ขมิ้นชัน
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Curcuma longa L.
ชื่อวงค์
ZINGIBERACEAE
ชื่อสมุนไพร
ขมิ้นชัน
ชื่ออังกฤษ
Tumeric
ชื่อพ้อง
Amomum curcuma Jacq.
Curcuma domestica Valeton
Curcuma ochrorhiza Valeton
ชื่อท้องถิ่น
ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น ตายอ สะยอ หมิ้น
ชื่อ INCI
CURCUMA LONGA RHIZOME EXTRACT
CURCUMA LONGA RHIZOME JUICE
CURCUMA LONGA RHIZOME OIL
CURCUMA LONGA ROOT
CURCUMA LONGA ROOT EXTRACT
CURCUMA LONGA ROOT JUICE
CURCUMA LONGA ROOT OIL
CURCUMA LONGA ROOT POWDER
CURCUMA LONGA ROOT WATER
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
ปลูกแถบเอเชียตอนใต้ (ประเทศไทย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย) แถบคาบสมุทรอินเดียและประเทศจีน (4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก สูง 40- 80 ซม. มีเหง้าใต้ดินแตกแขนง รูปทรงกระบอก เนื้อในสีเหลืองแกมสีส้ม มีกลิ่นหอม ใบเรียงซ้อนทับกัน รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน โคนใบสอบเรียว ปลายใบเรียวแหลม ผิวเกลี้ยงช่อดอกแบบช่อเชิงลด ออกที่ปลายลำต้นเทียม ก้านช่อดอกยาว 12 - 20 ซม. ใบประดับล่าง รูปไข่หรือรูปขอบขนาน ปลายมน สีเขียวอ่อน ใบประดับบน สีขาวแกมเหลือง หรือแกมสีเขียว กลีบเลี้ยง สีขาว เชื่อมติดกันที่โคนปลายแยกเป็น 3 แฉก มีขนละเอียด กลีบดอกสีเหลืองอ่อนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 3 แฉก กลีบปาก สีเหลืองอ่อน รูปไข่กลับ อับเรณู ที่ฐานมีเดือย รังไข่มีขนประปราย (3)
การเพาะปลูก
ฤดูกาลปลูกขมิ้นชัน
การปลูกขมิ้นชันในประเทศไทย เริ่มปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณปลายเดือนเมษายน ถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกๆ ปี และจะเก็บเกี่ยวหัวขมิ้นชันในช่วงฤดูหนาว หรือ ประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งช่วงนี้หัวขมิ้นชันจะแห้งสนิท
ดินและการเตรียมดิน
ขมิ้นชันสามารถขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่ที่เหมาะสมควรเป็นดินที่ระบายนํ้าดี นํ้าไม่ท่วมขังถ้าเป็นดินเหนียวควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอัตรา 1 ตัน/ไร่ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของดิน
การเตรียมดินควรไถพรวนก่อนต้นฤดูฝน และหลังจากพรวนดินให้มีขนาดเล็กลงแล้วก็ใช้ไถยกร่องปลูกระยะระหว่างแถว 75 ซม. ระยะระหว่างต้น 30 ซม.
การเตรียมหัวพันธุ์ขมิ้นชันสําหรับปลูก
การปลูกขมิ้นชันอาจใช้ท่อนพันธุ์ได้ 2 ลักษณะคือใช้หัวแม่ และใช้แง่ง ถ้าปลูกโดยใช้หัวแม่ที่มีรูปร่างคล้ายรูปไข่ขนาดนํ้าหนักประมาณ 15-50 ก./หัว หัวแม่นี้สามารถให้ผลผลิตประมาณ 3,300 กก./ไร่ ที่ระยะปลูก 75x30 ซม. ถ้าใช้หัวแม่ขนาดเล็กลง จะลดลงไปตามสัดส่วน ถ้าปลูกด้วยแง่งขนาด 15-30 ก./ชิ้น หรือ 7-10 ปล้อง/ชิ้น จะให้ผลผลิตนํ้าหนักสดประมาณ 2,800 กก./ไร่ ก่อนนําลงปลูกในแปลงควรแช่ด้วยยากันเชื้อราและยาฆ่าเพลี้ย เพื่อป้องกันโรคหัวเน่าและกําจัดเพลี้ยซึ่งอาจติดมากับท่อนพันธุ์และมักจะระบาดมากขึ้นในช่วงปีที่ 2-3 ของการปลูกหากไม่ได้รับการเอาใจใส่ป้องกันให้ดีก่อนปลูก โดยแช่นานประมาณ 30 นาทีควรระมัดระวังการใช้สารเคมีโดยสวมถุงมือยางที่มีสภาพเรียบร้อยไม่ขาด และควรสวมหน้ากากด้วย ก่อนปลูกขมิ้นชันควรรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยสูตร 13 - 13-21 อัตรา 50 กก./ไร่ และวางท่อนพันธุ์ลงในแปลงกลบดินหนาประมาณ 5-10 ซม. หลังจากนั้นขมิ้นชันจะใช้เวลาในการงอกประมาณ 30-70 วันหลังปลูก
การใส่ปุ๋ยและกําจัดวัชพืช
ขมิ้นชันเมื่อเริ่มงอกยาวประมาณ 5-10 ซม. ต้องรีบทําการกําจัดวัชพืช เนื่องจากขมิ้นชันหลังจากงอกจะเจริญเติบโตแข่งกับวัชพืชไม่ได้และใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 50 กก./ไร่ เมื่อกําจัดวัชพืชครั้งที่ 2 ควรพรวนดินกลบโคนแถวขมิ้นชันด้วย หลังจากนั้นกําจัดวัชพืชอีก 2-3 ครั้งก็พอ
การให้นํ้า
แม้ว่าขมิ้นชันจะเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมก็ตามในช่วงต้นฤดูฝน อาจทิ้งช่วงไปขณะที่ขมิ้นชันยังมีขนาดเล็กอยู่ อาจมีอาการเหี่ยวเฉาบ้าง จึงควรให้นํ้าชลประทานให้เพียงพอสําหรับความชุ่มชื้น หรืออาจใช้วัตถุคลุมดินเพื่อลดการระเหยของนํ้า และเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนไม่จําเป็นต้องให้นํ้าแต่ต้องระมัดระวังนํ้าท่วมขังในแปลงเป็นเวลานาน ๆ ทําให้ขมิ้นเน่าตายได้ ควรเตรียมแปลงให้มีทางระบายนํ้าและต้องรีบจัดการระบายนํ้าออกทันทีที่พบว่ามีนํ้าท่วมขัง
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
เหง้า : สมานแผล (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids) ได้แก่ curcumin (6 - 20), demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin (7 - 11, 14 - 16, 19 - 20), cyclobisdemethoxycurcumin, 5-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxy-3-methoxyphenyl)-1-hepten-3-one, 3-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-6-hepten-1,5-dione (10), octahydrocurcumin, methylcurcumin, tetrahydroxycurcumin, cyclocurcumin, (21), curcuminoid D, tetrahydrocurcumin (20), calebin-A (22), hexahydrocurcumin (23)
สารกลุ่มน้ำมันหอมระเหย (essential oils) ซึ่งประกอบด้วยสาร germacrone(9, 21, 25 - 26), α-himachalene (9, 21, 24, 27), ledane (9, 21, 24), ar-turmerone, curlone (9,12, 24 - 30), ar-curcumene (9,12, 24 - 26, 28 - 30), α-phellandrene (9, 25, 27 - 28),terpinolene, α-zingiberene (9, 25, 28), bisabolene, p-cymene(12, 21, 25, 28), 1,8-cineol (12, 21, 25, 27 - 28), β-himachalene, α-copen-11-ol (27), α-terpinyl acetate (28)
กลุ่มสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ chlorogenic acid, cinnamic acid, ferulic acid, gallic acid, protocatechuic acid, (9, 18), caffeic acid, sinapic acid(9)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ catechin, epicatechin(9)
สารกลุ่มเซสควิเทอร์พีน (sesquiterpene) ได้แก่ bisabolone-9-one, turmeronol B, 4-methyllene-5-hydroxybisabola-2,10-diene-9-one (10), β-sesquiphellandrene (9, 24), α-cedrene, β-cedrene (Zahra Ayati, 2019), β-turmerone (28)
สารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids)
สารประกอบในน้ำมันหอมระเหย (essential oil)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
กลุ่มสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มเซสควิเทอร์พีน (sesquiterpene)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารที่มีฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ได้แก่ bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin, curcumin (31)
สารที่มีฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยบนผิวกาย ได้แก่ ar-turmerone, curlone, β-turmerone, 8,9-dehydro-9-formyl-cycloisolongifolene, β-sesquiphellandrene, germacrone, ar-curcumen, α-himachalene, และ ledane (24),curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin, curcuminoid D, tetrahydrocurcumin (20)
สารที่มีฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ได้แก่ curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin (14, 22 - 23, 32), calebin-A (22), hexahydrocurcumin (23)
สารที่มีฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย ได้แก่ curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin (23)
สารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย ได้แก่ ar-turmerone, curlone, β-turmerone, 8,9-dehydro-9-formyl-cycloisolongifolene, β-sesquiphellandrene, germacrone, ar-curcumen, α-himachalene, และ ledane (24),curcumin (33)
สารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม ได้แก่ curcumin,demethoxycurcumin(7)
สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย ได้แก่ bisabolone-9-one, 4-methyllene-5-hydroxybisabola-2,10-diene-9-one, turmeronol B, 5-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxy-3-methoxyphenyl)-1-hepten-3-one, 3-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-6-hepten-1,5-dione, cyclobisdemethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin(10), curcumin (10, 34), α-terpinyl acetate, β-turmerone, α-zingiberene, 1,8-cineol (28)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของเหง้าขมิ้นชัน มีรายละเอียดดังนี้
การศึกษาที่ 1 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ High-Performance Liquid Chromatography(HPLC) วิเคราะห์สารกลุ่มcurcuminoids สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (11)
- column : InertSustain® C18 column (2.1 มม.× 150 มม., 3 มคม.) อุณหภูมิคอลัมน์37 oC
- mobile phase : ใช้binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วยA : 0.1% กรดฟอร์มิก (ในน้ำที่กำจัดไอออนต่างๆ ออกหมดแล้ว)และB : อะซิโตไนไตรล์โดยเริ่มต้นที่ 90% B เป็น 50% B นาน 0 - 3นาที จากนั้น ปรับจาก 50%B เป็น20% B นาน 3 - 5 นาที และ 20% Bเป็น 90%Bนาน5 - 8 นาที
- flow rate : 2.0 มล./นาที
-detector : photodiode array ที่ความยาวคลื่น 280, 320 และ 370นาโนเมตร
การศึกษาที่ 2 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ High-Performance Liquid Chromatography Photodiode Array-Mass Spectrometry (HPLC-DAD-MS) วิเคราะห์สารกลุ่ม phenolic compoundsและกลุ่ม curcuminoidsสภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (14)
- column :Intertsil ODS-3 reverse phase C18 column (4.6มม.× 250มม., 5มคม.)
- mobile phase : ใช้binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วยA : 0.5% กรดอะซิติกในน้ำและB : 0.5% กรดอะซิติกในเมทานอล โดยเริ่มต้นที่ 0 - 20% B (นาทีที่ 0 - 0.01), 20 - 60% B (นาทีที่ 0.01 - 2 ), 60 - 80% B (นาทีที่ 2 - 15), 100% B (นาทีที่ 15 - 30), 100 - 10% B (นาทีที่30 - 35), 10 - 0% B (นาทีที่ 35-40)
- flow rate : 1.5มล./นาที
- detector : photodiode array ที่ความยาวคลื่น 280 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 3 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ High-Performance Liquid Chromatography (HPLC) วิเคราะห์สารกลุ่ม phenolic compounds สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (18)
- column : Shim-pack GIS C18 reversed phase column (4.6 มม.× 250 มม., 5 มคม.)
- mobile phase : ใช้binary mobile phase ซึ่งประกอบด้วยA : 0.1% กรดฟอร์มิกในน้ำบริสุทธิ์และB : 0.1% กรดฟอร์มิกในเมทานอลโดยเริ่มต้นที่0% B จากนั้นปรับเป็น10% B นาน3นาที,28% B นาน 13นาที, 45% B นาน 23 นาที, 70% B นาน 38 นาที, 90% B นาน43นาที,95%B นาน 48 นาที, 95% B นาน 63 นาที
- flow rate : 1.0 มล./นาที
- detector : photodiode array ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร
การศึกษาที่ 4 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ High-Performance Liquid Chromatography (HPLC) วิเคราะห์สารกลุ่ม curcuminoids (bisdemethoxycurcumin, curcumin, demethoxycurcumin) สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (35)
- เครื่อง HPLC ชนิด Ultra High Performance Liquid Chromatography (UHPLC)
- column : BEH C18 (2.1 มม.× 100 มม., 1.7 มคม.)
- column temperature 40oC
- detector : Photodiode array
scanwavelength : 350 - 500 นาโนเมตร และ detection wavelength 425 นาโนเมตร
-mobilephase : อะซิโตไนไตรล์: 0.2% กรดอะซิติก อัตราส่วน 40 : 60 โดยปริมาตร
-flow rate : 0.4มล./นาที
- injection volume 2 มคล.
- runtime : 10 นาที
การศึกษาที่ 5 วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ Gas Chromatography-Mass Spectrometry (GC-MS) (Gas Chromatograph Varian Saturn 2100T coupledto a MS/MS Saturn 2100 ion trap mass spectrometer) วิเคราะห์สารกลุ่มessential oils สภาวะการทดลองที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (28)
- capillary column ความยาว30ม.เส้นผ่านศูนย์กลาง0.25มม.ความหนาของฟิล์ม0.25 มคม.
- Helium (He) เป็น carrier gas
- flow rate : 1 มล./นาที
- โปรแกรมควบคุมอุณหภูมิ : ตั้ง injector temperature ที่230oC ตั้งอุณหภูมิคอลัมน์ เริ่มต้นที่ 40oC นาน 4 นาทีจากนั้นเพิ่มอุณหภูมิเป็น 150oC โดยเพิ่มขึ้นทุก 5oC/นาที และคงที่ที่อุณหภูมิ 150oC นาน 13 นาที และเพิ่มขึ้นเป็น 200 oC โดยเพิ่มขึ้นทุก 10oC/นาที และคงที่ 200oC นาน 15 นาที
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ผลต้านสิวบนใบหน้า (F006)
การศึกษาในเพศชายที่สุขภาพผิวดี จำนวน 13 ราย อายุระหว่าง 20 - 40 ปีทุกคนได้รับครีม 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นครีมที่มีส่วนผสมของ 5% สารสกัดเมทานอลของเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) ทาบริเวณแก้มด้านซ้าย ชนิดที่2 เป็นครีมควบคุม ทาบริเวณแก้มด้านขวา วันละ 2 ครั้ง นาน 12 สัปดาห์ ซึ่งก่อนการทดลองจะมีการทำ patch test เพื่อตรวจสอบการแพ้ต่อครีม และทำการตรวจความมันบนใบหน้าทุก 15 วัน โดยใช้เครื่องตรวจวัดความมันบนใบหน้า (Sebumeter : model MPA 5 Courage and Khazaka, Germany) ตลอดการศึกษา พบว่าครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดขมิ้นชันสามารถลดความมันบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่าความมันบนใบหน้าเริ่มการศึกษาเท่ากับ141.4±10.8หลังสิ้นสุดการศึกษาค่าความมันบนใบหน้ามีค่าเท่ากับ 104.7±6.2ซึ่งลดลง 24.8% ในขณะที่ครีมควบคุมเพิ่มความมันบนใบหน้าตลอดการศึกษา จากการศึกษาสรุปได้ว่าครีมที่มีส่วนผสมของ 5% สารสกัดเมทานอลของเหง้าขมิ้นชันสามารถลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ (36)
1.2 ผลลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า (F008)
การศึกษาในผู้หญิงที่มีสุขภาพดี จำนวน 28 ราย อายุระหว่าง 45 - 55 ปี ให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน (ไม่ได้ระบุขนาด) (ตัวอย่างจากประเทศจีน) บริเวณแก้ม (ไม่ได้ระบุว่าทาวันละกี่ครั้ง) นาน 1 เดือน และวัดปริมาณเอนไซม์ gelatinaseโดยการใช้ FIZ-SN film ปิดที่แก้ม (ซึ่งถ้าแถบ FIZ-SN film ตรวจพบเอนไซม์ gelatinase จะเปลี่ยนสีจากสีเหลืองเป็นสีแดงหรือดำ)จากการศึกษาพบว่าครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นสามารถลดระดับเอนไซม์gelatinaseได้ 70%(18 จาก 28 ราย) นอกจากนี้เมื่อตรวจวัดความยืดหยุ่นของผิวหนังบริเวณใบหน้าด้วยเครื่องCutometerโดยดูค่า Ur/Uf (สัดส่วนของความสามารถในการกลับคืนสู่สภาพเดิมของผิวหนังเทียบกับการสูญเสียรูปร่างทั้งหมด) พบว่าค่า Ur/Uf เพิ่มขึ้น 0.443 - 0.474 และครีมดังกล่าวไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ตลอดช่วงที่ทำการศึกษา จากการศึกษาสรุปได้ว่าครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชันมีผลช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า และทำให้ผิวหน้ามีการยืดหยุ่นดี (20)
การศึกษาในผู้ที่มีสุขภาพดีทั้งชายและหญิงจำนวน 33 รายอายุเฉลี่ย 39.7±6.6 ปี ที่มีริ้วรอย
บนใบหน้า (วิเคราะห์โดยแพทย์ผิวหนัง) ซึ่งทุกคนต้องทดสอบโดยแบ่งใบหน้าเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกใช้ครีม
ที่มีส่วนผสมของสารเคอร์คูมินอยด์จากขมิ้นชัน (ประกอบด้วยสาร bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin, curcumin)ความเข้มข้น 0.01% (w/w)ในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล ขนาด 2 มก. ทาที่ใบหน้า(ตัวอย่างจากมหาวิทยาลัยนเรศวร)อีกส่วนใช้ครีมพื้นฐานปกติ ในขนาดที่เท่ากัน ทุกวันก่อนนอน นาน 8 สัปดาห์ พบว่าส่วนที่ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารเคอร์คูมินอยด์จากขมิ้นชันในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล ผิวหน้าจะดีกว่าอีกด้านที่ใช้ครีมพื้นฐานอย่างชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งสารเคอร์คูมินอยด์จากขมิ้นชันช่วยต้านการเกิดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ดี และค่อนข้างปลอดภัยเพราะไม่มีการระคายเคืองจากการใช้ครีมขมิ้นชัน (31)
การศึกษาผลของเจลสมุนไพรTricutan®ที่ประกอบด้วยสารtetrahydrocurcumin จากขมิ้นชัน (0.1%) สารสกัดน้ำจากโรสแมรี่ (0.3%) และสารสกัดบิวทีลีนไกลคอลจากบัวบก (1%) ในอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน28 รายอายุระหว่าง34 - 67 ปีโดยให้ทาเจลที่ผิวหน้าด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งทาเจลพื้นฐาน (gel base) วันละ2 ครั้งเช้าและเย็นเป็นเวลา4 สัปดาห์พบว่าอาสาสมัคร25 รายผิวด้านที่ทาเจลTricutan®มีความกระชับและความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเจลพื้นฐานขณะที่อีก3 รายไม่ได้ทดลองจนครบเนื่องจากเกิดการระคายอย่างอ่อนๆต่อผิวหน้า (37)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ผลทำให้ผิวชุ่มชื้น (S004)
การศึกษาในเพศหญิงที่ผิวแห้ง จำนวน 13 ราย อายุระหว่าง 25 - 40 ปี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ทาครีมที่มีส่วนผสมสารสกัดขมิ้นชัน 0.5% กลุ่มที่ 2 กลุ่มควบคุมทาครีมเบส ทาบริเวณแขนช่วงบน และล่าง วันละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ทาครีมที่มีส่วนผสมสารสกัดขมิ้นชัน 0.5% ในสัปดาห์ที่ 3 และ 6 ของการศึกษา ความมันของผิวหนังเพิ่มขึ้น 50 และ 87.5% ตามลำดับ และความชุ่มชื้นของผิวหนังเพิ่มขึ้น 5 และ 50% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มควบคุม ความมันของผิวหนังเพิ่มขึ้น 31.3 และ 43.8% ตามลำดับ และความชุ่มชื้นของผิวหนังเพิ่มขึ้น 1 และ 5% ตามลำดับจากการศึกษาสรุปได้ว่าครีมที่มีส่วนผสมสารสกัดขมิ้นชัน 0.5% มีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และความมันให้กับผิวหนังได้ (38)
2.1 ผลรักษาแผล (S015)
การศึกษาแบบสุ่มปกปิดฝ่ายเดียว (single blinded random sampling) ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่ศีรษะ และคอ จำนวน 50 ราย ทั้งเพศชายและหญิง อายุเฉลี่ย 56.96±7.21 ปี (กลุ่มศึกษา) และ 54.36±9.86 ปี (กลุ่มควบคุม)ที่ได้รับการฉายรังสีมากกว่า 60 Gy แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละเท่าๆ กันกลุ่มที่ 1 ให้ทาครีมขมิ้นชันในน้ำมันจันทน์หอม (ไม่ระบุความเข้มข้น)(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ขนาด 2 ก./วัน โดยทาบริเวณที่ฉายรังสีวันละ 5 ครั้ง (ก่อนฉายรังสี 2 ชม., หลังฉายรังสีเสร็จทันที, หลังฉายรังสีเสร็จ 2, 4 และ 6 ชม. ตามลำดับ)โดยใช้นิ้วทาแบบหมุนเบาๆ บริเวณที่ฉายรังสีจนยาซึมเข้าผิวหนัง นาน 7 สัปดาห์ กลุ่มที่ 2เป็นกลุ่มควบคุม ให้ทาน้ำมัน Johnson’s®baby oilขนาด 2 มล./วันด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน พบว่ากลุ่มที่ทาครีมขมิ้นชันในน้ำมันจันทน์หอมสามารถลดอาการผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสีได้ดีกว่ากลุ่มที่ทาน้ำมัน Johnson’s®baby oil อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.015) นอกจากนี้ยังพบว่าหลังสิ้นสุดการทดลองกลุ่มที่ได้รับครีมขมิ้นชันไม่พบอาการผิดปกติของผิวหนังหลังฉายรังสี 9.52% ในขณะที่กลุ่มที่ทาน้ำมัน Johnson’s®baby oil ไม่พบ 4.17% และผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสีระดับ 3 พบในกลุ่มทาครีมขมิ้นชันเพียง 9.5%ในขณะที่กลุ่มที่ทาน้ำมัน Johnson’s®baby oilพบ 37.5% (39)
3 การศึกษาเกี่ยวกับช่องปาก/ริมฝีปาก
3.1 น้ำยาบ้วนปาก (L001)
การศึกษาแบบสุ่มและปกปิดทั้ง 2 ฝ่าย (double-blind randomized controlled clinical trial) ในผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบระดับกลาง จำนวน 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละเท่าๆ กัน กลุ่มที่ 1 ให้อมบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน 0.1% ขนาด 10 มล. อมนาน 1 นาที วันละ
2 ครั้ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุม ให้อมบ้วนปากด้วย 0.2% chlorhexidine gluconate ในขนาดที่เท่ากัน นาน 21 วัน พบว่ากลุ่มที่บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชันระดับ Plaque index, Gingival index และ Gingival bleeding indexลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับก่อนเริ่มการศึกษา (1.46 ± 0.19 vs 0.94 ± 0.17, 1.36 ± 0.27 vs 0.85 ± 0.22,84.79 ± 4.27 vs 47.91 ± 4.84 ตามลำดับ) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน และไม่มีผลข้างเคียงใดๆจากการศึกษาสรุปได้ว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน 0.1% สามารถใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์ ป้องกันเหงือกอักเสบได้ และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ 0.2% chlorhexidine gluconate (40)
การศึกษาแบบสุ่มและปกปิดทั้ง 2 ฝ่าย (double-blind randomized controlled clinical trial) ในผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบที่มี Gingival index ไม่ดี และมีPlaque index มากกว่า 1และอายุระหว่าง 25 - 35 ปี จำนวน 100 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละเท่าๆ กัน กลุ่มที่ 1 ให้อมบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชันความเข้มข้น0.1มก./มล.ขนาด 10 มล.เจือจางในน้ำ อัตราส่วน 1 : 1วันละ 2 ครั้ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุม ให้อมบ้วนปากด้วย 0.2% chlorhexidine gluconate ในขนาดที่เท่ากัน นาน 21 วัน และวัด Gingival index และ Plaque index ตั้งแต่เริ่มการศึกษา และวันที่ 14 และ 21 ของการศึกษา พบว่าทั้ง 2 กลุ่ม ระดับ Gingival index และ Plaque index ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเริ่มต้น และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน
จากการศึกษาสรุปได้ว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชันความเข้มข้น 0.1 มก./มล. สามารถใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์ ป้องกันเหงือกอักเสบได้ และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ 0.2% chlorhexidine gluconate (41)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สาร curcumin และ demethoxycurcumin ที่สกัดได้จากเหง้าขมิ้น (ไม่ได้ระบุแหล่งที่มา) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์5α-reductase (ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ทำให้ผมบางและศีรษะล้าน) ด้วยวิธี enzymatic assay พบว่าที่ความเข้มข้น 300 ไมโครโมลาร์ สามารถยั้บยั้งเอนไซม์5α-reductase ได้ 104.0 ± 0.3 และ 101.4 ± 0.2% ตามลำดับ และความเข้มข้นที่สามารถยั้บยั้งเอนไซม์5α-reductase ได้ ร้อยละ 50 (IC50) มีค่าเท่ากับ 13.4 ± 0.4 และ 22.5 ± 0.6 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ (7)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (S001)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยน้ำร้อน (โดยการต้ม) (ตัวอย่างจากประเทศตุรกี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันที่ความเข้มข้น 200 มคก./มล. สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ 37.85 ± 0.96%ในขณะที่กรดโคจิก (kojic acid) ที่ความเข้มข้นเท่ากันสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ 84.10 ± 0.29% โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ คือ curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin (14)
เมื่อป้อนสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน (ไม่ระบุตัวทำละลาย) (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ขนาด1,000 มก./กก. วันละ2 ครั้งนาน19 สัปดาห์ให้กับหนูเม้าส์ที่เหนี่ยวนำให้ชั้นผิวหนังหนาขึ้น และเพิ่มปริมาณเม็ดสี (melanin) ด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลตบี (UVB) พบว่าสารสกัดขมิ้นชันสามารถลดปริมาณเม็ดสีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยที่กลุ่มที่ได้รับสารสกัดขมิ้นชันพื้นที่ที่มีเม็ดสี melanin มีค่าเท่ากับ 468.1±292.7 มคม2/พื้นที่ ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีค่าเท่ากับ 11,458.7±3,165.4 มคม2/พื้นที่ (42)
ส่วนสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเมทิลีนคลอไรด์ (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ 51 มคก./มล. (43)
สาร calebin-A (CBA) ที่สกัดได้จากเหง้าขมิ้นชัน และเป็นอนุพันธุ์ของสารกลุ่ม curcuminoids (ตัวอย่างจากประเทศสหรัฐอเมริกา) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมน α-melanocyte stimulating hormone (α MSH) ในการสร้างสาร melanin ในเซลล์ B16F10 mouse melanoma cells พบว่าสาร CBA ที่ความเข้มข้น 10, 20 ไมโครโมลาร์ สามารถยับยั้งการสร้างสาร melanin ได้เท่ากับ 31 และ 65%ตามลำดับ (22)
สาร bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin และ curcumin จากเหง้าขมิ้นชัน(ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ mushroom tyrosinase ในเซลล์ B16F10 mouse melanoma cells พบว่าสารbisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin และ curcuminมีค่า IC50ในการยับยั้งเอนไซม์ mushroom tyrosinase เท่ากับ 13.0, 11.3 และ 10.9 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ในขณะที่กรดโคจิก (kojic acid) มีค่า IC50เท่ากับ 8.9 ไมโครโมลาร์ (32)
สาร curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin และ hexahydrocurcumin จากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศไทย ไม่ได้ระบุจังหวัด) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส โดยมี L-tyrosine เป็นสารตั้งต้น พบว่าสารดังกล่าวIC50 มีค่าเท่ากับ 326.5, 470.0, 46.5 และ 14.6 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับในขณะที่กรดโคจิก (kojic acid)มีค่า IC50เท่ากับ 173.2 ไมโครโมลาร์ และถ้ามี 3,4-dihydroxyphenylalanine( DOPA) เป็นสารตั้งต้น พบว่าสารดังกล่าวมีค่า IC50เท่ากับ 94.8, 41.1, 34.8 และ 25.4 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ในขณะที่กรดโคจิก (kojic acid) มีค่า IC50เท่ากับ 132.8 ไมโครโมลาร์ (23)
2.2 ฤทธิ์ต้านสิวบนผิวกาย (S005)
สารสกัดเอทานอลของเหง้าขมิ้น (โดยการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) ความเข้มข้น 1.25, 2.5, 5.0 และ 10% เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี paper disc diffusion สารสกัดดังกล่าวสามารถต้านเชื้อ Propionibacterium acnes โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 6.6, 7.8, 8.5, 12.0 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ chloramphenicol (0.02 %) บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 16 มม.(44)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยอะซิโตน เอทานอล เมทานอล และคลอโรฟอร์ม (โดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้องนาน 72 ชม.) (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ความเข้มข้น 100 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion method พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถต้านเชื้อ P. acnes โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10.5, 11.0, 8.0 และ 13.0 มม. ตามลำดับ และสามารถต้านเชื้อ Staphylococcus aureus โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 12.0, 13.0, 13.0 และ 12.5 มม. ตามลำดับ (30)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชัน (ไม่ระบุตัวทำละลาย และวิธีการสกัด) และสารสกัดเหง้าขมิ้นชันร่วมกับกรดลอริค (lauric acid) ที่แยกได้จากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 20, 40, 80 และ160 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี microdilution brothmethod พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถต้านเชื้อ P. acnes ได้ โดยที่สารสกัดเหง้าขมิ้นชันร่วมกับกรดลอริค (lauric acid) ที่ความเข้มข้น 40, 80 และ160 มคก./มล. สามารถต้านเชื้อ P. acnes ได้มากกว่า 50%ส่วนสารสกัดเหง้าขมิ้นชันที่ความเข้มข้น 80 และ160 มคก./มล. สามารถต้านเชื้อ P. acnes ได้มากกว่า 50% ในขณะที่กรดลอริคที่ความเข้มข้น 160 มคก./มล. สามารถต้านเชื้อ P. acnes ได้มากกว่า 50% จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันร่วมกับกรดลอริค (lauric acid) สามารถต้านเชื้อ P. acnes ได้ดีกว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน(45)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยอะซิโตนและน้ำ (สกัดโดยการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ความเข้มข้น 100 มก./มล. ทำ dilution 1/10, 1/20, 1/40 และ 1/80 เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถต้านเชื้อ P. acnes โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ18 และ 15 มม. ตามลำดับ (46)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเอทานอล(ไม่ระบุความเข้มข้น)(ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถต้านเชื้อ P. acnes โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 10.8 ±0.29 มม. ในขณะที่ vancomycin บริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 13.6 ± 2.9 มม. (47)
สารสกัดเมทานอลของเหง้าขมิ้นชัน (โดยการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ATCC29293 พบว่าค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้ (Minimum inhibitory concentrations : MIC) และค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้ (Minimum bactericidal concentrations : MBC) มีค่าเท่ากับ 0.56และ 0.75 มก./มล. ตามลำดับ (48)
สารสกัดเอทานอลของเหง้าขมิ้นชัน (โดยการแช่สกัดและใช้เครื่อง water bath ที่อุณหภูมิ 60oC)(ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ATCC6538 ด้วยวิธี broth microdilution method พบว่า MIC มีค่าเท่ากับ 360.68 ± 22.62 มคก./มล. (49)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยน้ำร้อน (โดยการต้ม) (ตัวอย่างจากประเทศตุรกี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ATCC 25923 พบว่า MIC มีค่าเท่ากับ 1.25 มก./มล.โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์คือ curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin (14)
น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus พบว่า MIC มีค่าเท่ากับ 436.52 ± 20.21 มคก./มล. ในขณะที่ streptomycin MIC มีค่าเท่ากับ 320.78 ± 42.18 มคก./มล. (26)
สารสกัดเมทานอลของเหง้าขมิ้นชัน (โดยการแช่สกัดนาน24 ชม.) (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ด้วยวิธี disc diffusion พบว่า MIC มีค่าเท่ากับ 500 มก./มล.(50)
สารสกัดเอทานอลของเหง้าขมิ้นชัน (สกัดด้วยวิธีการเหวี่ยงด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง 3,000 รอบ/นาที นาน 10 นาที) (ตัวอย่างจากประเทศเอธิโอเปีย)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ATCC 25923 ด้วยวิธี agar-well diffusion method พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถต้านเชื้อ S. aureus ATCC 25923 โดยบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อมีความกว้างเท่ากับ 12.17 ± 0.29 มม. (51)
2.3 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
สารสกัดเอทานอลของเหง้าขมิ้นชัน (โดยการแช่สกัดและใช้เครื่องwater bath ที่อุณหภูมิ60oC) (ตัวอย่างจากประเทศจีน)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH (2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl) free radical scavenging assay, ABTS (2,2′-azino-bis(3-ethylbenzothiazoline-6-sulfonic acid) free radical scavenging assay, FRAP (ferric reducing ability of plasma assay) พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ1.66 ± 0.04, 2.27 ± 0.21และ 1.03 ± 0.03ไมโครโมลาร์ สมมูลของ Trolox /มก. สารสกัด ตามลำดับ (49)
น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging assay พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ 25.57 ± 1.52 มคก./มล. ในขณะที่Trolox IC50 มีค่าเท่ากับ 8.82 ± 1.37 มคก./มล. (52)
น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH scavenging assay พบว่าIC50มีค่าเท่ากับ 16 มคก./มล. ในขณะที่วิตามินซี(ascorbic acid) IC50 มีค่าเท่ากับ 6.50 มคก./มล. (26)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล (สกัดโดยการกวนด้วยแม่เหล็กที่อุณหภูมิห้อง นาน 30 นาที)และสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing (คือการสกัดโดยใช้ความร้อนและแรงดันสูง) ที่แรงดัน 686, 784, 882 และ 980 kPa (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, ABTS และ FRAP assayพบว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล และสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing ที่แรงดัน 686, 784, 882 และ 980 kPa มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ8.03 ± 0.27, 10.63 ± 0.92, 11.74 ± 1.24, 11.88 ± 1.42 และ 11.89 ± 1.62 มก. สมมูลกับวิตามินซี/ก. สารสกัดแห้ง ตามลำดับ สำหรับวิธี DPPH, ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ13.69 ± 0.48, 18.71 ± 0.80, 19.26 ± 0.61, 19.03 ± 1.96และ21.24 ± 1.32 มก. สมมูลกับวิตามินซี/ก. สารสกัดแห้ง ตามลำดับ สำหรับวิธี ABTS และ ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ9.14 ± 0.43, 11.61 ± 0.81, 12.33 ± 0.93, 12.58 ± 1.09 และ 12.98 ± 0.78มก. สมมูลกับวิตามินซี/ก. สารสกัดแห้ง ตามลำดับ สำหรับวิธี FRAP จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล และสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing ที่แรงดัน 980 kPa มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (53)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย70% เอทานอล (สกัดด้วยวิธี high hydrostatic pressure extraction : HHPEที่แรงดัน 400 MPa นาน 20 นาที) (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, ABTS และFRAP assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 11.58, 21.04 และ 12.75 มก. สมมูลกับวิตามินซี/ก. สารสกัดแห้งตามลำดับ (54)
สารสกัดเมทานอลของเหง้าขมิ้นชัน(สกัดโดยการกวนด้วยแม่เหล็กที่อุณหภูมิห้อง 25oCนาน 2 วัน) สายพันธุ์Ryudai gold และ Okinawa ukon (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ที่ความเข้มข้น 10, 25 และ50 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าIC50 มีค่าเท่ากับ 26.4 ± 0.2 และ 291.3 ± 3.1 มคก./มล.ตามลำดับ ในขณะที่ Trolox ค่าIC50 เท่ากับ23.2 ± 0.6มคก./มล. และเมื่อนำสารสกัดเหง้าขมิ้นชันสายพันธุ์ Ryudai gold มาวิเคราะห์ พบว่าสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ bisabolone-9-one, 4-methyllene-5-hydroxybisabola-2,10-diene-9-one,
turmeronol B, 5-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxy-3-methoxyphenyl)-1-hepten-3-one,
3-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-6-hepten-1,5-dione, cyclobisdemethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin, curcuminซึ่งมีค่า IC50 เท่ากับ 474, 621, 234, 29, 39, 257, 198, 47 และ 18 ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ในขณะที่ Trolox มีค่า IC50 เท่ากับ90 ไมโครโมลาร์จากการศึกษาสรุปได้ว่า สาร 5-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxy-3-methoxyphenyl)-1-hepten-3-one,
3-hydroxy-1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-6-hepten-1,5-dione, demethoxycurcumin และ curcumin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่า trolox โดยที่สาร curcumin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด (10)
สาร curcumin ที่สกัดได้จากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน) ความเข้มข้น 1 - 5 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ 5.1-20.4% (19)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเอ็น-เฮกเซน (โดยการแช่สกัดนาน 48 ชม.) (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ที่ความเข้มข้น 0.2, 0.4, 0.6, 0.8 และ 1.0 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ ABTSassay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ 68.77 ±0.41, 68.64±0.21, 73.25 ± 0.14, 74.82 ±0.51, 74.39±0.09% และ 80.05±0.16, 87.33±0.07, 85.09±0.40, 85.62±0.61, 84.61±0.28% ตามลำดับ (55)
สารสกัดน้ำเหง้าขมิ้นชัน (สกัดโดยการต้มในน้ำเดือดที่อุณหภูมิ 90oC นาน 30 นาที) (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ ABTS assay พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 70.9 มก./ล. สมมูลของกรดแกลลิก (56)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเมทานอล (โดยการแช่สกัดนาน 24 ชม.) (ตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ 717.53 มคก./มล. ในขณะที่วิตามินซี(ascorbic acid) IC50 มีค่าเท่ากับ 22.39 มคก./มล. (50)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันสดด้วยเอทานอล (สกัดด้วยวิธีการเหวี่ยงด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง 850 รอบ/นาที นาน 1 ชม. ที่อุณหภูมิห้อง) และสารสกัดน้ำเหง้าขมิ้นชัน (โดยการต้มในน้ำเดือด นาน 40 นาที จากนั้นนำเหง้าขมิ้นชันมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำไปตากแดดจนแห้ง แล้วบดเป็นผง) (ตัวอย่างจากประเทศฟิลิปปินส์) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี phosphomolybdenum method พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 28.18 และ 37.66 มก. สมมูลของ ascorbic acid/ก. สารสกัด ตามลำดับ (57)
สาร curcumin จากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay, superoxideanion scavenging assay, hydrogen peroxide assay, nitric oxide radical scavenging assay และ FRAP assay พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ 1.08 ± 0.06, 29.63 ± 2.07, 10.08 ± 2.01, 37.50 ± 1.54 มคก./มล. และ1,240± 18.54 ไมโครโมลาร์ สมมูลกับ Fe2+/ก. สารสกัด ในขณะที่วิตามินซี(ascorbic acid) IC50 ของแต่ละวิธีมีค่าเท่ากับ1.34± 0.02, 34.56±2.11, 41.50 ±1.64, 190.46± 3.87 มคก./มล. และ 1,615 ± 22.6454 ไมโครโมลาร์ สมมูลกับ Fe2+/ก. สารสกัด ตามลำดับ (34)
สารสกัดผงเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล และน้ำ (ด้วยวิธีการแช่สกัดนาน 72 ชม.) (ตัวอย่างจาก ประเทศบังคลาเทศ) ทั้งหมด 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ Mura และ Chora) แต่ปลูกใน 2 ตำบล (ตำบล Khulna และ Chittagong) ของประเทศบังคลาเทศ เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดผงเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล IC50 มีค่าอยู่ในช่วง 1.08 - 3.03 มคก./มล. และสารสกัดน้ำผงเหง้าขมิ้นชัน IC50มีค่าอยู่ในช่วง 5.31-16.55 มคก./มล. และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP assay พบว่าสารสกัดผงเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล IC50มีค่าอยู่ในช่วง 1,972.66 ± 104.78- 4,204.46 ± 74.48 ไมโครโมลาร์สมมูลกับ Fe2+/100 ก. สารสกัด และสารสกัดน้ำผงเหง้าขมิ้นชัน IC50มีค่าอยู่ในช่วง 681.18 ± 24.20 - 1,015.52 ± 3.11 ไมโครโมลาร์สมมูลกับFe2+/100 ก. สารสกัดและจากการศึกษาพบว่าสายพันธุ์ Mura จากตำบล Chittagong มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH (58)
น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศสโลวีเนีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ 14.5 มก. สมมูลกับFe2+/มล. ของน้ำมันหอมระเหย ซึ่งน้ำมันหอมระเหยที่ออกฤทธิ์ คือ α-terpinyl acetate, β-turmerone, α-zingiberene และ 1,8-cineol(28)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเมทานอล (ด้วยวิธีการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศเนปาล) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPHassay พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ 83.50±6.42 มคก./มล. ในขณะที่วิตามินซี(ascorbic acid) IC50 มีค่าเท่ากับ 20.13±0.89 มคก./มล. (59)
สารสกัดผงเหง้าขมิ้นชันด้วยเมทานอล เอทานอล และเอทิลอะซิเตด (สกัดด้วยวิธี shaking water bath นาน 24 ชม.จากนั้นเหวี่ยงด้วยเครื่องเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง 1,500 รอบ/นาที(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging, H2O2 scavenging พบว่าด้วยวิธี DPPH radical scavenging สารสกัดดังกล่าว IC50มีค่าเท่ากับ 38 ± 3.3, 30 ± 2.8 และ 47 ± 1.9มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่กรดแกลลิก(gallic acid) IC50 มีค่าเท่ากับ 27 ±2.4 มคก./มล. และด้วยวิธี H2O2 scavenging สารสกัดดังกล่าวมีค่าIC50เท่ากับ53 ± 2.8, 42 ± 3.4และ 64 ± 3.6มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่กรดแกลลิก(gallic acid) IC50 มีค่าเท่ากับ 35 ± 3.3 มคก./มล. จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดผงเหง้าขมิ้นชันด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด (60)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเอทิลอะซิเตด (ด้วยการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากจังหวัดเชียงราย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ ABTS assay พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ134.9 ± 1.5, 170.8 ± 1.6มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่วิตามินซี(ascorbic acid) IC50 มีค่าเท่ากับ 1.80 ± 0.01, 5.2 ± 0.8 มคก./มล. ตามลำดับ (61)
สารสกัดเอทานอลของเหง้าขมิ้นชันด้วยวิธี microwave-assisted extraction และวิธี soxhlet extraction (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, FRAP และABTS assay พบว่าด้วยวิธีการสกัดสารดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 64.71 ±0.49 และ 49.00 ± 0.33 มก.สมมูลของ Trolox /ก. สารสกัดตามลำดับ สำหรับการทดสอบด้วยวิธี DPPH, ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 255.66 ± 0.24 และ73.37 ± 0.18 มก. สมมูลของ Trolox /ก. สารสกัดตามลำดับสำหรับการทดสอบด้วยวิธี FRAP, และ ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 79.82± 0.03 และ 71.42 ± 0.04 มก. สมมูลของ Trolox /ก. สารสกัดตามลำดับสำหรับการทดสอบด้วยวิธี ABTS จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเอทานอลของเหง้าขมิ้นชันด้วยวิธี microwave-assisted extractionมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าการสกัดด้วยวิธี soxhlet extraction (29)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ไดคลอโรมีเทนและเอทานอล (ด้วยวิธีsoxhlet extraction) (ตัวอย่างจากจังหวัดชลบุรี) ความเข้มข้น 1 มก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และABTS assayพบว่าสารสกัดดังกล่าวมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ 72.56 ± 0.88, 85.30 ± 1.02, 81.29 ± 0.58% และ 78.44 ± 0.70, 93.60 ± 0.25, 92.68 ± 0.02% ตามลำดับ จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยไดคลอโรมีเทนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด โดยมีค่า IC50เท่ากับ 141.78 และ 88.05 มคก./มล.ทดสอบด้วยวิธี DPPH และABTS assay ตามลำดับ (29)
2.4 ฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย (S007)
การศึกษาในหนูเม้าส์ (nude mice) ที่ไม่มีขนที่ผิวหนังและถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการเหี่ยวย่น เพิ่มความหนาของชั้นผิวหนังด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลต B บริเวณหลังของหนู จากนั้นให้ทาด้วยน้ำมันจากเหง้าขมิ้นชัน ขนาด 1, 5 และ 10% (น้ำมันจากเหง้าขมิ้นชัน 150 มคล. เจือจางด้วยเอทานอลให้เป็น 1, 5 และ 10%) (ตัวอย่างจากประเทศจีน) ทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ นาน 8 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำมันจากเหง้าขมิ้นชันความหนาของชั้นใต้ผิวหนัง (stratum corneum) ลดลง เหี่ยวย่นน้อยลง โดยที่ขนาดที่ได้ผลดีที่สุดคือ น้ำมันจากเหง้าขมิ้นชันที่เจือจาง 10% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยที่สารที่ออกฤทธิ์ในน้ำมันจากเหง้าขมิ้นชันคือ ar-turmerone, curlone, β-turmerone, 8,9-dehydro-9-formyl-cycloisolongifolene, β-sesquiphellandrene, germacrone, ar-curcumene, α-himachalene และ ledane (24)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเอทานอล (โดยการแช่สกัดที่อุณหภูมิห้องนาน 1 สัปดาห์), สาร curcumin, demethoxycurcumin, bis-demethoxycurcumin, curcuminoid D, tetrahydrocurcumin จากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศจีน) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ gelatinase (เป็นเอนไซม์ที่อยู่ในกลุ่มmatrix metalloproteinases (MMPs) ในเซลล์ human epidermal keratinocytes พบว่า IC50มีค่าเท่ากับ1 x 10-3, 5 x 10-3, 3.5 x 10-3,2.8 x 10-3,5 x 10-3,1.5 x 10-3% (w/v) ตามลำดับ (20)
เมื่อป้อนสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน (ไม่ระบุตัวทำละลาย) (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ขนาด 1,000 มก./กก. วันละ 2 ครั้งนาน 19 สัปดาห์ ให้กับหนูเม้าส์ที่เหนี่ยวนำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลตบี (UVB) พบว่าสามารถป้องกันการเหี่ยวย่นของผิวหนังหนูได้ในสัปดาห์ที่ 11 ของการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (คะแนนความเหี่ยวย่นกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเหง้าชมิ้นชันเท่ากับ 2.2±0.6 ในขณะที่กลุ่มควบคุมเท่ากับ 5.2±0.6) โดยไปยับยั้งเอนไซม์ matrix metalloproteinase-2 (MMP-2) (42)
2.5 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
การศึกษาในหนูเม้าส์ (nude mice) ที่ไม่มีขนที่ผิวหนังและถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบของชั้นผิวหนังด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเลต B (UVB) บริเวณหลังของหนู และมีผลให้เพิ่มระดับ interleukin-1β และ tumor necrosis factor-α ในเซลล์ผิวหนังของหนู จากนั้นให้ทาด้วยน้ำมันจากเหง้าขมิ้นชัน ที่ขนาด 1, 5 และ 10% (น้ำมันจากเหง้าขมิ้นชัน 150 มคล. เจือจางด้วยเอทานอลให้เป็น 1, 5 และ 10%) (ตัวอย่างจากประเทศจีน) ทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ นาน 8 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้รับน้ำมันจากเหง้าขมิ้นชันระดับ interleukin-1β และ tumor necrosis factor-α ลดลง โดยขนาดที่ได้ผลดีที่สุดคือ น้ำมันจากเหง้าขมิ้นชันที่เจือจาง 10% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยที่สารที่ออกฤทธิ์ในน้ำมันจากเหง้าขมิ้นชันคือ ar-turmerone, curlone, β-turmerone, 8,9-dehydro-9-formyl-cycloisolongifolene, β-sesquiphellandrene, germacrone, ar-curcumene,α-himachalene และ ledane (24)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเมทานอล (โดยการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ความเข้มข้น 100, 200, 300, 400 และ 500 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดลองด้วยวิธีการยับยั้ง protein denaturation และ proteinase inhibitory assay พบว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเมทานอลที่ความเข้มข้น 500 มคก./มล. สามารถยับยั้ง protein denaturation ได้ 84.7% เมื่อเทียบกับ aspirin ที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. สามารถยับยั้งprotein denaturation ได้ 80.7% ในขณะที่สารสกัดดังกล่าวที่ความเข้มข้น 500 มคก./มล. สามารถยับยั้งเอนไซม์ proteinase ได้ 61% เมื่อเทียบกับ aspirin ที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. สามารถยับยั้งเอนไซม์ proteinase ได้ 62.2% สรุปได้ว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย
เมทานอลความเข้มข้น 500 มคก./มล. สามารถต้านการอักเสบได้ใกล้เคียงกับ aspirin ที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. (48)
เมื่อทาสาร cucurminoids ที่สกัดได้จากเหง้าขมิ้นชัน และสาร cucurminoids ในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล (ตัวอย่างจากประเทศบราซิล) ที่ใบหูของหนูขนาด 0.125, 0.25และ 0.5 มก./ใบหู ในหนูเม้าส์ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่ใบหูด้วยน้ำมันสลอด (croton oil) พบว่าสามารถลดการบวมอักเสบที่ใบหูได้ 53, 71, 58% และ 69, 91, 66% ตามลำดับ ในขณะที่ indomethacin ขนาด 1 มก./ใบหู เมื่อใช้ทาภายนอกสามารถลดการบวมอักเสบที่ใบหูได้ 98%เมื่อป้อนสารcucurminoids ที่สกัดได้จากเหง้าขมิ้นชัน และสาร cucurminoids ในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิลให้กับหนูเม้าส์ ขนาด 400 และ 50 มก./กก. ตามลำดับทางสายยางให้อาหารก่อน 1 ชม. ที่จะเหนี่ยวนำให้หนูเกิดการอักเสบด้วยน้ำมันสลอดพบว่าสามารถลดการบวมอักเสบได้ 47 และ 38% ตามลำดับ ในขณะที่ indomethacin ขนาด 5 มก./กก.เมื่อป้อนให้หนูกินสามารถลดการบวมอักเสบได้ 78% นอกจากนี้ยังพบว่าสาร cucurminoids ขนาด 0.5 มก./ใบหู และสาร cucurminoids ในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิลขนาด0.25และ 0.5 มก./ใบหู สามารถลดการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase ได้ 63, 62 และ 76% ตามลำดับ และสาร cucurminoids ขนาด 200, 400 มก./กก. และสารcucurminoids ในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล ขนาด 25 และ 50 มก./กก. เมื่อป้อนให้หนูกินสามารถลดการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase ได้ 55, 59 และ 67, 57% ตามลำดับ ในขณะที่ indomethacin ขนาดที่ใช้ภายนอก และขนาดที่ป้อนให้หนูกินสามารถลดการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase ได้ 59 และ 86% ตามลำดับ จากผลการศึกษาสรุปได้ว่าสาร cucurminoids ในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิลมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีกว่าสาร cucurminoids ในรูปแบบปกติ และขนาดที่ใช้ในรูปแบบรับประทานจะน้อยกว่าการใช้ภายนอก8 เท่า (63)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล (สกัดโดยการกวนด้วยแม่เหล็กที่อุณหภูมิห้อง นาน 30 นาที)และสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing (การสกัดโดยใช้ความร้อนและแรงดันสูง) ที่แรงดัน 686, 784, 882 และ 980 kPa (ตัวอย่างจากประเทศเกาหลี)เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เม็ดเลือดขาว (RAW 264.7 murine macrophages) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยสาร lipopolysaccharide พบว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสารสกัดขมิ้นชัน และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วย 70% เอทานอล ระดับสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ Interleukin-6 (IL-6) มีค่าเท่ากับ 8.78 ± 0.81 vs. 2.92 ± 0.44 พิโกกรัม/มล. และระดับ tumor necrosis factor-α (TNF-α) มีค่าเท่ากับ 141.0 ± 18.78 vs. 109.40 ± 16.73 พิโกกรัม/มล. ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing ที่แรงดัน 686, 784, 882 และ 980 kPa ระดับ IL-6 มีค่าเท่ากับ 2.37 ± 0.18, 2.84 ± 0.42, 1.14 ± 0.25 และ 0.42 ± 0.16 พิโกกรัม/มล. ตามลำดับ และระดับ TNF-α มีค่าเท่ากับ 96.66 ± 3.50, 88.20 ± 4.68, 77.49 ± 7.08และ37.63 ± 3.95 พิโกกรัม/มล. ตามลำดับ จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีกว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นชันบดผงด้วย 70% เอทานอล และสารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยการ puffing ที่แรงดัน 980 kPa มีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีที่สุด (53)
สารสกัดเหง้าขมิ้นชันด้วยเอทานอล (ไม่ระบุวิธีการสกัด) (ตัวอย่างจากประเทศอินโดนีเซีย) ความเข้มข้น 2.5, 5.0 และ 7.5 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เม็ดเลือดขาว (RAW 264.7 murine macrophages) ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยสาร lipopolysaccharide พบว่าสามารถลดระดับสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ IL-6, TNF-α, prostaglandin E2 (PGE-2), cyclooxygenase - 2 (COX-2), Interleukin -1β (IL-1β),inducible nitric oxide synthase (iNOS), nitric oxide (NO) ได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยที่สารสกัดดังกล่าวที่ความเข้มข้น 7.5 มคก./มล. ให้ผลดี่สุด และสารที่ออกฤทธิ์คือ curcumin (33)
สารสกัดน้ำร้อนเหง้าขมิ้นชัน (ด้วยวิธีการแช่สกัด) (ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่น) ความเข้มข้น 600 มคก./มล. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ผิวหนังของคน normal human epidermal keratinocytes (NHEKs) ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยรังสี UVBพบว่าสามารถลดระดับสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ TNF-α และ IL-1β ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (64)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน
การศึกษาในหนูเม้าส์จำนวน20 ตัวแบ่งหนูออกเป็น4 กลุ่มๆละเท่าๆกันกลุ่มที่1 เป็นกลุ่มควบคุมกลุ่มที่2, 3 และ4 ป้อนสารเคอร์คูมิน (curcumin) (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน)ขนาด0.5, 1.5 และ 3.5 ก./กก. นน.ตัว ทางปากครั้งเดียวหลังจากนั้น4 สัปดาห์พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารเคอร์คูมินขนาด3.5 ก./กก. หนูไม่มีอาการผิดปกติใดๆและไม่มีหนูตายแสดงว่าสารเคอร์คูมินขนาด3.5 ก./กก. เป็นขนาดที่ปลอดภัย (19)
เมื่อป้อนสารสกัดผงเหง้าขมิ้นชันด้วยน้ำ เมทานอล และเอ็น - เฮกเซน (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ให้กับหนูแรททางปากขนาด 10, 100 และ 1,000 มก./กก. นน.ตัว ครั้งเดียวในเฟสแรก และสารสกัดดังกล่าว ขนาด 1,600, 2,900 และ 5,000 มก./กก. นน.ตัว ครั้งเดียว ในเฟสที่ 2และสังเกตอาการภายใน
2 สัปดาห์ พบว่าทั้ง 2 เฟส หนูไม่มีอาการผิดปกติใดๆและไม่มีหนูตาย โดยที่ LD50 มีค่ามากกว่า 5,000 มก./กก. นน.ตัว ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย (66)
น้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) เมื่อป้อนให้หนูแรทกินทางปากขนาด 2,000 และขนาด 2,900 มก./กก. นน.ตัว ครั้งเดียว พบว่าอัตราการตายของหนูเท่ากับ 0 และ 100% หากฉีดเข้าช่องท้องของหนูขนาด 600 และ 800 มก./กก. นน.ตัวครั้งเดียว อัตราการตายของหนูเท่ากับ 0 และ 100% ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจากเหง้าขมิ้นชัน LD50 มีค่าเท่ากับ 2,154 และ 693มก./กก. นน.ตัว สำหรับการป้อนทางปาก และการฉีดเข้าช่องท้อง ตามลำดับ (67)
เมื่อป้อนสารเคอร์คิวมิน ในรูปแบบ solid lipid curcumin particle ขนาด2,000 มก./กก.นน.ตัว ครั้งเดียว ให้กับหนูแรท และหนูเม้าส์ สังเกตอาการนาน 15 วัน พบว่าไม่มีหนูตาย LD50มีค่ามากกว่า 2,000 มก./กก.นน.ตัว (68)เมื่อป้อนสารNR-INF-02 ซึ่งเป็นสารสกัดมาตรฐานของขมิ้นชันขนาด5,000 มก./กก. (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ให้กับหนูแรทพันธุ์วิสตาร์ทางปากครั้งเดียวและสังเกตอาการนาน 14 วัน พบว่าไม่มีหนูตายอวัยวะภายในไม่พบความผิดปกติใดๆแสดงว่าสาร NR-INF-02 ที่ขนาด 5,000 มก./กก. ค่อนข้างปลอดภัย (69)
การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง
การศึกษาในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีเพศชายและหญิง จำนวน 9 ราย อายุเฉลี่ย 23.8 ± 1.2 ปี เมื่อให้รับประทานแคปซูลน้ำมันขมิ้นชัน 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง (เช้า กลางวัน เย็น) นาน 1 เดือน (น้ำมันขมิ้นชัน 0.6 มล./วัน) (1 แคปซูล มีน้ำมันขมิ้นชัน 0.2 มล.) และรับประทานวันละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง (เช้า เย็น)และ 1 แคปซูล ช่วงบ่าย นาน 2 เดือน (น้ำมันขมิ้นชัน 1.0 มล./วัน) (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) พบว่าหลังจากการศึกษาได้ 1 สัปดาห์ มี 1 ราย ที่มีไข้ และอีก 1 ราย มีผื่นแดงขึ้นเหมือนผื่นแพ้ ส่วนอีก 7 ราย อยู่จนครบการศึกษาทั้งหมด 3 เดือน พบว่าทุกคนไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับค่าชีวเคมีในเลือด น้ำหนักร่างกาย ความดันโลหิต การทำงานของตับ ไต อยู่ในระดับปกติเหมือนตั้งแต่เริ่มการศึกษา จากการศึกษาสรุปได้ว่าการรับประทานน้ำมันขมิ้นชันขนาด 1.0 มล./วัน ในระยะเวลา 2 เดือน ค่อนข้างที่จะปลอดภัย แต่ก็อาจมีอาการแพ้ได้ (65)
เมื่อป้อนสาร NR-INF-02 ซึ่งเป็นสารสกัดมาตรฐานของขมิ้นชัน ขนาด 250, 500 และ 1,000 มก./กก. วันละ 1 ครั้ง(ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) ให้กับหนูแรทพันธุ์วิสตาร์ ทางปาก นาน 90 วัน และสังเกตุอาการ พบว่าที่ขนาดสูงสุด 1,000 มก./กก. ไม่มีหนูตาย และค่าชีวเคมีในเลือด หรืออวัยวะภายในไม่พบความผิดปกติใดๆ แสดงว่า NR-INF-02 ที่ขนาด 1,000 มก./กก. ค่อนข้างปลอดภัย (70)
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำของผงเหง้าขมิ้นชัน (ตัวอย่างจากประเทศไนจีเรีย) ให้กับหนูแรททางปากขนาด 10, 100 และ 1,000 มก./กก. นน.ตัว วันละ 1 ครั้ง นาน 28 วัน พบว่าไม่มีหนูตาย และไม่มีความผิดปกติที่อวัยวะใดๆ ของหนู ส่วนค่าชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับพบว่ากลุ่มที่ได้สารสกัดขนาด 100 และ 1,000มก./กก. นน.ตัวค่า AST, ALT, albumin ลดลง ส่วนค่า bilirubin และโปรตีนสูงขึ้น (66)
เมื่อป้อนสารเคอร์คิวมินในรูปแบบsolid lipid curcumin particle ขนาด0, 180, 360 และ 720 มก./กก.นน.ตัว วันละ 1 ครั้ง ให้กับหนูแรทนาน 90 วัน พบว่าไม่มีหนูตายไม่พบอาการผิดปกติในหนู ค่าชีวเคมีในเลือดอยู่ในระดับปกติ ซึ่งในขนาด 720มก./กก.นน.ตัว ถ้าเทียบกับคนที่มีน้ำหนัก 60 กก. สามารถรับประทานสารเคอร์คิวมินในรูปแบบ solid lipid curcumin particleได้มากกว่า 40 ก./คน/วัน (68)
การทดสอบความเป็นพิษเรื้อรัง
การศึกษาพิษเรื้อรังของขมิ้นชันในหนูขาวสายพันธุ์วิสตาร์ที่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำและกลุ่มทดลองที่ได้รับผงขมิ้นชันทางปากในขนาด 0.039, 2.5 และ 5.0 ก./กก./วันซึ่งเทียบเท่ากับ 1, 83 และ 166 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนคือ 1.5 ก./ 50 กก./วันเป็นเวลานาน 6 เดือนพบว่าหนูเพศผู้ที่ได้รับขมิ้นชันขนาด 2.5 และ 5.0 ก./กก./วันมีน้ำหนักตัวและการกินอาหารน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในหนูเพศเมียที่ได้รับยาขนาดเท่ากันขมิ้นชันในขนาดต่างๆที่ให้แก่หนูขาวไม่ทำให้เกิดอาการพิษใดๆรวมทั้งไม่มีผลต่อค่าทางโลหิตวิทยาหรือค่าเคมีคลินิกและไม่ทำให้เกิดพยาธิสภาพต่ออวัยวะภายในของหนูขาวทั้งสองเพศ(71)
การศึกษาความเป็นพิษเรื้อรังนาน 6 เดือน ของสารเคอร์คิวมินอยด์ในหนูขาวสายพันธุ์วิสตาร์ที่แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 15 ตัวต่อเพศ(ใน 1 กลุ่ม มีเพศผู้ 15 ตัว เพศเมีย 15 ตัว) กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมได้รับน้ำ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับ tragacanth กลุ่มทดลองที่ 3 - 5 ได้รับน้ำยาแขวนตะกอนเคอร์คิวมินอยด์ใน tragacanth ทางปากในขนาด 10, 50 และ 250 มก./กก./วันซึ่งเทียบเท่ากับ 1, 5 และ 25 เท่าของขนาดที่ใช้ ในคนต่อวันและหนูทดลองกลุ่มที่ 6 ได้รับน้ำยาแขวนตะกอนเคอร์คิวมินอยด์ขนาด 250 มก./กก./วันนาน 6 เดือนแต่หยุดให้ยา 2 สัปดาห์ ก่อนผ่าซากเพื่อดูว่าหากมีอาการพิษจากเคอร์คิวมินอยด์เกิดขึ้นจะกลับมาหายเป็นปกติได้หรือไม่หลังจากหยุดยาพบว่าอัตราการเจริญเติบโตของหนูเพศผู้ที่ได้รับเคอร์คิวมินอยด์ขนาด 50 มก./กก./วัน สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ tragacanth อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติสารเคอร์คิวมินอยด์ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่าทางโลหิตวิทยาใดๆที่มีความสัมพันธ์กับขนาดของสารที่ให้ในหนูเพศผู้ที่ได้รับเคอร์คิวมินอยด์ขนาด 250 มก./กก./วัน พบว่าน้ำหนักจริงและน้ำหนักสัมพัทธ์ของตับและระดับalkaline phosphatase สูงกว่ากลุ่มควบคุมทั้งสองกลุ่มแต่ยังอยู่ในช่วงของค่าปกติแม้ว่าหนูกลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีอุบัติการณ์ของไขมันสะสมในตับและชั้น cortex ของต่อมหมวกไตสูง แต่อุบัติการณ์ดังกล่าวไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มควบคุมทั้งสองอย่างมีนัยสำคัญผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการให้เคอร์คิวมินอยด์ในขนาดที่ใช้ในคน (10 มก./กก./วัน) ติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ทำให้เกิดพิษในหนูขาวอย่างไรก็ตามเคอร์คิวมินอยด์ในขนาดสูงอาจมีผลต่อการทำงานและโครงสร้างตับได้แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กลับเป็นปกติได้เมื่อหยุดใช้เคอร์คิวมินอยด์ (72)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ครีมที่มีส่วนผสมของ 5% สารสกัดเมทานอลของเหง้าขมิ้นชันทาบริเวณแก้มด้านซ้ายวันละ2 ครั้งนาน 12 สัปดาห์สามารถลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ (36)
ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน (ไม่ได้ระบุขนาด) บริเวณแก้ม (ไม่ได้ระบุว่าทาวันละกี่ครั้ง) นาน 1 เดือน มีผลช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าและทำให้ผิวหน้ามีการยืดหยุ่นดี (20)
ครีมที่มีส่วนผสมของสารเคอร์คูมินอยด์จากขมิ้นในรูปแบบนาโนพาร์ติเคิล ขนาด 2 มก.ทาที่ใบหน้า ทุกวันก่อนนอน นาน 8 สัปดาห์ สามารถลดการเกิดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ดี และค่อนข้างปลอดภัยเพราะไม่มีการระคายเคืองจากการใช้ครีมขมิ้นชัน (31)
เจลสมุนไพรTricutan® ที่ประกอบด้วยสาร tetrahydrocurcumin จากขมิ้น (0.1%) สารสกัดน้ำจากโรสแมรี่ (0.3%) และสารสกัดบิวทีลีนไกลคอลจากบัวบก (1%) ทาเจลที่ผิวหน้าวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นเป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีผลให้ผิวหน้ากระชับและเพิ่มขึ้นความยืดหยุ่นของผิวหน้า (37)
ครีมที่มีส่วนผสมสารสกัดขมิ้นชัน 0.5% ทาบริเวณแขนช่วงบนและล่างวันละ 2 ครั้งนาน 6 สัปดาห์มีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความมันให้กับผิวหนังได้ (38)
ทาครีมขมิ้นชันในน้ำมันจันทน์หอม ขนาด 2 ก./วันโดยทาบริเวณที่ฉายรังสีวันละ5 ครั้ง (ก่อนฉายรังสี 2 ชม., หลังฉายรังสีเสร็จทันที, หลังฉายรังสีเสร็จ 2, 4 และ 6 ชม. ตามลำดับ) นาน 7 สัปดาห์ สามารถลดอาการผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสีได้ (39)
น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชัน 0.1% ขนาด 10 มล. อมนาน1นาทีวันละ 2 ครั้งนาน 21 วัน มีผลช่วยป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์และป้องกันเหงือกอักเสบได้ (40)
น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดเหง้าขมิ้นชันความเข้มข้น0.1มก./มล. ขนาด10มล. เจือจางในน้ำอัตราส่วน 1 : 1 วันละ 2 ครั้งนาน 21 วันสามารถป้องกันการเกิดคราบจุลินทรีย์และป้องกันเหงือกอักเสบได้ (41)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
DIP (THAILAND-EN)
สรุป
จากข้อมูลการศึกษาวิจัยจะเห็นได้ว่าขมิ้นมีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการลดริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดความมันบนใบหน้าเพื่อป้องกันการเกิดสิว นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสนับสนุนเพิ่มเติม ในฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวต้านการอักเสบ และอื่นๆ ซึ่งสารที่ออกฤทธิ์ส่วนใหญ่เป็นในกลุ่มเคอร์คูมินอยด์และน้ำมันหอมระเหย ดังนั้นขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพในการที่จะใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางได้
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Curcuma longaL.World Flora Online. A Project of the World Flora Online Consortium. [cited 2021Dec2]. Available from:http://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0000365771.
3. นันทวัน บุณยะประภัศร และคณะ. ก้าวไปกับสมุนไพร เล่ม 1. กรุงเทพฯ: ธรรกมลการพิมพ์; 2529.
4. นพมาศสุนทรเจริญนนท์นงลักษณ์เรืองวิเศษ. คุณภาพเครื่องยาไทยจากงานวิจัยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ: คอนเซ็พท์เมดิคัสจำกัด. 2551
5. นันทวันบุณยะประภัศร, อรนุชโชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (1). กรุงเทพฯ: บริษัทประชาชนจำกัด; 2539.
6. Rohilla K, Ahlawat S, Choudhary M, Budhwar V. A comprehensive review on physicochemical, pharmacological and analytical profile of curcumin. Int J Res Pharm Sci. 2021;12(2):987-98. doi: 10.26452/ijrps.v12i2.4614.
7. Srivilai J, Rabgay K, Khorana N, Waranuch N, Nuengchamnong N, Wisuitiprot W. Anti-androgenic curcumin analogues as steroid 5-alpha reductase inhibitors. Med Chem Res. 2017. doi: 10.1007/s00044-017-1869-y.
8. DU Z, Jiang Y, Tang Z, MO R, Xue G, Lu Y. Antioxidation and tyrosinase inhibition of polyphenolic curcumin analogs. Biosci Biotechnol Biochem. 2011;75(12):2351-8. doi: 10.1271/bbb.110547.
9. de Oliveira Filho JG, de Almeida MJ, Sousa TL, dos Santos DC, Egea MB. Bioactive compounds of turmeric (Curcuma longa L.). 2020, doi: 10.1007/978-3-030-44578-2_37-1.
10. Aktera J, Hossain A, Takara K, Islam Z, Hou D. Antioxidant activity of different species and varieties of turmeric (Curcuma spp.): Isolation of active compounds. Comp Biochem Physiol. Part C.2019;215:9-17. doi: 10.1016/j.cbpc.2018.09.002.
11. Chumroenphata T, Somboonwatthanakula I, Saensoukb S, Siriamornpunc S. Changes in curcuminoids and chemical components of turmeric (Curcuma longa L.) under freeze-drying and low-temperature drying methods. Food Chem. 2021;339:128121. doi: 10.1016/j.foodchem.2020.128121.
12. Li S, Yuan W, Deng G, Wang P, Yang P. Chemical composition and product quality control of turmeric (Curcuma longa L.). Pharmaceutical Crops. 2011;2:28-54.
13. Verma SC. Development of a rapid separation process for curcumin from Curcuma longa L. rhizomes and its quantification by HPLC-PDA. World J Pharm Pharm Sci. 2014:3(7):752-61.
14. Tamfu AN, Ceylan O, Kucukaydin S, Duru ME. HPLC-DAD phenolic profiles, antibiofilm, anti-quorum sensing and enzyme inhibitory potentials of Camellia sinensis (L.) O. Kuntze and Curcuma longa L. LWT - Food Sci Technol. 2020;133:110150. doi: 10.1016/j.lwt.2020.110150.
15. Gokhul V, Yuvapriya S, Chandramohan M, Muthukumaran P. Isolation and extraction of curcumin from three different varieties of Curcuma Longa L – A comparative study. Int J Pharm Res Allied Sci. 2015;4(2):79-84.
16. Sandur SK, Pandey MK, Sung B, Ahn KS, Murakami A, Sethi G. Curcumin, demethoxycurcumin, bisdemethoxycurcumin, tetrahydrocurcumin and turmerones differentially regulate anti-inflammatory and anti-proliferative responses through a ROS-independent mechanism. Carcinogenesis. 2007;28(8):1765-73. doi: 10.1093/carcin/bgm123.
17. Doldolova K, Bener M, Laliko˘glu M, Asçı YS, Arat R, Apak R. Optimization and modeling of microwave-assisted extraction of curcumin and antioxidant compounds from turmeric by using natural deep eutectic solvents. Food Chem. 2021;353:129337. doi: 10.1016/j.foodchem.2021.129337.
18. Yanga Q, Chenga L, Zhangb T, Yaronc S, Jiangd H, Suia Z. Phenolic profiles, antioxidant, and antiproliferative activities of turmeric (Curcuma longa). Ind Crops Prod. 2020;152:112561. doi: 10.1016/j.indcrop.2020.112561.
19. Saeed MK, Nisa A, Ahmad I, Hina S, Zahra N, Kalim I. Physico-chemical analysis, total polyphenolic content and antioxidant capacity of yellow dye extracted from Curcuma longa. Pak J Sci Ind Res Ser B Biol Sci. 2021;64B(1):25-9. doi: 10.1088/1742-6596/1869/1/012035.
20. Muta K, Inomata S, Fukuhara T, Nomura J, Nishiyama T, TagawaY.Inhibitory effect of the extract of rhizome of Curcuma longa L. in gelatinase activity and its effect on human skin.J Biosci Bioeng. 2018;125(3):353-8. doi: 10.1016/j.jbiosc.2017.10.001.
21. Ayati Z, Ramezani M, Amiri MS, Moghadam AT, Rahimi H, Abdollahzade A. Ethnobotany, phytochemistry and traditional uses of Curcuma spp. and pharmacological profile of two important species (C. longa and C. zedoaria): A review. Curr Pharm Des. 2019;25:871-935. doi: 10.2174/1381612825666190402163940.
22. Goenka S, Nagabhushanam K, Majeed M, Simon SR. Calebin-A, a curcuminoid analog inhibits-msh-induced melanogenesis in B16F10 mouse melanoma cells. Cosmetics. 2019;6:51.doi: 10.3390/cosmetics6030051.
23. Athipornchai A, Niyomtham N, Pabuprapap W, Ajavakom V, Duca M, Azoulay S, et al.Potent tyrosinase inhibitory activity of curcuminoid analogues and inhibition kinetics studies. Cosmetics. 2021;8(2):35. doi: 10.3390/cosmetics8020035.
24. Zhenga Y, Pana C, Zhanga Z, Luoa W, Lianga X, Shia Y, et al. Antiaging effect of Curcuma longa L. essential oil on ultraviolet-irradiated skin. Microchem J. 2020;154:104608. doi: 10.1016/j.microc.2020.104608.
25. Dosoky NS, Satyal P, Setzer WN. Variations in the volatile compositions of Curcuma species. Foods. 2019;8:53. doi: 10.3390/foods8020053.
26. Lanyue Zhang, Yang Z, Chen D, Huang Z, Li Y, Lan X.Variation on composition and bioactivity of essential oils of four common curcuma herbs.Chem Biodivers. 2017:14:e1700280. doi: 10.1002/cbdv.201700280.
27. Sahoo A, Kar B, Jena S, Dash B, Ray A, Sahoo S, Nayak S. Qualitative and quantitative evaluation of rhizome essential oil of eight different cultivars of Curcumalonga L. (turmeric). TEOP. 2019;22(1):239-47. doi: 10.1080/0972060X.2019.1599734.
28. Ivanovi´c M, Makoter K, Razboršek MI. Comparative study of chemical composition and antioxidant activity of essential oils and crude extracts of four characteristic Zingiberaceae herbs. Plants. 2021;10:501.doi: 10.3390/plants10030501
29. Fernández-Marín R, Fernandes SCM, Andrés MA, Labidi J. Microwave-assisted extraction of Curcuma longa L. oil: Optimization, chemical structure and composition, antioxidant activity and comparison with conventional soxhlet extraction. Molecules. 2021;26:1516. doi: 10.3390/molecules26061516.
30. Okiki PA, Borke RV, Odesanya BO, Muhammad AA, Oguntope A. Chemical qualities of dried rhizomes of Curcuma longa Linn. and the antimicrobial activities of its extracts on microorganisms associated in skin infections. Der Pharma Chemica. 2017;9(21):17-28.
31. Plianbangchang P, Tungpradit W, Tiyaboonchai W. Efficacy and safty of curcuminoids loaded solid nanoparticles facial cream as an anti-aging agent. NUJ 2007;15(2):73-81.
32. Kima JA, Sona JK, Changa HW, Jahnga Y, Kimb Y, Naa M, Leea SH. Inhibition of mushroom tyrosinase and melanogenesis B16 mouse melanoma cells by components isolated from Curcuma longa. Nat Prod Commun. 2008;3(10):1655-8.
33. Widowati W, Jasaputra DK, Gunawan KY, Widya Kusuma HS, ARUMWARDANA S, Wahyuni CD. Turmeric extract potential inhibit inflammatory marker in LPS-stimulated marcophage cells. Int J App Pharm. 2021;13(S3):7-11. doi: 10.22159/ijap.2021.v13s3.01.
34. Borra SK, Gurumurthy P, Mahendra J, Jayamathi KM, Cherian CN, et al. Antioxidant and free radical scavenging activity of curcumin determined by using different in vitro and ex vivo models. J Med Plants Res. 2013;7(36):2680-90. doi: 10.5897/JMPR2013.5094.
35. กุลธิดา ศิริวัฒน์, บรรณาธิการ. มาตรฐานสมุนไพรไทยทางเครื่องสำอาง เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
36. Zaman S, Akhtar N. Effect of turmeric (Curcuma longa, Zingiberaceae) extract cream on human skin sebum secretion. Trop J Pharm Res. 2013;12(5):665. doi: 10.4314/tjpr.v12i5.1.
37. Sommerfeld B. Randomised, placebo-controlled, double-blind, split-face study on the clinical efficacy of Tricutans on skin firmness. Phytomed. 2007;14:711-5. doi:10.1016/j.phymed.2007.09.015.
38. Bachmid R, Ilyas F, Muchtar SV, Pattelongi IJ, Alam G, Djawad K. Effect of Curcuma longa 0.5% extract on sebum composition and skin moisture in dry skin patients: A randomised study. Int J Med Rev Case Rep. 2018. doi: 10.5455/IJMRCR.curcuma-longa-sebum-dry-skin.
39. Palatty PL, Azmidah A, Rao S, Jayachander D, Thilakchand KR, Rai MP. Topical application of a sandal wood oil and turmeric based cream prevents radiodermatitis in head and neck cancer patients undergoing external beam radiotherapy: a pilot study. Br J Radiol. 2014;87:20130490. doi: 10.1259/bjr.20130490.
40. Nagunuri D, Babitha G, Prakash S. Comparative evaluation of 0.1% turmeric mouthwash with 0.2% chlorhexidine gluconate in prevention of plaque and gingivitis: A clinical study. CODS J Dent. 2016;8(1):16-20.
41. Waghmare PF, Chaudhari AU, Karhadkar VM, Jamkhande AS. Comparative evaluation of turmeric and chlorhexidine gluconate mouthwash in prevention of plaque formation and gingivitis: A clinical and microbiological study. J Contemp Dent Pract. 2011;12(4):221-224.
42. Sumiyoshi M, Kimura Y. Effects of a turmeric extract (Curcuma longa) on chronic ultraviolet B irradiation-induced skin damage in melanin-possessing hair less mice. Phytomed. 2009;16:1137-43. doi: 10.1016/j.phymed.2009.06.003.
43. Chin NH, Lee KS, Kang S, Min KR. Lee S, Kim Y. Inhibitory effects of herbal extracts on dopa oxidase activity of tyrosinase. Nat Prod Sci. 1997;3(2):111-21.
44. Riris ID, Silalahi A, Juwitaningsih T, Hutabarat W. Antimicrobial activities of some Indonesian medicinal plants against Propionibacterium acnes (ATCC 27853) and Staphylococcus epidermis (ATCC 12228) causing acne. Asian J Chem. 2020;32(1):41-4. doi: 10.14233/ajchem.2020.22225.
45. Balakrishnan L, Ganesh Kumar A, IllanjiamS, Kiruba K. Effect of Curcuma loaded lauric acid vehicle against Propionibacterium acnes and its cytotoxic effects on PBMC and HACAT. Int J Curr Res. 2017;9(2):46553-61.
46. Samanta T, Das A. Medicinal plants on acne inducing bacteria. Int J Phytomedicine. 2015;7(3):310-5.
47. Kim J, Kim H, Jeon S, Jo J, Kim Y, Kim H. Synergistic antibacterial effects of probiotic lactic acid bacteria with Curcuma longa rhizome extract as synbiotic against Cutibacteriumacnes. Appl Sci. 2020;10:8955. doi: 10.3390/app10248955.
48. Abimbola OP, Ahmad MA, Temitayo OO. Anti-inflammatory actions and Salmonella typhimurium-bacteraemiaclearance by methanol extract of Curcuma longa Linn. (Turmeric). Malays J Microbiol. 2019;15(1):24-33. doi: 10.21161/mjm.112417.
49. Shi Y, Liang X, Chi L, Chen Y, Liang L, Zhao J, et al. Ethanol extracts from twelve Curcuma species rhizomes in China: Antimicrobial, antioxidative and anti-inflammatory activities. S Afr J Bot. 2021;140:167-72. doi: 10.1016/j.sajb.2021.04.003.
50. Zabidi AR, Mohd Razif MA, Ismail SN, Sempo MW, Yahaya N. Antimicrobial and antioxidant activities in ‘beluntas’ (Pluchea indica), turmeric (Curcuma longa) and their mixtures. Sains Malays. 2020;49(6):1293-302. doi: 10.17576/jsm-2020-4906-07.
51. Mekonnen A, Desta W. Comparative study of the antioxidant and antibacterial activities of Rumex abyssinicuswith commercially available Zingiber officinaleand Curcuma longa in Bahir Dar city, Ethiopia. Chem Biol Technol Agric. 2021;8(2):1-11. doi: 10.1186/s40538-020-00198-0.
52. Zhanga Y, Yanga Z, Weia J, Sua P, Chena D, Pana W. Contrastive analysis of chemical composition of essential oil from twelve Curcuma species distributed in China. Ind Crops Prod. 2017;108:17-25. doi: 10.1016/j.indcrop.2017.06.005.
53. Choi Y, Ban I, Lee H, Baik M and Kim W. Puffing as a novel process to enhance the antioxidant and anti-inflammatory properties of Curcuma longa L. (turmeric). Antioxidants. 2019;8:506. doi: 10.3390/antiox8110506.
54. Choi Y, Kim W , Lee J, Youn SJ, Lee H, Baik M. Enhanced antioxidant capacity of puffed turmeric (Curcuma longaL.) by high hydrostatic pressure extraction (HHPE) of bioactive compounds. Foods. 2020;9:1690. doi: 10.3390/foods9111690.
55. Nweze CC, Dingwoke EJ, Adamude FA, Nwobodo NN. Phytochemical profile and comparative anti-radical scavenging activities of n-hexane extracts of indigenous Zingiber officinale and Curcuma longa. Free Radic Antioxid. 2019;9(2):58-65. doi: 10.5530/fra.2019.2.11.
56. 2021 Permatananda P, Aryastuti A, Cahyawati P, Udiyani D, Wijaya D, Pandit I. Phytochemical and antioxidant capacity test on turmeric extract (Curcuma longa) traditionally processed in Bali. Annual Conference on Science and Technology (ANCOSET 2020). doi:10.1088/1742-6596/1869/1/012035.
57. Barbosa GB, Minguillan JMO. Antioxidant activity and total phenolic content of fresh and cured rhizomes of Curcuma longa and Etlingera philippinensis. Inter Food Res J. 2021:28(4):839-47.
58. TanvirEM, Hossen S, Hossain F, Afroz R, Gan SH, Khalil I, et al. Antioxidant properties of popular turmeric (Curcuma longa) varieties from Bangladesh. J Food Qual. 2017, Article ID 8471785, 8 pages. doi: 10.1155/2017/8471785.
59. Kharel R, Sharma KR. Evaluation of antioxidant potential and quantitative estimation of phenolic and flavonoid content in some selected Nepalese medicinal plants. Asian J Pharm Clin Res. 2020;13(1):124-8. doi: 10.22159/ajpcr.2020.v13i1.36182.
60. Maithilikarpagaselvi N, Sridhar MG, Sripradha R. Evaluation of free radical scavenging activities and phytochemical screening of Curcuma longaextracts. J Young Pharm. 2020;12(2):113-7.
61. Pintatum A, Maneerat W, Logie, E, Tuenter E, Sakavitsi Maria E, Pieters L. In vitro anti-inflammatory, anti-oxidant, and cytotoxic activities of four curcuma species and the isolation of compounds from Curcuma aromaticarhizome. Biomolecules. 2020;10:799. doi: 10.3390/biom10050799.
62. Thongrakard V, Ruangrungsi N, Ekkapongpisit M, Isidoro C, Tencomnao T. Protection from UVB toxicity in human keratinocytes by Thailand native herbs extracts. Photochem Photobiol. 2014;90:214-24.
63. Lima EP, Gonçalves OH, Ames FQ, Castro-Hoshino LV, Leimann FV, Cuman RKN, et al. Anti-inflammatory and antioxidant activity of nanoencapsulated curcuminoids extracted from Curcuma longa L. in a model of cutaneous inflammation. Inflammation. 2021;44(2):604-16. doi: 10.1007/s10753-020-01360-4.
64. Asada K, Ohara T, Muroyama K, Yamamoto Y, Murosaki S. Effects of hot water extract of Curcuma longa on human epidermal keratinocytes in vitro and skin conditions in healthy participants: A randomized, double blind, placebocontrolled trial. J Cosmet Dermatol. 2019;18:1866-74.doi:10.1111/jocd.12890.
65. Mohammed A Alhassan W, Muhammad IU, Idi AY, Abdulmumin Y. Acute and subchronic toxicity studies of aqueous, methanolic and n-hexane root extracts of Curcuma longa L. on albino rats. BJPR. 2016;14(2):1-8. doi: 10.9734/BJPR/2016/27237.
66. Oyemitan IA, Elusiyan CA, Onifade AO, Akanmu MA, Oyedeji AO, McDonald AG. Neuropharmacological profile and chemical analysis of fresh rhizome essential oil of Curcuma longa (turmeric) cultivated in Southwest Nigeria. Toxicol Rep. 2017;4:391-8. doi: 10.1016/j.toxrep.2017.07.001
67. Dadhaniya P, Patel C, Muchhara J, Bhadja N, Mathuria N, Vachhani K. Safety assessment of a solid lipid curcumin particle preparation: Acute and subchronic toxicity studies. Food Chemical Toxicol. 2011;49:1834-42. doi:10.1016/j.fct.2011.05.001.
68. Velusami CC, Boddapati SR, Srinivasa SH, Richard EJ, Joseph JA, Balasubramanian M. Safety evaluation of turmeric polysaccharide extract: assessment of mutagenicity and acute oral toxicity. Biomed Res Int. 2013, Article ID 158348, 10 pages. doi: 10.1155/2013/158348.
69. Joshi J, Ghaisas S, Vaidya A, Vaidya R, Kamat DV, Bhagwat AN. Early human safety study of turmeric oil (Curcuma longa oil) administered orally in healthy volunteers in healthy volunteers. JAPI. 2003;51:1055-60.
70. Murugan S, Solanki H, Purusothaman D, Bethapudi B, Ravalji M, undkinajeddu D. Safety evaluation of standardized extract of Curcuma longa (NRINF-02): A 90-day subchronic oral toxicity study in rats. Biomed Res Int. 2021, Article ID 6671853, 14 pages. doi: 10.1155/2021/6671853.
71. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา. บัญชียาจากสมุนไพร พ.ศ. 2549. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.
72. Chavalittumrong P, Chivapat S, Rattanajarasroj S, Punyamong S, Chuthaputti A, Phisalaphong C. Chronic toxicity study of curcuminoids in rats. Songklanakarin J Sci Technol. 2002;24(4):633-47.
73. การเพาะปลูกขมิ้นชัน[cited 2021 Dec 7]. Available from: http://eto.ku.ac.th/neweto/e-book/plant/herb_gar/kamincha.pdf.
P008_(18).xlsx