. การทดสอบด้วยวิธี ABTS และ β-carotenebleaching พบว่าสารสกัดความเข้มข้น 2% (w/v) สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 58.00% และ53.58% ตามลำดับ ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าวิตามินอีความเข้มข้น 2% (w/v) ที่ยับยั้งได้ 46.0% และ 45.03% ตามลำดับ และพบว่าปริมาณของสารฟีนอลิกรวมในสารสกัด มีค่าเท่ากับ26.00±0.14 มก. GAE/ก. สารสกัด (66)
การศึกษาฤทธิ์ตานอนุมูลอิสระของน้ำมันจากเมล็ดงา 3สายพันธุ์ คือ งาขาว,งาดํา, งาแดง และสารสกัดจากกากงาทั้ง 3 สายพันธุ์ (ตัวอย่างจากประเทศไทย) เตรียมสกัดน้ำมันงาโดยนําเมล็ดงาที่ผ่านและไม่ผ่านการอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 200 oC นาน 60 นาทีมาบีบน้ำมันด้วยเครื่องบีบอัดเมล็ดงาแบบ hydraulic กรองเพื่อแยกเอาผงงาที่ละเอียดออกจากน้ำมัน เก็บน้ำมันงาไว้ที่ 4 oC จากนั้นนํากากงาที่เหลือจากการบีบน้ำมัน มาสกัดด้วยเมทานอล เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิห้อง โดยทำการเขย่าเป็นระยะๆ ทุกวัน ทำการสกัดซ้ำ 3 ครั้งจากกากเดิม นําสารสกัดที่ได้มากรอง แล้วนำส่วนใสไประเหยแห้งแบบสุญญากาศ ส่วนกากงาที่เหลือจากการหมักด้วยเมทานอล นำไปหมักต่อด้วยเฮกเซน และทําการสกัดด้วยสภาวะเดียวกันพบว่าในการทดสอบด้วยวิธี DPPH สารสกัดเมทานอลจากเมล็ดงาทุกสายพันธุ์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารสกัด เฮกเซน และนํ้ามันงาจากสายพันธุ์ตางๆ โดยสารสกัดเมทานอลจากเมล็ดงาขาวที่ผ่านการอบมีฤทธิ์ดีที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.54±0.03 มก./มล. ในการทดสอบด้วยวิธี FRAP พบว่าสารสกัดจากกากงาและน้ำมันงาทุกสายพันธุ์ไม่มีความสามารถในการรีดิวซ์ และการทดสอบด้วยวิธี thiobarbituric acid reactive substances (TBARS) พบว่าสารสกัดเมทานอลจากกากงาขาวที่ผ่านการอบสามารถยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของไขมัน(lipid peroxidation) ได้สูงสุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.0019±0.00 มก./มล.) (67)
น้ำมันงาที่สกัดจากเมล็ดงาที่ไม่ได้ผ่านการคั่ว และเมล็ดงาที่ผ่านการคั่วที่อุณหภูมิ 180 oC นาน 20 นาที(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) โดยใช้วิธีการสกัด 2 วิธี ได้แก่ วิธี soxhlet extraction ซึ่งมีเฮกเซนเป็นตัวทำละลาย เป็นเวลา 5 ชม. และวิธีการสกัดเย็น (cold pressing) ด้วยเครื่องบีบอัดน้ำมัน เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ FRAP พบว่าน้ำมันจากเมล็ดงาคั่วที่สกัดด้วยวิธีการสกัดเย็น มีผลต้านอนุมุลอิสระได้ดีที่สุดในการทดสอบทั้ง 2 วิธี รองลงมา คือ น้ำมันจากเมล็ดงาคั่วที่สกัดด้วยวิธีsoxhlet, น้ำมันจากเมล็ดงาที่ไม่คั่วซึ่งสกัดด้วยวิธี soxhletและน้ำมันจากเมล็ดงาที่ไม่คั่วซึ่งสกัดด้วยวิธีการสกัดเย็น โดยน้ำมันจากเมล็ดงาคั่วที่สกัดด้วยวิธีการสกัดเย็นจะมีปริมาณของสารฟีนอลิกรวมและสารฟลาโวนอยด์รวมสูงที่สุด ขณะที่น้ำมันงาจากเมล็ดงาที่ไม่คั่วซึ่งสกัดด้วยวิธีsoxhlet extraction จะมีปริมาณของสารคาโรทีนอยด์รวมสูงสุด และกรดไขมันหลักที่พบในน้ำมันงา ได้แก่ oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, linolenic acid และ arachidic acid (38)
น้ำมันงา ไม่ระบุวิธีการสกัด (ตัวอย่างจากประเทศเยอรมนี)มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี photochemiluminescence และ ABTS โดยมีค่า α-tocopherol equivalent antioxidant capacity (α-TEAC) เท่ากับ 71±12ไมโครโมล/100 ก.และมีปริมาณของวิตามินอีในน้ำมัน เท่ากับ 0.3±0.02 มก./100 ก.(45)
น้ำมันงา (ตัวอย่างจากประเทศมาซิโดเนีย) เตรียมโดยการสกัดเมล็ดงาด้วยวิธีการสกัดเย็น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ เท่ากับ 166.9±14.9มก. สมมูลของα-tocopherol/ล. เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และเท่ากับ87.3±0.2มก.TE/ล. เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS ในการทดสอบด้วยวิธีβ-carotene bleaching พบว่าน้ำมันงาสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 20.1±3.7%ปริมาณสารฟีนอลิกรวมในน้ำมันงา มีค่าเท่ากับ 214.1±9.1 มก. GAE/ล. (40)
น้ำมันงาที่ไม่ผ่านการให้ความร้อน (unrefined oil) และน้ำมันที่ผ่านการให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 210 oC เป็นเวลา 0.5, 1, 1.5 และ 2.5 ชม. (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 25-100 มคก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTS โดยน้ำมันงาที่ไม่ผ่านการให้ความร้อน จะมีฤทธิ์ดีกว่าน้ำมันที่ผ่านการให้ความร้อน ค่า IC50น้ำมันงาที่ไม่ผ่านและผ่านการให้ความร้อน เมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS เท่ากับ 24.42% และ 46.39% ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธี DPPH มีค่า IC50เท่ากับ 28.25% และ49.18% ตามลำดับ (54)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร 9 ชนิด ที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศไต้หวัน, voucher specimen: PCKuo_2006001) ได้แก่ (7S,8′R,8R)-acumina-tolide, aptosimon, asarinin, pinoresinol, piperitol, samin,sesamin, sesamol และ sesamolin พบว่าสารที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH ได้แก่ pinoresinol และ sesamol โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 34.5±1.1 และ 37.3±2.9 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ขณะที่วิตามินซี มีค่า IC50 38.6±1.8 ไมโครโมลาร์ในการทดสอบด้วยวิธี superoxide anion scavenging พบว่าสารทั้ง 9 ชนิด ที่ความเข้มข้น 32.25-500 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระsuperoxide anion ได้ โดยสาร sesamolinจะมีฤทธิ์เทียบ เท่ากับสารbutylated hydroxytoluene (BHT) ขณะที่สารอื่น ๆ มีฤทธิ์ดีกว่าและการทดสอบด้วยวิธี FRAP พบว่าสาร sesamol จะออกฤทธิ์ในการรีดิวซ์ได้ดีที่สุด (ยับยั้งได้ 34.8±1.6%) แต่ฤทธิ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับวิตามินซีที่ยับยั้งได้ 52.6±1.6% (8)
สาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Spectrum Chemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธีDPPH โดยมีค่า IC50 เท่ากับ <14.48 ไมโครโมลาร์ ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าเมื่อเทียบกับตัวควบคุมบวก ได้แก่ BHT, 3-tert-butyl-4-hydroxy-anisole (BHA) และวิตามินอี ซึ่งมีค่า IC50เท่ากับ 21.78±0.9, 40.50±2.8 และ 19.73±4.6 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ในการทดสอบด้วยวิธี TBARS พบว่าสาร sesamol มีผลยับยั้งการเกิด lipid peroxidation ได้ดีกว่าสาร BHT แต่น้อยกว่า BHA และวิตามินอี (IC50 เท่ากับ6.15±0.2, 9.53±1.4, 1.55±0.2และ 3.02±0.7ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ) และการทดสอบด้วยวิธี FRAP พบว่าสาร sesamol มีฤทธิ์ยับยั้งได้ดีกว่า BHT และBHAแต่น้อยกว่าวิตามินอี (FRAP value เท่ากับ 84.23±4.59, 20.75±3.62, 45.59±15.30และ 165.75±10.70ไมโครโมลาร์ FeSO4 ตามลำดับ) (28)
สาร sesamin, sesamolin และ sesamol ที่แยกได้จากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยสาร sesamol มีฤทธิ์ดีที่สุด มีค่า IC50 เท่ากับ 5.44 มคก./มล. ซึ่งจะใกล้เคียงกับสาร BHT (IC50 5.81 มคก./มล.) ในการทดสอบด้วยวิธี β-carotene bleaching พบว่าสาร sesamol, sesamin และ sesamolin สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ 78.5%, 68% และ 62.5% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสาร BHT (97%) สาร sesamol และ sesamin มีฤทธิ์ดีในการยับยั้งการเกิด lipid peroxidation ของ linoleic acid โดยยับยั้งได้ 97.8% และ 96% ตามลำดับ และสาร sesamol มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดในการทดสอบด้วยวิธี FRAP และ oxygen radical absorbance capacity assay (ORAC) โดยมีค่า FRAP value และ ORAC value เท่ากับ 1.83±0.08 และ 4.4 ไมโครโมลาร์ TE/มล. ตามลำดับ ขณะที่สาร BHT มีค่า FRAP value และ ORAC value เท่ากับ 0.6±0.02 และ 2.36 ไมโครโมลาร์ TE/มล. ตามลำดับ (15)
สาร sesaminol diglucoside ที่สกัดได้จากกากงาดำ (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) ความเข้มข้น 0.0625-1.0 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.201±0.002มก./มล. และเมื่อทดสอบด้วย FRAP มีค่า FRAP value เท่ากับ2.18±0.001 มิลลิโมล Fe (II)/ก. สารสกัด เมื่อเทียบกับวิตามินซี และสาร BHT ซึ่งมีค่า IC50 เท่ากับ0.038±0.002 และ 0.110±0.004มก./มล. และค่าFRAP value เท่ากับ1.55±0.001 และ 0.98±0.001มิลลิโมล Fe (II)/ก. สารสกัด ตามลำดับ (27)
2.5 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (S007)
สาร sesaminol diglucoside ที่สกัดได้จากกากงาดำ (ตัวอย่างจาก จ.เชียงใหม่) มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์collagenase และ hyaluronidase ได้ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.26±0.01 และ 0.70±0.02มก./มล. ตาม ลำดับ ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งได้ดีกว่าวิตามินซี (ค่า IC500.44±0.02 มก./มล.) (27)
การศึกษาในเซลล์ human dermal fibroblast ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเสียหายด้วยรังสี UVB โดยให้สาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma chemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ความเข้มข้น 8, 40, 80 และ 160 ไมโครโมลาร์ ก่อนการฉายรังสี 30 นาทีพบว่าสาร sesamol มีผลปกป้องเซลล์จากรังสี UVB ได้ โดยเพิ่มเปอร์เซ็นต์การมีชีวิตของเซลล์, ยับยั้งการเกิด reactive oxygen species (ROS), ยับยั้งการเกิด lipid peroxidation, เพิ่มระดับของเอนไซม์ superoxide dismutase, catalase, glutathione peroxidase และระดับของ reduced glutathione เมื่อเทียบกับเซลล์ในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสาร sesamol นอกจากนี้ยังลดความเสียหายของ DNA และยับยั้งการตายของเซลล์ที่เกิดจากการเหนี่ยวนำด้วยรังสี UVB ได้(35)
การศึกษาในเซลล์ human dermal fibroblasts (Hs68) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเสียหายด้วยรังสี UVB พบว่าสารsesamin (ไม่ระบุแหล่งที่มา)ความเข้มข้น 5-50 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ปกป้องเซลล์จากรังสี UVB ได้ โดยยับยั้งการเกิด reactive oxygen species (ROS), ยับยั้งเอนไซม์ matrix metalloproteinase (MMP)-1, -3, -9, เพิ่มสารยับยั้งเอนไซม์ MMP-1 (tissue inhibitor of metalloproteinase-1, TIMP-1) และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์ (17)
การศึกษาในหนูเม้าส์ไร้ขนซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วยการฉายรังสี UVB บริเวณผิวหนังด้านหลัง โดยให้ทาสาร sesamin (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ขนาด 50 และ 200 ไมโครโมลาร์ หลังจากการฉายรังสี ทุกวัน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่าสาร sesamin สามรถลดอาการผิวหนังร้อนแดง (erythema), การสูญเสียนํ้าทางผิวหนัง(transepidermal water loss)และการเกิดริ้วรอยของผิวหนังจากการฉายรังสีได้ นอกจากนี้ยังมีผลลดความหนาของชั้นผิว, เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน และลดระดับของMMP-1, interleukin (IL)-6, nuclear factor (NF)-κB และเอนไซม์inducible nitride oxide synthase (i-NOS)ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของผิว (17)
2.6 ป้องกันแสงแดด (S008)
การทดสอบฤทธิ์ป้องกันแสงแดดของน้ำมันงา (ตัวอย่างจากบริษัท Kaleesuwari Refinery, ประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 0.05-1% (v/v) พบว่ามีค่า sun protection factor (SPF) เท่ากับ0.95-15.12ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบสารป้องกันแดด benzophenone 3, octocrylene และ ethylhexyl salicylate ความเข้มข้น 0.05-1% (v/v) ที่มีค่า SPF เท่ากับ 20.23-21.28, 20.87-21.00 และ 20.48-20.79 ตามลำดับโดยในน้ำมันงาประกอบด้วยกรดไขมันหลัก ได้แก่ oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, linolenic acid, arachidic acid, gadoleic acid(41)
สาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Spectrum Chemical, ประเทศสหรัฐอเมริกา), sesamin และsesamolin (ตัวอย่างจากประเทศไทย) ความเข้มข้น 3.33 มิลลิโมลาร์ มีฤทธิ์ป้องกันแสงแดด โดยสามารถดูดซับรังสีในช่วง UVB สาร sesamin และsesamolin มีค่าความเข้มของการดูดกลืนแสง (absorbance intensity) เท่ากับ 1.3 ที่ความยาวคลื่น 290 นาโนเมตร ขณะที่สาร sesamol มีค่าความเข้มของการดูดกลืนแสงเท่ากับ 0.8 ที่ 300 นาโนเมตร ซึ่งมากกว่าสารมาตรฐาน kojic acid และ β-arbutin ประมาณ 4 เท่า (ค่าความเข้มของการดูดกลืนแสง เท่ากับ 0.2 และ 0.2 ที่ 300 นาโนเมตร ตามลำดับ) แสดงว่าสารsesamol มีผลป้องกันแสงแดดได้ดีกว่า kojic acid และ β-arbutin (14)
การทดสอบฤทธิ์ป้องกันแสงแดดของตำรับอิมัลเจล (emulgel) ที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 5% (ตัวอย่างประเทศอินเดีย) ซึ่งสกัดน้ำมันจากเมล็ดงาโดยใช้ปิโตรเลียมอีเทอร์เป็นตัวทำละลายด้วยเครื่อง soxhlet apparatus เป็นเวลา 6 ชม. พบว่ามีค่า SPF เท่ากับ 4.0103(68)
2.7 ทำให้ผิวสีแทน (S009)
การศึกษาผลต่อการสร้างเมลานินของสาร sesamin (ตัวอย่างจากบริษัท Qingze Biotechnology, ประเทศจีน) ความเข้มข้น 1-20 ไมโครโมลาร์ โดยทดสอบในเซลล์ melanocyte B16F10 พบว่าสาร sesamin มีผลกระตุ้นการสร้างเดนไดรต์(dendritogenesis) ในเซลล์ เพิ่มปริมาณของเมลานิน และเอนไซม์ tyrosinase โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ซึ่งกลไกในการออกฤทธิ์ คือ เพิ่มการแสดงออกของ MITFและเอนไซม์ tyrosinase ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเมลานิน (25)
2.8 ต้านการอักเสบ (S014)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากน้ำมันงา (Idhayam®, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมโดยสกัดน้ำมันงาด้วยน้ำกลั่น จากนั้นกรองแยกส่วนที่ละลายในน้ำ นำมาทำให้แห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophilization) โดยทดสอบในเซลล์ human monocyte THP1 ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร lipopolysaccharide (LPS) ที่ความเข้มข้น 50 และ 250 มคก./มล. และทดสอบในเซลล์ macrophageRAW 264.7 ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร LPS ที่ความเข้มข้น 5 และ 25 มคก./มล. พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ โดยลดระดับของ tumour necrosis factor(TNF)-α, IL-1β, IL-6 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (55)
สาร sesamin (ไม่ระบุแหล่งที่มา)ความเข้มข้น 5-50 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบ ในเซลล์ human dermal fibroblasts (Hs68) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความแก่ด้วยรังสี UVB โดยยับยั้งเอนไซม์inducible nitride oxide synthase (i-NOS), cyclooxygenase (COX)-2 และยับยั้งการกระตุ้น nuclear factor (NF)-κB (17)
สาร sesamin (ตัวอย่างจากบริษัทNacalaiTesque, ประเทศญี่ปุ่น) ความเข้มข้น 100 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ เมื่อทดสอบในเซลล์ macrophage RAW 294.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร LPS โดยยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์และเอนไซม์ i-NOS(23)
สาร sesamin ที่สกัดได้จากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 100 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ COX-2 และ lipoxygenase เมื่อทดลองในหลอดทดลอง โดยสามารถยับยั้งได้ 56.00% และ 67.07% ตามลำดับ และเมื่อให้ร่วมกับสาร secoisolariciresinol diglucoside ที่สกัดได้จากเมล็ด flaxseed (Linum usitatissimum) พบว่ามีผลเพิ่มฤทธิ์ในยับยั้งเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิด (73.56% และ 94.37% ตามลำดับ) (21)
สาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ความเข้มข้น 3-100 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทดสอบในเซลล์ macrophage RAW 294.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร LPS ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดยยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ (IC5038.4±4.42 ไมโครโมลาร์)และ prostaglandin E2 (PGE2), ยับยั้งเอนไซม์ iNOS, COX-2, ลดระดับของ TNF-α, IL-1β, IL-6 และ monocyte chemoattractant protein-1 (MCP-1) (33)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) และอนุภาคไลโปโซม (liposome) ที่กักเก็บสาร sesamol ความเข้มข้น 10-60 ไมโครโมลาร์ พบว่าอนุภาคไลโปโซม (liposome) ที่กักเก็บสาร sesamol มีฤทธิ์ยับยั้ง lipoxygenase ได้ดีกว่าสาร sesamol โดยมีค่า IC50เท่ากับ 33.6 และ 51.9ไมโครโมลาร์ตามลำดับ การทดสอบในเซลล์ macrophage RAW 294.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร LPS พบว่าอนุภาคไลโปโซม (liposome) ที่กักเก็บสาร sesamol มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ได้ 79%, ลดการแสดงออกของเอนไซม์ iNOSได้ 54.7% และลดการสร้าง ROS ได้ 74.8% ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าสาร sesamol ที่ยับยั้งได้ 59.2%, 27.3%และ 42.6% ตามลำดับ (32)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยคาราจีแนนโดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ป้อนน้ำมันงา (ตัวอย่างจากฮ่องกง) ขนาด 100, 200 และ 400 มก./กก., กลุ่มที่ป้อนสาร sesamin (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ขนาด 50, 100 และ 200 มก./กก., กลุ่มที่ป้อนยา indomethacin ขนาด 10 มก./กก. และกลุ่มควบคุมที่ป้อนน้ำเกลือ พบว่าน้ำมันงา และสาร sesamin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ ซึ่งฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น โดยน้ำมันงาที่ความเข้มข้น 400 มก./กก. และสาร sesaminที่ความเข้มข้น 200 มก./กก. สามารถลดการบวมของอุ้งเท้าหนูได้ 28.07% และ 26.31%ตามลำดับ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และการศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เยื่อหุ้มปอดอักเสบด้วยคาราจีแนนพบว่าน้ำมันงาและสาร sesamin มีผลต้านการอักเสบได้โดยน้ำมันงาความเข้มข้น 400 มก./กก. และสาร sesamin ความเข้มข้น 200 มก./กก. สามารถลดปริมาณของสารน้ำ (exudate) ในเยื่อหุ้มปอดได้ 29.20% และ 26.55% ตามลำดับ และลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิด leucocyte ได้ 27.54% และ 23.26% ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม(20)
การศึกษาในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยการฉีดสาร LPS เข้าทางช่องท้อง เมื่อป้อนสารสกัดน้ำจากน้ำมันงา (ไม่ระบุแหล่งที่มา) เตรียมโดยสกัดน้ำมันงาด้วยน้ำกลั่น จากนั้นกรองแยกส่วนที่ละลายในน้ำ นำมาทำให้แห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง (lyophilization) ขนาด 10, 50, 100และ 250 มคก./ตัว พบว่าสารสกัดมีผลต้านการอักเสบในหนูได้ โดยลดระดับของ TNF-α และ IL-6 ในเลือดของหนู เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (69)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร sesamol และ sesamin (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ในหนูแรทโดยป้อนสารขนาด 10 มก./กก. เป็นเวลา 15 วัน ก่อนเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยการฉีดสาร LPS เปรียบเทียบผลกับกลุ่มที่ได้รับยา piroxicam และกลุ่มควบคุมพบว่าสาร sesamol และ sesamin มีผลในการต้านการอักเสบได้ โดยลดระดับของ TNF-α, IL-1β, MCP-1 และ leukotrienes ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ได้แก่ LTB4 และLTC4, ลดระดับของเอนไซม์ cytosolic phospholipases A2 (cPLA2), lipoxygenase และ LTC4 synthase (22)
2.9 รักษาแผล (S015)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลจากการกรีด(incision wound) ของสารสกัดจากน้ำมันงา (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) เตรียมโดยละลายน้ำมันงาด้วยอะซีโตน ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิ -70 oC เป็นเวลา 24 ชม. ทำการกรองแยกสารสกัดออกจากไขมัน นำสารสกัดะซีโตนที่ได้มาระเหยแยกตัวทำละลายออก จากนั้นนำมาทำปฏิกิริยา saponification ด้วย 5% potassium hydroxide ในเอทานอล เป็นเวลา 1 ชม. แล้วนำส่วนที่ไม่ถูก saponified มาสกัดต่อด้วยอีเทอร์ โดยให้ทาแผลด้วยสารสกัด ขนาด 0.1, 0.13 และ 0.2 ก./มล. วันละครั้ง จนกระทั่งแผลหายดี เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้ทาขี้ผึ้งgentamycin 1% และกลุ่มควบคุมที่ทาน้ำมันมะกอกฝรั่ง พบว่ากลุ่มที่ทาสารสกัดน้ำมันงาและขี้ผึ้ง gentamycin 1% จะมีขนาดของแผล และระยะเวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวใหม่ลดลง และแผลปิดได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (57)
การศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของเจลซึ่งมีส่วนผสมของเมล็ดงาหรือน้ำมันงา 2.5% และ 5% (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลจากการกรีด, แผลถูกตัด (excision wound)และแผลไหม้ โดยในกลุ่มที่มีแผลกรีด จะให้ทาแผลทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน ส่วนกลุ่มที่มีแผลถูกตัดและแผลไหม้ ให้ทาแผลทุกวัน จนกระทั่งแผลตกสะเก็ด พบว่าเจลซึ่งมีส่วนผสมของเมล็ดงาหรือน้ำมันงา 2.5% และ 5% มีผลในการรักษาแผลได้ในการทดสอบทั้ง 3 วิธี โดยลดระยะเวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวใหม่และการหดตัวของบาดแผล (wound contraction) และเพิ่มแรงดึงของแผล (breaking strength) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมการศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลที่มีเนื้อตาย (dead space wound) เมื่อป้อนเมล็ดงาหรือน้ำมันงาขนาด 250 และ 500 มก./กก./วัน เป็นเวลา 10 วัน พบว่าสามารถรักษาแผลได้ โดยเพิ่มน้ำหนักของ granulation tissue, แรงดึงของแผล และระดับของ hydroxyproline เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม(56)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลจากการกรีดและแผลถูกตัด โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มที่ให้ทาเจลซึ่งมีส่วนผสมของอนุภาคเอทโทโซม (ethosomes)ที่กักเก็บน้ำมันงา7.5% (w/w)(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย, สกัดน้ำมันจากเมล็ดงาด้วย soxhlet extractor เป็นเวลา 4 ชม. โดยใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย), กลุ่มที่ให้ทาขี้ผึ้งBetadine®และกลุ่มควบคุม โดยในกลุ่มที่มีแผลกรีดจะให้ทาแผลทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน ส่วนกลุ่มที่มีแผลถูกตัดให้ทาแผลทุกวัน จนกระทั่งแผลหายดี พบว่าเจลซึ่งมีส่วนผสมของเอทโทโซมที่กักเก็บน้ำมันงา มีผลรักษาแผลได้ โดยลดขนาดของแผล, เพิ่มเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผล, ลดระยะเวลาในการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวใหม่ และเพิ่มปริมาณของ hydroxyproline ได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ทาขี้ผึ้ง Betadine®และกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มแรงดึงของแผลเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (59)
การเปรียบเทียบผลการรักษาแผลของขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำมันมะนาว และน้ำมันมะกอกฝรั่ง 33% (w/w) (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน)ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลติดเชื้อ โดยให้ทาแผล วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน พบว่าขี้ผึ้งน้ำมันงาและน้ำมันมะนาว มีฤทธิ์รักษาแผลได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทาขี้ผึ้งน้ำมันมะกอกฝรั่ง และกลุ่มควบคุม โดยลดขนาดของแผลเพิ่มเปอร์เซ็นต์การหดตัวของแผล เพิ่มการสร้างคอลลาเจน และลดจำนวนของเซลล์ก่อการอักเสบในเนื้อเยื่อ (58)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลจากการกรีด, แผลถูกตัด, แผลที่มีเนื้อตายและแผลถูกเหนี่ยวนำให้หายช้าด้วยยาdexamethasoneขนาด 0.17 มก./กก. เมื่อฉีดสาร sesamol (ตัวอย่างจากบริษัท Sigma-Aldrich, ประเทศสหรัฐอเมริกา) ขนาด 50 มก./กก. เข้าทางช่องท้องของหนู โดยในกลุ่มที่มีแผลกรีดและแผลที่มีเนื้อตาย จะฉีดเป็นเวลา 10 วัน ส่วนกลุ่มที่มีแผลถูกตัดให้ฉีดเป็นเวลา 21 วัน หรือจนกระทั่งแผลหายดี พบว่าสาร sesamol มีผลในการรักษาแผลได้ทั้งแผลปกติและแผลที่เหนี่ยวนำให้หายช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (36)
3 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1 ฆ่าเชื้อในปาก (L001)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus mutans ของน้ำมันงา, น้ำมันงาที่ผ่านการเติมโอโซน (ozonated sesame oil) (Idhayam®, ตัวอย่างจากบริษัท V.V.V. and Sons edible oil, ประเทศอินเดีย) และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine พบว่าน้ำมันงาที่ผ่านการเติมโอโซน และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.mutans ได้ โดยมีค่าของโซนใส เท่ากับ 15 และ 28 มม. ตามลำดับ ขณะที่น้ำมันงาไม่มีผล (47)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบพิษเฉียบพลันในหนูเม้าส์ โดยป้อนน้ำมันงา (ตัวอย่างจากฮ่องกง) ขนาด 0.5, 1, 1.5, 2, และ 3 ก./กก. พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนู (20)
เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอทานอลจากเมล็ดงา (ไม่ระบุวิธีการสกัด, ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ขนาด 50-2,000 มก./กก. พบว่าไม่ทำให้หนูตาย หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของหนู แม้ให้ในขนาดสูงสุด (2,000 มก./กก.) (70)
สารสกัด 80% เอทานอลจากเมล็ดงา (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เตรียมด้วยวิธีการแช่สกัด ขนาด 400 และ 700 มก./กก. ไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลันในหนูแรท เมื่อให้โดยการป้อน (71)
เมื่อป้อนหนูเม้าส์ด้วยน้ำมันงา (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ซึ่งสกัดจากเมล็ดงาด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ โดยใช้วิธี soxhlet extraction ที่อุณหภูมิ 60-80 oC เป็นเวลา 8 ชม. ขนาด 10-5,000 มก./กก. พบว่าไม่มีผลต่อพฤติกรรมของหนูและไม่ทำให้หนูตาย (72)
พิษต่อเซลล์
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ของสาร sesamin และ sesamolin ความเข้มข้น 10, 25, 50มคก./มล. และสาร sesamol ความเข้มข้น200, 400, 600 และ 800 มคก./มล. โดยทดสอบในเซลล์เยื่อบุผิว Vero ด้วยวิธี neutral red assay พบว่าสารทั้ง 3 ชนิด ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ (14)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ควรระมัดระวังการแพ้เมล็ดงาหรือน้ำมันงา เนื่องจากมีรายงาน (case report) การแพ้จากการรับประทานอาหาร หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเมล็ดงาหรือน้ำมันงา (73-75)
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
สำหรับยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ลดเหงือกอักเสบ และลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก โดยใช้น้ำมันงาอมกลั้วปากแบบวิธี oil pulling ครั้งละ 10-15 มล. นาน 15-20 นาทีวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า หรือวันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้าและเย็น (46, 48)
สำหรับระงับกลิ่นปาก และยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นปาก โดยใช้น้ำมันงาอมกลั้วปาก นาน 10-15 นาที ทุกวัน ในตอนเช้าก่อนแปรงฟัน เป็นเวลา 14 วันมีผลเทียบเท่ากับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% (49)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
DIP (THAILAND-EN)
สรุป
จากข้อมูลรายงานการวิจัยจะเห็นว่างา และน้ำมันงา มีฤทธิ์เด่นในการต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ทำให้ผิวชุ่มชื้น ป้องกันแสงแดด และต้านการอักเสบ เป็นต้น ดังนั้นงาจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการที่จะนำมาใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางได้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวพรรณ
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Sesamum indicum L. World flora online. [Internet]. 2012 [cited 2021 Dec 17]. Available from: http://www.worldfloraonline.org.
3. พร้อมจิต ศรลัมพ์, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล และคณะ, กองบรรณาธิการ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ จำกัด; 2535.
4. นพพร สายัมพล, เรวัต เลิศฤทัยโยธิน, รังสฤษฏ์ กาวีต๊ะ, สนธิชัย จันทร์เปรม, กองบรรณาธิการ. พืชเศรษฐกิจ. กรุงเทพฯ: บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จำกัด, 2542:471 หน้า.
5. van der Vossen HAM, Umali BE, editors. Plant Resources of South-East Asia No. 14. Vegetable Oils and Fats. Bogor: Prosea Foudation, 2002:229 pp.
6. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (1). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2539.
7. ชยันต์ พิเชียรสุนทร, แม้นมาส ชวลิต, วิเชียร จีรวงส์. คำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), 2544.
8. Kuo PC, Lin MC, Chen GF, Yiu TJ, Tzen JTC. Identification of methanol-soluble compounds in sesame and evaluation of antioxidant potential of its lignans. J Agric Food Chem. 2011;59(7):3214-9. doi: 10.1021/jf104311g.
9. Andargie M, Vinas M, Rathgeb A, Möller E, Karlovsky P. Lignans of sesame (Sesamum indicum L.): A comprehensive review. Molecules. 2021;26(4):883. doi: 10.3390/molecules26040883.
10. Dar AA, Verma NK, Arumugam N. An updated method for isolation, purification and characterization ofclinically important antioxidant lignans - sesamin and sesamolin, from sesame oil.Ind Crops Prod. 2015;64:201-8.
11. Bhunia RK, Chakraborty A, Kaur R, Gayatri T, Bhat KV, Basu A, et al. Analysis of fatty acid and lignan composition of Indian germplasm of sesame to evaluate their nutritional merits. J Am Oil Chem Soc. 2015;92:65-76. doi: 10.1007/s11746-014-2566-3.
12. Dar AA, Kancharla PK, Chandra K, Sodhi YS, Arumugam N. Assessment of variability in lignan and fatty acid content in the germplasm of Sesamum indicum L. J Food Sci Technol. 2019;56(2):976-86. doi: 10.1007/s13197-018-03564-x.
13. Kancharla PK, Arumugam N. Variation of oil, sesamin, and sesamolin content in the germplasm of the ancient oilseed crop Sesamum indicum L. J Am Oil Chem Soc. 2020;97:475-83. doi: 10.1002/aocs.12346.
14. Srisayam M, Weerapreeyakul N, Kanokmedhakul K. Inhibition of two stages of melanin synthesis by sesamol, sesamin and sesamolin. Asian Pac J Trop Biomed. 2017;7(10):886-95. doi: 10.1016/j.apjtb.2017.09.013.
15. Mahendra Kumar C, Singh SA. Bioactive lignans from sesame (Sesamum indicum L.): evaluation of their antioxidant and antibacterial effects for food applications. J Food Sci Technol. 2015;52(5):2934-41. doi: 10.1007/s13197-014-1334-6.
16. Kumar CM, Sathisha UV, Dharmesh S, Rao AG, Singh SA. Interaction of sesamol (3,4-methylenedioxyphenol) with tyrosinase and its effect on melanin synthesis. Biochimie. 2011;93(3):562-9. doi: 10.1016/j.biochi.2010.11.014.
17. Lin TY, Wu PY, Hou CW, Chien TY, Chang QX, Wen KC, et al. Protective effects of sesamin against UVB-induced skin inflammation and photodamage in vitro and in vivo. Biomolecules. 2019;9(9):479. doi: 10.3390/biom9090479.
18. Alshahrani S, Al Sreaya AA, Mashyakhi MY, Alqahtani S, Sivakumar SM, Alhazmi HA, et al. Chemical characterization and antibacterial efficacy of Saudi sesame oil against human pathogenic bacteria. Environ Conserv J. 2020;21(1&2):19-29. doi: 10.36953/ECJ.2020.211203.
19. Bahmaei M, Peyman H. Antioxidant activity of sesame lignan compounds on soybean oil. Ital J Food Sci. 2012;24:55-60.
20. Monteiro EM, Chibli LA, Yamamoto CH, Pereira MCS, Vilela FMP, Rodarte MP, et al. Antinociceptive and anti-inflammatory activities of the sesame oil and sesamin. Nutrients. 2014;6(5):1931-44. doi: 10.3390/nu6051931.
21. Bhaskar A, Sekhar S, Javaraiah R. Antibiofilm and anti-inflammatory potential of lignans with collegial effect: Secoisolariciresinol diglucoside and sesamin as antimicrobial sources. J Appl Biol Biotechnol. 2020;8(04):45-51. doi: 10.7324/JABB.2020.80407.
22. Yashaswini PS, Sadashivaiah B, Ramaprasad TR, Singh SA. In vivo modulation of LPS induced leukotrienes generation and oxidative stress by sesame lignans. J Nutr Biochem. 2017;41:151-7. doi: 10.1016/j.jnutbio.2016.12.010.
23. Fukunaga M, Ohnishi M, Shiratsuchi A, Kawakami T, Takahashi M, Motomura M, et al. Sesamin increases heme oxygenase-1 protein in RAW 264.7 macrophages through inhibiting its ubiquitination process. European J Pharmacol. 2014;741:214-21. doi: 10.1016/j.ejphar.2014.08.015.
24. Manosroi A, Chaikul P, Chankhampan C, Ruksiriwanich W, Manosroi W, Manosroi J. 5a-reductase inhibition and melanogenesis induction of the selected Thai plant extracts.Chiang Mai J Sci. 2018;45(1):220-36.
25. Jiang Z, Li S, Liu Y, Deng P, Huang J, He G. Sesamin induces melanogenesis by microphthalmia-associated transcription factor and tyrosinase up-regulation via cAMP signaling pathway. Acta Biochim Biophys Sin. 2011;43(10):763-70. doi: 10.1093/abbs/gmr078.
26. Shi LK, Zheng L, Xiang YF, Liu RJ, Chang M, Jin QZ, et al. A rapid method for simultaneous analysis of lignan and g-tocopherol in sesame oil by using normal-phase liquid chromatography. J Am Oil Chem Soc. 2018;95:13-9. doi: 10.1002/aocs.12010.
27. Nantarat N, Mueller M, Lin WC, Lue SC, Viernstein H, Chansakaow S, et al. Sesaminol diglucoside isolated from black sesame seed cake and its antioxidant, anti-collagenase and anti-hyaluronidase activities. Food Biosci. 2020;36:100628. doi: 10.1016/j.fbio.2020.100628.
28. Srisayam M, Weerapreeyakul N, Barusrux S, Kanokmedhakul K. Antioxidant, antimelanogenic, and skin-protective effect of sesamol. J Cosmet Sci. 2014;65(2):69-79.
29. Wu PY, You YJ, Liu YJ, Hou CW, Wu CS, Wen KC, et al. Sesamol inhibited melanogenesis by regulating melanin-related signal transduction in B16F10 Cells. Int J Mol Sci. 2018;19(4):1108. doi: 10.3390/ijms19041108.
30. You YJ, Wu PY, Liu YJ, Hou CW, Wu CS, Wen KC, et al. Sesamol inhibited ultraviolet radiation-induced hyperpigmentation and damage in C57BL/6 mouse skin. Antioxidants (Basel). 2019;8(7):207. doi: 10.3390/antiox8070207.
31. Shin BR, Song HW, Lee JG, Yoon HJ, Chung MS, Kim YS. Comparison of the contents of benzo(a)pyrene, sesamol and sesamolin, and volatiles in sesame oils according to origins of sesame seeds. Appl Biol Chem. 2016;59:129-41. doi: 10.1007/s13765-015-0138-3.
32. (Yashaswini PS, Kurrey NK, Singh SA. Encapsulation of sesamol in phosphatidyl choline micelles: Enhanced bioavailability and anti-inflammatory activity. Food Chem. 2017;228:330-7. doi: 10.1016/j.foodchem.2017.02.002.
33. Wu XL, Liou CJ, Li ZY, Lai XY, Fang LW, Huang WC. Sesamol suppresses the inflammatory response by inhibiting NF-kB/MAPK activation and upregulating AMP kinase signaling in RAW 264.7 macrophages. Inflamm Res. 2015;64:577-88. doi: 10.1007/s00011-015-0836-7.
34. Baek SH, Lee SH. Sesamol decreases melanin biosynthesis in melanocyte cells and zebrafish: Possible involvement of MITF via the intracellular cAMP and p38/JNK signalling pathways. Exp Dermatol. 2015;24(10):761-6. doi: 10.1111/exd.12765.
35. Ramachandran S, Rajendra Prasad N, Karthikeyan S. Sesamol inhibits UVB-induced ROS generation and subsequent oxidative damage in cultured human skin dermal fibroblasts. Arch Dermatol Res. 2010;302:733-44. doi: 10.1007/s00403-010-1072-1.
36. Shenoy RR, Sudheendra AT, Nayak PG, Paul P, Kutty NG, Rao CM. Normal and delayed wound healing is improved by sesamol, an active constituent of Sesamum indicum (L.) in albino rats. J Ethnopharmacol. 2011;133(2):608-12. doi: 10.1016/j.jep.2010.10.045.
37. Bialek A, Bialek M, Jelinska M, Tokarz A. Fatty acid composition and oxidative characteristics of novel edible oils in Poland. CyTA- J Food. 2017;15(1):1-8. doi: 10.1080/19476337.2016.1190406.
38. Hamitri-Guerfi F, Ouahrani S, Benbouriche A, Bey MB, Boulekbache-Makhlouf L, Madani K. Impact of the extraction method on physico-chemical proprieties, phytochemicals and biological activity of sesame seeds oil. AUDJG-Food Technol. 2020;44(1):82-103. doi; 10.35219/foodtechnology.2020.1.05.
39. Kurt C. Variation in oil content and fatty acid composition of sesame accessions from different origins. Grasas Aceites. 2018;69(1):e241. doi: 10.3989/gya.0997171.
40. Velickovska KS, Mot CA, Mitrev S,Gulaboski R, Bruhl L, Mirhosseini H, et al. Bioactive compounds and “in vitro” antioxidant activity of some traditional and non-traditional cold-pressed edible oils from Macedonia. J Food Sci Technol. 2018;55:1614-23. doi: 10.1007/s13197-018-3050-0.
41. Ranjithkumar J, Sameesh A, Hari Ramakrishnan K. Sun screen efficacy of Punica granatum (pomegranate) and Citrullus colocynthis (indrayani) seed oils. Int J Adv Res Biol Sci. 2016;3(10):198-206. doi: 10.22192/ijarbs.2016.03.10.027.
42. Ksouda G, Hajji M, Sellimi S, Merlier F, Falcimaigne-Cordin A, Nasri M, et al. A systematic comparison of 25 Tunisian plant species based on oil and phenolic contents, fatty acid composition and antioxidant activity. Ind Crops Prod. 2018;123:768-78. doi: 10.1016/j.indcrop.2018.07.008.
43. Hama JR. Comparison of fatty acid profile changes between unroasted and roasted brown sesame (Sesamum indicum L.) seeds oil. Int J Food Prop. 2017;20(5):957-67. doi: 10.1080/10942912.2016.1190744.
44. Jannat B, Oveisi MR, Sadeghi N, Hajimahmoodi M, Behzad M, Nahavandi B, et al. Effect of roasting process on total phenolic compounds and g-tocopherol contents of Iranian sesame seeds (Sesamum indicum). Iran J Pharm Res. 2013;12(4):751-8.
45. Karmowski J, Hintze V, Kschonsek J, Killenberg M, Bohm V. Antioxidant activities of tocopherols/tocotrienols and lipophilic antioxidant capacity of wheat, vegetable oils, milk and milk cream by using photochemiluminescence. Food Chem. 2015;175:593-600. doi: 10.1016/j.foodchem.2014.12.010.
46. Sezgin Y, Ozgul BM, Maraş ME, Alptekin NO. Comparison of the plaque regrowth inhibition effects of oil pulling therapy with sesame oil or coconut oil using 4-day plaque regrowth study model: A randomized crossover clinical trial. Int J Dent Hyg. 2021;00:1-7. doi: 10.1111/idh.12532.
47. Vadhana VC, Sharath A, Geethapriya PR, Vijayasankari V. Effect of sesame oil, ozonated sesame oil, and chlorhexidine mouthwash on oral health status of adolescents: A randomized controlled pilot trial. J Indian Soc Pedod Prev Dent. 2019;37(4):365-71. doi: 10.4103/JISPPD.JISPPD24419.
48. Saravanan D, Ramkumar S, Vineetha K. Effect of oil pulling with sesame oil on plaque-induced gingivitis: A microbiological study. J Orofac Res. 2013;3(3):175-80.
49. Asokan S, Kumar RS, Emmadi P, Raghuraman R, Sivakumar N. Effect of oil pulling on halitosis and microorganisms causing halitosis: a randomized controlled pilot trial. J Indian Soc Pedod Prev Dent. 2011;29(2):90-4. doi: 10.4103/0970-4388.84678.
50. Baek SH, Kang MG, Park D. Inhibitory effect of sesamolin on melanogenesis in B16F10 cells determined by in vitroand molecular docking analyses. Curr Pharm Biotechnol. 2020;21(2):169-78. doi: 10.2174/1389201020666191011151123.
51. วลัยพร เตียประสิทธิ์, บัญชา ยิ่งงาม, วันดี รังสีวิจิตรประภา.อนุภาคไขมันขนาดนาโนเมตรบรรจุน้ำมันงาเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำออกจากผิว. ว เภสัชศาสตร์อีสาน. 2561;14(4):113-21.
52. Devi VD, Kalpana G, Saranraj P. Antibacterial activity of essential oils against human pathogenic bacteria. Advan Biol Res. 2017;11(6):357-64. doi: 10.5829/idosi.abr.2017.357.364.
53. Rizwana H. In vitro antibacterial and antifungal activity of some oils, chemical analysis and their FTIR studies. Int J Agric Biol. 2018;20(7):1488-96.doi: 10.17957/IJAB/15.0653.
54. Rubalya Valantina S, Neelamegam P. Selective ABTS and DPPH-radical scavenging activity of peroxide from vegetable oils. Int Food Res J. 2015;22(1):289-94.
55. Deme P, Narasimhulu CA, Parthasarathy S. Identification and evaluation of anti-inflammatory properties of aqueous components extracted from sesame (Sesamum indicum) oil. J Chromatogra BAnalyt Technol Biomed Life Sci. 2018;1087-1088:61-9. doi: 10.1016/j.jchromb.2018.04.029.
56. Kiran K, Asad M. Wound healing activity of Sesamum indicum L. seed and oil in rats. Indian J Exp Biol. 2008;46:777-82.
57. Sharif MR. Alizargar J, Sharif A. Evaluation of the wound healing activity of sesame oil extract in rats. World J Med Sci. 2013;9(2):74-8. doi: 10.5829/idosi.wjms.2013.9.2.75195.
58. Valizadeh A, Shirzad M, Pourmand MR, Farahmandfar M, Sereshti H, Amani A. Preparation and comparison of effects of different herbal oil ointments as wound-healing agents. Cells Tissues Organs. 2019;207:177-86. doi: 10.1159/000503624.
59. Somwanshi SB, Hiremath SN. In-vivo evaluation of the wound healing activity of the Sesamum indicum L. seed extract in novel ethosomal vesicular system. J Drug Deliv Ther. 2018;8(5):411-20.doi: 10.22270/jddt.v8i5.1895.
60. Afroz M, Zihad SMNK, Uddin SJ, Rouf R, Rahman MS, Islam MT, et al. A systematic review on antioxidant and antiinflammatory activity of Sesame (Sesamum indicum L.) oil and further confirmation of antiinflammatory activity by chemical profiling and molecular docking. Phytother Res. 2019;33:2585-608. doi: 10.1002/ptr.6428.
61. Baurin N, Arnoult E, Scior T, Do QT, Bernard P. Preliminary screening of some tropical plants for anti-tyrosinase activity. J Ethnopharmacol. 2002;82(2-3):155-8. doi: 10.1016/s0378-8741(02)00174-5.
62. Khan S, Hashim Khan S, Ullah Khan I, Inam W, Asim M, Hashim N. In vitro screening of Sesamum indicum seeds for antioxidant, phytochemical and biological properties. Asian J Chem. 2020;32(9):2262-6. doi: 10.14233/ajchem.2020.22775.
63. Dravie EE, Kortei NK, Essuman EK, Tettey CO, Boakye AA, Hunkpe G. Antioxidant, phytochemical and physicochemical properties of sesame seed (Sesamum indicum L). Scientific African. 2020;8:e00349. doi: 10.1016/j.sciaf.2020.e00349.
64. Ruslan K, Happyniar S, Fidrianny I. Antioxidant potential of two varieties of Sesamum indicum L. collected from Indonesia. J Taibah Univ Med Sci. 2018;13(3):211-8.
65. Sreeramulu D, Raghunath M. Antioxidant and phenolic content of nuts, oil seeds, milk and milk products commonly consumed in India. Food Nutri Sci. 2011;2:422-7. doi: 10.4236/fns.2011.25059.
66. Bopitiya D, Madhujith T. Antioxidant activity and total phenolic content of sesame (Sesamum indicum L.) seed oil. Trop Agric Res. 2013;24(3):296-302.
67. มนตรา ศรีษะแย้ม, นาถธิดา วีระปรียากูร, พนมพร ศรีบัวรินทร์. ฤทธิ์ต้านออกซิเดชันในหลอดทดลองของเมล็ดงา ขาว ดำ และแดง. ว เภสัชศาสตร์อีสาน. 2557;10(2):136-46.
68. Jadhav R, Yadav G, Jadhav V, Jain A. Formulation and evaluation of black sesame seed oil sunscreen emulgel using natural gelling agent. Int Res J Pharm. 2018;9(6):197-201. doi: 10.7897/2230-8407.096116.
69. Selvarajan K, Narasimhulu CA, Bapputty R, Parthasarathy S. Anti-inflammatory and antioxidant activities of the nonlipid (aqueous) components of sesame oil: potential use in atherosclerosis. J Med Food. 2015;18(4):393-402. doi: 10.1089/jmf.2014.0139.
70. Kumar M, Kamboj A, Sisodia SS. Hepatoprotective activity of Sesamum indicum Linn. against CCl4-induced hepatic damage in rats. Int J Pharm Biol Arch. 2011;2(2):710-5.
71. Kumar M, Sisodia SS, Anjoo K, Vaibhav R. Evaluation of hepatoprotective effect of Sesamum indicum Linn. seed extract against paracetamol induced hepatotoxicity in rats. Int J Pharm Cli Res. 2011;3(3):66-9.
72. Njoku OU, Boniface JAE, Obitte NC, Odimegwu DC, Ogbu HI. Some nutriceutical potential of beniseed oil. Int J Appl Res Nat Prod. 2010;2(4):11-9.
73. Pecquet C, Leynadier F, Saiag P. Immediate hypersensitivity to sesame in foods and cosmetics. Contact Dermatitis. 1998;39:313. doi: 10.1111/j.1600-0536.1998.tb05948.x.
74. Trattner A, David M, Lazarov A. Occupational contact dermatitis due to essential oils. Contact Dermatitis. 2008;58:282-4. doi: 10.1111/j.1600-0536.2007.01275.x.
75. Adatia A, Clarke AE, Yanishevsky Y, Ben-Shoshan M. Sesame allergy: current perspectives. J Asthma Allergy. 2017;10:141-51. doi: 10.2147/JAA.S113612.
76. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. การปลูกงา. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 17 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงจากhttp://eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/rice/ nga2.pdf.
77. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. งา. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 17 ธันวาคม 2564]. เข้าถึงจาก https://www.ubu.ac.th/web/files_up/49f2019021409375782.pdf.
P012_(18).xlsx