ชา,ชาเขียว
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Camellia sinensis (L.) Kuntze
ชื่อวงค์
THEACEAE
ชื่อสมุนไพร
ชา,ชาเขียว
ชื่ออังกฤษ
Tea, Green tea
ชื่อพ้อง
Camellia chinensis (Sims) Kuntze
Thea chinensis Sims
Theaphylla cantonensis (Lour.) Raf.
ชื่อท้องถิ่น
เมี่ยง เมี่ยงดอย
ชื่อ INCI
CAMELLIA SINENSIS CALLUS
CAMELLIA SINENSIS CALLUS CULTURE CONDITIONED MEDIA
CAMELLIA SINENSIS CALLUS CULTURE EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS CALLUS CULTURE LYSATE
CAMELLIA SINENSIS CALLUS EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS CALLUS LYSATE
CAMELLIA SINENSIS CATECHINS
CAMELLIA SINENSIS CATECHINS PALMITATES
CAMELLIA SINENSIS EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS FLOWER EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS FLOWER WATER
CAMELLIA SINENSIS FLOWER WATER
CAMELLIA SINENSIS FLOWER/LEAF/STEM JUICE
CAMELLIA SINENSIS LEAF
CAMELLIA SINENSIS LEAF CELL EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT FERMENT FILTRATE
CAMELLIA SINENSIS LEAF OIL
CAMELLIA SINENSIS LEAF POLYSACCHARIDE
CAMELLIA SINENSIS LEAF POWDER
CAMELLIA SINENSIS LEAF WATER
CAMELLIA SINENSIS LEAF WAX
CAMELLIA SINENSIS LEAF/IRON HYDROXIDE POWDER
CAMELLIA SINENSIS LEAF/STALK EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS MERISTEM CELL CULTURE EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS MERISTEM CELL LYSATE
CAMELLIA SINENSIS PERICARP EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS POLYPHENOLS
CAMELLIA SINENSIS ROOT EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS SEED EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS SEED OIL
CAMELLIA SINENSIS SEED POWDER
CAMELLIA SINENSIS SEEDCAKE EXTRACT
CAMELLIA SINENSIS SEEDCOAT POWDER
CAMELLIA SINENSIS SPROUT EXTRACT
HYDROLYZED CAMELLIA SINENSIS LEAF
HYDROLYZED CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT
HYDROLYZED CAMELLIA SINENSIS SEED EXTRACT
OLEOYL CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT
PALMITOYL CAMELLIA SINENSIS EXTRACT
POLOXAMER 184 CAMELLIA SINENSIS SEEDATE
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
ต้นชาจะขึ้นตามธรรมชาติในสภาพป่าบนภูเขาในระดับต่ำบนผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย นับจากแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีนในมณฑลเสฉวน จรดพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (อัสสัม) โดยแหล่งกำเนิดดั้งเดิมสันนิษฐานว่า อยู่ในแถบต้นแม่น้ำอิระวดีทางตอนเหนือของพม่า ปัจจุบันเครื่องดื่มชาเป็นที่นิยมไปอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิดการกระจายแหล่งการปลูกเพื่อการค้าไปในแถบตอนใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกของทวีปเอเชีย รวมทั้งในแอฟริกาและอเมริกาใต้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แหล่งปลูกชาที่สำคัญได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ปาปัวนิวกินี มาเลเซีย และไทย (2)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มไม่ผลัดใบ สูง 1–5 ม. กิ่งอ่อนมีขนสีเทาแกมสีเหลือง ผิวเกลี้ยง เมื่อโตเต็มที่กิ่งก้านมีสีม่วงแกมสีแดง มีขนนุ่มสีขาว ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบหนา รูปรี รูปขอบขนานแกมรูปรี ผิวใบด้านล่าง สีเขียวอ่อน ผิวใบด้านบน สีเขียวเข้ม ผิวเกลี้ยง โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบจักฟันเลื่อย ปลายใบแหลม ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก 2–4 ดอก กลีบเลี้ยง มี 5 กลีบ ติดทน รูปไข่ ขอบมีขนครุยสั้น กลีบดอก สีขาว ด้านนอกมีกลีบดอกคล้ายกลีบเลี้ยง 1–3 กลีบ กลีบดอกชั้นใน รูปไข่กลับ เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก เกสรเพศเมีย มีรังไข่ รูปทรงกลม มีขนสั้นนุ่ม ผลแห้งแก่แล้วแตก รูปกลมแป้น เมล็ด รูปเกือบกลม สีน้ำตาล (2)
การเพาะปลูก
สายพันธุ์ชา
พันธุ์ชาที่เหมาะสำหรับใช้ปลูกเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาเขียวได้แก่สายพันธุ์ยาบูกิตะ, สายพันธุ์ซายามะคาโอริ, สายพันธุ์โออิวาเสะ, สายพันธุ์แม่จอนหลวงเบอร์ 3, สายพันธุ์ฝางเบอร์ 4 และสายพันธุ์แม่จอนหลวงเบอร์ 2
การเลือกพื้นที่สร้างสวนชา
พื้นที่ที่เหมาะสำหรับปลูกชาควรมีดินที่ระบายน้ำได้ดีมีอินทรียวัตถุสูงค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) เท่ากับ 4-6 และต้องมีแหล่งน้ำสำหรับชาในฤดูแล้ง
การปลูกและการดูแลรักษา
เมื่อเลือกพื้นที่ได้แล้วจะต้องทำการแผ้วถางวัชพืชออก อาจเหลือต้นไม้ขนาดใหญ่ไว้เป็นร่มเงาชาได้ถ้าเป็นพื้นที่ลาดชันควรทำขั้นบันได (กว้างไม่น้อยกว่า 2 ม.)
ขุดหลุมปลูกชากว้าง 40 ซม. ลึก 40 ซม. โดยขุดเป็นร่องให้ระยะระหว่างร่องห่างกันประมาณ 180 ซม. ถากเอาวัชพืชลงกลบไว้ในหลุม (เตรียมหลุมปลูกก่อนย้ายปลูกประมาณ 6 เดือน)
ช่วงกลางฤดูฝนทำการย้ายกล้า (อายุ 12-18 เดือนลงปลูกในร่องโดยใช้ระยะระหว่างต้น 40-50 ซม. (ใช้ต้นกล้า 2,200 กล้า/ไร่) ก่อนปลูกควรรองกันหลุมด้วยหินฟอสเฟต 50-80 กก./ไร่
หลังย้ายปลูกควรคลุมโคนต้นหรือแปลงปลูกเพื่อป้องกันความชื้นควรมีการบังร่มแก่ต้นกล้า (กรณีฝนทิ้งช่วงและแดดจัด) เมื่อต้นกล้าตั้งตัวดีแล้วจึงตัดยอดที่ความสูง 10-15 ซม.
การควบคุมทรงพุ่มในปีที่ 2 ตัดที่ระดับ 25-30 ซม. ปีที่ 3 ตัดที่ระดับ 30-35 ซม. ปีที่ 4 ตัดที่ 40-45 ซม. (การตัดแต่งประจำปีควรทำในช่วงปลายพฤศจิกายน-ต้นมกราคม) หลังจากอายุ 4 ปีให้ตัดทรงพุ่มสูงเพิ่มขึ้น 3-5 ซม.จากระดับตัดแต่งในปีที่ผ่านมา
การใส่ปุ๋ยแนะนำให้ใช้ปุ๋ยผสมสูตร 80-24-26 โดยในปีที่ 1 ใส่อัตรา 20 กก./ไร่ปีที่ 2 ใส่อัตรา 40 กก./ไร่ปีที่ 3 ใส่ 60 กก./ไร่หลังจากปีที่ 4 เป็นต้นไปใส่ 80 กก./ไร่ (ช่วงต้นและปลายฤดูฝน) และทุกปีควรใส่ปุ๋ยคอกอย่างน้อยปีละ 2 ตัน
วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
นำยอดชาที่เก็บเกี่ยว 3-4 ใบมาผึ่งเพื่อลดปริมาณน้ำในใบชา
คั่วหรืออบไอน้ำ เพื่อหยุดปฏิกิริยาการทำงานของเอนไซม์
นวดชา เพื่อให้ใบชาม้วนตัวและทำให้เซลล์แตก
อบแห้งจนเหลือความชื้นไม่เกิน 13% (82)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ chlorogenic acid, gallic acid และ theogallin (4-5)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ procyanidin B1, (+)-catechin, (+)-catechin gallate, (+)-gallocatechin, (+)-gallocatechin gallate, (-)-epicatechin (EC), (-)-epicatechin gallate (ECG), (-)-epigallocatechin (EGC), (-)-epigallocatechin gallate (EGCG), theaflavin, theaflavin-3-monogallate, theaflavin-3′-monogallate และ theaflavin-3,3′-digallate (4-8)
สารกลุ่มเมทิลแซนทีน (methylxanthines) ได้แก่ caffeine, theophylline และ theobromine (5,7,8)
สารประกอบฟีนอลิก
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์
สารกลุ่มเมทิลแซนทีน
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม ได้แก่ EGCG (9)
- สารออกฤทธิ์กันแดดสำหรับผิวหน้า ได้แก่ EGCG (10)
- สารออกฤทธิ์ต้านสิวบนใบหน้า ได้แก่ EGCG (11)
- สารออกฤทธิ์กันแดดสำหรับผิวกาย ได้แก่ EC, ECG, EGC, EGCG (12-16)
- สารออกฤทธิ์รักษาแผลของผิวกาย ได้แก่ EGCG (17)
- สารออกฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย ได้แก่ EGCG (11)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย ได้แก่ gallic acid, procyanidin B1,EC, ECG, EGC และ EGCG(4,18-20)
- สารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ได้แก่ EGCG (11,21-25)
- สารออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก ได้แก่ EGCG (26)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 สารประกอบฟีนอลิก (gallic acid) และ สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (procyanidin B1, EC, ECG, EGC และ EGCG) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ high-performance liquid chromatography (HPLC) โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (4) ดังนี้
column :Symmetry C18 column (5 µm, 250x4.6 มม.) ไม่ระบุอุณหภูมิคอลัมน์
mobile phase :A (water/formic acid อัตราส่วน 90:10โดยปริมาตร) และ B (water/acetonitrile/formic acid อัตราส่วน 40:50:10 โดยปริมาตร) โดยอัตราส่วนปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดดังนี้ B เท่ากับ 12% ที่เวลา 0 นาที, B เท่ากับ 12-30% ที่เวลา 0-26 นาที, B เท่ากับ 30-100% ที่เวลา 26-40 นาที, B เท่ากับ 100% ที่เวลา 40-43 นาที, B เท่ากับ 12% ที่เวลา 43-48 นาที และ B เท่ากับ 12% ที่เวลา 48-50 นาที
flow rate : 1มล./นาที
injection volume : ไม่ระบุ
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 280 นาโนเมตร
2 สารประกอบฟีนอลิก (gallic acid), สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (EC, ECG, EGC และ EGCG) และสารกลุ่มเมทิลแซนทีน (caffeine) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (7) ดังนี้
column :Hypersil C18 column (5 µm, 250x4.6 มม.) ไม่ระบุอุณหภูมิคอลัมน์
mobile phase : A (1% acetic acid) และ B (acetonitrile) โดยอัตราส่วนปรับเปลี่ยนเป็นเส้นตรงA/B เท่ากับ 92/8 และ สิ้นสุดที่ 73/27 ที่เวลาเกิน 40 นาที
flow rate : 1มล./นาที
injection volume : ไม่ระบุ
detector :UVvis detector ไม่ระบุความยาวคลื่น
3 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (EC, ECG, EGC และ EGCG) และสารกลุ่มเมทิลแซนทีน (caffeine) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (8) ดังนี้
column :Partisphere 5 C18 column (5 µm, 250x4.6 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 32ºC
mobile phase : A (5% acetonitrile containing 0.035% trifluoroacetic acid) และ B (50% acetonitrile containing 0.025% trifluoroacetic acid) โดยอัตราส่วนปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดดังนี้เริ่มต้น A/B เท่ากับ 90:10, B เพิ่มขึ้นเท่ากับ 20% ที่ 10 นาที และกลับมาเท่ากับ 40% ที่ 30 นาที
flow rate : 1มล./นาที
injection volume : 20 มคล.
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 205 นาโนเมตร
4 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (EC, ECG, EGC และ EGCG) และสารกลุ่มเมทิลแซนทีน (caffeine) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (27) ดังนี้
column :Symmertry C18 column (3.5 µm, 100x4.6 มม.) ไม่ระบุอุณหภูมิคอลัมน์
mobile phase : A (acetonitrile) และ B (0.2% aqueous phosphoric acid) โดยอัตราส่วนปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดดังนี้ A เท่ากับ 10% ที่นาที 0-5 นาที, A เท่ากับ 10-20% ที่นาที 5-20 นาที, A เท่ากับ 20% ที่นาที 20-25 นาที
flow rate : 1มล./นาที
injection volume : 50 มคล.
detector : 996 photodiode array detector ที่ความยาวคลื่น 278 นาโนเมตร
5 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (EC, ECG, EGC และ EGCG) และสารกลุ่มเมทิลแซนทีน (caffeine) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (28) ดังนี้
column :Gemini NX-C18 column (5 µm, 250x4.6 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 30ºC
mobile phase : A (0.2% acetic acid) และ B (100% methanol) โดยอัตราส่วนปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดดังนี้ A เท่ากับ 95% ที่เวลา 0 นาที, A เท่ากับ 80% ที่เวลา 2 นาที, A เท่ากับ 75% ที่เวลา 14 นาที, A เท่ากับ 58% ที่เวลา 20 นาที, A เท่ากับ 58% ที่เวลา 22 นาที, A เท่ากับ 0% ที่เวลา 28 นาที และ A เท่ากับ 95% ที่เวลา 30 นาที
flow rate : ไม่ระบุ
injection volume : 5 มคล.
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 278 นาโนเมตร
6 สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (EC, ECG, EGC และ EGCG) และสารกลุ่มเมทิลแซนทีน (caffeine) วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ HPLC โดยมีสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์ (29) ดังนี้
column :Shim-Pack VP-ODS Rx-C18 (5 µm, 250x4.6 มม.) อุณหภูมิคอลัมน์ 35±0.5ºC
mobile phase : A (9% acetonitrile, 2% acetic acid with 20 มคก./มล. EDTA) และ B (80% acetonitrile, 2% acetic acid with 20 มคก./มล. EDTA) โดยอัตราส่วนปรับเปลี่ยนตามเวลาที่กำหนดดังนี้ A เท่ากับ 85% และ B เท่ากับ 15% ที่เวลา 0 นาที, A เท่ากับ 85% และ B เท่ากับ 15% ที่เวลา 10 นาที, A เท่ากับ 75% และ B เท่ากับ 25% ที่เวลา 15 นาที, A เท่ากับ 75% และ B เท่ากับ 25% ที่เวลา 20 นาที, A เท่ากับ 85% และ B เท่ากับ 15% ที่เวลา 25 นาที
flow rate : 1มล./นาที
injection volume : 10 มคล.
detector :UV detector ที่ความยาวคลื่น 278 นาโนเมตร
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
ศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมของสาร EGCG จากชาเขียว (Sigma, St. Louis, MO) โดยทดลองทาสารEGCG (ความเข้มข้น 10%) ที่ละลายอยู่ในในเอทานอลลงบนผิวหนังบริเวณท้ายทอยของอาสาสมัคร 3 คน วันละครั้ง นานติดต่อกัน 4 วัน แล้วเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวนำไปคัดแยกเซลล์ dermal papilla cells (DPCs) ซึ่งเป็นเซลล์ที่จะพัฒนาไปเป็นต่อมขนหรือผม (hair folicle) เพื่อตรวจการแสดงออกของโปรตีน พบว่า สาร EGCG มีผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน phosphorylated Akt (P-Akt) และ Bcl-2 ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดและเพิ่มจำนวนของเซลล์ และลดการแสดงออกของโปรตีน Bax ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตายของเซลล์แสดงให้เห็นว่า สาร EGCG จากชาเขียวมีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม (9)
1.2 บำรุงเส้นผม (H002)
ศึกษาผลของน้ำยาบำรุงเส้นผมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว 2% [สารสกัดชาเขียวจาก Specialty Natural Products, Chonburi, Thailand (product code: HE-EL11-CAS) ประกอบด้วยสาร polyphenols 100 %]ในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 20 คน (ชาย 10 คน และหญิง 10 คน) ที่มีอายุระหว่าง 23-35 ปี โดยให้อาสาสมัครแบ่งผมออกเป็น 2 ส่วน ด้านหนึ่งให้ชโลมผมด้วยน้ำยาบำรุงผมชาเขียว (ปริมาณ 5 หยด ต่อการใช้ 1 ครั้ง) อีกด้านหนึ่งให้ชโลมด้วยน้ำยาบำรุงผมพื้นฐานซึ่งไม่มีสารสกัดชาเขียว (tonic base)วันละครั้งในตอนเช้า เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน 28 วัน (ในระหว่างการทดลองให้อาสาสมัครสระผมด้วยแชมพูที่ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด 1 ครั้ง/2วัน) ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบำรุงเส้นผมสารสกัดชาเขียว 2%มีผลลดความมันบนหนังศีรษะได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำยาพื้นฐานในวันที่ 21 และ 28 ของการทดลอง แสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีผลช่วยลดความมันบนหนังศีรษะซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดรังแคและการหลุดร่วงของเส้นผมได้ (30)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 กันแดดสำหรับผิวหน้า (F012)
การทดสอบยาเตรียมในรูปแบบครีมสูตรที่มีส่วนผสมของสาร EGCGจากชาเขียว 2.5% โดยน้ำหนัก (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) บนผิวหนังบริเวณใบหน้าของอาสาสมัครทั้งเพศชายและหญิงสุขภาพดี (ชาย 3 ราย และหญิง 1 ราย) ที่มีอาการเส้นเลือดฝอยขยาย (telangiectasia) บริเวณใบหน้าอันเนื่องมาจากผิวได้รับแสงแดดบ่อยๆเป็นระยะเวลานานโดยในการทาครีมจะทาผิวบริเวณแก้มข้างใดข้างหนึ่งเพียงด้านเดียว ส่วนอีกด้าน ให้ทายาเตรียมในรูปแบบครีมสูตรมาตรฐาน (ควบคุม) ทาครีมวันละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ จากนั้นเก็บตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่ทาครีมทั้งสองแบบ ไปตรวจวิเคราะห์การแสดงออกของโปรตีน vascular endothelial growth factor (VEGF) และ hypoxia-inducible factor 1-α (HIF-1α) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหลอดเลือด พบว่าการทาครีมสูตรที่มีส่วนผสมของสาร EGCG มีผลลดการแสดงออกของโปรตีนทั้งสองชนิดได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการทายาครีมสูตรมาตรฐาน แสดงให้เห็นว่าสาร EGCG อาจมีประโยชน์ในแง่ของการใช้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อป้องกันอาการเส้นเลือดฝอยขยายเนื่องจากแสงแดดได้(10)
2.2 ลดความมันบนใบหน้า (F014)
ศึกษาฤทธิ์ลดความมันบนใบหน้าของสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) โดยนำผงใบชาเขียว 200 ก. แช่สกัดในเอทานอล นาน 21 วัน กรองแยกสารสกัด และระเหยเอทานอลที่อุณหภูมิ 40ºC ใต้ภาวะสุญญากาศด้วยเครื่องกลั่นระเหยสารแบบหมุน(rotary evaporator) จะได้สารสกัดที่มีสีเขียวคล้ำ นำสารสกัดที่ได้มาเตรียมตำรับยาในรูปแบบอีมัลชันที่มีสารสกัดชาเขียวเป็นส่วนประกอบ 3% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับได้แก่ paraffin oil 16%, Abil®EM90 5% และน้ำ และแต่งกลิ่นด้วย lemon oil) นำไปทดสอบด้วยการทาลงบนใบหน้าบริเวณแก้มของอาสาสมัครเพศชายจำนวน 10 ราย (อายุระหว่าง 25-44 ปี) วันละ 1 ครั้ง นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์พบว่า สามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาก่อนใช้ยาคิดเป็น 60% แสดงให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลชาเขียวในรูปแบบอีมัลชันความเข้มข้น 3% มีผลช่วยลดความมันบนใบหน้าได้(31)
ศึกษาฤทธิ์ลดความมันบนใบหน้าของโทนเนอร์(tonner) ซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว[สารสกัดชาเขียวจาก Specialty Natural Products, Chonburi, Thailand (product code: HE-EL11-CAS) ประกอบด้วยสาร polyphenols 100 %] เข้มข้น 2, 4.5 และ 7% ในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 20 ราย (ชาย 4 ราย และหญิง 16 ราย) ที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี โดยให้อาสาสมัครเช็ดหน้าด้านหนึ่งด้วยโทนเนอร์สารสกัดชาเขียว วันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า นานติดต่อกัน 28 วัน ส่วนใบหน้าอีกด้านหนึ่งเช็ดด้วยโทนเนอร์ที่ไม่มีสารสกัดชาเขียวเป็นส่วนประกอบ (กลุ่มควบคุม) ทำการประเมินความมันบนใบหน้าของอาสาสมัครด้วยเครื่อง Sebumeter®ในวันที่ 14 และ 28 ของการศึกษา พบว่า โทนเนอร์สารสกัดชาเขียวเข้มข้น 2, 4.5 และ 7% มีผลลดความมันบนใบหน้า (anti-greasy) ได้ 3.47±0.10, 8.18±0.44 และ 17.87±0.46% ตามลำดับ ในวันที่ 14 ของการศึกษา และเมื่อสิ้นสุดการศึกษา (28 วัน) ลดได้ 8.48±0.13, 20.26±1.03 และ 31.57±1.22% ตามลำดับ การใช้โทนเนอร์สารสกัดชาเขียวเข้มข้น 4.5 และ 7% มีผลลดการสร้างน้ำมันบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ทั้งในวันที่ 14 และ 28 ของการศึกษา ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ (32)
2.3 ต้านสิวบนใบหน้า (F006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการเกิดสิวของสารสกัดชาเขียว[ใบชาเขียว(ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 35 ก. ต้มในน้ำเดือด 100 มล. นาน 30 นาที] นำสารสกัดน้ำชาเขียวที่ได้เตรียมตำรับโลชันสำหรับผิวหน้าโดยกำหนดให้มีความเข้มข้น 2% นำไปทดสอบในอาสาสมัครผู้ที่มีอาการเป็นสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลางจำนวน 20รายทั้งเพศชายและหญิง (อายุระหว่าง 15-36 ปี) โดยให้ยาโลชันสารสกัดชาเขียว 2% วันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 6 สัปดาห์ประเมินการแพร่กระจายของสิว โดยวัดค่ารอยสิวทั้งหมด (total lesion count) ด้วยการนับจำนวนสิวอักเสบแบบที่มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็ก (papules) และตุ่มสีแดงขนาดเล็กมีหนองที่ยอด (pustules) พบว่า ค่าเฉลี่ยรอยสิวทั้งหมด (The mean total lesion count) และค่าเฉลี่ยดัชนีความรุนแรง (The mean severity index) ลดลงคิดเป็น 58.33% และ 39.02% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าโลชั่นที่มีสารสกัดน้ำชาเขียวความเข้มข้น 2% มีฤทธิ์ต้านการเกิดสิวได้ (33)
ศึกษาฤทธิ์ต้านสิวของสาร EGCG จากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ในอาสาสมัครจำนวน 35 ราย (ชาย 17 รายและหญิง 18 ราย) อายุเฉลี่ย 22.1 ปี โดยให้อาสาสมัครทาสารละลาย EGCGเข้มข้น 1-5%ลงบนแก้มด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งทาสารละลายเอทานอล 3% (กลุ่มควบคุม) โดยทาวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ทำการประเมินผลการรักษาสิวตามระบบLeeds Revised acne grading system (ประกอบด้วย สิวผด สิวหัวหนอง สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก และสิวหัวช้าง) และประเมินรอยแผลจากการเกิดสิวด้วยแบบประเมิน global assessment of acne severityในสัปดาห์ที่ 0 (เริ่มต้น), 1, 2, 4, 6 และ 8 ผลจากการศึกษาพบว่า สาร EGCG เข้มข้น 1 และ 5% มีผลลดค่าคะแนนเฉลี่ย revised Leeds score ลงเท่ากับ 1.2±0.4 และ 1.7±0.6 ตามลำดับ (สัปดาห์ที่ 8) จากช่วงเริ่มต้นการรักษาซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.1±0.4 และค่าเฉลี่ยรอยแผลอักเสบและไม่อักเสบในสัปดาห์ที่ 8 ลดลงเท่ากับ 15.6±6.2 และ 1.1±0.5 ตามลำดับ ซึ่งค่าเริ่มต้นก่อนการรักษามีค่าเท่ากับ 53.8±19.8 และ 10.0±3.1 ตามลำดับ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สาร EGCG มีฤทธิ์ต้านสิวบนใบหน้า (11)
ศึกษาฤทธิ์ต้านสิวบนใบหน้าของโลชันที่ประกอบด้วยสารสกัดจากชา 2% (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) เปรียบเทียบกับการใช้สารละลาย zinc sulphate 5% ในอาสาสมัครที่เป็นสิวอักเสบแต่ไม่รุนแรง จำนวน 40 ราย (อายุระหว่าง 13-27 ปี) โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ทาครีมสารสกัดชา 2% วันละ 2 ครั้ง และกลุ่มที่ 2 ให้ทาสารละลาย zinc sulphate 5% วันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์ พบว่า การทาครีมสารสกัดชา 2% มีผลลดแผลอักเสบจากสิวลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการศึกษา (จำนวนอาสาสมัครที่ให้ผลการตอบสนองต่อการรักษาในระดับดีคิดเป็น 60%, ระดับปานกลาง 25% และไม่ตอบสนองต่อการรักษา 15%) ในขณะที่การใช้สารละลาย zinc sulphate 5% มีแนวโน้มลดแผลอักเสบจากสิวลงได้เช่นเดียวกัน แต่ค่าที่ได้ไม่มีความแตกต่างจากช่วงก่อนการศึกษา (จำนวนอาสาสมัครที่ให้ผลการตอบสนองต่อการรักษาในระดับดีคิดเป็น 15%, ระดับปานกลาง 50% และไม่ตอบสนองต่อการรักษา 35%) (34)
2.4 ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า/ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ (F008)
ศึกษาฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าของครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว 5% (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ในอาสาสมัครเพศชายสุขภาพดีจำนวน 11 ราย (อายุเฉลี่ย 25±3.97 ปี) โดยให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดชาเขียว 5% บนแก้มด้านซ้าย และทาครีมเบส (กลุ่มควบคุม) บนแก้มด้านขวา วันละครั้ง ก่อนเข้านอน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 60 วัน ประเมินสภาพผิวหนังด้วยเครื่อง Visioscans® VC ในวันที่ 30 และ 60 ของการศึกษาพบว่า ครีมสารสกัดชาเขียว 5% มีผลลดความหยาบกร้านของผิวหนัง (skin roughness)ได้เท่ากับ 14.40 และ 23.20% ในวันที่ 30 และ 60 ของการศึกษา ตามลำดับ (กลุ่มควบคุมลดลง 4.33% ในวันที่ 30 ของการศึกษา และเพิ่มขึ้น 1.87% ในวันที่ 60 ของการศึกษา)ลดริ้วรอยแห้งตกสะเก็ดของผิวหนัง (skin scaliness)ได้เท่ากับ 14.45 และ 14.02% ในวันที่ 30 และ 60 ของการศึกษา ตามลำดับ (กลุ่มควบคุมลดลงเท่ากับ 6.27 และ 8.11% ตามลำดับ)ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง(skin wrinkling) ได้เท่ากับ 2.26 และ 12.38% ในวันที่ 30 และ 60 ของการศึกษา ตามลำดับ(กลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้นเท่ากับ 2.74% ในวันที่ 30 ของการศึกษา และลดลงเท่ากับ 5.07% ในวันที่ 60 ของการศึกษา)และมีผลเพิ่มความเรียบเนียนของผิวหนัง (skin smoothness)ได้เท่ากับ 2.42 และ 27.90% ในวันที่ 30 และ 60 ของการศึกษา ตามลำดับ (กลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้นเท่ากับ 4.95 และ 1.58 ตามลำดับ) ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ (35)
ศึกษาผลของการใช้ครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียวเข้มข้น 3%(ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ในอาสาสมัครเพศชายสุขภาพดีจำนวน 10 ราย(อายุระหว่าง 25-40 ปี) โดยให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดชาเขียว 3% บนแก้มด้านซ้าย และทาครีมเบส (กลุ่มควบคุม) บนแก้มด้านขวา วันละครั้ง ก่อนเข้านอน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประเมินสภาพผิวหนังด้วยเครื่อง Cutometer® MPA 580 ในสัปดาห์ที่ 0, 2, 3, 4, 6 และ 8 ของการศึกษา พบว่า การทาครีมสารสกัดชาเขียว 3% มีผลเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว (visco-elastic)ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการศึกษาและกลุ่มควบคุม โดยเห็นผลชัดเจนในสัปดาห์ที่ 3, 4 และ 6 ของการศึกษา (36)
ทดสอบฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าของชาเขียว ด้วยการใช้สารสกัดน้ำใบชาเขียว [ใบชาเขียวแห้ง 3 ก. (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) ต้มในน้ำเดือด 250 มล. แล้วทิ้งไว้ให้เย็น 30 นาที]หยดลงบนแผ่นสำลีและแปะไว้บริเวณรอบดวงตาของอาสาสมัครเพศหญิงที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นอันเนื่องมาจากรังสียูวีนาน 20 นาที จากนั้นทำการฉายแสงสีแดง [ความยาวคลื่น 670 นาโนเมตร, ปริมาณที่กระทบผิวหนัง (demal dose) เท่ากับ 4จูล/ตร.ซม.]เพื่อจำลองภาวะการได้รับความร้อนจากสภาพแวดล้อมให้แก่อาสาสมัครพบว่า สามารถลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหางตา เมื่อทาติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน แสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำชาเขียวมีผลช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นอันเนื่องมาจากรังสียูวีและความร้อนจากสภาพแวดล้อม (37)
ศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าของครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว 5% (NGE) และครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียวซึ่งถูกย่อยด้วยเอนไซม์แทนเนส (tannase) 5%(TGE) โดยนำตัวอย่างใบชาเขียว (ประเทศเกาหลีใต้) บดด้วยโกร่ง (2 กก.) นำไปผสมน้ำ (40 ล.) จากนั้น นำไปต้มที่อุณหภูมิ 80ºC นาน 20 นาที ปั่นแยกสารสกัดในเครื่องปั่นเหวี่ยงด้วยความเร็ว 3,000 g นาน 15 นาที แยกสารสกัดที่ได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกนำไปผสมในครีมเบสโดยกำหนดความเข้มข้น 5% ส่วนที่ 2 นำสารสกัดชาเขียวปริมาตร 20 ล. เติมเอนไซม์แทนเนส 10 ก. (500 U/ก.) ปล่อยให้ทำปฏิกิริยาที่ 35ºC นาน 20 นาที บนอ่างควบคุมอุณหภูมิ (water bath) จากนั้นนำไปปั่นเหวี่ยง เก็บส่วนใสด้านบนนำไปผสมในครีมเบสโดยกำหนดความเข้มข้น 5% นำครีมที่ได้ทั้ง 2 สูตร ไปทดสอบฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าในอาสาสมัครเพศหญิง 40 ราย (อายุระหว่าง 30-59 ปี) โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม ให้ทาครีมทดสอบบนผิวหนังบริเวณรอยย่นรอบดวงตาวันละ 2 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 2.5 มก.)นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ทำการประเมินสภาพผิวด้วยการให้อาสาสมัครตอบแบบสอบถามและวัดด้วยเครื่อง Skin-Visometer SV 600พบว่า การทาครีมทั้ง 2 สูตร มีผลช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาของอาสาสมัครได้เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการศึกษา โดยการทาครีม TGE มีผลลดริ้วรอยได้คิดเป็น 63.60% ในขณะที่ครีม NGE ลดริ้วรอยได้ 36.30% (7)
ศึกษาผลของการใช้ครีม hydrophilic gel ที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียวเข้มข้น 2% (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ในอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 60 ราย (อายุระหว่าง 25-60 ปี) โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1ให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดชาเขียว 2% ลงบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้ทาครีมเบส (กลุ่มควบคุม) ผลจากการศึกษาพบว่า ครีมสารสกัดชาเขียวมีผลทำให้ผิวหน้าของอาสาสมัครเรียบเนียนขึ้นคิดเป็น 80% ในขณะที่กลุ่มควบคุมดีขึ้นเพียง 10% และไม่พบรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ (38)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 กันแดดสำหรับผิวกาย (S008)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันรังสี UVB ของสาร EGCG จากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) โดยทดลองทาสารดังกล่าวซึ่งละลายอยู่ในอะซีโตน (3 มก./100 มคล.) บนผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านในของอาสาสมัคร (2.5 ตร.ซม.) หลังจากนั้น 30 นาที ทำการฉายรังสี UVB ลงบริเวณที่ทาสารสกัด โดยใช้ความเข้มแสงต่ำสุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิว (minimal erythema dose) ทำการทดสอบทั้งหมด 4 ครั้ง จากนั้น 24-48 ชม. ทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังบริเวณที่ทำการทดสอบ (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 มม.) เพื่อตรวจวิเคราะห์ ผลจากการศึกษาพบว่า การทาสาร EGCG มีผลป้องกันการเกิดผื่นแดงของผิวหนังและปกป้องเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายลดการคั่งของเม็ดเลือดขาว (leukocyte infiltration)ลดการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase และลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species)ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสี UVB แสดงให้เห็นว่า สาร EGCG มีผลช่วยป้องกันความเสียหายของผิวหนังที่เกิดจากรังสี UVB ได้(12)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันรังสีUVB ของสารโพลีฟีนอลจากชาเขียว (Englewood, NJ ประกอบด้วย EC 6%, EGC 5%, EGCG 65% และ ECG 24%)โดยทดลองทาสารดังกล่าวลงบนผิวหนังของอาสาสมัคร (1-4 มก./2.5 ตร.ซม.) 20 นาที ก่อนทำการฉายรังสี UVB ลงบริเวณที่ทาสารสกัด โดยใช้ความเข้มแสงต่ำสุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิวพบว่าสามารถยับยั้งการเกิด cyclobutane pyrimidine dimers (CPDs) ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสียหายของดีเอ็นเอที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสียูวีในชั้นผิวหนัง epidermis และ dermis ได้ โดยมีประสิทธิภาพขึ้นกับขนาดความเข้มข้น (13)
ทดสอบฤทธิ์ป้องกันผิวจากรังสี UV ของชาเขียว ด้วยการทาสารสกัดโพลีฟีนอลจากใบชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีสกัดตัวอย่าง) ความเข้มข้น 0.25-10 % ที่ละลายอยู่ในเอทานอลและน้ำ (อัตราส่วน 1:1)ให้กับอาสาสมัครจำนวน 6 ราย ตรงผิวหนังบริเวณหลังขนาดพื้นที่ 5x5 ซม. หลังจากนั้น 30 นาที ทำการฉายรังสี UV ลงบนผิวหนังบริเวณดังกล่าวด้วยปริมาณความเข้มแสงต่ำที่สุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิวหนัง ทำการประเมินการเกิดอาการแดงของผิวหนังที่เวลา 24, 48 และ 72 ชั่วโมง หลังจากการฉายรังสี ผลจากการทดสอบพบว่า การทาสารสกัดโพลีฟีนอลจากใบชาเขียวทุกขนาดมีฤทธิ์ป้องกันผิวจากรังสีUV โดยอัตราการลดลงของค่าการแดงของผิว (erythema index) มีความสัมพันธ์กับค่าความเข้มข้นของสารสกัดใบชาเขียวที่เพิ่มขึ้น และค่าความเข้มข้นที่มีผลลดค่าการแดงของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญคือ 0.5% ขึ้นไป เมื่อทำการวิเคราะห์แยกสารสำคัญในสารสกัดโพลีฟีนอลจากใบชาเขียวแล้วนำไปทำการทดสอบผิวหนังด้วยวิธีเดียวกันพบว่า สารสำคัญที่มีฤทธิ์ยับยั้งรังสี UV จากมากไปน้อยได้แก่ EGCG > ECG > EGC > EC นอกจากนี้ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างผิวหนังด้วยเทคนิคทางจุลกายวิภาคศาสตร์พบว่า การทาสารสกัดโพลีฟีนอลจากใบชาเขียวที่ผิวหนังก่อนได้รับรังสี UV สามารถยับยั้งการตายของเซลล์ผิวหนังและลดอัตราการเสียหายของดีเอนเอจากการได้รับรังสี UV ได้(14)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันรังสี UV ของครีมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ด้วยการทาลงบนผิวหนังบริเวณสะโพกของอาสาสมัครจำนวน 10 ราย(2.5 มก./ตร.ซม.) และปล่อยให้แห้ง หลังจากนั้น 15 นาที ทำการฉายรังสี UV ลงบริเวณที่ทาสารสกัด โดยใช้ความเข้มแสงต่ำสุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิว จากนั้น 72 ชม. ทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังบริเวณที่ทำการทดสอบ (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 มม.) เพื่อตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิค immunohistochemical analysis ผลจากการศึกษาพบว่า การทาสารสกัดชาเขียวมีผลยับยั้งการลดระดับของ CD1a+ ซึ่งบ่งชี้ถึงการสูญเสียเซลล์แลงเกอร์ฮานส์ (Langerhans cells) ในชั้นผิวหนัง epidermis ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสี UV และมีลดระดับ 8-hydroxy-2ʹ-deoxyguanosine (8-OHdG) ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดภาวะออกซิเดชันของดีเอ็นเอในเซลล์ผิวหนัง แสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีผลช่วยป้องกันความเสียหายของผิวหนังที่เกิดจากรังสี UV ได้ (39)
3.2 ทำให้ผิวชุ่มชื้น (S004)
การทดลองทายาเตรียมในรูปแบบอิมัลเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบชาเขียว 20% (ตัวอย่างใบชาเขียวจากประเทศตุรกี, ไม่ระบุวิธีการสกัด) และน้ำมันจากดอกกุหลาบ 5% บนผิวหนังบริเวณแขนของอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 10 ราย (อายุระหว่าง 24-39 ปี) โดยทาลงบนผิวหนังบริเวณที่กำหนด (30x3 ซม.) ขนาด 500 มก. เพียงครั้งเดียว ทำการวัดความชุ่มชื้นของผิวหนังด้วยเครื่อง skin capacitance meter Corneometer CM 825พบว่าสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำจากชั้นผิวหนังและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง นอกจากนี้ เมื่อทำการทดสอบทายาเตรียมดังกล่าวลงบนผิวหนังอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกันมากกว่า 5 วัน พบว่า มีผลทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น(40)
3.3 รักษาแผลของผิวกาย (S015)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลเป็น (scar) ของสาร EGCG จากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ในอาสาสมัครจำนวน 62 ราย ทั้งเพศชายและหญิง (อายุ 16 ปีขึ้นไป) โดยทำให้อาสาสมัครมีแผลบริเวณแขนด้านบนทั้ง 2 ข้าง (ขาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม.) ทำการรักษาแผลบนแขนด้านหนึ่งด้วยการทาสาร EGCG บริเวณรอบ ๆ บาดแผลวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 1-2 สัปดาห์ หรือทาลงบนแผลโดยตรงหลังจากที่แผลสมานแล้ว (2 สัปดาห์หลังจากเกิดบาดแผล) นานติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ส่วนแขนอีกด้านหนึ่งให้ทายาหลอก (กลุ่มควบคุม) พบว่า การทาสาร EGCG มีผลลดความนูนของแผลลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ในสัปดาห์ที่ 1-3 ของการศึกษา และมีผลช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นหรือความนุ่มของแผลเป็นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ในสัปดาห์ที่ 4 นอกจากนี้ยังมีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณรอบ ๆ บาดแผล และลดการแสดงออกของโปรตีน vascular endothelial growth factor A (VEGFA) และ cluster of differentiation 31 (CD31) ซึ่งบ่งชี้ถึงกระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenic marker)และการเกิดแผลเป็น (17)
3.4 ต้านการแพ้ของผิวกาย (S016)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการแพ้ของสารสกัดชาเขียวในการใช้อาบเพื่อรักษาอาการโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis)โดยนำใบชาเขียว (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลีใต้) มาอบด้วยไอน้ำเพื่อหยุดปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่าง ๆ ในใบชา จากนั้นทำการบดและบีบแยกน้ำคั้น และกรองแยกเฉพาะส่วนของเหลวนำไปผสมน้ำโดยกำหนดให้มีความเข้มข้น 5% ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านการแพ้ในผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจำนวน 4 ราย ที่มีอายุระหว่าง 5-9 ปี โดยให้ผู้ป่วย อาบน้ำด้วยสารละลายชาเขียว (700 มล.) ร่วมกับน้ำประปา (150 มล.) 3 ครั้ง/สัปดาห์ นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ พบว่า ค่าคะแนนของอาการผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (scoring atopic dermatitis, SCORAD) เมื่อสิ้นสุดการศึกษา (4 สัปดาห์)มีค่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนทำการศึกษาคิดเป็น 50.3% (SCORAD เท่ากับ 23.4±3.83 และ 47.05±7.94 สำหรับช่วง 4 สัปดาห์และก่อนการศึกษา ตามลำดับ) เช่นเดียวกับค่าคะแนนความเจ็บปวด visual analog scale ซึ่งพบว่าเมื่อสิ้นสุดการศึกษา (4 สัปดาห์) มีค่าเท่ากับ 2.13±0.94 ในขณะที่ช่วงก่อนการศึกษามีค่าเท่ากับ 8.83±0.99 นอกจากนี้ การอาบน้ำด้วยสารละลายชาเขียวยังมีผลลดจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด eosinophil ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะอักเสบจากภูมิแพ้ และไม่พบรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ช่วยลดอาการโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและมีความปลอดภัย (41)
3.5 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผิวกาย (S006)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร EGCGจากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) โดยทดลองทาสารดังกล่าวซึ่งละลายอยู่ในอะซีโตนบนผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านใน (1 มก./50 มคล./ตร.ซม.) ของอาสาสมัครจำนวน 6 ราย ทั้งเพศชายและหญิง (อายุระหว่าง 25-56 ปี) หลังจากทาสารละลาย 30 นาที ทำการฉายรังสี UVB ลงบริเวณที่ทาสารสกัด โดยใช้ความเข้มแสงต่ำสุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิว ทำการทดสอบทั้งหมด 4 ครั้ง จากนั้น ทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังบริเวณที่ทำการทดสอบที่เวลา 6, 24 และ 48 ชม. (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 มม. ความลึก 0.8 มม.) เพื่อตรวจวิเคราะห์ ผลจากการศึกษาพบว่า สาร EGCG มีผลลดระดับ hydrogen peroxide (H2O2) และ nitric oxide (NO) ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดอนุมูลอิสระในชั้นผิวหนัง epidermis และ dermis โดยประสิทธิภาพขึ้นกับเวลา (time-dependent manner)และมีผลยับยั้งการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxide ในชั้นผิวหนัง epidermis คิดเป็น 41-84% นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระได้แก่ glutathione peroxidase (GPx) และ catalase (CAT) ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สาร EGCG จากชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกายที่ถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (18)
4 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
4.1 น้ำยาบ้วนปาก/ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
ศึกษาผลของสารสกัดน้ำชาเขียวต่อปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปาก โดยทำการทดสอบในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 66 คน (อายุระหว่าง 12-18 ปี) ทำการแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม ให้อาสาสมัครกลุ่มที่ 1 กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำชาเขียว [ใบชา (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) โขลกละเอียด 1.6 ก. ละลายในน้ำเดือดอุณหภูมิ 100ºC ปริมาตร 40 มล. นาน 3 นาที] นาน 1 นาที วันละ 3 ครั้ง (หลังอาหารมื้อเช้า เที่ยง และก่อนนอน) ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าที่เติมสีผสมอาหาร (กลุ่มควบคุม) ทำการทดสอบเป็นระยะเวลา 7 วัน เก็บตัวอย่างน้ำลายของอาสาสมัครนำมาวิเคราะห์ปริมาณเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในช่องปาก (Streptococcus mutans และ Lactobacillus spp.) ด้วยการเพาะเชื้อแบคทีเรียบนวุ้นเลี้ยงเชื้อและบันทึกจำนวนโคโลนีที่นับได้ต่อจานอาหาร (colony forming unit, CFU)ในวันที่ 4 และ 7 ของการทดสอบ ผลจากการศึกษาพบว่า การกลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำชาเขียวมีผลลดค่า CFU ของเชื้อแบคทีเรีย S.mutansและLactobacillusspp. อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคในช่องปากได้ (42)
ศึกษาผลของน้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว 0.5% [ใบชาเขียวแห้ง (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) ซึ่งประกอบด้วยสารประกอบฟีนอลิก 6% สกัดด้วยวิธี percolation โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย และเจือจางให้มีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 0.5%แต่งเติมสีและกลิ่นด้วย peppermint flavor 1 ก./ลิตร และ sodium saccharine 1 ก./ลิตร] ต่อปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปากเปรียบเทียบกับการใช้น้ำยา chlorhexidine โดยทำการทดสอบในผู้ป่วยโรคฟันผุรุนแรงในเด็กปฐมวัย (severearly childhood caries, S-ECC)จำนวน 30 ราย (อายุระหว่าง 4-6 ปี)ทำการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% วันละครั้งหลังอาหารมื้อเช้า และกลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยา chlorhexidine 0.2% วันละครั้งหลังอาหารมื้อเช้าต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายของผู้ป่วยเพื่อวิเคราะห์ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในช่องปาก (S. mutans, Lactobacilli spp. และ Candida albicans) ทั้งในช่วงก่อนและหลังการทดลอง ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% มีผลลดค่า CFU ของเชื้อ S. mutans และ Lactobacilli spp. อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง ในขณะที่ค่า CFU ของเชื้อ C. albicans มีแนวโน้มลดลง แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ และเมื่อเปรียบเทียบผลกับการใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% พบว่า น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% มีผลลดค่า CFU ของเชื้อ S. mutansได้ดีกว่า ในขณะที่ผลการยับยั้งเชื้อ Lactobacilli spp. น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% จะให้ผลดีกว่า ส่วนเชื้อ C. albicans ทั้งสองกลุ่มให้ผลไม่แตกต่างกัน และการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% มีคะแนนความพึงพอใจ (กลิ่น รสชาติ และความเต็มใจในการใช้) สูงกว่าการใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% มีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพที่ก่อโรคในช่องปากและมีความปลอดภัย (43)
ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12%, น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ผสม sodium fluoride และน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5%[ใบชาเขียวสด (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียด และนำไปสกัดด้วยวิธี soxhlet โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย และเจือจางให้มีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 0.5%]ต่อปริมาณเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในช่องปาก (S. mutans และ Lactobaciius spp.) โดยทำการทดสอบในผู้ป่วยเด็ก (อายุระหว่าง 8-12 ปี) ที่มีอาการฟันผุ สูญเสียฟันเนื่องจากฟันผุ หรือมีการอุดฟันอย่างน้อย 4 ซี่ จำนวน 75 ราย แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ผสม sodium fluoride และกลุ่มที่ 3 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% ผู้ป่วยทุกกลุ่มให้กลั้วปากวันละครั้งหลังอาหารมื้อเช้า นานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายของผู้ป่วยเพื่อวิเคราะห์ปริมาณเชื้อแบคทีเรียทั้งในช่วงก่อนและหลังการทดสอบ ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้นำยาบ้วนปากทั้ง 3 ชนิดมีผลลดค่า CFU ของเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobaciius อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดสอบ โดยประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ให้ผลดีที่สุด ในขณะที่การใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ผสม sodium fluoride และน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% ให้ผลไม่แตกต่างกัน (44)
การศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียวและน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียวกับสาร xylitol ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคในช่องปาก (S. mutans และ Lactobacillus) ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 6-12 ปี (เฉลี่ย 10.73±2.82 ปี) ทั้งเพศชายและหญิง โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนที่มีสารสกัดชาเขียว 0.5% [สารสกัดน้ำชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) 1.66 ลิตร ซึ่งมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก 6% เจือจางด้วยน้ำเปล่า 20 ลิตร ให้ได้ความเข้มข้นเท่ากับ 0.5%แต่งสีและกลิ่นด้วย mint color 20 ก./ลิตร mint flavor 5.4มล./ลิตร และ aspartame 4ก./ลิตร]นาน 60 วินาที วันละ 2 ครั้ง ภายหลังจากการแปรงฟัน (เช้าและเย็น) ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนที่มีสารสกัดชาเขียว 0.5% และสาร xylitol 20% (เพิ่ม xylitol 200 ก./ลิตร) นาน 2 นาที วันละ 2 ครั้ง ภายหลังจากการแปรงฟัน (เช้าและเย็น) เป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายของอาสาสมัครทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลองเพื่อวิเคราะห์ปริมาณเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobacillus spp. ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียวและน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียวกับสาร xylitolมีผลลดค่า CFU ของเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobacillus spp. ลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง โดยการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียวกับสาร xylitol ให้ผลดีกว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียวเพียงอย่างเดียว (45)
ศึกษาเปรียบเทียบผลของสกัดชาเขียวในรูปแบบน้ำยาบ้วนปากและเจล ต่อปริมาณเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobacillus spp. ในน้ำลายของอาสาสมัครวัยรุ่น (อายุระหว่าง 12-18 ปี) ทั้งเพศหญิงและชาย จำนวน 30 ราย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้อาสาสมัครกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดชาเขียว 0.5% [สารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) 1.8 ก. ซึ่งมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก 6% เจือจางด้วยน้ำเปล่า 20 มล. ให้มีความเข้มข้น 0.5% เติม sodium lauryl sulfate 20 ก. methylparaben 36 ก.และ propylparaben 4 ก. แต่งสีและกลิ่นด้วย mint color 0.4 ก. mint flavor 20 มล. และ aspartame 80 ก.]นาน 60 วินาที วันละ 2 ครั้ง ภายหลังจากการแปรงฟัน (เช้าและเย็น)และกลุ่มที่ 2 ให้แปรงฟันด้วยเจลที่มีสารสกัดชาเขียว 0.5%(ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง, วิธีเตรียมคือ carbopol 934 ละลายในน้ำเปล่า 7 ลิตร จากนั้น 24 ชม. เติม triethanolamine 20 มล. methylparaben 6.12 ก. และ propylparaben 1.4 ก. แต่งสีและกลิ่นด้วย mint color 140มก. mint flavor 7มล. และ aspartame 28ก.) นาน 2 นาที วันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ จากนั้นกำหนดให้มีระยะพัก 4 สัปดาห์ และสลับกลุ่มการทดลองให้กลุ่มที่ 1 ใช้เจลสารสกัดชาเขียว และกลุ่มที่ 2 ใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว โดยมีวิธีการใช้เช่นเดียวกับการศึกษาในช่วงแรก ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลาย อาสาสมัครทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลองเพื่อวิเคราะห์ปริมาณเชื้อแบคทีเรีย ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองการใช้น้ำยาบ้วนปากและเจลสารสกัดชาเขียวมีผลลดค่า CFU ของเชื้อ S. mutansและ Lactobacillus จากน้ำลายลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง ซึ่งการใช้ในรูปแบบน้ำยาบ้วนปากมีแนวโน้มให้ผลดีกว่าการใช้ในรูปแบบเจล แต่ค่าที่ได้เมื่อวิเคราะห์ผลทางสถิติพบว่า การใช้ทั้งสองแบบไม่มีความแตกต่างกัน (46)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งคราบจุลินทรีย์ (antiplaque) ของน้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสาร catechin จากชาเขียว 0.25%(ไม่ระบุที่มาของแหล่งตัวอย่างและวิธีการเตรียม) เปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% ในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 30 คน (อายุระหว่าง 18-25 ปี) โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสาร catechin จากชาเขียว 0.25% และกลุ่มที่ 2 ให้ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% โดยแต่ละกลุ่มใช้เวลากลั้วปากนาน 1 นาที วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) นานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ จากนั้นกำหนดให้มีระยะพัก 15 วัน และสลับกลุ่มการทดลองให้กลุ่มที่ 1 ใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% และกลุ่มที่ 2 น้ำยาบ้วนปาก catechin จากชาเขียว 0.25% โดยมีวิธีการใช้เช่นเดียวกับการศึกษาในช่วงแรก ประเมินค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ในช่องปาก ตามเกณฑ์การให้คะแนน Turesky modification of the Quigley-Hein plaque index ทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลอง ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสาร catechin จากชาเขียว 0.25% และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% มีผลลดค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และการใช้น้ำยาบ้วนปากทั้ง 2 ชนิด ให้ผลไม่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ catechin ในชาเขียวต่อการยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ในช่องปาก (47)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งคราบจุลินทรีย์ของน้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสารละลายน้ำชาเขียว 0.5% [ชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 3½ ออนซ์ หรือประมาณ 7 ช้อนชา แช่ในน้ำแร่ 4 ถ้วย ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 ชม. กรองแยกด้วยตะแกรงและแช่เย็น นำสารสกัดน้ำชาเข้มข้น 500 มล. เจือจางในน้ำเปล่าให้มีความเข้มข้น 0.5%] เปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปาก sodium fluoride 0.05% และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.2% ในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 60 คน (อายุระหว่าง 9-14 ปี) โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่มกลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.2% กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก sodium fluoride 0.05% และกลุ่มที่ 3 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารละลายน้ำชาเขียว 0.5% โดยการกลั้วปากด้วยน้ำยาแต่ละชนิดให้ใช้เวลานาน 60 วินาที วันละ 2 ครั้ง นาน ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ทำการประเมินดัชนีคราบจุลินทรีย์ ดัชนีสภาพเหงือกดัชนีสุขอนามัยในช่องปาก (oral hygiene index)และวัดค่า pH ของน้ำลายทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลอง (1 และ 2 สัปดาห์) ผลจากการศึกษาพบว่า หลังจากการทดลอง 2 สัปดาห์ ค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และค่าดัชนีสภาพเหงือกในทุกกลุ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง โดยการใช้น้ำยาบ้วนปากสารละลายน้ำชาเขียว 0.5% ให้ผลยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้ดีที่สุด ส่วนดัชนีสภาพเหงือกพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารละลายน้ำชาเขียว 0.5% และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.2% ให้ผลดีกว่าน้ำยาบ้วนปาก sodium fluoride 0.05% นอกจากนี้ การใช้น้ำยาบ้วนปากสารละลายน้ำชาเขียว 0.5% ยังมีผลลดความเป็นกรดของน้ำลายและลดค่าดัชนีสุขอนามัยในช่องปาก ซึ่งบ่งชี้ว่ามีคราบจุลินทรีย์ในช่องปากลดลง ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การใช้สารละลายน้ำชาเขียวเข้มข้น 0.5% เป็นน้ำยาบ้วนปาก มีประสิทธิผลดีกว่าการใช้น้ำยาบ้วนปาก sodium fluoride 0.05% และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine gluconate 0.2%(48)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปาก (S. mutans, Lactobacilli spp. และ C. albicans) ของสารสกัดน้ำชาเขียว [ใบชาเขียวแห้ง (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) ซึ่งประกอบด้วยสารประกอบฟีนอลิก 6% บดให้เป็นผงละเอียด และนำไปสกัดด้วยวิธี percolation โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย และเจือจางให้มีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 0.5% แต่งเติมสีและกลิ่นด้วย peppermint flavor 1 ก./ลิตร และ sodium saccharin 1 ก./ลิตร] เปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำคั้นกระเทียมและมะนาว (หัวกระเทียมสด 100 ก. บดด้วยโกร่ง เติมน้ำและกรองด้วยผ้ามัสลิน หักน้ำหนักของส่วนที่ไม่ละลายน้ำและกำหนดความเข้มข้นสุดท้ายให้มีค่าเท่ากับ 1 ก./100 มล. เติมน้ำมะนาว 100 มล. แต่งเติมสีและกลิ่นด้วย peppermint flavor 1 ก./ลิตร และ sodium saccharin 1 ก./ลิตร)และน้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสาร sodium fluoride (กลุ่มควบคุม) โดยทำการทดสอบในเด็กที่มีฟันผุจำนวน 45 คน (อายุระหว่าง 4-6 ปี) ทำการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากแต่ละชนิดดังกล่าว วันละ 1 ครั้ง หลังมื้ออาหารเช้า เป็นระยะเวลานาน 2 สัปดาห์ ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายเพื่อวิเคราะห์ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ในช่องปากทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลอง ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากทั้ง 3 ชนิด มีผลลดปริมาณเชื้อ S. mutans และ Lactobacilli spp. อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง แต่ไม่มีผลลดปริมาณเชื้อ C.albicans และทั้ง 3 กลุ่มให้ผลไม่แตกต่างกัน (49)
ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. mutans ของน้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียวในน้ำลายของอาสาสมัครเด็กสุขภาพดีจำนวน 40 ราย (อายุระหว่าง 4-5 ปี) โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้เด็กแปรงฟันเป็นประจำด้วยยาสีฟันทางการค้าทั่วไปวันละ 3 ครั้ง (หลังอาหารมื้อเช้า กลางวัน และเย็น) และให้บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียว [ใบชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 1 ก. ชงในน้ำเดือด 100 มล. นาน 20 นาที และกรองแยกเอาเฉพาะส่วนน้ำ] วันละ 2 ครั้ง (หลังมื้ออาหารเช้าและก่อนนอน) เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้แปรงฟันวันละ 3 ครั้งเช่นเดียวกับกลุ่มแรก แต่ไม่ต้องบ้วนปากด้วยสารสกัดน้ำชาเขียว (กลุ่มควบคุม) ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายของอาสาสมัครทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลองเพื่อมาเพาะเชื้อแบคทีเรียบนวุ้นเลี้ยงเชื้อ และวิเคราะห์ปริมาณเชื้อด้วยการคำนวณค่า CFU ผลจากการศึกษาพบว่า เมื่อครบ 4 สัปดาห์ปริมาณเชื้อ S. mutans ของทั้งสองกลุ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียวมีผลลดปริมาณเชื้อ S. mutans ลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม แสดงให้เห็นว่าสารสกัดน้ำชาเขียวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. mutans ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคฟันผุได้ (50)
ศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ยับยั้งคราบจุลินทรีย์ของน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวและสารสกัดขิง และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine ในเด็กอายุระหว่าง 10-14 ปี จำนวน 60 คน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5%[ใบชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 100 ก. แช่สกัดในเมทานอล 500 มล. กรองและเทลงในจานแก้ว ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3-4 วัน จากนั้นขูดผลึกสารสกัด 0.5 ก. ละลายในน้ำ 100 มล.]กลุ่มที่ 2 ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% และสารสกัดขิง 0.5% (วิธีเตรียมสารสกัดสมุนไพรเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1) และกลุ่มที่ 3 ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากทางการค้าทั่วไปซึ่งประกอบด้วยสาร chlorhexidine0.2% ใช้ระยะเวลาในการทดลองทั้งหมด 30 วัน วิเคราะห์ปริมาณคราบจุลินทรีย์ในช่องปากและสภาพเหงือกด้วยการคำนวณค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีสภาพเหงือกในช่วงก่อนการทดลองและหลังจากใช้น้ำยาบ้วนปากในวันที่ 15 และ 30 ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากทั้ง 3 ชนิดมีผลลดค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีสภาพเหงือกในวันที่ 15 และ 30 ของการทดลองอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างกลุ่มพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวและสารสกัดขิงให้ผลดีที่สุด รองลงมาคือน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวและน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine ตามลำดับ (51)
การศึกษาผลของการใช้น้ำยาบ้วนปากชาเขียวต่อสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก จำนวน 61 ราย (อายุ 20 ปีขึ้นไป) ซึ่งได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดและทำเคมีบำบัดเรียบร้อยแล้ว โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 (31 ราย) ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารละลายชาเขียว 5%[ผงชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 5 ก. หรือประมาณ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำเปล่า 100 มล.]หลังจากแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 60 วินาที แล้วบ้วนทิ้ง ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน และกลุ่มที่ ให้ใช้น้ำประปาในการบ้วนปาก (กลุ่มควบคุม) ทำการประเมินสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยด้วยแบบประเมินสภาพช่องปาก (oral assessment guide)ในช่วงก่อนการศึกษาและทุก 1 เดือน จนครบระยะเวลา 6 เดือน ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารละลายชาเขียวมีผลทำให้สุขภาพช่องปากดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมในเดือนที่ 4 ของการศึกษา โดยค่าคะแนนสภาวะสุขภาพช่องปาก (oral health status score) ในเดือนที่ 4, 5 และ 6 ของกลุ่มที่ใช้น้ำยาบ้วนปากสารละลายชาเขียว (1.71, 2.97 และ 2.93 คะแนน ตามลำดับ) มีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (0.67, 0.68 และ 0.68 คะแนน ตามลำดับ) แสดงให้เห็นว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารละลายชาเขียวมีผลช่วยให้สุขภาพช่องปากของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากดีขึ้น(52)
ศึกษาผลของการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวต่อค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH)ของน้ำลายเปรียบเทียบกับการใช้น้ำยาบ้วนปากพรีไบโอติกส์ ในอาสาสมัครเด็กที่มีอายุระหว่าง 6-8 ปี จำนวน 60 ราย โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำชาเขียว 2% (ชาเขียว 2 ก. บรรจุในถุงชา (Lipton green tea bag) แช่ในน้ำอุ่น 100 มล. นาน 5 นาที) วันละ 2 ครั้ง (ระหว่างเวลา 10.00 น. – 23.00 น.) แต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 1 นาที เป็นระยะเวลา 1 เดือน กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากทางการค้าซึ่งประกอบด้วยแบคทีเรียโพรไบโอติกส์ (Lactobacillus acidophilus, Lactobacillus rhamnosus, Bifidobacterium longum และ Saccharomyces boulardii) โดยใช้วิธีการเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 ทำการเก็บตัวอย่างน้ำลายของอาสาสมัครทั้งในช่วงก่อนและหลังการทดลองและวัดค่าความเป็นกรด-ด่างด้วยแถบวัดค่า pH พบว่า เมื่อครบ 1 เดือน การใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวและน้ำยาบ้วนปากพรีไบโอติกส์ มีผลเพิ่มค่า pH ของน้ำลายอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวมีผลเพิ่มค่า pH ของน้ำลายอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำยาบ้วนปากพรีไบโอติกส์ แสดงให้เห็นว่า สารสกัดน้ำชาเขียวมีผลลดความเป็นกรดของน้ำลายซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดฟันผุ (53-54)
ศึกษาผลของการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวต่อปริมาณคราบจุลินทรีย์ในช่องปากและภาวะเหงือกอักเสบเรื้อรังในอาสาสมัครสุขภาพดี (มีค่าดัชนีสภาพเหงือก ≥1) จำนวน 40 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี ทำการบันทึกดัชนีสภาพเหงือก ดัชนีคราบจุลินทรีย์ และดัชนีการมีเลือดออกของเหงือก ในช่วงก่อนการศึกษา จากนั้นแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียว [นำใบชาเขียวสด (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน) มาทำความสะอาด อบให้แห้ง และบดให้เป็นผงละเอียด นำผงชาเขียว 200 ก. แช่สกัดในน้ำ 1,000 มล. ที่อุณหภูมิ 70-80ºC นาน 30 นาที กรองด้วยผ้า ทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการลดความดัน ทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง การเตรียมน้ำยาบ้วนปากให้นำสารสกัดชาเขียวแห้งผสมลงในน้ำเปล่า คำนวณปริมาณสารแทนนินในสารสกัดและกำหนดความเข้มข้นสุดท้ายให้มีแทนนินเท่ากับ 1%]กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากทางการค้าที่ประกอบไปด้วยสาร chlorhexidine 0.12% (กลุ่มควบคุม) โดยให้อาสาสมัครแต่ละกลุ่มใช้น้ำยาบ้วนปากวันละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานาน 60 วินาที เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ระหว่างการศึกษาให้อาสาสมัครงดเว้นเครื่องดื่มที่มีผลต่อสีของฟัน (ชา กาแฟ และน้ำผลไม้ เป็นต้น) ประเมินดัชนีสภาพเหงือก ดัชนีคราบจุลินทรีย์ ดัชนีการมีเลือดออกของเหงือก และดัชนีคราบสีของฟัน (stain index) เพื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการศึกษา ผลจากการศึกษาพบว่า ดัชนีสภาพเหงือก ดัชนีคราบจุลินทรีย์ ดัชนีการมีเลือดออกของเหงือกของอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการศึกษา แต่ไม่มีความแตกต่างระหว่างทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ดัชนีคราบสีของฟันของอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวพบว่า มีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อครบ 4 สัปดาห์ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวมีประสิทธิภาพในการควบคุมคราบจุลินทรีย์ในช่องปากและรักษาสภาพเหงือก สามารถใช้ทดแทนน้ำยาบ้วนปากทางการค้าที่ประกอบไปด้วยสาร chlorhexidine ได้ (55)
ศึกษาผลของการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวต่อปริมาณคราบจุลินทรีย์ในช่องปากและภาวะเหงือกอักเสบเปรียบเทียบกับการใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine โดยทำการทดสอบในอาสาสมัครสุขภาพดีที่มีค่าดัชนีสภาพเหงือก ≥1 (มีการอักเสบเล็กน้อย) จำนวน 30 ราย ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี ทำการแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียว 5% [ใบชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 100 ก. แช่สกัดในเอทานอล 500 มล. นาน 48 ชม. กรองและเทลงในจานแก้ว อบที่อุณหภูมิ 50ºC นาน 3-4 วัน จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ปริมาณ 0.5 ก. ละลายในน้ำ 100 มล.] กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากทางการค้าที่ประกอบด้วยสาร chlorhexidineโดยให้อาสาสมัครแต่ละกลุ่มใช้น้ำยาบ้วนปากทุกครั้งหลังแปรงฟัน เป็นระยะเวลา 1 เดือน และประเมินค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ในช่องปาก ดัชนีสภาพเหงือก ดัชนีการมีเลือดออกของเหงือก คราบฟัน (tooth stain)และคราบลิ้น (tongue stain) ในทั้งสองกลุ่มทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลอง ผลจากการศึกษาพบว่า ดัชนีคราบจุลินทรีย์ ดัชนีสภาพเหงือก และดัชนีการมีเลือดออกของเหงือกในทั้งสองกลุ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง และการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวมีผลลดดัชนีการมีเลือดออกของเหงือกอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine และไม่พบความแตกต่างของคราบฟันและคราบลิ้นในช่วงก่อนและหลังการทดลองในทั้งสองกลุ่ม ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีประสิทธิภาพในการช่วยลดการอักเสบของเหงือกได้ (56)
ศึกษาผลของการใช้น้ำยาบ้วนปากสาร EGCG ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์สำคัญที่พบในชาเขียวต่อการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ (S.mutansและLactobacilli spp.) ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-12 ปี จำนวน 57 ราย โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 (15 ราย) ให้กลั้วปากด้วยนำยาบ้วนปาก EGCG [สาร EGCG (Sigma Aldrich Co., St. Louis, MO, USA) ละลายในน้ำเปล่าที่ความเข้มข้น 4,000 มคก./มล.] กลุ่มที่ 2 (15 ราย) กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว [ใบชาแห้ง (Yamamotoyama®, Midori tea Industry Ltda, São Miguel Arcanjo/SP, Brazil) 2 ก. ชงในน้ำร้อน 180 มล. เป็นเวลา 5 นาที กรองเอาเฉพาะส่วนน้ำ] กลุ่มที่ 3 (7 ราย) กลั้วปากด้วยน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) และกลุ่มที่ 4 (15 ราย) กลั้วปากด้วยนำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% โดยการกลั้วปากใช้เวลา 1 นาที และทำเพียงครั้งเดียว เก็บตัวอย่างน้ำลายนำมาเพาะเชื้อแบคทีเรียบนวุ้นเลี้ยงเชื้อและวิเคราะห์หาค่า CFU ทั้งช่วงก่อนและหลังการกลั้วปาก 10 นาทีพบว่า หลังจากกลั้วปากปริมาณเชื้อ S. mutans และ Lactobacilli spp. ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทุกกลุ่ม การใช้น้ำยาบ้วนปาก EGCG มีผลลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียมากกว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวและน้ำเปล่า แต่น้อยกว่าการใช้น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.12% แสดงให้เห็นว่าสาร EGCG จากชาเขียวมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ (26)
ศึกษาฤทธิ์ลดคราบจุลินทรีย์และต้านอาการเหงือกอักเสบของน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวในอาสาสมัครเพศชายจำนวน 110 ราย (อายุระหว่าง 18-60 ปี) ทำการแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 2% (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่างและวิธีการสกัด) ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่า (กลุ่มควบคุม) โดยให้อาสาสมัครแต่ละกลุ่มกลั้วปากโดยใช้ปริมาณ 10 มล. วันละ 2 ครั้ง (ครั้งละ 1 นาที) นานติดต่อกัน 28 วัน ทำการประเมินดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีสภาพเหงือกทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลอง ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยดัชนีสภาพเหงือกและค่าเฉลี่ยดัชนีคราบจุลินทรีย์ของทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วง 28 วันหลังการทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง โดยการใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวมีผลลดค่าดังกล่าวได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ลดคราบจุลินทรีย์และต้านอาการเหงือกอักเสบได้ (57)
การศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้สารสกัดจากชาที่มีจำหน่ายทางการค้า 2 ชนิด ต่อการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก โดยทำการทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 30 ราย (อายุระหว่าง 22-30 ปี) โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำจากใบชา 8% (Ndu tea® จากประเทศแคเมอรูน, ผงใบชาแห้ง ต้มในน้ำเดือด นาน 15 นาที กรองแยกตะกอน นำไปนึ่งฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 121ºC นาน 5 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นและบรรจุใส่ขวดสำหรับเตรียมทดสอบ)กลุ่มที่ 2 ให้กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำจากใบชา 8% (Ndu tea®) ผสมกับ sodium lauryl sulfate 1.2% กลุ่มที่ 3 ให้กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำจากใบชา 8% (Lipton®จากประเทศไนจีเรีย, ผงใบชาแห้ง ต้มในน้ำเดือด นาน 15 นาที กรองแยกตะกอน นำไปนึ่งฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิ 121ºC นาน 5 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นและบรรจุใส่ขวดสำหรับเตรียมทดสอบ) กลุ่มที่ 4 ให้กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำจากใบชา 8% (Lipton®) ผสมกับ sodium lauryl sulfate 1.2% กลุ่มที่ 5 ให้กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก Minty Brett®ซึ่งประกอบด้วย thymol 0.047% โดยในการกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากแต่ละชนิดใช้เวลาประมาณ 1 นาที แล้วบ้วนทิ้ง เมื่อครบ 5 และ 60 นาทีหลังจากนั้น ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่า และเก็บตัวอย่างน้ำกลั้วมาเพาะเชื้อแบคทีเรียบนวุ้นเลี้ยงเชื้อและวิเคราะห์หาค่า CFU ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำจากใบชาทั้ง 2 ยี่ห้อมีผลลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียลงทั้งในช่วง 5 และ 60 นาที เมื่อเทียบกับช่วงก่อนใช้ แต่ประสิทธิภาพที่ได้ยังไม่ดีเท่ากับการใช้น้ำยาบ้วนปาก Minty Brett®การใช้น้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำจากใบชาทั้ง 2 ยี่ห้อร่วมกับสาร sodium lauryl sulfate 1.2% พบว่า มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้มากขึ้นและให้ผลใกล้เคียงกับการใช้น้ำยาบ้วนปาก Minty Brett®ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การใช้สารสกัดน้ำร้อนจากใบชาที่มีจำหน่ายในท้องตลาดสามารถใช้เป็นทางเลือกเพื่อการใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ (58)
4.2 ใช้เป็นยาสีฟัน (L002)
ศึกษาผลของสกัดชาเขียวต่ออาการของโรคปริทันต์อักเสบในผู้ป่วยจำนวน 30 ราย (อายุระหว่าง 18-60 ปี) ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปริทันต์อักเสบในระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง และได้รับการรักษาด้วยการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแรกให้ผู้ป่วยแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารสกัดชาเขียว 1.4% [สารสกัดชาเขียวซึ่งมีปริมาณสาร EGCG ประมาณ 60-90% จาก Infa Drug Industries, Bangalore, India ใช้ผสมลงในตำรับยาสีฟัน โดยกำหนดให้มีความเข้มข้น 1.4% และมีส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ calcium carbonate 57%, sodium lauryl sulphate 1%, glycerine 21%, gum tragacanth 1.5%, flavoring agent 0.1%, methyl paraben 2%, saccharin sodium 2% และ น้ำ 100 ก.] ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้แปรงฟันด้วยยาสีฟันทางการค้าทั่วไปที่ประกอบไปด้วยสาร fluoride และ triclosan (กลุ่มควบคุม) วันละ 2 ครั้ง นาน 2-5 นาที เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ทำการประเมินสุขภาพช่องปากทั้งช่วงก่อนและหลังการทดลอง ผลการศึกษาพบว่า เมื่อครบ 4 สัปดาห์ ค่าดัชนีสภาพเหงือก ดัชนีคราบจุลินทรีย์ การมีเลือดออกของเหงือกเมื่อหยั่งด้วยเครื่องมือตรวจร่องลึกปริทันต์ และค่าความลึกของร่องปริทันต์ของทั้งสองกลุ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเเทียบกับช่วงก่อนการทดลอง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ระหว่างกลุ่มพบว่า การใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารสกัดชาเขียวมีผลลดค่าดัชนีสภาพเหงือกและการมีเลือดออกของเหงือกเมื่อหยั่งด้วยเครื่องมือตรวจร่องลึกปริทันต์ลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ในขณะที่ค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และค่าความลึกของร่องปริทันต์ไม่มีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ การวิเคราะห์ความสามารถในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระในตัวอย่างน้ำเหลืองเหงือก (gingival crevicular fluid) ด้วยวิธี ferric reducing power (FRAP) assay พบว่า เมื่อครบ 4 สัปดาห์ การใช้ยาสีฟันสารสกัดชาเขียวมีผลเพิ่มค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวม (total antioxidant capacity)และการทำงานของเอนไซม์ glutathione-s-transferase (GST) อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการทดลองและเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ยาสีฟันที่มีสารสกัดชาเขียวมีประสิทธิภาพช่วยลดการอักเสบของเหงือกและช่วยให้อาการของโรคปริทันต์อักเสบดีขึ้นได้ (59)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
การทดลองเลี้ยงเซลล์ dermal papilla cells (DPCs) ซึ่งเป็นเซลล์ที่จะพัฒนาไปเป็นต่อมขนหรือผม (hair follicle) บนจานเพาะเลี้ยงเซลล์ที่มีสาร EGCG (Sigma, St. Louis, MO) อยู่ 0.01-0.5 ไมโครโมลาร์ พบว่า มีผลเพิ่มจำนวนเซลล์ DPCs อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงเซลล์ในอาหารเพาะเลี้ยงปกติ (9)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์รักษาแผล (S015)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดชาเขียว โดยนำตัวอย่างใบชาเขียว (ตัวอย่างจากประเทศอิหร่าน, Herbarium No. 304) 100 ก. แช่สกัดในเอทานอล 70% v/v (ปริมาตร 1 ลิตร) ที่อุณหภูมิห้อง นาน 48 ชม. กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง และทำให้เข้มข้นด้วยเครื่อง rotary evaporator นำสารสกัดที่ได้ผสมลงในวาสลีน (vaseline) ให้มีความเข้มข้น 0.6% ทดสอบฤทธิ์รักษาแผลในหนูแรทที่ถูกทำให้เกิดบาดแผลบริเวณหลัง (ความยาว 4 ซม. ลึกถึงชั้นผิวหนัง dermis และ hypodermis)โดยทาลงไปบนแผลวันละครั้งนานติดต่อกัน 21 วัน เปรียบเทียบกับการทาวาสลีนเบส และน้ำเกลือ (กลุ่มควบคุม) ผลจากการศึกษาพบว่า การทาวาสลีนสารสกัดชาเขียว 0.6% มีผลช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในสัปดาห์ที่ 1, 2 และ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับการทาวาสลีนเบส (กลุ่มควบคุม) แสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น (60)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลของสารสกัดโพลีฟีนอลจากชาเขียว (ตัวอย่างจากประเทศจีน ไม่ระบุวิธีการสกัด) ในรูปแบบนาโนสเฟียร์ (nanosphere) ที่บรรจุอยู่ใน PVA/alginate hydrogel (TPN@H)โดยทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน (ฉีด streptozotocin 80 มก./กก. เข้าช่องท้อง) และทำให้เกิดบาดแผลบริเวณหลัง (ขนาด 1.5 ซม.)ด้วยการทา TPN@H ลงบนแผลโดยตรงวันละครั้ง จนกระทั่งแผลหาย เปรียบเทียบกับการใช้สาร polyphenols ในรูปแบบผงที่บรรจุอยู่ใน PVA/alginate hydrogel (TP@H) และ hydrogel ที่ไม่ผสมสารใดๆ (กลุ่มควบคุม) พบว่า ในวันที่ 5 ของการทดลอง การทา TPN@H มีผลทำให้แผลปิดสนิท ในขณะที่การทา TP@H และ hydrogel ยังคงมีบริเวณที่แผลเปิดอยู่ นอกจากนี้ การวิเคราะห์ตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลพบว่า TPN@Hมีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบได้แก่ nuclear factor kappa B (NF-κB), interleukin-6 (IL-6) และ tumor necrosis factor-alpha (TNF-α) และมีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนP-PI3K/PI3K, P-AKT/AKT และ P-mTOR/mTOR ที่เกี่ยวข้องกับวิถีส่งสัญญาณ IP3K/Akt ซึ่งควบคุมกระบวนการแบ่งจำนวน การเคลื่อนที่ และการอยู่รอดของเซลล์ ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดโพลีฟีนอลจากชาเขียวในรูปแบบนาโนสเฟียร์มีฤทธิ์สมานแผลทำให้แผลหายเร็วขึ้น (61)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลไฟไหม้ของสารสกัดชาเขียว โดยนำตัวอย่างผงใบชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 40 ก. แช่สกัดในเอทานอล 70% (ปริมาตร 400 มล.) ที่อุณหภูมิห้อง นาน 48 ชม. กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง และทำให้แห้งด้วยการระเหยแอลกอฮอล์บนอ่างควบคุมอุณหภูมิ 70ºC นาน 48 ชม. นำสารสกัดที่ได้ 2 ก. เจือจางในน้ำเกลือ 100 มล. ใช้ทดสอบฤทธิ์รักษาแผลไฟไหม้ระดับ 2 ในหนูแรทที่ถูกทำให้เป็นแผลด้วยการใช้ลูกบาศก์โลหะ (ขนาด 2x3x1 ซม.) ความร้อน 100ºC นาบลงบนผิวหนังบริเวณหลัง 15 วินาที ทำให้เกิดแผลขนาด 6 ตร.ซม. ใช้สารสกัดชาเขียวปริมาณ 0.5 ซีซี เช็ดทำความสะอาดแผลทุกวัน เป็นระยะเวลานาน 14 วัน เปรียบเทียบกับการใช้ครีม silver sulfadiazine 1% วาสลีน และน้ำเกลือ (กลุ่มควบคุม) เมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่า การทาสารสกัดชาเขียวมีผลลดค่าเฉลี่ยของบริเวณที่เป็นแผล(the average burned area)อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม และมีแน้วโน้มดีกว่าการใช้ครีมsilver sulfadiazine 1% และวาสลีน แต่ไม่มีผลแตกต่างกันในทางสถิติ แสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลไฟไหม้ได้ (62)
ศึกษาฤทธิ์รักษาแผลเบาหวานของสาร EGCG จากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) ในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วยการฉีดสาร streptozotocin (STZ) 100 มก./กก. เข้าทางช่องท้องและทำให้เป็นแผลบริเวณด้านหลังด้วยอุปกรณ์ตัดชิ้นเนื้อ (punch biopsy) รูปวงกลมขนาด 8 มม. ทาสาร EGCG (10 มคก./มล) บริเวณแผลและรอบ ๆ บาดแผลวันละครั้ง นาน ติดต่อกัน 14 วัน พบว่า สาร ECGC มีผลทำให้แผลสมานตัวเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (ทา 1% carboxymethylcellulose vehicle) และช่วยลดอาการอักเสบของบาดแผล สอดคล้องกับผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเนื้อเยื่อบริเวณบาดแผลซึ่งพบว่า สาร EGCG มีผลลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบได้แก่ IL-1β IL-6 และ TNF-αและลดการแสดงออกของโปรตีนในวิถีการส่งสัญญาณ Notch signal pathway ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของแมกโครฟาจน์และการตายของเซลล์ได้แก่Notch-1 และ Notch-2 ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สาร EGCG มีฤทธิ์รักษาแผลเบาหวาน โดยผ่านกลไกในวิถีการส่งสัญญาณNotch signal pathway (23)
2.2 กันแดดสำหรับผิวกาย (S008)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันรังสี UVB ของสารสกัดชาเขียว (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี/ไม่ระบุวิธีการสกัด/ประกอบด้วยสาร EC, EGC, EGCGและECGคิดเป็น 4.0, 3.7, 42.0 และ 18.8% ตามลำดับ) ด้วยการทาสารดังกล่าวซึ่งละลายอยู่ในอะซีโตน (5 มก./0.2 มล.) ลงบนผิวหนังบริเวณหลังของหนูเม้าส์ที่ไม่มีขน (SKH-1 hairless mouse)ปริมาณ 200 มคล. หลังจากนั้น 30 นาที ทำการฉายรังสี UVB ลงบริเวณที่ทาสารสกัดด้วยความเข้มแสง 180 มิลลิจูล/ตร.ซม. ทำซ้ำทุก 2 สัปดาห์ จนครบ 7 ครั้ง ชำแหละซากหนูเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังสำหรับตรวจวิเคราะห์หลังจากการทดสอบครั้งสุดท้าย 24 ชม. ผลจากการศึกษาพบว่าการทาสารสกัดชาเขียวมีผลลดความหนาของชั้นผิวหนังของหนูเม้าส์ ลดอาการบวมของผิวหนัง และลดการคั่งของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสี UVB นอกจากนี้ ยังมีผลยับยั้งวิถีการส่งสัญญาณ mitogen-activated protein kinase ในกระบวนการอักเสบโดยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยา phosphorylation ของ extracellular signal-regulated kinase (ERK1/2), c-Jun N-terminal kinase (JNK1/2) และ p38 ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ป้องกันความเสียหายของผิวหนังซึ่งเกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (15)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันรังสี UVB ของสาร EGCG ชาเขียว (ตัวอย่างจาก Misui Norin Co., ประเทศญี่ปุ่น) ด้วยการทาสารดังกล่าวซึ่งละลายอยู่ในอะซีโตน (3 มก./0.2 มล.) ลงบนผิวหนังบริเวณหลังของหนูเม้าส์ที่ถูกโกนขนออก(3 ตร.ซม.) หลังจากนั้น 20 นาที ทำการฉายรังสี UVB ลงบริเวณที่ทาสารละลาย ที่ความเข้มแสง 90 มิลลิจูล/ตร.ซม. ทำการชำแหละซากหนูเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังสำหรับตรวจวิเคราะห์หลังจากการทดสอบ 48 ชม. ผลจากการศึกษาพบว่า สาร EGCG มีผลลดการคั่งของเม็ดเลือดขาวในตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนัง ลดการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase และ nitric oxide synthase (iNOS) ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดภาวะอักเสบ และลดการสร้าง H2O2และ NO ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดอนุมูลอิสระแสดงให้เห็นว่า สาร EGCG จากชาเขียวมีฤทธิ์ปกป้องผิวหนังจากรังสี UVB ได้ (16)
ศึกษาฤทธิ์ป้องกันรังสี UV ของครีมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง)บนตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังของมนุษย์ (เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 มม.) ซึ่งแยกได้จากกายของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดหน้าท้อง (เพศหญิง อายุ 31 ปี) โดยทาครีมสารสกัดชาเขียวลงบนตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนัง (2 มก./ตร.ซม.) จากนั้น 4 ชม. ทำการฉายรังสี UV ลงบนตัวอย่างเนื้อเยื่อด้วยความเข้มแสง 0, 0.89, 1.78 และ 3.56 จูล/ตร.ซม. พบว่า ครีมสารสกัดชาเขียวมีผลยับยั้งการลดระดับของ CD1a+ ซึ่งบ่งชี้ถึงการสูญเสียเซลล์แลงเกอร์ฮานส์ในชั้นผิวหนัง epidermis ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสี UV ได้ (39)
2.3 ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
ศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียก่อสิว P.acnesของสาร EGCGจากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) ด้วยวิธี agar dilution test พบว่า สาร EGCG ที่ความเข้มข้น 0.063, 0.13, 0.25, 0.5, 1.0 และ 2.0 มคก./มล. มีผลยับยั้งจำนวนโคโลนีของเชื้อ P. acnesบนจานเพาะเลี้ยง โดยประสิทธิภาพขึ้นกับขนาดความเข้มข้น (dose-dependent) (11)
2.4 ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวหนังที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยรังสีUVA และ UVB ของเจลสารสกัดชาเขียวความเข้มข้น 5% [ใบชาเขียวแห้ง (ตัวอย่างจากประเทศบราซิล) 1.875 ก. แช่สกัดในน้ำร้อน 100 มล. นาน 15 นาที กรองแยกสารสกัด และเตรียมตำรับเจลทาผิวโดยกำหนดความเข้มข้น 5% โดยน้ำหนัก] โดยทาลงบนผิวหนังบริเวณด้านหลังของหนูแรท 30 นาที ก่อนฉายรังสีที่ความยาวคลื่น 280-320 นาโนเมตร และ 320-400 นาโนเมตร สำหรับ UVBและ UVA ตามลำดับ นาน 1 ชั่วโมง ทำการทดสอบติดต่อกันนาน 7 วัน พบว่า สามารถยับยั้งการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation และ protein carbonylation ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดอนุมูลอิสระในตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่สัมผัสรังสีUVนอกจากนี้ เมื่อทดลองป้อนสารสกัดน้ำใบชาเขียวขนาด 0.45ก./กก. ให้แก่หนูแรท หลังจากนั้น 30 นาที ทำการรังสี UVA และ UVB นานติดต่อกัน 7 วัน พบว่า มีผลลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation และยับยั้งการเกิดความเสียหายของดีเอนเอในตัวอย่างผิวหนังหนูแรท แสดงให้เห็นว่า สารสกัดที่มีชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวหนังอันเกิดจากรังสี UV ได้ (63)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบชาเขียว (ตัวอย่างจากร้านขายสมุนไพร Herbapol Lublin S.A.ประเทศโปแลนด์)โดยนำใบชาเขียวแห้งสกัดในเครื่อง soxhlet extractor โดยใช้ตัวทำละลายคลอโรฟอร์มและปิโตรเลียมอีเทอร์ (อัตราส่วน 1:1) เพื่อกำจัดคลอโรฟิลล์และสารที่ไม่ละลายในน้ำ (hydrophobic substances) นาน 2 ชม. หลังจากแยกตัวทำละลายและทำให้ใบชาเขียวแห้ง ทำการสกัดต่อเนื่องด้วยตัวทำละลาย 3 ชนิด ตามลำดับดังนี้ เอทานอล 96% ไพรไพลีนไกลคอล และน้ำ โดยใช้อัตราส่วนของตัวทำละลายต่อวัตถุดิบคงที่ นำสารสกัดที่ได้ทั้ง 3 ชนิด ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูอิสระด้วยวิธี thiocyanate method พบว่า สารสกัดใบชาเขียวทั้ง 3 ชนิดมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระเมื่อเปรียบเทียบกับตัวทำละลาย (blank test) โดยสารสกัดเอทานอลให้ผลดีที่สุด (64)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร EGCG จากใบชาเขียว [Funakoshi, Osaka, Japan (CAS No. 989-51-5)] โดยการวิเคราะห์เซลล์ผิวหนัง normal human epidermal keratinocyte ด้วยวิธีreconstructed skin micronucleus (RSMN) assay บนแบบจำลองชั้นผิวหนังEpiDermTM model พบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด reactive oxygen species (ROS) เพิ่มระดับเอนไซม์ CATและ glutathione peroxidase (GPX)(19)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดชาเขียวทางการค้า 5 ตัวอย่าง (CE-1 A, CE-1 B, CE-2 และ CE-3 จากประเทศบราซิลและ CE-4 จากประเทศอาร์เจนตินา) เปรียบเทียบกับสารสกัดซึ่งเตรียมได้จากคำแนะนำของ Brazilian Pharmacopoeia [ใบชาเขียวแห้ง 200 ก. (ซื้อจากตลาดท้องถิ่นในเมือง Curitiba ประเทศบราซิล) สกัดด้วยวิธี percolation โดยใช้ ethanol 50% เป็นตัวทำละลาย และทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการระเหยเอทานอลในเครื่อง rotary evaporator] บนเซลล์ผิวหนัง McCoy cells และ normal human dermal fibroblast cell systems CC-2511 cells โดยเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะ oxidative stress ด้วยการฉายรังสี UV และทำการวิเคราะห์หาปริมาณสารสำคัญ EGCG ด้วยเทคนิค HPLCพบว่าสารสกัดชาเขียวทางการค้ามีสาร EGCG อยู่ระหว่าง ไม่สามารถตรวจพบ (undetectable)ถึง58.65±1.12 มคก./มล. ในขณะที่สารสกัดเอทานอลชาเขียวซึ่งเตรียมใหม่มีปริมาณสาร EGCG เท่ากับ 87.82±1.35 มคก./มล. ผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนเซลล์ผิวหนังพบว่า สารสกัดชาเขียวทางการค้าและสารสกัดเอทานอลชาเขียวมีผลเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ superoxide dismutase (SOD) และ CATลดอัตราการตายของเซลล์ และยับยั้งเอนไซม์ metalloproteasesซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยโปรตีนในชั้นผิวหนังส่งผลให้ผิวแห้งและไม่ยืดหยุ่นโดยสารสกัดเอทานอลชาเขียวที่เตรียมใหม่ให้ผลดีที่สุด (65)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร EGCG จากชาเขียว (ไม่ระบุแหล่งที่มาและวิธีการสกัดตัวอย่าง) บนเซลล์ normal human epidermal keratinocyte(NHEK) โดยการบ่มเซลล์ด้วยสาร EGCG ที่ความเข้มข้น 20 มคล. นาน 3 ชม. ก่อนทำการฉายรังสี UVB ที่ความเข้มแสง 30 มิลลิจูล/ตร.ซม. พบว่า สาร EGCG มีผลยับยั้งการสร้าง H2O2ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดอนุมูลอิสระได้ 80% นอกจากนี้เมื่อทำการทดลองบ่มเซลล์ NHEK ด้วยสาร EGCG ก่อนกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระด้วย H2O2พบว่า สาร EGCG มีผลยับยั้งการเกิดปฏิกิริยา phosphorylation ของ extracellular signal-regulated kinase (ERK1/2), c-Jun N-terminal kinase (JNK1/2) และ p38 แสดงให้เห็นว่า สาร EGCG มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ H2O2ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสี UVB ส่งผลยับยั้งวิถีการส่งสัญญาณ mitogen activated protein kinase ในกระบวนการอักเสบ ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นด้วยสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้ (20)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารโพลีฟีนอลจากชาเขียว (Polyphenon 60, Sigma-Aldrich)พบว่า สาร Polyphenon ความเข้มข้น 10-363 มก./มล. สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้คิดเป็น 12.7±1.64 – 93.6±2.00% และ 8.0±0.26 – 78.3±2.08% จากการทดสอบด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picryl-hydrazyl-hydrate assay (DPPHassay) และ 2,2′-azino-bis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid) assay(ABTS assay)ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์ปริมาณสารออกฤทธิ์ด้วยวิธี HPLC พบสารสำคัญคือ gallic acid, procyanidin B1, EGC, catechin, EGCG, ECและ ECG (4)
ศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดชาเขียว โดยนำตัวอย่างผงชาเขียว (มัทฉะ, ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ที่ได้จากการเก็บใบชา 4 ครั้ง ในฤดูกาลเก็บเกี่ยว (traditional matcha: เก็บครั้งที่ 1 และ 2, daily matcha: เก็บครั้งที่ 3 และ 4) และการชงในน้ำร้อนที่อุณหภูมิต่าง ๆ ได้แก่ 25ºC, 70ºC, 80ºC และ 90ºCนาน 10 นาที พบว่า เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay ชาเขียว traditional matcha ที่ชงด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิ 25-90ºC มีเปอร์เซ็นการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเท่ากับ 12.08±0.58 – 23.48±5.54% ในขณะที่ daily matcha มีค่าเท่ากับ 33.60±0.21 – 41.24±0.84% และการทดสอบด้วยวิธี FRAP assay พบว่า ชาเขียว traditional matcha ที่ชงด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิ 25-90ºC มีค่าความสามารถในการถ่ายเทอิเล็กตรอนเท่ากับ 5,863.03±156.51 – 6,129.53±68.40 ไมโครโมลาร์ Fe(II)/dm3 ในขณะที่ daily matcha มีค่าเท่ากับ 5,767.23±16.13 – 5,923.10±41.94 ไมโครโมลาร์ Fe(II)/dm3โดยระยะเวลาการเก็บและอุณหภูมิในการชงชาที่ทำให้ได้ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดคือ daily matcha ที่อุณหภูมิ 90ºC (66)
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของชาเขียวที่จำหน่ายในประเทศโคลอมเบีย 4 ยี่ห้อ ได้แก่ Oriental®, Lipton®, Hindú®และ Jaibel®ที่ชงในน้ำอุณหภูมิ 25ºC และ80ºC นาน 5 นาที ผลจากการศึกษาพบว่า ชาเขียวทั้ง 4 ชนิด ที่ชงด้วยน้ำอุณหภูมิ 25ºCมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์อยู่ระหว่าง 2.53-14.63 มก. เทียบเท่า gallic acid/ก. ของตัวอย่าง และ 2.67-7.08 มก. เทียบเท่า catechin/ก. ของตัวอย่าง ตามลำดับ ในขณะที่การชงด้วยน้ำอุณหภูมิ 80ºCมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์อยู่ระหว่าง 29.34-55.06 มก. เทียบเท่า gallic acid/ก. ของตัวอย่าง และ 5.43-8.41 มก. เทียบเท่า catechin/ก. ของตัวอย่าง ตามลำดับ และผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระพบว่า ค่าความเข้มข้นของชาเขียวทั้ง 4 ชนิดซึ่งชงด้วยน้ำอุณหภูมิ 25ºCที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH assay และ oxygen radical absorbance capacity (ORAC) มีค่าอยู่ระหว่าง 22.36-41.29 มก. เทียบเท่า trolox/ก. ของตัวอย่าง และ 22.95-46.25 มก. เทียบเท่า trolox/ก. ของตัวอย่าง ตามลำดับ ในขณะที่การชงด้วยน้ำอุณหภูมิ 80ºCมีค่าอยู่ระหว่าง 38.50-110.01 มก. เทียบเท่า trolox/ก. ของตัวอย่าง และ 23.40-113.60 มก. เทียบเท่า trolox/ก. ของตัวอย่าง ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระของชาแต่ละยี่ห้อพบว่า Oriental®> Lipton®> Hindú®>Jaibel®และการใช้น้ำอุณหภูมิ 80ºCให้ผลดีกว่าการชงด้วยน้ำอุณหภูมิ 25ºC (67)
2.5 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร EGCG จากชาเขียว (Huake Pharmaceutical Development Corporation, ประเทศจีน) ด้วยการบ่มสารดังกล่าวบนเซลล์ผิวหนัง human keratinocyte (HaCaT) ที่ความเข้มข้น 10-1-10-3 มก./มล. 30 นาที ก่อนฉายรังสี UVB (30 มิลลิจูล/ตร.ซม.) พบว่า มีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีน NF-κBP65 และเอนไซม์ iNOS และมีผลลดระดับ NO ที่เกิดขึ้นในเซลล์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดกระบวนการอักเสบ โดยประสิทธิภาพขึ้นกับขนาดความเข้มข้น แสดงให้เห็นว่า สาร EGCG จากชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่ถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (21)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร EGCG (>98% pure, Shizuoka, ประเทศญี่ปุ่น) ด้วยการบ่มสารดังกล่าวบนเซลล์ normal human epidermal keratinocyte (NHEK) ที่ความเข้มข้น 10, 20 และ 40 ไมโครโมลาร์นาน 24 ชม. ก่อนฉายรังสี UVB (40 มิลลิจูล/ตร.ซม.) พบว่ามีผลยับยั้งการย่อยสลายและยับยั้งการเกิดปฏิกิริยา phosphorylation ของ IκBαและยับยั้งการกระตุ้นIκKα ส่งผลให้การเคลื่อนที่เข้าสู่นิวเคลียสของ NF-κB/P65 เพื่อกระตุ้นการผลิตสารสื่ออักเสบถูกยับยั้งซึ่งแสดงให้เห็นว่า สาร EGCG มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบผ่านวิถีการส่งสัญญาณ NF-κB ในเซลล์ผิวหนังที่ถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (22)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดชาเขียว (OM24®, 100% Camellia sinensis leaf extract, Omnimedica, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์/ประกอบด้วยสาร EGCG, EGC, ECG และ EC คิดเป็น 70, 4, 0.6 และ 3%) โดยทำการทดสอบบนเซลล์ human gingival epithelial keratinocyte (HGEK) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS)พบว่า การบ่มเซลล์ด้วยสารสกัดชาเขียวเข้มข้น 2.5, 5 และ 10 มก./มล. มีผลเพิ่มจำนวนเซลล์ เพิ่มการเคลื่อนย้ายเซลล์ และยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบได้แก่ IL-1, IL-6 และ TNF-αโดยผ่านวิถีการส่งสัญญาณ nuclear factor erythroid 2- related factor 2 (Nrf2 signaling pathway) นอกจากนี้ยังมีผลเพิ่มการแสดงออกของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องในกระบานการต้านอนุมูลอิสระคือ heme oxygenase-1 (OH-1) ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (68)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร EGCG (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) บนเซลล์ต่อมไขมัน SEB-1 sebocyte) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบด้วยเชื้อตายของแบคทีเรีย P.acnesพบว่า สาร EGCG เข้มข้น 10-40 ไมโครโมลาร์ มีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบได้แก่ IL-1α, IL-1β, TNF-α และ IL-8 โดยมีกลไกผ่านการยับยั้งวิถีการส่งสัญญาณ NF-κB และ activator protein 1 (AP-1) (11)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร EGCG จากชาเขียว (ไม่ระบุที่มาและวิธีการสกัด) บนเซลล์แมกโครฟาจน์ RAW 264.7 ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบด้วย LPSพบว่า การบ่มเซลล์ด้วยสาร EGCG เข้มข้น 20 มคก./มล. นาน 30 นาที มีผลลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอักเสบและการตายของเซลล์ได้แก่ IL-1β, Notch-1 และ Notch-2 (23)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร EGCG จากชาเขียว (Sigma, ประเทศฝรั่งเศส) บนเซลล์ normal human keratinocyte (NHKs) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบด้วย TNF-α พบว่า การบ่มเซลล์ด้วยสาร EGCG เข้มข้น 1-10 ไมโครโมลาร์ นาน 48 ชม. มีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีน IL-8 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดภาวะอักเสบได้ (24)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสาร EGCG จากชาเขียว (Sigma-Aldrich Co.) ซึ่งบรรจุอยู่ใน Poly(lactic-co-glycolic acid) (PLGA) particles บนเซลล์ผิวหนัง human dermal fibroblasts ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบด้วย LPS พบว่า การบ่มเซลล์ด้วยสาร EGCG 400 มคก./มล. ใน PLGA particles นาน 8 ชม. มีผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่บ่งชี้ถึงภาวะอักเสบได้แก่ IL-1β, TNF-αและ IL-6 (25)
3 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1 ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในช่องปาก (S. mutans) ของสารสกัดน้ำและเอทานอลจากชาเขียว ชาดำ และชาอู่หลง เปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% โดยนำตัวอย่างใบชาทั้ง 3 ชนิด จากประเทศอินเดีย สารสกัดน้ำทำได้โดยนำชาแต่ละชนิด (10 ก.) ต้มในน้ำเดือด 100 มล. นาน 30 นาที ส่วนสารสกัดเอทานอลทำได้โดยนำชาแต่ละชนิด (5 ก.) แช่สกัดในเอททานอล 50 มล. กรองแยกสารสกัดด้วยกระดาษกรอง Whatman และระเหยตัวทำละลายบนอ่างควบคุมอุณหภูมิ (water bath) จนเหลือปริมาตร 5 มล. นำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. mutans ด้วยวิธี agar well diffusion method พบว่า สารสกัดน้ำจากชาเขียว ชาดำ ชาอู่หลง และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% มีค่าเฉลี่ยของพื้นที่การยับยั้ง (the mean zone of inhibition) เท่ากับ 16.33, 10.33, 19.66 และ 22 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ สารสกัดเอทานอลจากชาเขียว ชาดำ ชาอู่หลง และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine 0.2% มีค่าเฉลี่ยของพื้นที่การยับยั้งเท่ากับ 14, 9, 20.66 และ 22 มม. ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดน้ำและเอทานอลจากชาอู่หลงสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. mutans ได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับชาอีกสองชนิดดังกล่าว (69-70)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในช่องปาก (S. mutans และ Lactobacillus acidophilus) ของน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว [ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง, มีวิธีเตรียมคือ ละลายผงชาเขียว 250 มก. ลงในน้ำเปล่า 25 มล. จากนั้นเติมลงในสารละลาย (25 มล.) ซึ่งประกอบด้วย sodium chloride, sodium benzoate และ sodium bicarbonate 2% และผสม amaranth solution 0.092% จากนั้นกรองแยกตะกอนออกและปรับปริมาตรของสารละลายให้ได้ 100 มล. ด้วยน้ำเปล่า]นำน้ำยาบ้วนปากที่เตรียมได้ปริมาตร 20, 40 และ 60 มคล. ไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. mutans และ L. acidophilus ด้วยวิธี agar well diffusion method พบว่าน้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. mutans และ L. acidophilus โดยมีค่าเฉลี่ยพื้นที่การยับยั้งอยู่ระหว่าง 7.3±0.01-12.1±1.1 มม. และ 8.05±0.54-15.5±1.3 มม. ตามลำดับ ในขณะที่สารเปรียบเทียบ (ยา amoxicillin 10 มคก.) มีค่าเท่ากับ 16.4±1.2 และ 18.0±1.0 ตามลำดับ (71)
ศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในช่องปาก (S. mutans) ของสารสกัดน้ำชาเขียวผสมกับสารสกัดชาดำ (AssuriTEA®, Kemin Foods, DesMoines, IA ประกอบด้วยสาร polyphenols 40%, catechins และ theaflavins 20%) ด้วยวิธี agar well diffusion method พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. mutans ได้โดยมีค่า minimum inhibitory concentration (MIC) และ minimum bactericidalconcentration (MBC) เท่ากับ 12.5 มก./มล. (72)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
ศึกษาฤทธิ์ก่อระคายเคืองของน้ำยาบำรุงเส้นผมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว 2, 4.5 และ 7% [สารสกัดชาเขียวจาก Specialty Natural Products, Chonburi, Thailand (product code: HE-EL11-CAS) ประกอบด้วยสาร polyphenols 100 %] ในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 20 ราย (ชาย 10 ราย และหญิง 10 ราย) ที่มีอายุระหว่าง 23-35 ปี ด้วยวิธี single closed-patch test พบว่า หลังจากดึงแผ่นทดสอบออกจากผิวหนังและสังเกตอาการจนครบ 72 ชม. น้ำยาบำรุงเส้นผมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียวทั้งสามความเข้มข้นไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังของอาสาสมัคร (The mean irritation index = 0) แสดงให้เห็นว่าน้ำยาบำรุงเส้นผมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียวมีความปลอดภัยสำหรับการใช้บนผิวหนัง (30)
ศึกษาฤทธิ์ก่อระคายเคืองของตำรับยาในรูปแบบอีมัลชันที่มีสารสกัดชาเขียว [ผงใบชาเขียว (ไม่ระบุที่มาของตัวอย่าง) 200 ก. แช่สกัดในเอทานอล นาน 21 วัน กรองแยกสารสกัด และระเหยเอทานอลที่อุณหภูมิ 40ºC ภายใต้สภาวะสุญญากาศด้วยเครื่อง rotary evaporator] เป็นส่วนประกอบ 3% (ส่วนประกอบอื่น ๆ ในตำรับได้แก่ paraffin oil 16%, Abil®EM90 5% และน้ำ และแต่งกลิ่นด้วย lemon oil) ด้วยวิธี patch test บนผิวหนังบริเวณแขนระหว่างข้อศอกกับข้อมือของอาสาสมัครเพศชายจำนวน 10 ราย (อายุระหว่าง 25-44 ปี) นาน 48 ชม. พบว่า ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังของอาสมัคร แสดงให้เห็นว่า การใช้ตำรับยาอีมัลชันที่มีสารสกัดชาเขียว 3% มีความปลอดภัยต่อผิวหนัง (31)
ทดสอบอาการผื่นแพ้สัมผัส (patch test) และอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง (skin irritation test) ของสารสกัดชาเขียว (AmorePacific, ประเทศเกาหลีใต้) ซึ่งเจือจางในน้ำอัตราส่วน 1:1(นำแผ่นลำสีแช่ให้ดูดซับสารใช้เป็นแผ่นทดสอบ) ในอาสาสมัครสุภาพดีจำนวน 10 ราย (ชาย 7 รายและหญิง 3 ราย) พบว่า หลังจากติดแผ่นทดสอบ 1 ชั่วโมง และดึงแผ่นทดสอบออกไปแล้ว 24 ชั่วโมง สารสกัดชาเขียวไม่ก่อให้เกิดอาการผื่นแพ้และระคายเคืองผิวหนังของอาสาสมัครแต่อย่างใด นอกจากนี้ การทดสอบทาสารสกัดชาเขียววันละ 2 ครั้ง ลงบนผิวหนังผู้ป่วยที่มีอาการผื่นแพ้สัมผัสแบบไม่รุนแรง 3 คน และผู้ป่วยที่มีอาการผื่นแพ้สัมผัสขนาดปานกลาง 1 คน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าการทาสารสกัดชาเขียวมีผลทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการผื่นแพ้สัมผัสแบบไม่รุนแรงมีอาการดีขึ้น อาการบวมแดงของผิวหนังลดลง ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการผื่นแพ้สัมผัสขนาดปานกลางนั้น การทาสารสกัดชาเขียวไม่ได้ส่งผลให้อาการดีขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งผลจากการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสารสกัดใบชาเขียวค่อนข้างมีความปลอดภัยในการใช้กับผิวหนัง และอาจมีประโยชน์ในการควบคุมการเกิดการอักเสบของผิวหนังได้ (73)
รายงานผู้ป่วย (case report) เพศหญิง อายุ 40 ปี มีอาการคันริมฝีปาก และริมฝีปากมีลักษณะบวมสีคล้ำ ผู้ป่วยเคยมีประวัติการแพ้สารนิกเกิลจากเครื่องประดับในช่วงอายุ 20 ปี จากการสอบถามโดยละเอียดพบว่า ผู้ป่วยดื่มชาเขียววันละมากกว่า 10 ถ้วย ทุกวัน เป็นระยะเวลานานหลายปี อาการของผู้ป่วยเริ่มเกิดขึ้นหลังจากดื่มชาเขียวมาเป็นเวลา 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ ผลการตรวจตัวอย่างชิ้นเนื้อจากริมฝีปากพบการคั่งของเม็ดเลือดขาวบริเวณรอบ ๆ หลอดเลือดเล็กน้อย (mild perivascular lymphohistiocytic infiltration) และจำนวน melanophages ในชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้น เมื่อทดสอบการแพ้ด้วยวิธี patch test พบว่า ให้ผลบวกกับสารนิกเกิล จึงสันนิษฐานว่า อาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาจากสารนิกเกิลที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ชาเขียวที่บริโภค ซึ่งได้รับการยืนยันจากนำผลิตภัณฑ์ชาเขียวของผู้ป่วยไปตรวจวิเคราะห์พบว่า ในถุงชาประกอบด้วยสารนิกเกิล 0.07 มก./กก. ซึ่งเมื่อคำนวณปริมาณสารที่ผู้ป่วยได้รับมีค่าประมาณ 0.84 มก./วันซึ่งเกินกว่าปริมาณที่องค์กรอนามัยโลกแนะนำ (0.1-0.3 มก./วัน) อาการของผู้ป่วยดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ เมื่อหยุดดื่มชา และสีคล้ำของริมฝีปากจางลงเป็นปกติใน 1 ปี (74)
รายงานผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 20 ปี มีอาการคอบวมคันในลำคอเจ็บคอเสียงแหบหายใจถี่และคัดจมูก หลังจากดื่มชาเขียว 15 นาที ซึ่งเมื่อตรวจพิสูจน์ด้วยวิธี skin prick test โดยใช้สารสกัดน้ำชาเขียวเป็นสารทดสอบ (ใบชาเขียวแห้งชงในน้ำร้อน 10 นาทีอัตราส่วนใบชาเขียว : น้ำ เท่ากับ 1 : 10, น้ำหนัก:ปริมาตร)พบว่า ให้ผลเป็นบวก โดยผิวหนังบริเวณที่ทำการทดสอบมีลักษณะบวม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม. และเป็นผื่นแดง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 61 มม. แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในผู้บริโภคบางรายได้ (75)
รายงานผู้ป่วยเพศชาย อายุ 43 ปี มีอาการหน้าแดงและมีอาการคัน ปากแห้ง และวิงเวียนศีรษะ ภายหลังจากดื่มชาเขียว 15-20 นาที อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไป โดยไม่ต้องใช้ยาใด ๆ ภายในเวลาประมาณ 30-40 นาที ถัดมาอีก 3 เดือน ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เนื่องจาก มีอาการเช่นเดียวกันภายหลังจากรับประทานไอศกรีมรสชาเขียว และมีอาการเพิ่มเติมคือ เป็นลมหมดสติและสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะปัสสาวะ ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและค่าทางชีวเคมีในเลือดเป็นปกติ เมื่อทดสอบการแพ้ด้วยวิธี skin prick test พบว่า ให้ผลเป็นบวกต่อชา English breakfast (รอยบวมแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 มม.) ชาเขียวชง (รอยบวมแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 มม.) ชาแดงชง (รอยบวมแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 มม.) ฝุ่นชาเขียว (รอยบวมแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 มม.) และผงชาเขียวซึ่งเป็นส่วนประกอบในไอศกรีม (รอยบวมแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 มม.) การวิเคราะห์โปรตีนที่จำเพาะกับ immunoglobulin E (IgE) ในเซรัมพบแถบโปรตีนขนาด 70 กิโลดาลตัน (kDa) ในตัวอย่างสารสกัดชาเขียว ผลจากการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ชาเขียวสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในผู้บริโภคบางราย ซึ่งในผู้ป่วยรายดังกล่าว อาการที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรงและผลการทดสอบบ่งชี้ชัดเจน ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากชาทั้งหมด (76)
ศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันต่อผิวหนังของสาร EGCG (สาร EGCGบริสุทธิ์ 90% ซึ่งสกัดแยกได้จากสารสกัดน้ำใบชาเขียว, Teavigo™) ต่อผิวหนังหนูแรทโดยทาสารละลาย EGCG (สาร EGCG ละลายในน้ำความเข้มข้น 93%) ทาลงบนผิวหนังบริเวณด้านหลังของหนูแรทซึ่งถูกโกนขนออก ที่ขนาด 2,000 มก./กก. น้ำหนักตัว(1,860 มก./กก. หรือ 4 มล./กก.) และปิดด้วยวัสดุปิดแผลแบบ occlusive dressing จากนั้น 24 ชม. เอาวัสดุปิดแผลออกและล้างผิวหนังด้วยน้ำอุ่นและปล่อยให้แห้ง สังเกตอาการระคายเคืองของผิวหนังบริเวณดังกล่าววันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 15 วัน พบว่า สารละลาย EGCG 93% ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ผิวหนังบริเวณทดสอบเกิดผื่นแดงเล็กน้อยหลังดึงวัสดุปิดแผลออก ซึ่งรอยแดงดังกล่าวคงอยู่นานถึง 5 วัน ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเนื้อเยื่อผิวหนังด้วยกล้องจุลทรรศน์ไม่พบความผิดปกติ นอกจากนี้เมื่อทำการทดสอบบนผิวหนังกระต่ายด้วยการทาสารละลาย EGCG (สาร EGCG 0.5 ก. ละลายในน้ำเปล่า 0.3 มล.) ลงบนผิวหนังด้านข้างลำตัวที่ถูกโกนขนออก และปิดทับด้วยวัสดุปิดแผล metalline semi-occlusive patch จากนั้น 4 ชม. เอาวัสดุปิดแผลออกและล้างผิวหนังด้วยน้ำอุ่นและปล่อยให้แห้งสังเกตอาการระคายเคืองของผิวหนังบริเวณดังกล่าวในชั่วโมงที่ 1, 24, 48 และ 72 ชม. หลังจากดึงแผ่นปิดแผลออก พบว่า สาร EGCG ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังกระต่าย (77)
ทดสอบอาการแพ้ต่อผิวหนัง (dermal sensitization)ของสาร EGCG (สาร EGCG บริสุทธิ์ 80% ซึ่งสกัดแยกได้จากสารสกัดน้ำใบชาเขียว, Teavigo™)ในหนูตะเภา โดยแบ่งการทดสอบเป็น 2 ระยะ ระยะแรก (induction phase) ทาสาร EGCG ซึ่งละลายในเอทานอล ที่ความเข้มข้น 5, 10 หรือ 30% (เทียบเท่ากับได้รับสาร EGCG4, 8 หรือ 24%)ลงบนผิวหนังด้านข้างลำตัวด้านขวาที่โกนขนออกปริมาณ 100 มคล./8 ตร.ซม. ทาสารละลายวันละครั้ง จำนวน 5 วัน/สัปดาห์ นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ (จำนวนหนูตะเภาที่ใช้ในการทดสอบ 6 ตัว/ปริมาณความเข้มข้นของสาร) ลำตัวด้านซ้ายให้ทาด้วยเอทานอล (กลุ่มควบคุม) เปิดผิวหนังบริเวณที่ทำการทดสอบโดยไม่ต้องใช้วัสดุปิดแผล ในระหว่างการศึกษาระยะ induction phase ทำการเลือกบริเวณทดสอบสำหรับการศึกษาระยะที่ 2 (challenge reaction) โดยเลือกตำแหน่งที่แสดงถึงการเกิดอาการระคายเคือง ซึ่งเมื่อครบ 4 สัปดาห์ ของการศึกษาระยะ phase induction ให้ทำการศึกษาระยะ challenge reaction ต่อเนื่องด้วยการทาสารละลายEGCG ครั้งที่ 1 ที่ความเข้มข้น 0, 1, 3, 5 และ 10% ลงในผิวหนังบริเวณทดสอบที่เลือกไว้ (25มคล./2 ตร.ซม.) หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ถัดมา ทำการทาสารละลาย EGCG ครั้งที่ 2 ที่ความเข้มข้น 0, 1, 0.5, 1, 3, 5 และ 10% สังเกตอาการแดงของผิวหนังในระยะ induction phase ในผิวหนังแต่ละข้าง และสังเกตอาการแพ้ (ผิวหนังแดง) จากการทำ challenge reaction ที่ 24 และ 48 ชม. หลังทาสารละลาย EGCG ผลจากการศึกษาพบว่าการศึกษาในระยะ induction phase สาร EGCG มีผลทำให้ผิวหนังหนูเกิดผื่นแดงในระดับเล็กน้อยอาการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มที่ได้รับสาร EGCG เข้มข้น 30% (EGCG 24%) โดยเริ่มเห็นได้ชัดหลังจากการทาครั้งที่ 5 ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับสาร EGCG 10% และ 5% ไม่ปรากฎอาการชัดเจนจนกระทั่งการทาครั้งที่ 13 และ 16 ตามลำดับการทำ challenge reaction ให้ผลบวก (เกิดอาการผิวหนังแดง) ในกลุ่มทดสอบ (ทาสาร EGCG)ทั้ง 2 ครั้ง ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ตอบสนองในการทาสาร EGCG ครั้งที่ 1 แต่พบอาการผิวหนังแดงเล็กน้อยในการทาสาร EGCG ครั้งที่ 2 ที่ความเข้มข้น 8% หรือสูงกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเห็นผลการตอบสนองในการทำchallenge reactionแต่ค่าที่ได้ยังไม่สามารถระบุถึงขนาดความเข้มข้นซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ต่อผิวหนังที่ชัดเจนได้ (77)
ศึกษาฤทธิ์การก่อระคายเคืองต่อดวงตาของสาร EGCG (Teavigo™) ด้วยการหยดสาร EGCG เข้มข้น 93% ปริมาณ 0.1 ก. ลงในถุงเยื่อบุตาขาว (conjunctival sac) ด้านซ้ายของกระต่าย และทำการปิดเปลือกตาไว้ชั่วขณะหนึ่ง โดยระวังไม่ให้สารทดสอบไหลออกจากตา สังเกตดวงตาของกระต่ายจนครบ 17 วัน พบว่า สาร EGCG ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองต่อดวงตากระต่ายในระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยมีอาการเยื่อบุตาและตาขาวเป็นสีแดง ตาแฉะและมีขี้ตา และเยื่อตาขาวบวมน้ำ ซึ่งอาการดังกล่าวปรากฎภายใน 72 ชม. แรก หลังการหยดสาร EGCG และดีขึ้นจนหายเป็นปกติภายใน 17 วันหลังการรักษา ไม่พบความผิดปกติของม่านตาและรอยกัดกร่อนในดวงตา ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า สาร EGCG จากชาเขียว มีผลก่อระคายเคืองต่อดวงตาของสัตว์ทดลอง ดังนั้น ในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารดังกล่าว จึงควรระมัดระวังไม่ให้เข้าตา (77)
การทดสอบความเป็นพิษของชาเขียว โดยการป้อนสาร catechin ที่ได้จากสารสกัดน้ำชาเขียว (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ให้แก่หนูแรทขนาดวันละ 1,000 และ 2,000 มก./กก. นาน 28 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ไม่พบหนูตายในทุกกลุ่ม ไม่พบความผิดปกติในด้านพฤติกรรมและการแสดงออกของหนู และเมื่อวิเคราะห์ค่าทางชีวเคมีในเลือด ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (ป้อนน้ำเปล่า) แสดงให้เห็นว่า สาร catechin จากชาเขียวมีความปลอดภัย (78)
การป้อนสารสกัดน้ำจากใบชาเขียว [ใบชาเขียว (ตัวอย่างจากประเทศใต้หวัน) 5 ก. ต้มในน้ำเดือด 500 มล. นาน 30 นาที] ให้แก่หนูเม้าส์ขนาดวันละ 625, 1,250 และ 2,500 มก./กก. นาน 28 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ไม่พบหนูตายในทุกกลุ่ม และเมื่อวิเคราะห์ค่าทางชีวเคมีในเลือด ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (ป้อนน้ำเปล่า) นอกจากนี้ยังพบว่า การป้อนหนูด้วยสารสกัดน้ำใบชาเขียวมีค่าคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม แสดงให้เห็นว่า การดื่มชาเขียวที่ขนาดสูงถึง 2,500 มก./กก. มีความปลอดภัย (79)
ศึกษาความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของสาร catechin จากสารสกัดน้ำชาเขียว (standardized green tea catechin; GTC, ประเทศญี่ปุ่น) โดยทดลองป้อนสารดังกล่าวให้แก่หนูแรทขนาดวันละ 120, 400 และ 1,200 มก./กก. นานติดต่อกัน 6 เดือน เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ไม่พบหนูตายในทุกกลุ่ม ไม่พบความผิดปกติในด้านพฤติกรรมการแสดงออกของหนู และเมื่อวิเคราะห์ค่าทางชีวเคมีในเลือด ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม(ป้อนน้ำเปล่า) (80)
การศึกษาความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของสาร catechin จากชาเขียว (สารสกัดชาเขียว Sunphenon 100S™, ประเทศญี่ปุ่น) โดยทำการป้อนสารดังกล่าวให้แก่หนูแรทขนาดวันละ 180, 764 และ 3,525 มก./กก. ในหนูเพศผู้ และ 189, 820 และ 3,542 มก./กก. ในหนูเพศเมีย (ความเข้มข้นของสาร catechin ที่ได้รับเท่ากับ 0.3, 1.25 และ 5.0% ตามลำดับ) นาน 90 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลองไม่พบหนูตายในทุกกลุ่มและไม่พบความผิดปกติของค่าโลหิตวิทยา (hematology) แต่พบว่าน้ำหนักตัวหนูเพศผู้ที่ป้อนด้วยสารสกัดชาเขียว 3,542 มก./กก (catechin เข้มข้น 5.0%) ลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 จนถึงสิ้นสุดการทดลองคิดเป็น 0.5% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และการป้อนสาร catechin เข้มข้น 5.0% มีผลให้ค่าเอนไซม์ alanine transaminase และ alkaline phosphatase ในหนูเพศผู้ และ aspartate transaminase ในหนูเพศเมียเพิ่มขึ้น และยังส่งผลให้น้ำหนักตับเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม แสดงให้เห็นว่าการได้รับสาร catechin มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อตับ และขนาดที่ปลอดภัยคือความเข้มข้นประมาณ 1.25% (764 มก./กก./วัน สำหรับเพศผู้ และ 820 มก./กก./วัน สำหรับเพศเมีย) (81)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
สาร EGCG (ความเข้มข้น 10%) ในเอทานอล เมื่อทาลงบนผิวหนังบริเวณท้ายทอยวันละครั้ง นานติดต่อกัน 4 วัน มีผลเพิ่มจำนวนเซลล์ DPCs ซึ่งบ่งชี้ถึงการกระตุ้นการงอกของเส้นผม (9)
น้ำยาบำรุงเส้นผมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 2% เมื่อใช้ชโลมผมวันละครั้งในตอนเช้า เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน 28 วัน มีผลช่วยลดความมันบนหนังศีรษะได้ (30)
การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
ครีมที่มีส่วนผสมของสาร EGCG (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 2.5% เมื่อทาบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ มีผลช่วยป้องกันอาการเส้นเลือดฝอยขยายบนใบหน้าเนื่องจากแสงแดดได้ (10)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบอีมัลชันที่มีสารสกัดเอทานอลชาเขียวเป็นส่วนประกอบ 3% เมื่อทาบนใบหน้าวันละ 1 ครั้ง นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์ มีผลช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ (31)
โทนเนอร์ซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 2, 4.5 และ 7% ใช้เช็ดหน้าวันละครั้งในตอนเช้า นานติดต่อกัน 28 วัน มีผลช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ (32)
โลชันที่ประกอบด้วยสารสกัดน้ำชาเขียว 2% เมื่อทาบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 6 สัปดาห์ มีผลลดรอยสิวและจำนวนสิวอักเสบได้ (33)
สารละลาย EGCG (ไม่ระบุวิธีการสกัด) ความเข้มข้น 1-5% เมื่อทาบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์ มีผลลดจำนวนสิวและค่าเฉลี่ยรอยแผลอักเสบที่เกิดจากสิวบนใบหน้าได้ (11)
โลชันที่ประกอบด้วยสารสกัดจากชา (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 2% เมื่อทาบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์ มีผลลดแผลอักเสบที่เกิดจากสิวได้ (34)
ครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 5% เมื่อทาบนผิวหน้าวันละครั้ง (ก่อนนอน) ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 60 วัน มีผลลดความหยาบกร้านของผิวหนัง ลดริ้วรอยแห้งตกสะเก็ดของผิวหนัง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง และมีผลเพิ่มความเรียบเนียนของผิวหนัง (35)
ครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 3% เมื่อทาบนผิวหน้าวันละครั้ง (ก่อนนอน) ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ มีผลเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว โดยเห็นผลชัดเจนในสัปดาห์ที่ 3, 4 และ 6 ของการศึกษา (36)
สารสกัดน้ำใบชาเขียว (ใบชาเขียวแห้ง 3 ก. ต้มในน้ำเดือด 250 มล. แล้วทิ้งไว้ให้เย็น 30 นาที) หยดลงบนแผ่นสำลีและแปะไว้บริเวณรอบดวงตาที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นอันเนื่องมาจากรังสียูวีนาน 20 นาที ทำติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน มีผลช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาได้ (37)
ครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดน้ำชาเขียวและครีมที่ประกอบด้วยสารสกัดน้ำชาเขียวซึ่งถูกย่อยด้วยเอนไซม์แทนเนสความเข้มข้น 5% เมื่อทาบนผิวหนังบริเวณรอยย่นรอบดวงตาวันละ 2 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 2.5 มก.) นานติดต่อกัน 8 สัปดาห์พบว่า การทาครีมทั้ง 2 สูตร มีผลช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาได้ คิดเป็น 36.30% และ63.60% ตามลำดับ (7)
ครีม hydrophilic gel ที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) ความเข้มข้น 2% เมื่อทาลงบนใบหน้าวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ มีผลทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นคิดเป็น 80% และไม่พบรายงานอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ (38)
การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
สาร EGCG ซึ่งละลายอยู่ในอะซีโตน (3 มก./100 มคล.) เมื่อทาบนผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านใน 30 นาที ก่อนฉายรังสี UVB มีผลป้องกันการเกิดผื่นแดงของผิวหนังและปกป้องเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ (12)
สารสกัดโพลีฟีนอลจากใบชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น0.25-10 % ที่ละลายอยู่ในเอทานอลและน้ำ (อัตราส่วน 1:1) เมื่อทาบนผิวหนังด้านหลัง 30 นาทีก่อนฉายรังสี UV มีผลช่วยป้องกันการตายของเซลล์ผิวหนังและลดอัตราการเสียหายของดีเอนเอจากการได้รับรังสียูวีได้ (14)
ครีมซึ่งประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัดและความเข้มข้น) เมื่อทาบนผิวหนังบริเวณสะโพก (2.5 มก./ตร.ซม.) และปล่อยให้แห้ง 15 นาที ก่อนทำการฉายรังสี UV มีผลช่วยป้องกันความเสียหายของผิวหนังได้ (39)
ยาเตรียมในรูปแบบอิมัลเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดใบชาเขียว (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 20% และน้ำมันจากดอกกุหลาบ 5% เมื่อทาบนผิวหนังบริเวณแขน วันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกันมากกว่า 5 วัน มีผลทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น (40)
สารสกัดน้ำคั้นชาเขียวผสมในน้ำให้มีความเข้มข้น 5% ใช้อาบ 3 ครั้ง/สัปดาห์ นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ มีผลช่วยลดอาการผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ (41)
การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
กลั้วปากด้วยสารสกัดน้ำชาเขียว (ใบชาโขลกละเอียด 1.6 ก. ละลายในน้ำเดือดอุณหภูมิ 100ºC ปริมาตร 40 มล. นาน 3 นาที) นาน 1 นาที วันละ 3 ครั้ง (หลังอาหารมื้อเช้า เที่ยง และก่อนนอน) เป็นระยะเวลา 7 วัน มีผลลดค่า CFU ของเชื้อ S. mutans และ Lactobacillus spp. ในช่องปากได้ (42)
น้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสารสกัดชาเขียว 0.5% (ใบชาเขียวแห้งสกัดด้วยวิธี percolation โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย และเจือจางให้มีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 0.5%) ใช้กลั้วปากวันละครั้งหลังอาหารมื้อเช้า ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ มีผลลดค่า CFU ของเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobacillus spp. ในช่องปากได้ (43,49)
น้ำยาบ้วนปากสารสกัดชาเขียว 0.5% (ใบชาเขียวสดล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียด และนำไปสกัดด้วยวิธี soxhlet โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย และเจือจางให้มีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 0.5%) ใช้กลั้วปากวันละครั้งหลังอาหารมื้อเช้า นานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ มีผลลดค่า CFU ของเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobaciius spp. ในช่องปากได้ (44)
น้ำยาบ้วนที่มีสารสกัดชาเขียว 0.5% (สารสกัดน้ำชาเขียว1.66 ลิตร ซึ่งมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก 6% เจือจางด้วยน้ำเปล่า 20 ลิตร ให้ได้ความเข้มข้นเท่ากับ 0.5%)ใช้กลั้วปากวันละ 2 ครั้ง ภายหลังจากการแปรงฟัน (เช้าและเย็น) แต่ละครั้งใช้เวลานาน 60 วินาที ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ มีผลลดค่า CFU ของเชื้อแบคทีเรีย S. mutans และ Lactobacillus spp. ในช่องปากได้ (45,46)
น้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสาร catechin (ไม่ระบุวิธีการสกัด) เข้มข้น 0.25% ใช้กลั้วปากวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) นานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ มีผลยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ในช่องปากได้ (47)
น้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยสารละลายน้ำชาเขียว 0.5% (ชาเขียว3½ ออนซ์ หรือประมาณ 7 ช้อนชา แช่ในน้ำแร่ 4 ถ้วย ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 ชม. กรองแยกด้วยตะแกรงและแช่เย็น นำสารสกัดน้ำชาเข้มข้น 500 มล. เจือจางด้วยน้ำเปล่า 1,000 มล. ให้มีความเข้มข้น 0.5%) ใช้กลั้วปากวันละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานาน 60 วินาที ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ มีผลยับยั้งการเกิดคราบจุลินทรีย์ในช่องปากได้ (48)
น้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียว (ใบชาเขียว1 ก. ชงในน้ำเดือด 100 มล. นาน 20 นาที และกรองแยกเอาเฉพาะส่วนน้ำ) ใช้กลั้วปากวันละ 2 ครั้ง (หลังมื้ออาหารเช้าและก่อนนอน) เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ มีผลลดปริมาณเชื้อ S. mutans ในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคฟันผุได้ (50)
น้ำยาบ้วนปากสารละลายชาเขียว 5% (ผงชาเขียว5 ก. หรือประมาณ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำเปล่า 100 มล.) ใช้กลั้วปากหลังจากแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 60 วินาที ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน มีผลช่วยให้สุขภาวะในช่องปากของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากดีขึ้น (52)
สารสกัดน้ำชาเขียว 2% (ชาเขียว 2 ก. ซึ่งบรรจุอยู่ในถุงชา แช่ในน้ำอุ่น 100 มล. นาน 5 นาที) ใช้กลั้วปากวันละ 2 ครั้ง (ระหว่างเวลา 10.00 น. – 23.00 น.) แต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 1 นาที เป็นระยะเวลา 1 เดือน มีผลลดความเป็นกรดของน้ำลายซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดฟันผุ (53-54)
น้ำยาบ้วนปากสารสกัดน้ำชาเขียว (ใบชาเขียวสด อบให้แห้ง และบดให้เป็นผงละเอียด นำผงชาเขียว 200 ก. แช่สกัดในน้ำ 1,000 มล. ที่อุณหภูมิ 70-80ºC นาน 30 นาที กรองด้วยผ้า ทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยการลดความดันและทำให้แห้งด้วยการแช่เยือกแข็ง นำไปเตรียมน้ำยาบ้วนปากโดยใช้สารสกัดชาเขียวแห้งผสมลงในน้ำเปล่า คำนวณปริมาณสารแทนนินในสารสกัดและกำหนดความเข้มข้นสุดท้ายให้มีแทนนินเท่ากับ 1%) ใช้กลั้วปากวันละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลานาน 60 วินาที เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ มีผลลดคราบจุลินทรีย์ในช่องปากและรักษาสภาพเหงือกได้ (55)
สารสกัดน้ำชาเขียว 5% (ใบชาเขียว 100 ก. แช่สกัดในเอทานอล 500 มล. นาน 48 ชม. กรองและเทลงในจานแก้ว อบที่อุณหภูมิ 50ºC นาน 3-4 วัน จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ปริมาณ 0.5 ก. ละลายในน้ำ 100 มล.) ใช้กลั้วปากทุกครั้งหลังแปรงฟัน เป็นระยะเวลา 1 เดือน มีผลช่วยลดการอักเสบของเหงือกได้ (56)
ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารสกัดชาเขียว 1.4% (สารสกัดชาเขียวซึ่งมีปริมาณสาร EGCG ประมาณ 60-90% ใช้ผสมลงในตำรับยาสีฟัน โดยกำหนดให้มีความเข้มข้น 1.4%) ใช้แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง นาน 2-5 นาที เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ มีผลลดช่วยลดการอักเสบของเหงือกและช่วยให้อาการของโรคปริทันต์อักเสบดีขึ้นได้ (59)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
จากการรวบรวมข้อมูลงานวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและผลการศึกษาในระดับคลินิกที่สนับสนุนในการนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านเครื่องสำอาง ได้แก่ ฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม กันแดดสำหรับผิวหน้าและผิวกาย ลดความมันบนใบหน้า ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้ารักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังต้านสิวบนผิวหน้าและผิวกายรักษาแผล ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก โดยสารออกฤทธิ์สำคัญที่พบในชาเขียว คือ สารกลุ่มโพลีฟีนอล ได้แก่ (-)-epicatechin (EC), (-)-epicatechin gallate (ECG), (-)-epigallocatechin (EGC) และ (-)-epigallocatechin gallate (EGCG) ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของชาเขียวจำหน่ายอย่างแพร่หลายในการศึกษาด้านความปลอดภัยพบว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ประกอบด้วยสารสกัดหรือสารสำคัญจากชาเขียวไม่เกิน 7% ค่อนข้างมีความปลอดภัยต่อการใช้กับผิวหนัง แต่อย่างไรก็ตาม ในการใช้ผลิตภัณฑ์ควรระมัดระวังหรือมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในผู้บริโภคบางราย
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. van der Vossen HAM, Wessel M (Editors). ทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลำดับที่ 16 พืชที่ให้สารกระตุ้น (ฉบับแปลภาษาไทย). เลเดน, เนเธอร์แลนด์: Backhuys Publishers; 2000.
3. Camellia sinensis (L.) Kuntze. World flora online. [Internet]. 2012 [cited 2021 Nov 27]. Available from: http://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0000582676
4. Masek A, Chrescijanska E, Latos M, Zaborski M, Podsędek A. Antioxidant and antiradical properties of green tea extract compounds. Int J Electrochem Sci. 2017;12:6600-10. doi: 10.20964/2017.07.06.
5. Becker LC, Bergfeld WF, Belsito DV, Hill RA, Klaassen CD, Liebler DC, et al. Safety assessment of Camellia sinensis-derived ingredients as used in cosmetics. Int J Toxicol. 2019;38(3_suppl):48S-70S. doi: 10.1177/1091581819889914.
6. Koch W, Zagórska J, Marzec Z, Kukula-Koch W. Applications of tea (Camellia sinensis) and its active constituents in cosmetics. Molecules. 2019;24(23):4277. doi: 10.3390/molecules24234277.
7. Hong YH, Jung EY, Shin KS, Yu KW, Chang UJ, Suh HJ. Tannase-converted green tea catechins and their anti-wrinkle activity in humans. J Cosmet Dermatol. 2013;12(2):137-43. doi: 10.1111/jocd.12038.
8. El-Shahawi MS, Hamza A, Bahaffi SO, Al-Sibaai AA, Abduljabbar TN. Analysis of some selected catechins and caffeine in green tea by high performance liquid chromatography. Food Chem. 2012;134(4):2268-75. doi: 10.1016/j.foodchem.2012.03.039.
9. Kwon OS, Han JH, Yoo HG, Chung JH, Cho KH, Eun HC, et al. Human hair growth enhancement in vitro by green tea epigallocatechin-3-gallate (EGCG). Phytomedicine. 2007;14(7-8):551-5. doi: 10.1016/j.phymed.2006.09.009.
10. Domingo DS, Camouse MM, Hsia AH, Matsui M, Maes D, Ward NL, et al. Anti-angiogenic effects of epigallocatechin-3-gallate in human skin. Int J Clin Exp Pathol. 2010;3(7):705-9.
11. Yoon JY, Kwon HH, Min SU, Thiboutot DM, Suh DH. Epigallocatechin-3-gallate improves acne in humans by modulating intracellular molecular targets and inhibiting P. acnes. J Invest Dermatol. 2013;133(2):429-40. doi: 10.1038/jid.2012.292.
12. Katiyar SK, Matsui MS, Elmets CA, Mukhtar H. Polyphenolic antioxidant (-)-epigallocatechin-3-gallate from green tea reduces UVB-induced inflammatory responses and infiltration of leukocytes in human skin. Photochem Photobiol. 1999;69(2):148-53.
13. Katiyar SK, Perez A, Mukhtar H. Green tea polyphenol treatment to human skin prevents formationof ultraviolet light B-induced pyrimidine dimers in DNA. Clin Cancer Res. 2000;6(10):3864-9.
14. Elmets CA, Singh D, Tubesing K, Matsui M, Katiyar S, Mukhtar H. Cutaneous photoprotection from ultraviolet injury by green tea polyphenols. J Am Acad Dermatol. 2001;44(3):425-32. doi: 10.1067/mjd.2001.112919.
15. Afaq F, Ahmad N, Mukhtar H. Suppression of UVB-induced phosphorylation of mitogen-activated protein kinases and nuclear factor kappa B by green tea polyphenol in SKH-1 hairless mice. Oncogene. 2003;22(58):9254-64. doi: 10.1038/sj.onc.1207035.
16. Katiyar SK, Mukhtar H. Green tea polyphenol (-)-epigallocatechin-3-gallate treatment to mouse skin prevents UVB-induced infiltration of leukocytes, depletion of antigen-presenting cells, and oxidative stress. J Leukoc Biol. 2001;69(5):719-26.
17. Ud-Din S, Foden P, Mazhari M, Al-Habba S, Baguneid M, Bulfone-Paus S, et al. A double-blind, randomized trial shows the role of zonal priming and direct topical application of epigallocatechin-3-gallate in the modulation of cutaneous scarring in human skin. J Invest Dermatol. 2019;139(8):1680-1690.e16. doi: 10.1016/j.jid.2019.01.030.
18. Katiyar SK, Afaq F, Perez A, Mukhtar H. Green tea polyphenol (-)-epigallocatechin-3-gallate treatment of human skin inhibits ultraviolet radiation-induced oxidative stress. Carcinogenesis. 2001;22(2):287-94. doi: 10.1093/carcin/22.2.287.
19. Yuki K, Ikeda N, Nishiyama N, Kasamatsu T. The reconstructed skin micronucleus assay in EpiDerm™: reduction of false-positive results - a mechanistic study with epigallocatechin gallate. Mutat Res Genet Toxicol Environ Mutagen. 2013;757(2):148-57. doi: 10.1016/j.mrgentox.2013.08.001.
20. Katiyar SK, Afaq F, Azizuddin K, Mukhtar H. Inhibition of UVB-induced oxidative stress-mediated phosphorylation of mitogen-activated protein kinase signaling pathways in cultured human epidermal keratinocytes by green tea polyphenol (-)-epigallocatechin-3-gallate. Toxicol Appl Pharmacol. 2001;176(2):110-7. doi: 10.1006/taap.2001.9276.
21. Song XZ, Bi ZG, Xu AE. Green tea polyphenol epigallocatechin-3-gallate inhibits the expression of nitric oxide synthase and generation of nitric oxide induced by ultraviolet B in HaCaT cells. Chin Med J (Engl). 2006;119(4):282-7.
22. Afaq F, Adhami VM, Ahmad N, Mukhtar H. Inhibition of ultraviolet B-mediated activation of nuclear factor kappaB in normal human epidermal keratinocytes by green tea constituent (-)-epigallocatechin-3-gallate. Oncogene. 2003;22(7):1035-44. doi: 10.1038/sj.onc.1206206.
23. Huang YW, Zhu QQ, Yang XY, Xu HH, Sun B, Wang XJ, et al. Wound healing can be improved by (-)-epigallocatechin gallate through targeting Notch in streptozotocin-induced diabetic mice. FASEB J. 2019;33(1):953-64. doi: 10.1096/fj.201800337R.
24. Trompezinski S, Denis A, Schmitt D, Viac J. Comparative effects of polyphenols from green tea (EGCG) and soybean (genistein) on VEGF and IL-8 release from normal human keratinocytes stimulated with the proinflammatory cytokine TNFalpha. Arch Dermatol Res. 2003;295(3):112-6. doi: 10.1007/s00403-003-0402-y.
25. Wu YR, Choi HJ, Kang YG, Kim JK, Shin JW. In vitro study on anti-inflammatory effects of epigallocatechin-3-gallate-loaded nano- and microscale particles. Int J Nanomedicine. 2017;12:7007-13. doi: 10.2147/IJN.S146296.
26. Vilela MM, Salvador SL, Teixeira IGL, Del Arco MCG, De Rossi A. Efficacy of green tea and its extract, epigallocatechin-3-gallate, in the reduction of cariogenic microbiota in children: a randomized clinical trial. Arch Oral Biol. 2020;114:104727. doi: 10.1016/j.archoralbio.2020.104727.
27. Seeram NP, Henning SM, Niu Y, Lee R, Scheuller HS, Heber D. Catechin and caffeine content of green tea dietary supplements and correlation with antioxidant capacity. J Agric Food Chem. 2006;54(5):1599-603. doi: 10.1021/jf052857r.
28. Sun Y, Wang Y, Huang J, Ren G, Ning J, Deng W, et al. Quality assessment of instant green tea using portable NIR spectrometer. Spectrochim Acta A Mol Biomol Spectrosc. 2020;240:118576. doi: 10.1016/j.saa.2020.118576.
29. Chen Q, Guo Z, Zhao J. Identification of green tea's [Camellia sinensis (L.)] quality level according to measurement of main catechins and caffeine contents by HPLC and support vector classification pattern recognition. J Pharm Biomed Anal. 2008;48(5):1321-5. doi: 10.1016/j.jpba.2008.09.016.
30. Nualsri C, Lourith N, Kanlayavattanakul M. Development and clinical evaluation of green tea hair tonic for greasy scalp treatment. J Cosmet Sci. 2016;67(3):161-66.
31. Mahmood T, Akhtar N, Khan BA, Khan HM, Saeed T. Outcomes of 3% green tea emulsion on skin sebum production in male volunteers. Bosn J Basic Med Sci. 2010;10(3):260-4. doi: 10.17305/bjbms.2010.2697.
32. Meetham P, Kanlayavattanakul M, Lourith N. Development and clinical efficacy evaluation of anti-greasy green tea tonner on facial skin. Rev Bras Farmacogn. 2018;28(2): 214-7. doi: 10.1016/j.bjp.2018.01.001.
33. Elsaie ML, Abdelhamid MF, Elsaaiee LT, Emam HM. The efficacy of topical 2% green tea lotion in mild-to-moderate acne vulgaris. J Drugs Dermatol. 2009; 8(4): 358-64.
34. Sharquie KE, Noaimi AA, Al-Salih MM. Topical therapy of acne vulgaris using 2% tea lotion in comparison with 5% zinc sulphate solution. Saudi Med J. 2008;29(12):1757-61.
35. Mahmood T, Akhtar N. Combined topical application of lotus and green tea improves facial skin surface parameters. Rejuvenation Res. 2013;16(2):91-7. doi: 10.1089/rej.2012.1380.
36. Mahmood T, Akhtar N, Khan BA, Shoaib Khan HM, Saeed T. Changes in skin mechanical properties after long-term application of cream containing green tea extract. Aging Clin Exp Res. 2011;23(5-6):333-6. doi: 10.1007/BF03325232.
37. Sommer AP, Zhu D. Green tea and red light--a powerful duo in skin rejuvenation. Photomed Laser Surg. 2009;27(6):969-71. doi: 10.1089/pho.2009.2547.
38. Syed TA, Wong WH, Ahmad SA, Aly R. Phase II, clinical evaluation of 2% polyphenone (green tea extract) in a hydrophilic gel to assess improvement in damaged and premature aged facial skin. a placebo-controlled, double-blind study. J Am Acad Dermatol. 2004;50:25. doi: 10.1016/j.jaad.2003.10.103.
39. Camouse MM, Domingo DS, Swain FR, Conrad EP, Matsui MS, Maes D, et al. Topical application of green and white tea extracts provides protection from solar-simulated ultraviolet light in human skin. Exp Dermatol. 2009;18(6):522-6. doi: 10.1111/j.1600-0625.2008.00818.x.
40. Yapar EA, Ynal O, Erdal MS. Design and in vivo evaluation of emulgel formulations including green tea extract and rose oil. Acta Pharm. 2013;63(4):531-44. doi: 10.2478/acph-2013-0037.
42. Ferrazzano GF, Roberto L, Amato I, Cantile T, Sangianantoni G, Ingenito A. Antimicrobial properties of green tea extract against cariogenic microflora: an in vivo study. J Med Food. 2011;14(9):907-11.doi: 10.1089/jmf.2010.0196.
43. Thomas A, Thakur SR, Shetty SB. Anti-microbial efficacy of green tea and chlorhexidine mouth rinses against Streptococcus mutans, Lactobacilli spp. and Candida albicans in children with severe early childhood caries: a randomized clinical study. J Indian Soc Pedod Prev Dent. 2016;34(1):65-70.doi: 10.4103/0970-4388.175518.
44. Hegde RJ, Kamath S. Comparison of the Streptococcus mutans and Lactobacillus colony count changes in saliva following chlorhexidine (0.12%) mouth rinse, combination mouth rinse, and green tea extract (0.5%) mouth rinse in children. J Indian Soc Pedod Prev Dent. 2017;35(2):150-55. doi: 10.4103/JISPPD.JISPPD_13_17.
45. Hajiahmadi M, Yegdaneh A, Homayoni A, Parishani H, Moshkelgosha H, Salari-Moghaddam R. Comparative evaluation of efficacy of "green tea" and "green tea with xylitol" mouthwashes on the salivary Streptococcus mutansand Lactobacilluscolony count in children: arandomized clinical trial. J Contemp Dent Pract. 2019;20(10):1190-94.
46. Ahmadi MH, Sarrami L, Yegdaneh A, Homayoni A, Bakhtiyari Z, Danaeifar N, et al. Comparative evaluation of efficacy of green tea mouth rinse and green tea gel on the salivary Streptococcus mutans and Lactobacillus colony count in 12-18-year-old teenagers: a randomized clinical trial. Contemp Clin Dent. 2019;10(1):81-5. doi: 10.4103/ccd.ccd_368_18.
47. Kaur H, Jain S, Kaur A. Comparative evaluation of the antiplaque effectiveness of green tea catechin mouthwash with chlorhexidine gluconate. J Indian Soc Periodontol. 2014;18(2):178-82. doi: 10.4103/0972-124X.131320.
48. Hambire CU, Jawade R, Patil A, Wani VR, Kulkarni AA, Nehete PB. Comparing the antiplaque efficacy of 0.5% Camellia sinensis extract, 0.05% sodium fluoride, and 0.2% chlorhexidine gluconate mouthwash in children. J Int Soc Prev Community Dent. 2015;5(3):218-26. doi: 10.4103/2231-0762.158016.
49. Thomas A, Thakur S, Habib R. Comparison of antimicrobial efficacy of green tea, garlic with lime, and sodium fluoride mouth rinses against Streptococcus mutans, Lactobacilli species, and Candida albicans in children: a randomized double-blind controlled clinical trial. Int J Clin Pediatr Dent. 2017;10(3):234-39. doi: 10.5005/jp-journals-10005-1442.
50. Salama MT, Alsughier ZA. Effect of green tea extract mouthwash on salivary Streptococcus mutans counts in a group of preschool children: an in vivo study. Int J Clin Pediatr Dent. 2019;12(2):133-8. doi: 10.5005/jp-journals-10005-1610.
51. Deshpande A, Deshpande N, Raol R, Patel K, Jaiswal V, Wadhwa M. Effect of green tea, ginger plus green tea, and chlorhexidine mouthwash on plaque-induced gingivitis: A randomized clinical trial. J Indian Soc Periodontol. 2021;25(4):307-12. doi:10.4103/jisp.jisp_449_20.
52. Liao YC, Hsu LF, Hsieh LY, Luo YY. Effectiveness of green tea mouthwash for improving oral health status in oral cancer patients: a single-blind randomized controlled trial. Int J Nurs Stud. 2021;121:103985. doi: 10.1016/j.ijnurstu.2021.103985.
54. Kamalaksharappa SK, Rai R, Babaji P, Pradeep MC. Efficacy of probiotic and green tea mouthrinse on salivary pH. J Indian Soc Pedod Prev Dent. 2018;36(3):279-82. doi: 10.4103/JISPPD.JISPPD_49_18.
55. Radafshar G, Ghotbizadeh M, Saadat F, Mirfarhadi N. Effects of green tea (Camellia sinensis) mouthwash containing 1% tannin on dental plaque and chronic gingivitis: a double-blinded, randomized, controlled trial. J Investig Clin Dent. 2017;8(1). doi: 10.1111/jicd.12184.
56. Priya BM, Anitha V, Shanmugam M, Ashwath B, Sylva SD, Vigneshwari SK. Efficacy of chlorhexidine and green tea mouthwashes in the management of dental plaque-induced gingivitis: a comparative clinical study. Contemp Clin Dent. 2015;6(4):505-9. doi: 10.4103/0976-237X.169845.
57. Sarin S, Marya C, Nagpal R, Oberoi SS, Rekhi A. Preliminary clinical evidence of the antiplaque, antigingivitis efficacy of a mouthwash containing 2% green tea - a randomised clinical trial. Oral Health Prev Dent. 2015;13(3):197-203. doi: 10.3290/j.ohpd.a33447.
58. Esimone CO, Adikwu MU, Nwafor SV, Okolo CO. Potential use of tea extract as a complementary mouthwash: comparative evaluation of two commercial samples. J Altern Complement Med. 2001;7(5):523-7. doi: 10.1089/10755530152639747.
59. Hrishi TS, Kundapur PP, Naha A, Thomas BS, Kamath S, Bhat GS. Effect of adjunctive use of green tea dentifrice in periodontitis patients - arandomized controlled pilot study. Int J Dent Hyg. 2016;14(3):178-83. doi: 10.1111/idh.12131.
60. Asadi SY, Parsaei P, Karimi M, Ezzati S, Zamiri A, Mohammadizadeh F, et al. Effect of green tea (Camellia sinensis) extract on healing process of surgical wounds in rat. Int J Surg. 2013;11(4):332-7. doi: 10.1016/j.ijsu.2013.02.014.
61. Chen G, He L, Zhang P, Zhang J, Mei X, Wang D, et al. Encapsulation of green tea polyphenol nanospheres in PVA/alginate hydrogel for promoting wound healing of diabetic rats by regulating PI3K/AKT pathway. Mater Sci Eng C Mater Biol Appl. 2020;110:110686. doi: 10.1016/j.msec.2020.110686.
62. Fatemi MJ, Nikoomaram B, Rahimi AA, Talayi D, Taghavi S, Ghavami Y. Effect of green tea on the second degree burn wounds in rats. Indian J Plast Surg. 2014;47(3):370-4. doi: 10.4103/0970-0358.146593.
63. Barg M, Rezin GT, Leffa DD, Balbinot F, Gomes LM, Carvalho-Silva M, et al. Evaluation of the protective effect of Ilex paraguariensis and Camellia sinensis extracts on the prevention of oxidative damage caused by ultraviolet radiation. Environ ToxicolPharmacol. 2014; 37(1): 195-201. doi: 10.1016/j.etap.2013.11.028.
64. Sikora E, Ogonowski J. Study of antioxidant properties of green tea extract. Chemic. 2011; 65: 968-73.
65. Silva AR, Seidl C, Furusho AS, Boeno MM, Dieamant GC, Weffort-Santos AM. In vitro evaluation of the efficacy of commercial green tea extracts in UV protection. Int J CosmetSci. 2013; 35(1): 69-77. doi: 10.1111/ics.12006.
66. Jakubczyk K, Kochman J, Kwiatkowska A, Kałduńska J, Dec K, Kawczuga D, et al. Antioxidant properties and nutritional composition of matcha green tea. Foods. 2020;9(4):483. doi: 10.3390/foods9040483.
67. Ramírez-Aristizabal LS. Ortíz A, Restrepo-Aristizabal MF, Salinas-Villada JF. Comparative study of the antioxidant capacity in green tea by extraction at different temperatures of four brands sold in Colombia. Vitae. 2017;24(2):132-45. doi: 10.17533/udea.vitae.v24n2a06.
68. Hagiu A, Attin T, Schmidlin PR, Ramenzoni LL. Dose-dependent green tea effect on decrease of inflammation in human oral gingival epithelial keratinocytes: in vitro study. Clin Oral Investig. 2020;24(7):2375-83. doi: 10.1007/s00784-019-03096-4.
69. George DE, Shetty R, Shetty PJ, Gomes LA. An in vitro study to compare the effect of different types of tea with chlorhexidine on Streptococcus mutans. J Clin Diagn Res. 2017;11(9):ZC05-7. doi: 10.7860/JCDR/2017/26581.10538.
70. Subramaniam P, Eswara U, Maheshwar Reddy KR. Effect of different types of tea on Streptococcus mutans: an in vitro study. Indian J Dent Res. 2012;23(1):43-8. doi: 10.4103/0970-9290.99037.
71. Deepak A, Govindaraju L, Jeevanandan G. Antimicrobial efficacy of greentea mouth rinse against oral bacterial causing early childhood caries. Drug Invent Today. 2019;12(7):1550-3.
72. Barroso H, Ramalhete R, Domingues A, Maci S. Inhibitory activity of a green and black tea blend on Streptococcus mutans. J Oral Microbiol. 2018;10(1):1481322. doi: 10.1080/20002297.2018.1481322.
73. Kim HK, Choi SY, Chang HK, Baek SY, Chung JO, Rha CS, et al. Human skin safety test of green tea cell extracts in condition of allergic contact dermatitis. Toxicol Res. 2012;28(2):113-6. doi: 10.5487/TR.2012.28.2.113.
74. Lee JI, Cho BK, Ock SM, Park HJ. Pigmented contact cheilitis: from green tea? Contact Dermatitis. 2010;62(1):60-1. doi: 10.1111/j.1600-0536.2009.01670.x.
75. Wu SS, Johnson JA, Peppers B, Tcheurekdjian H, Hostoffer R. A case of green tea (Camellia sinensis) imbibement causing possible anaphylaxis. Ann Allergy Asthma Immunol. 2017;118(6):747-8. doi: 10.1016/j.anai.2017.04.017.
76. Mourelle R, Pineda F, Ojeda I, Rubio G, Yago A, Baquero D, et al. Anaphylaxis caused by green tea: a case report. J Investig Allergol Clin Immunol. 2018;28(5):343-4. doi: 10.18176/jiaci.0279.
77. Isbrucker RA, Edwards JA, Wolz E, Davidovich A, Bausch J. Safety studies on epigallocatechin gallate (EGCG) preparations. Part 2: dermal, acute and short-term toxicity studies. Food Chem Toxicol. 2006;44(5):636-50. doi: 10.1016/j.fct.2005.11.003.
78. Chengelis CP, Kirkpatrick JB, Regan KS, Radovsky AE, Beck MJ, Morita O, et al. 28-Day oral (gavage) toxicity studies of green tea catechins prepared for beverages in rats. Food Chem Toxicol. 2008;46(3):978-89. doi: 10.1016/j.fct.2007.10.027.
79. Hsu YW, Tsai CF, Chen WK, Huang CF, Yen CC. A subacute toxicity evaluation of green tea (Camellia sinensis) extract in mice. Food Chem Toxicol. 2011;49(10):2624-30. doi: 10.1016/j.fct.2011.07.007.
80. Morita O, Kirkpatrick JB, Tamaki Y, Chengelis CP, Beck MJ, Bruner RH. Safety assessment of heat-sterilized green tea catechin preparation: a 6-month repeat-dose study in rats. Food Chem Toxicol. 2009;47(8):1760-70. doi: 10.1016/j.fct.2009.04.033.
81. Takami S, Imai T, Hasumura M, Cho YM, Onose J, Hirose M. Evaluation of toxicity of green tea catechins with 90-day dietary administration to F344 rats. Food Chem Toxicol. 2008;46(6):2224-9. doi: 10.1016/j.fct.2008.02.023.
82. สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร. สถานการณ์พืช: สถานการณ์การผลิตชา[อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ:สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร.[เข้าถึงเมื่อ 4 ธันวาคม2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.doa.go.th/hort/wp-content/uploads/2021/01/สถานการณ์ผลิตชา_มกราคม64.pdf
P015_(18).xlsx