ข้าว
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Oryza sativa L.
ชื่อวงค์
POACEAE
ชื่อสมุนไพร
ข้าว
ชื่ออังกฤษ
Rice
ชื่อพ้อง
Oryza formosana Masam.& Suzuki
Oryza glutinosa Lour.
ชื่อท้องถิ่น
ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวเหนียวปั้ว ข้าวไข่แมงดา ข้าวคอแร้ง ข้าวนึ่ง
ชื่อ INCI
DEFATTED RICE BRAN
DEFATTED RICE BRAN EXTRACT
GERMINATED ORYZA SATIVA GRAIN
HYDROGENATED RICE BRAN OIL
HYDROLYZED RICE BRAN EXTRACT
ORYZA SATIVA
ORYZA SATIVA BRAN
ORYZA SATIVA BRAN CERA
ORYZA SATIVA BRAN EXTRACT
ORYZA SATIVA BRAN OIL
ORYZA SATIVA BRAN OIL EXTRACT
ORYZA SATIVA BRAN PROTEIN
ORYZA SATIVA BRAN STEROL
ORYZA SATIVA BRAN WATER
ORYZA SATIVA BRAN WAX
ORYZA SATIVA BRAN/GERM EXTRACT
ORYZA SATIVA BRAN/GERM OIL
ORYZA SATIVA CALLUS CULTURE EXTRACT
ORYZA SATIVA CALLUS EXTRACT
ORYZA SATIVA CERA
ORYZA SATIVA EXTRACT
ORYZA SATIVA GERM CELL CULTURE EXTRACT
ORYZA SATIVA GERM EXTRACT
ORYZA SATIVA GERM OIL
ORYZA SATIVA GERM POWDER
ORYZA SATIVA HULL EXTRACT
ORYZA SATIVA HULL POWDER
ORYZA SATIVA KERNEL
ORYZA SATIVA LIPIDS
ORYZA SATIVA POWDER
ORYZA SATIVA SEED EXTRACT
ORYZA SATIVA SEED OIL
ORYZA SATIVA SEED POWDER
ORYZA SATIVA SEED PROTEIN
ORYZA SATIVA SEED PROTEIN EXTRACT
ORYZA SATIVA SEED WATER
ORYZA SATIVA STARCH
OXIDIZED RICE BRAN WAX
OZONIZED ORYZA SATIVA CALLUS CULTURE EXTRACT
PG-HYDROLYZED RICE PROTEIN
RICE BRAN OIL DIMETHYLAMINOETHYL ESTERS LACTATE
RICE BRAN OIL POLYGLYCERYL-3 ESTERS
RICE BRAN OIL/HYDROGENATED RICE BRAN OIL ESTERS
RICE BRAN OIL/OLEIC ACID 3-AMINOPROPANOL AMIDES/ESTERS
RICE BRAN WAX ETHYL ESTERS
RICE DECAPEPTIDE-1 SP
RICE FERMENT FILTRATE
RICE FERMENT LEES
RICE HULL VINEGAR
RICE OIL DIGLYCERYL ESTERS
RICE OIL GLYCERETH-8 ESTERS
RICE RH-OLIGOPEPTIDE-2
RICE SH-OLIGOPEPTIDE-1
RICE SH-OLIGOPEPTIDE-2
RICE SH-POLYPEPTIDE-1
RICE SH-POLYPEPTIDE-3
RICE SH-POLYPEPTIDE-9
S-RICE POLYPEPTIDE-1
S-RICE POLYPEPTIDE-2
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นของแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ออสเตรเลีย อเมริกากลางและใต้ ข้าวสามารถเจริญเติบโตได้ตั้งแต่พื้นราบระดับน้ำทะเลจนถึงพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,500 ม. ปลูกได้ทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น สำหรับประเทศไทยมีหลักฐานทางโบราณคดีแสดงว่าได้มีการปลูกข้าวในประเทศไทยมาไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี ปัจจุบันมีพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะและชื่อต่างกัน ไม่ต่ำกว่า 3,500 ชนิด (3-4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นรูปทรงกระบอก แตกเป็นกอ สูงได้ถึง 1.5 ม. มีข้อและปล้อง ปล้องกลวง ผิวเรียบ ข้อตันโป่งพอง ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปแถบ โคนใบสอบเรียว ขอบใบมีขนสาก ปลายใบเรียวแหลม กาบใบผิวเกลี้ยง โอบหุ้มข้อปล้อง ติ่งใบมีขนอ่อนนุ่ม ลิ้นใบเป็นแผ่นบาง ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอด ช่อดอกย่อย รูปขอบขนานถึงรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ประกอบด้วยดอกสมบูรณ์เพศ 1 ดอก และดอกไม่สมบูรณ์เพศ 2 ดอก ดอกสมบูรณ์เพศ ประกอบด้วยใบประดับ 2 ใบ ปลายแหลมเป็นติ่งหรือยื่นยาวเป็นรยางค์แข็ง วงกลีบดอกลดรูปเป็นเกล็ดขนาดเล็ก เกสรเพศผู้มี 6 อัน ก้านชูยอดเกสรเพศเมียมี 2 เส้น ยอดเกสรตัวเมียมีขนยาวนุ่ม เป็นพู่ รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ผลแห้งเมล็ดติด รูปไข่ ถึงรูปรีปลายแหลม มีเปลือกแข็งหุ้มเมล็ด เมล็ดสีขาว (3-4)
การเพาะปลูก
การทำนา หรือการปลูกข้าว ทำได้หลายวิธี ได้แก่ นาดำ นาหว่าน นาหยอด นาขั้นบันใด นาที่สูง การโยนกล้า และการปักดำด้วยเครื่อง ซึ่งวิธีที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน คือ การทำนาดำ และนาหว่าน
การทำนาดำ เป็นวิธีการทำนาที่มีการนำเมล็ดข้าวไปเพาะในแปลงที่เตรียมไว้ (แปลงกล้า)ให้งอกเป็นต้นกล้า แล้วถอนต้นกล้าไปปักดำในกระทงนาที่เตรียมไว้ ระยะปักดำนั้นขึ้นกับชนิดและพันธุ์ข้าว ดังนี้
พันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงหรือข้าวนาปรัง เช่นพันธุ์ สุพรรณบุรี1 ชัยนาท1 พิษณุโลก2 สันป่าตอง 1 ควรใช้ระยะปักดำระหว่างแถวและระหว่างกอ 20x20 เซนติเมตร หรือ 20x25 เซนติเมตร
พันธุ์ข้าวไวต่อช่วงแสงหรือข้าวนาปี เช่น เหลืองประทิว123 ขาวดอกมะลิ105 กข15 กข6 ปทุมธานี60 ควรใช้ระยะปักดำ 25x25 เซนติเมตร
ปักดำจับละ 3-5 ต้น ปักดำลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร จะทำให้ข้าวแตกกอใหม่ได้เต็มที่ การปักดำลึกจะทำให้ข้าวตั้งตัวได้ช้าและแตกกอได้น้อยไม่ควรตัดใบกล้าเพราะการตัดใบกล้าจะทำให้เกิดแผลที่ใบ จะทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย ควรตัดใบกรณีที่จำเป็นจริงๆ เช่น ใช้กล้าอายุมาก มีใบยาว ต้นสูง หรือมีลมแรง เมื่อปักดำแล้วจะทำให้ต้นข้าวล้ม
ระดับน้ำในการปักดำ ควรมีระดับน้ำในนาน้อยที่สุด เพียงแค่คลุมผิวดิน เพื่อป้องกันวัชพืชและประคองต้นข้าวไว้ไม่ให้ล้ม การควบคุมระดับน้ำหลังปักดำก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะระดับน้ำลึกจะทำให้ต้นข้าวแตกกอน้อย ซึ่งจะทำให้ผลผลิตต่ำ ควรควบคุมให้อยู่ในระดับลึกประมาณ 1 ฝ่ามือ (10 ซม.)
การทำนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดยการหว่านเมล็ดลงไปในนาที่เตรียมพื้นที่ไว้แล้วโดยตรง เป็นวิธีการที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากประหยัดแรงงานและเวลา
การเตรียมดิน
การไถดะ และไถแปรการไถดะคือ การไถพลิกหน้าดินครั้งแรกเพื่อกำจัดวัชพืช และตากดินให้แห้งการไถแปร คือการไถครั้งที่สองโดยไถขวางแนวไถดะ เพื่อย่อยดินและคลุกเคล้าฟาง วัชพืช ฯลฯ ลงไปในดินการไถ ไถด้วยแรงงานสัตว์ เช่น วัว ควาย รถไถเดินตาม รถแทรกเตอร์
การคราดหรือใช้ลูกทุบ คือการกำจัดวัชพืช ตลอดจนการทำให้ดินแตกตัว และเป็นเทือกพร้อมที่จะปักดำได้ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทำต่อจากขั้นตอนที่ 1 และขังน้ำไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้มีสภาพดินที่เหมาะสมในการคราด การใช้ลูกทุบหรือเครื่องไถพรวนจอบหมุน(rotary)
ข้อควรระวังในการเตรียมดิน
ควรปล่อยให้ดินนามีโอกาสแห้งสนิท เป็นระยะเวลานานพอสมควร และถ้าสามารถไถพลิกดินล่างขึ้นมาตากให้แห้งได้ก็จะดียิ่งขึ้น ถ้าดินเปียกน้ำติดต่อกันโดยไม่มีโอกาสแห้ง จะเกิดการสะสมของสารพิษ เช่นแก๊สไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) และกรดอินทรีย์ เป็นต้น ซึ่งถ้าสารเหล่านี้มีปริมาณมากก็จะเป็นอันตรายต่อรากข้าวได้
ควรมีการหมักฟาง หญ้ารวมทั้งอินทรียวัตถุเพื่อให้สลายตัวสมบูรณ์ ประมาณ 2 สัปดาห์ หลังการไถเตรียมดิน เพื่อให้ดินปรับตัวอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของข้าว และสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารที่จำเป็นออกมาให้แก่ต้นข้าว
ดินกรดจัดหรือดินเปรี้ยวจัด มีค่าความเป็นกรด-ด่างต่ำ (pH ต่ำกว่า4.0) ควรขังน้ำไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนปักดำข้าว เพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆ ตลอดจนความเป็นกรดของดินลดลงสู่สภาวะปกติ และค่อนข้างเป็นกลางเสียก่อน ดินกลุ่มนี้ถ้ามีการขังน้ำตลอดปี หรือมีการทำนาปีละ 2 ครั้ง ก็จะเป็นการลดสภาวะความเป็นกรดของดิน และการเกิดสารพิษลงได้ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตของข้าวสูงขึ้น
การเตรียมเมล็ดพันธุ์
ตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ พิจารณาว่ามีเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปนหรือไม่ ไม่มีโรคหรือแมลงทำลาย รูปร่างเมล็ดมีความสม่ำเสมอ ถ้าพบว่ามีเมล็ดข้าวพันธุ์อื่นหรือเมล็ดวัชพืชปน หรือมีโรค แมลงทำลายก็ไม่ควรนำมาใช้ทำพันธุ์
คัดเมล็ดพันธุ์ให้ได้เมล็ดที่แข็งแรง มีน้ำหนักเมล็ดดีที่เรียกว่าข้าวเต็มเมล็ด จะได้ต้นข้าวที่เจริญเติบโตแข็งแรง
การทดสอบความงอก โดยการนำเมล็ดข้าว จำนวน 100 เมล็ด มาเพาะเพื่อดูเปอร์เซ็นต์ ความงอก อาจทำ 3-4 ซ้ำ เพื่อความแน่นอน เมื่อรู้ว่าเมล็ดงอกกี่เปอร์เซ็นต์จะได้กะปริมาณพันธุ์ข้าวที่ใช้ได้ถูกต้อง ควรเลือกใช้เมล็ดข้าวที่มีอัตราการงอก 80% ขึ้นไป
การเตรียมต้นกล้า
การเตรียมต้นกล้าให้ได้ต้นที่แข็งแรง เมื่อนำไปปักดำก็จะได้ข้าวที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และมีโอกาสให้ผลผลิตสูง ต้นกล้าที่แข็งแรงดีต้องมีการเจริญเติบโตและความสูงสม่ำเสมอทั้งแปลง มีกาบใบสั้น มีรากมากและรากขนาดใหญ่ ไม่มีโรคและแมลงทำลายการใช้กล้าอายุที่เหมาะสม จะทำให้ข้าวตั้งตัวเร็ว แตกกอได้มาก และให้ผลผลิตสูง อายุกล้าที่เหมาะสมสำหรับปักดำ ขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์ข้าวดังนี้
พันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงหรือข้าวนาปรัง เช่นพันธุ์ สุพรรณบุรี1 ชัยนาท1 พิษณุโลก2 ควรใช้กล้าที่มีอายุประมาณ 20-25 วัน
พันธุ์ข้าวไวต่อช่วงแสงหรือข้าวนาปี เช่น เหลืองประทิว123 ขาวดอกมะลิ105 กข15 กข6 ปทุมธานี60 ควรใช้กล้าที่มีอายุประมาณ 25-30 วัน
การเก็บเกี่ยว
ระยะเวลาเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม คือ 28-30 วัน หลังข้าวออกดอก การเก็บเกี่ยวในระยะนี้ทำให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพการสีดี ถ้าเก็บเกี่ยวเร็วหรือช้าเกินไปมีผลต่อคุณภาพเมล็ด คือ
การเก็บเกี่ยวเร็วเกินไป
จะได้เมล็ดข้าวน้ำหนักเบา การสะสมแป้งไม่เต็มที่
ข้าวมีความชื้นสูง ถ้าลดความชื้นล่าช้า ทำให้ข้าวเสื่อมคุณภาพ มีจุลินทรีย์เข้าทำลาย
เมล็ดยังเขียว อ่อน เมื่อนำไปสีจะมีข้าวหักและป่น
การเก็บเกี่ยวช้าเกินไป
สูญเสียผลผลิตข้าว เพราะข้าวแห้งกรอบ ร่วงหล่นในนา
นก หนู และแมลง เข้าทำลาย
ข้าวเมล็ดกรอบและมีรอยแตกร้าว
กรณีรวงข้าวแช่น้ำ ทำให้เกิดเมล็ดงอก
การเก็บรักษา
เป้าหมายหลักของการเก็บรักษาข้าว คือให้มีการสูญเสียของข้าวในขณะเก็บรักษาน้อยที่สุดทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ในด้านปริมาณ เช่น การสญเสียน้ำหนักจากการหายใจของเมล็ด การถูกทำลายจาก นก หนู แมลงในโรงเก็บ และส่วนด้านคุณภาพ เช่น เกิดข้าวเมล็ดเหลือง เกิดกลิ่นเหม็นอับ และมีสิ่งสกปรกเจือปนมาก การเก็บรักษาข้าวโดยทั่วไป ควรเก็บรักษาไว้ในสภาพหรือโรงเก็บที่มีความชื้นสัมพัทธ์และอุณหภูมิของอากาศต่ำ(ในที่แห้งและเย็น)
(79)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
เมล็ด แก้ลมพิษ แก้คัน แก้พิษอักเสบ แก้อักเสบ แก้ฟกบวม แก้ผื่นร้อนอักเสบที่ผิวหนัง ช่วยลดความระคายเคือง
น้ำซาวข้าว แก้สิว แก้คัน ถอนพิษสำแดง แก้พิษร้อนใน (5)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
เมล็ดข้าวพบสารประกอบฟีนอลิก(phenolic compounds), สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids), สารกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins), สารกลุ่มสเตอรอล (sterols), สารกลุ่มโทโคเฟอรอล (tocopherols), สารกลุ่มแลคโตน (lactones), กรดไขมัน (fatty acid)และสารประกอบอโรมาติก (aromatic compounds) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (6-18)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ 2,6-di-tert-butyl-4-methylphenol, 2′-hydroxy-5′-methylacetophenone, 2-methoxy-4-vinylphenol, 3,5-dimethylphenol, 4-tert-pentylphenol, ferulic acid, guaiacol, isoferulic acid, isovanillin, p-coumaric acid, p-hydroxybenzoic acid, protocatechuic acid, resveratrol, sinapic acid, syringic acid, vanillic acid, vanillin, vanillyl alcohol
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ myricetin, quercetin 3-glucuronide, rutin, tricin
สารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ในกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins) ได้แก่ cyanidin 3-O-rutinoside, cyanidin-3-O-glucoside, peonidin-3-O-glucoside, proanthocyanidin B2, proanthocyanidin C1
สารกลุ่มแลคโตน (lactones) ได้แก่ momilactones A, momilactones B
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ γ-oryzanol, β-sitosterol, campesterol, stigmasterol
สารกลุ่มโทโคฟีรอล (tocopherols) ได้แก่ α-tocopherol, γ-tocopherol
กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) ได้แก่ arachidic acid, behenic acid, heptadecanoic acid, lauric acid, lignoceric acid, myristic acid, palmitic acid, stearic acid
กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid) ได้แก่ gadoleic acid, linoleic acid,oleic acid
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds) ได้แก่ 2-acetylpyrrole,2-butylfuran,2-pentylfuran,3,4-dimethoxytoluene, acetophenone, benzaldehyde, benzoic acid, benzyl alcohol, dihydrobenzofuran, hedione,m-xylene, naphthalene, phenylacetaldehyde, styrene, paeoniflorin
สารกลุ่มอิโนซิทอลโพลีฟอสเฟต (inositol polyphosphates) ได้แก่ phytic acid
สารอื่นๆ (other) ได้แก่ (+)-limonene, 2,3-dimethylcyclohexanol,2-acetyl-1-pyrroline
สารประกอบฟีนอลิก
สารประกอบฟีนอลิก (ต่อ)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์
สารกลุ่มแอนโทไซยานิน
สารกลุ่มแลคโตน
สารกลุ่มสเตรอล
สารกลุ่มโทโคฟีรอล
กรดไขมันอิ่มตัว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว
สารประกอบอะโรมาติก
สารกลุ่มอิโนซิทอลโพลีฟอสเฟต
สารกลุ่มอื่นๆ
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม: linoleic acid (19-20), γ-oryzanol (20)
ลดเลือนริ้วรอย: γ-oryzanol (21-22), ferulic acid (22), phytic acid (22)
บำรุงผิว: γ-oryzanol (21-22), ferulic acid (22), phytic acid (22), cyanidin-3-O-glucoside(23), peonidin-3-O-glucoside (23), quercetin-3-β-D-glucoside (23)
ลดเลือนฝ้า: p-coumaric acid (24), ferulic acid (24), resveratrol (25)
ทำให้ผิวขาว (ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส) : p-coumaric acid (24), ferulic acid (24), 2-pentylfuran (26), guaiacol(26), vanillin (26), vanillyl alcohol (26), momilactones A-B (16), tricin (16)
ต้านอนุมูลอิสระ: γ-oryzanol (21, 27-28), tocopherols (27), cyanidin-3-O-glucoside (23), peonidin-3-O-glucoside (23), quercetin-3-β-D-glucoside (23)
ปกป้องผิวจากแสงแดด: γ-oryzanol (29)
ต้านการอักเสบ: cyanidin-3-O-glucoside (23), peonidin-3-O-glucoside (23), quercetin-3-β-D-glucoside (23)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
1 มาตรฐานน้ำมันรำข้าวตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 421) พ.ศ. 2564 เรื่อง น้ำมันและไขมัน (30) ระบุว่าน้ำมันจากข้าว ได้จากรำของข้าว ชื่อวิทยาศาสตร์ Oryza sativa L. แบ่งชนิดได้ดังนี้(1) น้ำมันรำข้าว (rice bran oil หรือ rice oil) ได้จากรำของข้าว และ (2) น้ำมันรำข้าวสเตียริน (rice bran stearin) ได้จากส่วนของแข็งหลังจากผ่านกระบวนการแยกลำดับส่วนของน้ำมันรำข้าว โดยต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐาน ดังนี้
สี เป็นไปตามลักษณะเฉพาะของน้ำมัน
กลิ่นและรส ตามคุณลักษณะเฉพาะของน้ำมัน โดยไม่มีสิ่งแปลกปลอม และไม่มีกลิ่นหืน
ค่าของกรด (acid value) ไม่เกิน 4.0 มก. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ต่อน้ำมัน 1 ก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 0.6 มิลลิกรัมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ต่อน้ำมัน 1 ก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
ค่าเพอร์ออกไซด์ (peroxide value) ไม่เกิน 15 มิลลิสมมูลย์ ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 10 มิลลิสมมูลย์ ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
น้ำและสิ่งที่ระเหยได้ (water and volatile matter) ที่อุณหภูมิ 105oC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก
ปริมาณสบู่ (soap content) ไม่เกินร้อยละ 0.005 ของน้ำหนัก
สิ่งอื่นที่ไม่ละลาย (insoluble impurities) ไม่เกินร้อยละ 0.05 ของน้ำหนัก
สารอื่นที่อาจปนเปื้อนมา สามารถพบได้ไม่เกินที่กำหนด ดังนี้
ไม่พบน้ำมันแร่ (mineral oil)
เหล็ก ไม่เกิน 5.0 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 1.5 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
ทองแดง ไม่เกิน 0.4 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านวิธีธรรมชาติ และไม่เกิน 0.1 มก. ต่อน้ำมัน 1 กก. สำหรับน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี
คุณลักษณะทางเคมีและกายภาพของน้ำมันรำข้าวและน้ำมันรำข้าวสเตียรินตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข มีรายละเอียดดังนี้
ค่าแซพอนิฟีเคชัน (saponification value) 180-199 มก. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ต่อน้ำมัน 1 ก.
ค่าไอโอดีน แบบวิจส์ (iodine value) (Wijs) 90-115 ก. ไอโอดีนต่อน้ำมัน 100 ก.สำหรับน้ำมันรำข้าว และมีค่าไอโอดีน แบบวิจส์ 70-90 ก. ไอโอดีนต่อน้ำมัน 100 ก.สำหรับน้ำมันรำข้าวสเตียริน
อันแซพอนิฟิเอเบิลแมตเตอร์ (unsaponifiable matter) ไม่เกิน 65 ก. ต่อน้ำมัน 1 กก.
องค์ประกอบของกรดไขมันของน้ำมันรำข้าว เมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี gas liquid chromatography (GLC) มีรายละเอียดดังนี้
กรดลอริก (lauric acid) C12:0 ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดไมริสติก (myristic acid) C14:0 ไม่เกินร้อยละ 1.0 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดพัลมิติก (palmitic acid) C16:0 ร้อยละ 14-23 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดพัลมิโทลีอิก (palmitoleic acid) C16:1 ไม่เกินร้อยละ 0.5 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดสเตียริก (stearic acid) C18:0 ร้อยละ 0.9-4.0 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดโอลีอิก (oleic acid) C18:1 ร้อยละ 38-48 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิโนลีอิก (linoleic acid)C18:2ร้อยละ 21-42ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิโนลีนิก (linolenic acid)C18:3ไม่เกินร้อยละ 2.9 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดอะแรคิดิก (arachidic acid)C20:0ไม่เกินร้อยละ 0.9 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดแกโดลีอิก (gadoleic acid)C20:1ไม่เกินร้อยละ 0.8ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดเบเฮนิก (behenic acid)C22:0 ไม่เกินร้อยละ 1.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิกโนซีริก (lignoceric acid)C24:0 ไม่เกินร้อยละ 0.9 ของกรดไขมันทั้งหมด
องค์ประกอบของกรดไขมันของน้ำมันรำข้าวสเตียริน เมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี gas liquid chromatography (GLC) มีรายละเอียดดังนี้
กรดลอริก (lauric acid) C12:0 ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดไมริสติก (myristic acid) C14:0 ไม่เกินร้อยละ 1.0 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดพัลมิติก (palmitic acid) C16:0 ร้อยละ 27-35 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดพัลมิโทลีอิก (palmitoleic acid) C16:1 ไม่เกินร้อยละ 0.5 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดเฮปตะเดคาโนอิก (heptadecanoic acid)C17:0ไม่เกินร้อยละ 0.2ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดสเตียริก (stearic acid) C18:0 ร้อยละ 0.9-4.0 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดโอลีอิก (oleic acid) C18:1 ร้อยละ 30-48 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิโนลีอิก (linoleic acid)C18:2ร้อยละ 21-42ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิโนลีนิก (linolenic acid)C18:3ไม่เกินร้อยละ 2.9 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดอะแรคิดิก (arachidic acid) C20:0 ร้อยละ 1-1.4 ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดแกโดลีอิก (gadoleic acid)C20:1ไม่เกินร้อยละ 0.8ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดเบเฮนิก (behenic acid)C22:0 ไม่เกินร้อยละ 1.0ของกรดไขมันทั้งหมด
กรดลิกโนซีริก (lignoceric acid)C24:0 ไม่เกินร้อยละ 0.9 ของกรดไขมันทั้งหมด
2 วิธีการวิเคราะห์ปริมาณ γ-oryzanolด้วย high performance liquid chromatography (HPLC)
การศึกษาที่1 (8)
column: a Nova-Pak C18 (5 มคม.;150 x 3.9 มม.)
mobile phase: methanol, acetonitrile, waterและ dichloromethaneโดยเริ่มจาก methanol:acetonitrile:water:dichloromethaneอัตราส่วน 50:40:5:5 เป็นเวลา 5 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็นlinear gradientเริ่มจากmethanol:acetonitrile:water:dichloromethane อัตราส่วน45:45:5:5 (v/v/v) ภายใน 10 นาทีและคงไว้ 30 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็นอัตราส่วนเป็น 40:45:5:10(v/v/v) คงไว้ 60 นาที แล้วค่อยๆ ลดลงจนถึงสภาวะเริ่มต้น
flow rate: 1 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode detector 325นาโนเมตร
3 วิธีการวิเคราะห์ปริมาณ γ-oryzanolและ tocopherol ด้วย reversed phase high performance liquid chromatography (RP-HPLC)
การศึกษาที่1 (6)
column: C18 (4 มคม.;150 x 4.6 มม.)
mobile phase: methanol (A), water (B), butanol (C) เริ่มจาก: 0-12 min 92%A, 4%B และ 4%C; 12-25 min โดยใช้ linear gradient 4%B - 3%B และ 4%C - 5%C
flow rate: 1.5 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode detector 292 นาโนเมตร (tocopherol) และ 325 นาโนเมตร (γ-oryzanol)
การศึกษาที่2 (31)
column: Nova Pak C18 (4 มคม.;150 x 3.9 มม.)
mobile phase: acetonitrile, methanol (MeoH), isopropanol (IsOH)และ 1% aqueous acetic acid โดยเริ่มจาก acetonitrile: MeOH: IsOH: acetic acid อัตราส่วน45:45:5:5เป็นเวลา 6 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็น linear gradientเริ่มจาก acetonitrile: MeOH: IsOH อัตราส่วน 25:70:5 (v/v/v) ภายในเวลา 10 นาที และคงไว้ 12 นาที แล้วค่อยๆ ลดลงจนถึงสภาวะเริ่มต้น
flow rate: 0.8 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode detector 298 นาโนเมตร(tocopherol), 328 นาโนเมตร(tocotrienol) และ 325 นาโนเมตร (γ-oryzanol)
4 วิธีการวิเคราะห์ปริมาณ tocopherol ด้วยวิธี Rapid Liquid chromatography
การศึกษาที่1 (8)
column: LiChrosphere-Diol 100 (5 มคม.;250 x 4.0 มม.)
mobile phase: hexane:isopropanol (98.7:1.3, v/v)
flow rate: 1 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode detector 290 นาโนเมตร(tocopherol), 330 นาโนเมตร(tocotrienol)
5 วิธีการวิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ด้วยวิธีhigh performance liquid chromatography (HPLC)
การศึกษาที่1 (10)
column: TSKgel ODS-100-V (5 มคม.;150 x 4.6 มม.)
mobile phase: 0.1% v/v acetic acid in water (A), 0.1% v/v acetic acid in methanol (B) โดยอัตราส่วนจะเปลี่ยนไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system): 0–11 นาที, 9–14% B; 11–14 นาที, 14–15% B; 14–17 นาที, 15%B; 17–24 นาที, 15–16.5% B; 24–28 นาที, 16.5–19% B; 28–30 นาที, 19–25% B; 30–36 นาที, 25–26% B; 36–38 นาที, 26–28% B; 38–41 นาที, 28–35% B; 41–46 นาที, 35–40% B; 46–48 นาท, 40–48% B; 48–53 นาที, 48–53% B; 53–70 นาที, 53–70% B; 70–72 นาที, 70–9% B; 72–75 นาที, 9% B.
flow rate: 1 มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode detector 280นาโนเมตรและ 330 นาโนเมตร
standard: hydroxybenzoic acids (ประกอบด้วย protocatechuic acid และ vanillic acid), hydroxycinnamic acids (ประกอบด้วยp-coumaricacid, ferulic acidและ sinapic acid), และ flavonoids (ประกอบด้วยrutin, myricetinและ quercetin 3-glucuronide)
6 วิธีการวิเคราะห์ปริมาณสารแอนโทไซยานินด้วยวิธีhigh performance liquid chromatography (HPLC)
การศึกษาที่ 1 (32)
column: A Gemini C18 110A (5 มคม.;150 x 4.6 มม.)
mobile phase: 0.5% formic acid in water (A), 0.5% formic acid in methanol (B) โดยอัตราส่วนจะเปลี่ยนไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system): 0-5 นาที, 10% B; 5-8 นาที, 10-15% B; 8-13 นาที, 15-20% B; 13-18 นาที, 20-25% B; 18-25 นาที, 25-30% B;25-30 นาที, 30-35% B; 30-35 นาที, 35-50% B; 35-40 นาที, 50-60%B; 40-45 นาที, 60-95% B; 45-50 นาที, 95-10% B; 50-58 นาที 10% B.
flow rate: 0.5มล./นาที
injection volume: 20 มคล.
detector: photodiode detector 520 นาโนเมตร
standard: cyanidin 3-glucoside และ peonidin 3-glucoside
7 วิธีการวิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกด้วยวิธี ultra performance liquid chromatography (UPLC)
การศึกษาที่ 1 (24)
column: BEH C18(1.7 มคม.;100 x 2.1 มม.)
mobile phase: acetonitrile(A)และ 3% aqueous acetic acid (B)อัตราส่วนจะเปลี่ยนไปตามเวลาที่กำหนด คือ 0 นาที 100% B, 1.5 นาที 95% B,3 นาที 85% B, 5 นาที 80% B และ 8 นาที 70% B.
flow rate: 0.6มล./นาที
injection volume: ไม่ระบุ
standard: gallic, protocatechuic,chlorogenic, caffeic, syringic, p-coumaric,ferulic, sinapic, rosmarinicacids, vanillin, quercetin
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
การศึกษาแบบ double-blind randomized controlled single-center trial ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของโทนิกบำรุงผมสารสกัดรำข้าวญี่ปุ่นด้วยเทคนิคคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้สภาวะวิกฤติยวดยิ่ง (rice bran supercritical CO2extract) (ข้าวสายพันธุ์ญี่ปุ่น ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการศึกษาในอาสาสมัครเพศชายและหญิงที่มีปัญหาศีรษะล้านเนื่องจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน จำนวน 50 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มโทนิคบำรุงผมสารสกัดรำข้าวญี่ปุ่น 0.5%และกลุ่มยาหลอก (โทนิคบำรุงผมที่ไม่มีส่วนผสมของสารสกัดรำข้าว) ให้อาสาสมัครทาโทนิคบนหนังศีรษะครั้งละ 4 มล. วันละ 2 ครั้ง (ทาห่างกัน 12 ชม.) ติดต่อกัน 16 สัปดาห์ ประเมินผลจากการเปลี่ยนแปลงของจำนวนเส้นผม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความหนาแน่นของเส้นผมด้วย Folliscope®ร่วมกับการทำแบบประเมินด้วยตนเองและการถ่ายภาพ พบว่าโทนิคสารสกัดรำข้าวญี่ปุ่นเพิ่มความหนาแน่นและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมในอาสาสมัครเพศชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติส่วนในอาสาสมัครเพศหญิงความหนาแน่นและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ อาสาสมัครทั้งหมดมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์และไม่พบรายงานไม่พึงประสงค์หรืออาการระคายเคือง (20)
1.2 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
การศึกษาพัฒนาไมโครอิมัลชันของสารสกัดข้าวสังข์หยด(ไม่ระบุตัวทำละลาย) พบว่าตำรับไมโครอิมัลชันสารสกัดข้าวสังข์หยดที่ประกอบด้วย isopropyl palmitate, Triton X-114, propylene glycol และ deionized water ในอัตราส่วน 10:26.7:13.3:50 (O1W5-5) มีความเหมาะสมด้วยขนาดอนุภาค 16.62±1.16 นาโนเมตร ค่า PDI 0.311±0.047ค่า pH 5.5ลักษณะสีเหลืองเข้มใส และมีความหนืดเหมาะสม การทดสอบการซึมผ่านผิวของไมโครอิมัลชันสารสกัดข้าวสังข์หยดและสารสกัดหยาบข้าวสังข์หยดด้วยวิธี Franz diffusion cell โดยใช้พอลิเมอร์กึ่งสังเคราะห์เป็นเยื่อแพร่ผ่าน (Cellulose acetate, 0.45มคม.) พบว่าไมโครอิมัลชันสารสกัดข้าวสังข์หยดมีการซึมผ่าน membrane ได้มากกว่าสารสกัดข้าวสังข์หยดอย่างเดียวที่เวลาเดียวกัน โดยไมโครอิมัลชันสารสกัดหยาบข้าวสังข์หยดมี cumulative amount ในช่วงเวลา 8 และ 24 ชั่วโมง เท่ากับ 46.65 และ 113.46 มก./ตร.ซม.ซึ่งมากกว่าการซึมผ่านของสารสกัดหยาบข้าวสังข์หยดประมาณ 15 เท่า (3.00 มก./ตร.ซม.และ 7.35 มก./ตร.ซม.ที่ 8 และ24 ชั่วโมง ตามลำดับ) จากการศึกษาประสิทธิภาพการป้องกันผมร่วงของเซรั่มไมโครอิมัลชันสารสกัดข้าวสังข์หยด(สูตรตำรับประกอบด้วยไมโครอิมัลชันสารสกัดข้าวสังข์หยด 94% และเอทานอล 5% โดยน้ำหนัก)ในอาสาสมัครเพศชายและเพศหญิง จำนวน 42 ราย(ไม่ระบุขนาดและวิธีใช้) พบว่ามีประสิทธิภาพการลดการหลุดร่วงของเส้นผมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผมร่วงลดลงจาก 16.23 เส้นต่อการหวี 50 ครั้งในวันที่ 0 เป็น 3.85 เส้นต่อการหวี 50 ครั้งในวันที่ 7 หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ และเมื่ออาสาสมัครใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง พบว่าผมร่วงลดลงมากกว่า 80% และผมมีสุขภาพดี นุ่มลื่นมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการศึกษา (วันที่ 0) จากการศึกษา phototrichogram พบว่าอาสาสมัคร 64.3% มีผมหนาขึ้นและสุขภาพผมแข็งแรงและบริเวณที่มีภาวะศีรษะล้านมีการงอกใหม่ของผมโดยอาสาสมัครเพศชายพบการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเองภายใน 2 เดือนหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ และอาสาสมัครเพศหญิงเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 1 เดือน อาสาสมัครทั้งหมดมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์และให้คะแนนประสิทธิภาพการป้องกันผมร่วงของผลิตภัณฑ์ในระดับที่ดี (33)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ทำให้ผิวหน้าขาว (F001)
การศึกษาประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวของสาเก(sake) เตรียมสารสกัดด้วยการนำสาเก (Pharma Foods International Co., Ltd., Japan) มาระเหยส่วนแอลกอฮอล์ออกและทำให้แห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบเยือกแข็ง ทำการทดสอบประสิทธิภาพต่อผิวในอาสาสมัครเพศหญิง 20 รายอายุ 33-49 ปี กำหนดให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของสาเกความเข้มข้น 200 ppm. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน ประเมินความสว่างของผิวด้วย spectrophotometer® CM 2500dผลพบว่าตำรับครีมดังกล่าวเพิ่มค่าความสว่างของผิว (L* value) บริเวณแก้มอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่วันที่ 7 ของการทดสอบ รวมถึงมีผลลดค่าความแดงของผิว (a*) และเพิ่มค่าโทนเหลืองของผิว (b*) แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (34)
2.2 บำรุงผิวหน้า (F004)
การศึกษาประสิทธิภาพต่อผิวของตำรับครีมไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์จากข้าว(ไม่ระบุที่มาของวัตถุดิบและวิธีการเตรียมตำรับ) ทำการทดสอบในอาสาสมัครเพศหญิง 60 รายอายุ 40-50 ปี สุ่มแบ่งอาสาสมัครออกเป็น3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ได้รับตำรับครีมไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์จากข้าวความเข้มข้น 4%ทาบนใบหน้า วันละ 2 ครั้ง กลุ่มที่ 2 รับประทานคอลลาเจนวันละ 10 ก. และกลุ่มที่ 3 รับประทานยาหลอก ติดต่อกัน 90 วัน ประเมินผลด้วยการตรวจวัดปริมาณน้ำในผิวหนังด้วย CorneometerTM825 วัดความยืดหยุ่นของผิวด้วยCutometer® SEM 575 ค่าความสามารถในการสะท้อนเสียงของผิวหนังด้วย Dermascan® และการเปลี่ยนแปลงรูขุมขนด้วยการถ่ายภาพ พบว่ากลุ่มที่ได้รับตำรับครีมไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์จากข้าวมีปริมาณน้ำในผิวหนังและเพิ่มความยืดหยุ่นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่วันที่ 28 ของการศึกษา ความสามารถในการสะท้อนเสียงของผิวหนัง (echogenicity) เพิ่มขึ้นหลังการทดสอบ 90 วัน แต่ไม่มีผลต่อขนาดของรูขุมขนในอาสาสมัคร ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับคอลลาเจนพบการเปลี่ยนแปลงด้านความยืดหยุ่น ความสามารถในการสะท้อนเสียงของผิวหนัง และลดขนาดของรูขุมขนอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 90 ของการศึกษา การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ตำรับครีมไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์จากข้าวความเข้มข้น 4% สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และความแข็งแรงให้ผิวดีกว่าการรับประทานคอลลาเจน แต่ไม่มีผลต่อการลดขนาดรูขุมขนบนใบหน้า (35)
การศึกษาในประเทศบราซิลถึงประสิทธิภาพของครีมบำรุงผิวเปปไทด์ข้าว (hydrolyzed rice protein: rice peptide) ในการปกป้องผิวและป้องกันความแก่ของผิวหนังจากการได้รับแสงอัลตราไวโอเลต ทำการศึกษาแบบ double-blind, randomized placebo-controlled clinical ในอาสาสมัครเพศหญิง อายุ 20-30 ปี ที่มีสีผิวระดับ II-III ตามเกณฑ์ของ Fitzpatrick มีฝ้าแดดบนใบหน้า และไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำ จำนวน 60 ราย แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม (ครีมเบส) กลุ่มที่ 2 กลุ่มครีมวิตามินซี (ascorbyl tetraisopalmitate)2% และเปปไทด์ข้าว 4% (ไม่ระบุที่มาของวัตถุดิบและขนาดที่ใช้) กลุ่มที่ 3 กลุ่มครีมเปปไทด์ข้าว 4% และกลุ่มที่ 4 กลุ่มครีมวิตามินซี 2% กำหนดให้อาสาสมัครทาครีม วันละ 1 ครั้ง ในช่วงกลางคืน และใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลากลางวัน ติดต่อกัน 90 วัน ประเมินการเปลี่ยนแปลงสุขภาพผิวและการถ่ายภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดสอบ พบว่าเมื่อใช้ครีมครบ 90 วัน ผิวหนังของอาสาสมัครในกลุ่มที่ 2, 3 และ 4 มีความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น และมีปริมาณน้ำในผิวหนังชั้นสตราตัมคอร์เนียม (stratum corneum water content) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่าความสามารถในการสะท้อนเสียงของผิวหนังซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแรงของชั้นผิวหนังมีค่าเพิ่มมากขึ้น โดยพบมากที่สุดในกลุ่มที่ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามไม่พบความแตกต่างของระดับไขมันในผิวหนัง (sebum content) ความยืดหยุ่น และความเรียบเนียนของผิวในอาสาสมัครทั้ง 4 กลุ่ม นอกจากนี้ตำรับครีมยังมีผลลดความเข้มของจุดสีผิวบนใบหน้าของอาสาสมัคร และช่วยกระตุ้นการสร้างชั้นผิวใหม่ โดยให้ผลดีที่สุดในกลุ่มที่ได้รับครีมวิตามินซีร่วมกับเปปไทด์ข้าว กลุ่มครีมเปปไทด์ข้าว และกลุ่มครีมวิตามินซี ตามลำดับ และไม่พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในกลุ่มที่ได้รับครีมเบส การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเปปไทด์ข้าวมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และลดความเสียหายของผิวจากการได้รับแสงอัลตราไวโอเลต และเมื่อใช้ร่วมกับวิตามินซีจะให้ผลดีกว่าการใช้ในรูปแบบสารสกัดเดี่ยว (36)
ครีมผสมน้ำมันรำข้าวและสารสกัดกากรำข้าวโดยเตรียมสารสกัดกากรำข้าวด้วยวิธีการแช่สกัดกากรำข้าวหอมมะลิแดง 100 ก. ใน 95%เอทานอล 1 ล. นาน 3 วัน กรอง และระเหยตัวทำละลายออกออกด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบลดความดัน ส่วนน้ำมันรำข้าวที่ใช้นำมาวิเคราะห์ปริมาณγ-oryzanol และวิตามินอีจากน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดง พบว่าน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดง 1 ก. มีปริมาณγ-oryzanol14.06 มก. และวิตามินอี 49.47 มก.เตรียมตำรับครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดง 5% โดยน้ำหนักและสารสกัดกากรำข้าวหอมมะลิแดง 0.5 ก. สำหรับผิวธรรมดา ผิวแห้ง และผิวมัน (ครีมทั้ง 3 ตำรับสำหรับผิวแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในสัดส่วนของสารอิมอเลียนต์EHP, MCT และ IPP) พบว่าครีมทั้ง 3 ตำรับ สามารถคงสภาพทางกายภาพและเคมี ไม่เกิดการแยกชั้น หรือสีเปลี่ยนกลิ่นสี การทดสอบฤทธิ์ต่อการบำรุงผิว ในอาสาสมัครเพศหญิง อายุ 20-25 ปี จำนวน 36 ราย ที่มีสภาพผิวธรรมดา 12 ราย ผิวแห้ง 12 ราย และผิวมัน 12 ราย โดยให้อาสาสมัครประเมินผลิตภัณฑ์ และตอบแบบทดสอบความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ ได้แก่ความเหนอะหนะ การกระจายตัวของครีม ความนุ่ม ชุ่มชื้นของผิวภายหลังการใช้ สภาพผิวหลังใช้ ความพอใจในสี กลิ่น พบว่าอาสาสมัครมีความพึงพอใจรวมในผลิตภัณฑ์มากกว่า 80% และมีความพึงพอใจในด้านความนุ่มชุ่มชื้นผิว เท่ากับ 83.4-91.7% (21)
2.3 ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า (F008)
การประเมินประสิทธิภาพของตำรับแอมพูลเปปไทด์ซี (Peptide-C ampoules) ที่ประกอบด้วยวิตามินซี 10%, เปปไทด์ข้าว, กรดไฮยารูนิก และน้ำแร่ (ไม่ระบุแหล่งที่มาของสารสกัดและอัตราส่วน) แบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วน คือ
การศึกษาที่ 1 การทดสอบฤทธิ์ต่อการผลัดผิว โดยทำการศึกษาในอาสาสมัครเพศหญิง 32 ราย อายุ 36-64 ปี โดยให้อาสาสมัครที่ทาด้วยสารเรืองแสง dansyl chloride บริเวณท้องแขนทั้ง 2 ข้าง ก่อนทำการทดสอบ 24 ชม. จากนั้นเลือกทาท้องแขนข้างหนึ่งด้วยแอมพูลเปปไทด์ซี ครั้งละ 12 หยดวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์เปรียบเทียบกับข้างที่ไม่ได้ทาด้วยสารใด ทำการประเมินผลด้วยจำนวนวันที่ไม่สามารถตรวจพบค่าการเรืองแสงบริเวณท้องแขนด้วย Wood’s Light พบว่าท้องแขนข้างที่ได้รับแอมพูลเปปไทด์ซีใช้เวลาเฉลี่ย 17.1 วัน และท้องแขนที่ไม่ได้ทาสารใดใช้เวลาเฉลี่ย 19.4 วัน แสดงให้เห็นว่าแอมพูลเปปไทด์ซีช่วยให้ผิวผลัดเซลล์ได้เร็วขึ้น
การศึกษาที่ 2 ทำการศึกษาแบบเปิดในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 47 ราย อายุเฉลี่ย 52.6±4.8 ปี ที่มีปัญหาผิวบอบบางแพ้ง่าย (sensitive skin) ที่มีปัญหารอยตีนกา ระดับ ≥2 ถึง ≤ 4 (ความรุนแรงระดับ 0-6 คือไม่พบริ้วรอย-มีริ้วรอยที่มองเห็นด้วยตาเปล่าชัดเจน) และริ้วรอยบนหน้าผาก ระดับ ≥2 และมีร่องแก้ม ระดับ ≥3 กำหนดให้อาสาสมัครทาแอมพูลเปปไทด์ซี ครั้งละครึ่งหลอดหยด บริเวณใบหน้าและลำคอ วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 28 วัน ทำการประเมินผลด้วยDynamical Atlas visual assessmentผลพบว่ารอยตีนกา รอยย่นบนหน้าฝาก และร่องแก้มในอาสาสมัครลดลง 9, 11 และ 5.2% ตามลำดับและเมื่อให้อาสาสมัครประเมินด้วยตนเองโดยใช้แบบสอบถามพบว่าผิวมีความกระจ่างใส เรียบเนียน และริ้วรอยร่องตื้น (fine line) ลดลง 79, 77 และ 64% ตามลำดับ และการศึกษาที่ 3ทำการศึกษาแบบเปิดในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 41 ราย อายุเฉลี่ย 49.1±4.5 ปี ที่มีปัญหารอยตีนกา ระดับ ≥2 และ < 5 ที่มีรอยตีนกาหลักยาวอย่างน้อย 2 ซม. และไม่ถูกพาดผ่านด้วยรอยอื่น กำหนดให้อาสาสมัครทาแอมพูลเปปไทด์ซี ครั้งละครึ่งหลอดหยด บริเวณใบหน้าและลำคอ วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 29 วัน ประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของรอยตีนกาด้วยโปรแกรม quantirides และ 3D fringe projectionก่อนและหลังการทดสอบ ร่วมกับแบบประเมินด้วยตนเองของอาสาสมัคร ผลพบว่าจำนวนรอยตีนกา ขนาดพื้นที่ และความยาวของริ้วรอยร่องตื้น ในอาสาสมัครลดลง 11.5, 15.7 และ 13.1% ตามลำดับ การประเมินความลึกของร่องรอยตีนกาด้วย 3D fringe projection พบว่าส่วนต่างความสูงและความลึกที่สุดของร่องตีนกาลดลง 13.2% ค่าเฉลี่ยความลึกของริ้วรอยลดลง 5.4% อาสาสมัครมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ (81%) โดยระบุว่าผิวมีความเรียบเนียนขึ้น และริ้วรอยร่องตื้นลดลง จากผลการศึกษาทั้งหมดสรุปได้ว่าแอมพูลเปปไทด์ซีช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ (37)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
3.1 บำรุงผิวกาย (S003)
สารสกัดโพลีฟีนอลรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 จากจังหวัดเชียงราย (voucher no: MKOS 05ML14) เตรียมสารสกัดรวงข้าวข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยนำรวงข้าวตากแห้ง บดเป็นผง ไฮโดรไลซ์ด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 2 โมลาร์ ทำให้เป็นกลางด้วยกรดไฮโดรคลอริก (HCI) 2 โมลาร์ และนำไปสกัดต่อด้วยเอธิลอะซิเตทจากนั้นทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยวิธีสุญญากาศ จะได้สารสกัดรวงข้าวข้าวดอกมะลิที่มีปริมาณสารโพลีฟีนอลรวม 22.48 ก.สมมูลกรดแกลลิก/100 ก.สารสกัด ทำการศึกษาแบบ randomized double-blind placebo controlled ถึงประสิทธิภาพต่อผิวของครีมสารสกัดโพลีฟีนอลจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในอาสาสมัครจำนวน24รายอายุ 25-50 ปี สุ่มให้อาสาสมัครทาครีมสารสกัดโพลีฟีนอลจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 ความเข้มข้น 0.1% และ 0.2% หรือครีมเบส บริเวณท้องแขน วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ติดต่อกัน 84 วัน ประเมินผลด้านความชุ่มชื้นด้วยเครื่องCorneometerCM 825, ด้านการลดรอยหมองคล้ำด้วย Mexameter MX 18, ด้านความยืดหยุ่นของผิวหนังด้วย Cutometer MPA 580และวัดความเรียบเนียนของผิวด้วย Visioscan VC 98ผลพบว่าครีมสารสกัดโพลีฟีนอลจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 ความเข้มข้น 0.1% และ 0.2%มีผลลดรอยหมองคล้ำและลดริ้วรอยดีกว่าครีมเบสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของการศึกษา นอกจากนี้ยังให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวช่วยกระชับผิวและทำให้ผิวเรียบเนียนได้ดีกว่าครีมเบสอาสาสมัครมากกว่า 80% มีความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์ในด้านความหนืดสีกลิ่นการกระจายตัวของครีมการซึมซาบบนผิวความเหนอะหนะและความชุ่มชื้นผิว(24)
การศึกษาพัฒนาตำรับเจลน้ำข้าวซึ่งประกอบด้วยsodium acrylates copolymer, lecithin, methylpropanediol, caprylyl glycol, phenylpropanol และน้ำข้าวที่ได้จากการต้ม 96% ได้ตำรับเจลสีเหลืองอ่อน ค่า pH 5.4 ทำการทดสอบประสิทธิภาพของตำรับเจลในอาสาสมัคร จำนวน 20 ราย อายุระหว่าง 21-46 ปี กำหนดให้อาสาสมัครทาเจลน้ำข้าว ขนาด 2 มก./ตร.ซม ที่ท้องแขน เปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก (hydrogel ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำข้าว)ทาที่ท้องแขนอีกข้างเป็นเวลา 28 วัน ประเมินประสิทธิภาพต่อผิวด้วย Corneometer CM820 และ Sebumeter SM810 ร่วมกับการตอบประเมินด้วยตนเอง ผลพบว่าหลังการใช้ตำรับเจลน้ำข้าว ผิวของอาสาสมัครมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ปริมาณน้ำในผิวเพิ่มขึ้น 10% ส่วนแขนข้างที่ได้รับยาหลอกไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการตอบแบบประเมินของอาสาสมัครระบุว่าอาสาสมัครมีความพึงพอใจในประสิทธิภาพเพิ่มความชุ่มชื้น และให้การยอมรับในผลิตภัณฑ์ (38)
การพัฒนานีโอโซมบรรจุสารสกัดรำข้าว (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยวิธีsupercritical carbon dioxide fluid (SC-CO2)โดยใช้อัตราส่วนของ tween 61และคอเลสเตอรอลเท่ากับ 1:1 พบว่าได้อนุภาคนีโอโซมขนาด 480.9±270.8 นาโนเมตร มีความคงตัวที่อุณหภูมิสูงถึง 80ºC มีประสิทธิภาพการกักเก็บferulic acid,γ-oryzanolและ phytic acidจากสารสกัดรำข้าวเท่ากับ 64.47, 47.54 และ 54.85% ตามลำดับ ทดสอบประสิทธิภาพการบำรุงผิวและลดเลือนริ้วรอยของนีโอโซมสารสกัดจากรำข้าว ในอาสาสมัคร จำนวน 30 ราย อายุ 25-40 ปี สุ่มให้อาสาสมัครใช้ผลิตภัณฑ์ 6 ชนิด คือ ตำรับเจลที่มีส่วนผสมของนีโอโซมสารสกัดรำข้าว 97%, เจลเบส, ตำรับครีมที่มีส่วนผสมของนีโอโซมสารสกัดรำข้าว 85%, ครีมสารสกัดรำข้าว, ครีมเบส และผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่มีส่วนผสมของสารสกัดถั่วเหลือง เปลือกข้าวโอ๊ตและวิตามินอี ทาผลิตภัณฑ์ครั้งละ 0.2 ก. บริเวณท้องแขน วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 28 วัน ประเมินผลด้วยการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงสุขภาพผิวได้แก่ ความชุ่มน้ำในผิว ความสว่างของผิว ความหนาของชั้นผิว ความเรียบเนียนและความยืดหยุ่นของผิว ผลพบว่าตำรับครีมมีส่วนผสมของนีโอโซมสารสกัดรำข้าว 85% (cream nio) มีประสิทธิภาพดีที่สุด โดยเพิ่มความชุ่มน้ำในผิว เพิ่มความกระจ่างใส ความหนา ความเรียบเนียน และความยืดหยุ่นของผิวได้ 9, 27, 7, 3 และ 3 เท่าตามลำดับ รองลงมาคือครีมสารสกัดรำข้าว และตำรับเจลนีโอโซมสารสกัดรำข้าว นอกจากนี้ยังพบว่าผลิตภัณฑ์ยังคงประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้ต่ออย่างต่อเนื่อง หลังหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ 7 วัน โดยพบค่าการเปลี่ยนแปลงของผิวในแขนข้างที่ทาด้วยผลิตภัณฑ์มากกว่าผิวที่ท้องแขนอีกข้างซึ่งไม่ได้รับสารใดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (22)
การพัฒนานีโอโซมบรรจุสารสกัดเมทานอลจากข้าวเหนียวดำ (ตัวอย่างพืชจากประเทศไทย ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการแช่สกัดผงข้าวเหนียวดำในเมทานอลนาน 1 ชม. กรอง และทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วย rotary evaporator และนำสารสกัดที่ได้ไปทำให้แห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบเยือกแข็งเตรียมตำรับนีโอโซมด้วยวิธี film hydration method โดยใช้อัตราส่วนของ tween 61และคอเลสเตอรอลเท่ากับ 1:1 ได้อนุภาคนีโอโซมขนาด 135.9±4.56 นาโนเมตร ที่มีปริมาณแอนโทไซยานิน 0.19 มคก./มก. สารสกัด การทดสอบประสิทธิภาพการบำรุงผิวและลดเลือนริ้วรอยของครีมนีโอโซมสารสกัดข้าวเหนียวดำ ความเข้มข้น 1% โดยน้ำหนัก/ปริมาตร ในอาสาสมัคร 20 ราย อายุเฉลี่ย 37.35±9.71 ปี กำหนดให้ทาครีมนีโอโซมสารสกัดข้าวเหนียวดำ บนพื้นที่ขนาด 4x4 ซม. ใต้ท้องแขน วันละครั้ง (ไม่ระบุขนาดและความเข้มข้นของสารสกัดที่ใช้) ติดต่อกัน 28 วัน ผลพบว่าระดับเม็ดสีเมลานินความหยาบของผิว และ skin elastic extension ลดลง 14.05, 9.95และ 24.51% ตามลำดับ ความชุ่มน้ำในผิวและค่าความยืดหยุ่นของผิว(skin elastic recovery) เพิ่มขึ้น 48.73 และ 35.98% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าตำรับครีมนีโอโซมสารสกัดเมทานอลข้าวเหนียวดำมีประสิทธิภาพในบำรุงผิว (39)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
สารกึ่งบริสุทธิ์จากรำข้าว (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่) ที่สกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้สภาวะวิกฤติยวดยิ่ง (rice bran supercritical CO2extract) มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase(type 1) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดผมร่วงศีรษะล้าน เมื่อบ่มสารกึ่งบริสุทธิ์จากรำข้าวความเข้มข้น 0.1 มก./มล. แก่เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก (human prostate carcinoma cell line: DU-145 cell) นาน 24 ชม. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ 93.33% มีความแรงมากกว่ายา finasteride (57.07%) และ dutasteride (76.56%) คิดเป็น 1.64 และ 1.22 เท่า ตามลำดับ โดยฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ของรำข้าวเกี่ยวข้องกับปริมาณ linoleic acidและปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัว (total unsaturated fatty acid) ที่พบในสารสกัด (19)
การศึกษาพัฒนาเตรียมตำรับเจลนีโอโซมกักเก็บส่วนสกัดลำดับ 3 (OSF3) ที่แยกได้จากสารสกัดรำข้าว (ตัวอย่างพืชจากประเทศไทย) ด้วยเทคนิคคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้สภาวะวิกฤติยวดยิ่ง(supercritical carbon dioxide extraction, SC-CO2) ในส่วนสกัด OSF3 พบปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ γ-linolenic acid 7.52%, linoleic acid 49.25%, และ oleic acid 42.17%, โดยน้ำหนัก เตรียมตำรับนีโอโซมกักเก็บ OSF3โดยใช้ส่วนสกัด OSF3 ความเข้มข้น 2% บรรจุในนีโอโซมที่เตรียมจากtween 61 คอเลสเตอรอล และ CTAB อัตราส่วน 1:1:0.5 ด้วยวิธี SC-CO2sonication technique หลังการทดสอบการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 25ºC เป็นเวลา 3 เดือน พบว่าเจลนีโอโซม OSF3 มีความคงตัวมากที่สุด และมีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัว γ-linolenic acid, linoleic acid และoleic acid คงเหลือ 77.68, 85.34, 89.47% ตามลำดับ และการทดสอบประสิทธิภาพในการซึมผ่านรูขุมขนด้วยวิธี Franz diffusion cell โดยใชผิวหนังหมูเป็นเยื่อทดสอบการแพร่ผ่าน พบว่าสารละลายนีโอโซมOSF3 และเจลนีโอโซม OSF3 มีปริมาณยาซึมผ่านได้ 120.27 และ 118.17 นาโนกรัม/ตร.ซม. ซึ่งมีค่าสูงกว่าเจล OSF3 และสารละลาย OSF3 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 15.34 และ 20.31 นาโนกรัม/ตร.ซม. ตามลำดับ และสวนใน receiver พบปริมาณเจลนีโอโซม OSF3 เท่ากับ 6.27 นาโนกรัม/ตร.ซม. ซึ่งมีค่าต่ำกว่าสารละลายนีโอโซมOSF3 2 เท่า (11.20 นาโนกรัม/ตร.ซม.) แสดงให้เห็นว่าตำรับเจลนีโอโซม OSF3 สามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังได้ดีและคงค้างอยู่ในส่วน receiver น้อย (40) ทำการทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนในหนูเม้าส์ที่โกนขนด้านหลังออก จากนั้นแบ่งสัตว์ทดลองออกเป็น 8 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา (ควบคุมลบ) หรือได้รับการรักษาด้วยน้ำเปล่า, 95% เอทานอล, เจลเบส (ไม่มีส่วนผสมของนีโอโซมสารสกัดรำข้าว), สารละลายOSF3, สารละลายนีโอโซมOSF3, เจลนีโอโซมOSF3 ความเข้มข้น 2%, ยาdutasteride 2%ขนาด 200 มคล. (ควบคุมบวก) ที่ผิวหนังบริเวณที่โกนขนออก ติดต่อกัน 21 วัน ผลพบว่าสารละลายนีโอโซมOSF3กระตุ้นการงอกของเส้นขนได้ดีที่สุด โดยมีค่าคะแนนการเติบโตของเส้นขนเท่ากับ 3.5 คะแนน มีความยาวเส้นขนเฉลี่ย 7.4มม. ตามมาด้วยกลุ่มเจลนีโอโซม OSF3 ด้วยคะแนนการเติบโตเท่ากับ 3.0, ความยาว 6.9 มม. และกลุ่มสารละลายOSF3 ด้วยคะแนนการเติบโตเท่ากับ 3.0, ความยาว 6.8 มม. ซึ่งมากกว่ากลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับยาdutasterideที่มีคะแนนเท่ากับ 2.0 และความยาวเส้นขน 3.6 มม. นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มสารละลายนีโอโซม OSF3 ใช้เวลากระตุ้นการงอกของเส้นขนจนเต็มพื้นที่ 34.75 วันรองลงมาคือกลุ่มเจลนีโอโซม OSF3, สารละลาย OSF3 และ dutasteride โดยมีค่าเท่ากับ 37.05, 38.50 และ 41.0 วัน ตามลำดับ ผลการตรวจสอบลักษณะทางของเนื้อเยื่อพบว่าผิวหนังของสัตว์ทดลองที่ได้รับนีโอโซมOSF3ทั้ง 3 รูปแบบมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ต่อมขนเข้าสู่ระยะ anagen หรือระยะก่อนการงอกของเส้นขนอย่างมีนัยสำคัญและไม่มีความแตกต่างกันจากรูปแบบของการใช้ อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้พบว่าตำรับเจลนีโอโซม OSF3 ก่อความเป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์มากกว่าการใช้สารละลายนีโอโซมOSF3โดยความมีชีวิตของเซลล์เท่ากับ 92.14 และ 80.19% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าสารสกัด OSF3 มีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขน โดยเพิ่มความยาว และเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นขนให้เข้าสู่ระยะเจริญเติบโต อย่างไรก็ตามการใช้ในรูปตำรับเจลนีโอโซมOSF3 สามารถลดอาการระคายเคืองและความเป็นพิษต่อเซลล์ผิวหนังได้ดีกว่าการใช้ในรูปของสารละลาย (41)
การทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนของสารสกัดรำข้าวด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้สภาวะวิกฤติยวดยิ่ง (supercritical carbon dioxide extraction, SC-CO2) (ข้าวสายพันธุ์ญี่ปุ่น ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการทดสอบในหนูเม้าส์ที่โกนขนด้านหลังลำตัวออก จากนั้นทาด้วยสารสกัดรำข้าว ขนาด 100 มคก. ต่อพื้นที่ผิวหนัง 2x3 ซม. วันละ 1 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ปุ่มขนเหนี่ยวนำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระยะ anagen เพิ่มจำนวนและเพิ่มความหนาแน่นของปุ่มขนได้มากกว่ากลุ่มควบคุม และให้ผลดีเทียบเท่ากับการใช้ยาปลูกผม minoxidil 3% นอกจากนี้สารสกัดจากรำข้าวยังเพิ่มการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการงอกของเส้นขน ได้แก่ vascular endothelial growth factor, insulin-like growth factor-I, keratinocyte growth factor, และ transforming growth factor-beta โดยมีlinoleic acid และ γ-oryzanol เป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขน (20)
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมของสารสกัดแร่ธาตุจากรำข้าว (rice bran mineral extract: RBM)เตรียมการสกัดด้วยการนำรำข้าว 200 ก. (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้) แช่ในน้ำ 1 ล. คนด้วยความเร็ว 400 รอบ/นาที เป็นเวลา 24 ชม. กรองและนำไปปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่องปั่นเหวี่ยงนาน 30 นาที แยกส่วนใสมาทำให้เข้มข้น โดยระเหยตัวทำละลายออก ทำการทดสอบในเซลล์ต้นกำเนิดเส้นผมมนุษย์เพาะเลี้ยง (dermal papilla) ที่แยกได้จากหนังศีรษะของผู้ป่วยปลูกถ่ายเส้นผม โดยบ่มสารสกัด RBM ความเข้มข้น 50 มคล./มล. แก่เซลล์ เป็นเวลา 72 ชม. พบว่าสารสกัด RBM มีผลเพิ่มการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเส้นผม ได้แก่ type I collagenและ fibronectin ขึ้น 4 และ 2.5 เท่า ตามลำดับเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม เพิ่มการทำงานของเอนไซม์ alkaline phosphatase ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเซลล์ปุ่มผมในระยะ anagen phase และการมีผลกระตุ้นวิถี wnt/β-catenin mediatedsignaling ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของต่อมรากผม โดยเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน wnt-3α และ β-cateninนอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัด RBM มีฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นขน โดยลดระดับ Interleukin-1αที่กระตุ้นให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผม และลดการแสดงออกของ TGF-β2 ซึ่งมีผลยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์ปุ่มผมซึ่งล้วนแสดงให้เห็นว่าสารสกัดแร่ธาตุจากรำข้าวอาจนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อกระตุ้นการงอกของเส้นผมและป้องกันผมหลุดร่วงได้ (42)
การศึกษาฤทธิ์บำรุงเส้นผมของเซรั่มบำรุงผมจากข้าว ความเข้มข้น 5% โดยน้ำหนัก (ไม่ระบุวิธีการเตรียมและที่มาของวัตถุดิบ) ทำการทดสอบกับปอยผมของมนุษย์ที่ได้รับความเสียหายจากรังสียูวีความเข้ม 500 วัตต์/ตร.ม. เป็นเวลา 36 ชม. จากนั้นสระผมด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน เป็นเวลา 2 นาที จากนั้นชโลมปอยผมด้วยเซรั่มบำรุงผมจากข้าว ขนาด 0.5 ก. ติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน ประเมินความแข็งแรงของเส้นผมด้วยการทดสอบแรงดึงที่ทำให้เส้นผมขาด (breaking stress) ด้วย Instron 5500Rdynamometerอัตราเร็ว 30 มม./นาที พบว่าเซรั่มข้าวมีผลเพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม โดยพบค่าความต้านทานแรงดึงเท่ากับ 303.88 เมกะปาสคาล ซึ่งมากกว่าปอยผมปกติ และปอยผมที่ได้รับความเสียหายจากรังสียูวี ที่มีค่าความต้านทานแรงดึงเท่ากับ 236 และ 230 เมกะปาสคาล ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเส้นผมบริเวณที่แตกหักของเส้นผม (breakage work) มีค่ามากที่สุดในปอยผมที่ได้รับเซรั่มข้าว โดยค่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากการคุณสมบัติความยืดหยุ่นของเส้นผม และความแข็งแรงของพันธะในเส้นผม นอกจากนี้ยังพบการสลายตัวของโปรตีนและทริปโตแฟนในเส้นผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปอยผมที่ได้รับเซรั่มข้าว และการทดสอบกับปอยผมที่ผ่านการทำสีและได้รับรังสียูวีบี ความเข้ม 500 วัตต์/ตร.ม.เป็นเวลา 36 ชม. พบว่าเมื่อให้เซรั่มบำรุงผมจากข้าว ขนาด 0.6 ก. ติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน ลดการเกิด lipid peroxidation ในเส้นผม คงความเงาและความเรียบลื่นของเส้นผมป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสีผมจากการได้รับรังสียูวีบีอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเซรั่มข้าวมีประสิทธิภาพในการบำรุงผมและปกป้องผมจากรังสียูวี โดยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่เส้นผม (43)
1.2 ป้องกันผมหงอก (H006)
สารสกัดจากข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ ข้าวสีนิล ข้าวทับทิมล้านนา ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวแดงสังข์หยด และข้าวก่ำดอยมูเซอ (ตัวอย่างพืชจากประเทศไทย) เตรียมสารสกัดด้วยการแช่สกัดผงข้าว 500 ก. ใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 4 วัน กรอง และระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบลดความดัน ตรวจสอบฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากข้าวทั้ง 6 สายพันธุ์ ที่ความเข้มข้น 50 มคก./มล. กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส โดยข้าวไรซ์เบอร์รี>ทับทิมล้านนา>หอมนิล > แดงสังข์หยด > ข้าวก่ำดอยมูเซอร์ > สีนิล โดยพบเปอร์เซ็นต์การกระตุ้นเท่ากับ 91.80. 91.38, 88.13, 88.09, 86.98 และ 32.59% ตามลำดับ และการทดสอบในเซลล์มะเร็งเม็ดสี (B16F10 melanoma cells) พบว่าสารสกัดจากข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวสีนิล ข้าวทับทิมล้านนา ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี และข้าวแดงสังข์หยด ความเข้มข้น 500 มคก. มีผลเพิ่มดัชนีการเพิ่มจำนานของเซลล์ (proliferation index) เท่ากับ 1.1-1.3ยกเว้นสารสกัดจากข้าวก่ำดอยมูเซอซึ่งมีผลลดการเพิ่มจำนวนของเซลล์ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากข้าวไทยข้าวสีนิล ข้าวทับทิมล้านนา ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวแดงสังข์หยดมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส และอาจนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันผมหงอกได้ (44)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
2.1 ทำให้ผิวขาว (F001)
ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน
สารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 แสดงฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เม็ดสีในเซลล์มะเร็งเม็ดสี B16F10 เตรียมสารสกัดโพลีฟีนอลจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงราย, voucher no: MKOS 05ML14) โดยนำรวงข้าวตากแห้ง บดเป็นผง ไฮโดรไลซ์ด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 2 โมลาร์ และเติมกรดไฮโดรคลอริก (HCI) 2 โมลาร์ ทำให้แยกชั้นด้วยการการเติมเอธิลอะซีเตท จากนั้นทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยวิธีสุญญากาศ จะได้สารสกัดรวงข้าวดอกมะลิที่มีปริมาณสารโพลีฟีนอลรวม 22.48 ก.สมมูลกรดแกลลิก/100 ก.สารสกัด ทำการทดสอบด้วยการบ่มสารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 และสารสำคัญที่พบในสารสกัด ได้แก่ p-coumaric acidและ ferulic acidความเข้มข้น 0.1 มก./มล. กับเซลล์มะเร็งเม็ดสีที่เหนี่ยวนำให้เกิดกระบวนการสร้างเม็ดสีด้วย theophylline เป็นเวลา 72 ชม. พบว่าสารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ สาร p-coumaric acidและ ferulic acid ยับยั้งการเกิดเม็ดสีในเซลล์ได้ 66.61, 74.27และ 53.34% ตามลำดับ สารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 ยับยั้งการเกิดเม็ดสีในเซลล์โดยเกี่ยวข้องกับฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส และยับยั้งทำงานของ tyrosinase related proteins-2 (TRP-2)โดยฤทธิ์ของสารสกัดจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 สัมพันธ์กับความเข้มข้นของสารสกัดที่ได้รับ อย่างไรก็ตามเมื่อให้สารสกัดในขนาดสูง (≥ 1 มก./มล.) จะแสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ โดยยับยั้งความมีชีวิตของเซลล์ 50%(24)
การศึกษาฤทธิ์ลดเลือนฝ้าของแคลลัสจากการเพาะเลี้ยงเมล็ดข้าวที่มีเรสเวอราทรอลสูง (resveratrol-enriched rice: RR, ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimen)ชักนำให้เกิดแคลลัสโดยฟอกเมล็ดข้าวด้วย 70% เอทานอล 1 นาที และ sodium hypochloride 2% นาน 1 ชม. ล้างด้วยน้ำกลั่นและเลี้ยงในอาหารสูตร 2N6 ที่อุณหภูมิ 25ºC เป็นเวลา 3 สัปดาห์ (ในแคลลัสที่มีปริมาณสารเรสเวอราทรอลและ resveratrol glucosideเท่ากับ 66.76 และ 1.80 มคก./ก. ตามลำดับ) จากนั้นเตรียมตำรับอนุภาคไมโครแคลลัสเมล็ดข้าวเรสเวอราทรอลสูง (micro-cRR) ด้วยการนำแคลลัสบดเป็นผงละเอียด ละลายในน้ำกลั่น 5 มล. ได้อนุภาคขนาด 1625.3 นาโนเมตร ค่าการละลาย 0.82 และค่าศักย์ไฟฟ้า zeta เท่ากับ -13.62 มิลลิโวลต์ และเตรียมตำรับอนุภาคนาโนแคลลัสเมล็ดข้าวเรสเวอราทรอลสูง (nano-cRR) ด้วยการเขย่าผงแคลลัสด้วยเครื่อง sonicator ความถี่ 40 แอมป์ นาน 5 นาที จากนั้นนำไปลดขนาดอนุภาคด้วยเครื่อง high-pressure homogenization (HPH)ได้อนุภาคขนาด 485.83 นาโนเมตร ค่าการละลาย 0.31 และค่าศักย์ไฟฟ้า zeta เท่ากับ -14.7 มิลลิโวลต์ การทดสอบฤทธิ์ป้องกันการเกิดฝ้าในหนูตะเภาที่เหนี่ยวนำให้เกิดฝ้าบริเวณด้านหลังลำตัวด้วยรังสียูวีบีความเข้ม 390 ไมโครจูล/ตร.ซม. จำนวน 3 ครั้ง/สัปดาห์ ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ จากนั้นทาผิวหนังหนูตะเภาด้วยสารละลายmicro-cRRหรือnano-cRR ความเข้มข้น 1% วันละครั้ง ติดต่อกัน 15 วัน พบว่าความเข้มของสีผิวในสัตว์ทดลองที่ได้รับmicro-cRR หรือ nano-cRR ลดลงตามลำดับ โดยในวันที่ 15 ของการศึกษา ระดับสีผิวลดลงมากที่สุดในกลุ่มที่ได้รับ nano-cRR โดยมีค่าเท่ากับ 55.1 ในขณะที่กลุ่มควบคุมลบและกลุ่มที่ได้รับรังสียูวีบีเพียงอย่างเดียวมีค่าเท่ากับ 52.55 และ 72.15 ตามลำดับ ผลการตรวจสอบเนื้อเยื่อด้วยการย้อมสีพบว่าหลังการได้รับเหนี่ยวนำด้วยรังสียูวีบี ระดับเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น 260% และหลังการได้รับ nano-cRR มีระดับเม็ดสีเมลานินลดลงเหลือ 160%ผลการตรวจสอบการแสดงออกของโปรตีนในเซลล์พบว่าการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ไทโรซิเนส ได้แก่ tyrosinase-related protein (TRP)-1 และ TRP-2 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับ nano-cRR มากกว่ากลุ่ม micro-cRR สอดคล้องกับผลการตรวจสอบปริมาณสารเรสเวอราทรอลด้วยวิธี LC/MS ที่พบว่าในสารละลาย nano-cRR มีปริมาณเรสเวอราทรอล 1.519 นาโนกรัม ซึ่งสูงกว่า micro-cRR ที่มีเรสเวอราทรอล 0.101 นาโนกรัม ถึง 15 เท่า การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารเรสเวอราทรอลมีฤทธิ์ยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส เป็นผลให้การเกิดเม็ดสีในสัตว์ทดลองลดลง (25)
การเตรียมสารสกัดจากสาเก (sake) ด้วยการนำสาเก (Pharma Foods International Co., Ltd., Japan) มาระเหยส่วนแอลกอฮอล์ออกและทำให้แห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบเยือกแข็ง ทำการทดสอบผลของสาเกต่อการสังเคราะห์เมลานินในเซลล์ melan-A murinemelanocytesพบว่าเมื่อบ่มสารสกัดสาเก 250-2,000 ppm. แก่เซลล์ 72 ชม. ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ (7-43%) และที่ขนาด 1,000-2,000 ppm. ให้ผลใกล้เคียงกับสารอาร์บูติน 50 ppm. โดยไม่แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์รวมถึงมีฤทธิ์ลดการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสโดยลดการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ MITF, TRP-1, TRP-2, และβ-actin ในเซลล์ และการทดสอบให้สารสกัดสาเกความเข้มข้น 1,000 และ 2,000 ppm. แก่ melan-A/SP-1 murine cell co-cultureนาน 24 ชม. พบว่ายับยั้งการสังเคราะห์เมลานินได้ 12.5 และ 17.9% ตามลำดับ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับการใช้สารอาร์บูติน 200 ppm. และทดสอบในเซลล์ผิวหนังของมนุษย์MelanoDermTMพบว่าเมื่อให้สารสกัดสาเกความเข้มข้น 5 และ 10% แก่เซลล์เป็นเวลา 9 วัน เพิ่มค่าความสว่างของผิว (L* value) อย่างมีนัยสำคัญ แต่ให้ผลน้อยกว่าสารเปรียบเทียบกรดโคจิก 1% (34)
การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินของโปรตีนไฮโดรไลเซทจากข้าว (rice protein hydrolysate: RPH) ได้จากการไฮโดรไลเซสโปรตีนด้วยเอนไซม์นิวเทรส (neutrase) และอัลคาเลส (alcalase) ทำการทดสอบในเซลล์เมลาโนไซต์ของมนุษย์ (PIG1 cell) พบว่าเมื่อให้ RPH ความเข้มข้น 50, 100 และ 200 มคก./มล. นาน 24 ชม. แก่เซลล์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดเม็ดสีด้วยรังสียูวีบี ให้ผลลดระดับเม็ดสีเมลานินได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับและที่ขนาด200 มคก./มล. ให้ผลดีกว่าการใช้อาร์บูติน 10 มคก./มล. ทำการวิเคราะห์โครงสร้างของ RPH ด้วยวิธี HPLC-MS/MS พบโครงสร้างเปปไทด์3 แบบ ได้แก่Leu-Leu-Lys (LLK), Leu-Pro-Lys (LPK), และ pyroGlu-Lys (pEK)และทำการทดสอบฤทธิ์ของเปบไทด์ทั้ง 3 แบบ ต่อการสร้างเมลานินในเซลล์ ผลพบว่าเปบไทด์ทั้ง 3 รูปแบบ ที่ความเข้มข้น 10 มคก./มล. ให้ผลลดระดับเมลานินในเซลล์และลดการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมถึงลดการแสดงออกของโปรตีนและ mRNA ของ tyrosinase-related protein 1 (TRP-1) และ tyrosinase-related protein 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เมลานินในเซลล์ลงอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าโปรตีนไฮโดรไลเซสข้าวมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน โดยเกี่ยวข้องกับวิถี JNK/β-Trcp/NFΚB-p65/MITF ในเซลล์ (45)
ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
การศึกษาฤทธิ์ของข้าวกล้องงอกต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ในการทดสอบใช้ข้าวกล้องงอกจากจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอร์รี, ข้าวหอมมะลิแดง,ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เตรียมข้าวกล้องงอกด้วยการแช่เมล็ดข้าวกับน้ำ ในอัตราส่วน 2:1 ที่อุณหภูมิ 25ºC เป็นเวลา 6 ชม. และเก็บที่อุณหภูมิ 10ºCอีก 24 ชม. ก่อนนำมาเพาะในที่มืด ทำการเก็บเกี่ยวข้าวกล้องงอกที่เวลา 0, 24 และ 48 ชม. มาอบที่อุณหภูมิ 60ºC นาน 6 ชม. แล้วบดให้เป็นผง เตรียมสารสกัดข้าวกล้องงอกด้วยวิธีแช่สกัดผงข้าวกล้องงอก 1 ก. ในเมทานอล 10 มล. เป็นเวลา 24 ชม. เมื่อทดสอบฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ดด้วยวิธี dopachrome พบว่าข้าวกล้องไรซ์เบอร์รีงอกอายุ 24 ชม. ยั้บยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ดีที่สุดด้วยค่าการยับยั้ง 31.33% รองลงมาคือข้าวกล้องไรซ์เบอร์รีงอกอายุ 48 ชม.และข้าวกล้องหอมมะลิแดงด้วยค่าการยับยั้งเท่ากับ 29.56 และ 20.66% ตามลำดับ และในการศึกษานี้ไม่พบความสัมพันธ์ของอายุข้าวกล้องงอกทั้ง 3 สายพันธุ์ต่อฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (46)
สารสกัดโพลีฟีนอลรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 จากจังหวัดเชียงราย (voucher no: MKOS 05ML14) เตรียมสารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยนำรวงข้าวตากแห้ง บดเป็นผง ไฮโดรไลซ์ด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 2 โมลาร์ ทำให้เป็นกลางด้วยกรดไฮโดรคลอริก (HCI) 2 โมลาร์ และนำไปสกัดต่อด้วยเอธิลอะซิเตท จากนั้นทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยวิธีสุญญากาศ จะได้สารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิที่มีปริมาณสารโพลีฟีนอลรวม 22.48 ก.สมมูลกรดแกลลิก/100 ก.สารสกัด การศึกษาฤทธิ์ต่อเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ดด้วยวิธีที่ใช้L-DOPA เป็นสารตั้งต้น พบว่าสารสกัดจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 ความเข้มข้น 0.4 มก./มล. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ 62.40% และมีฤทธิ์น้อยกว่าสารเปรียบเทียบมาตรฐานกรดโกจิก 0.2 มก./มล. (ยับยั้ง 78.62%) (24)
สารสกัดข้าวเมล็ดสีดำ เมล็ดสีแดง และเมล็ดสีขาว (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดปทุมธานี ไม่ระบุสายพันธุ์ข้าว) เตรียมสารสกัดด้วยการนำเมล็ดข้าวบดเป็นผง และแช่สกัดใน 95% เมทานอล นาน 3 วัน ทำการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสด้วยวิธีที่ใช้L-DOPAเป็นสารตั้งต้น พบว่าสารสกัดจากเมล็ดข้าวสีขาวที่ความเข้มข้น 0.10 มก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ดีที่สุดด้วยเปอร์เซ็นต์การยับยั้ง 21.47% รองลงมาคือกลุ่มข้าวเมล็ดสีดำและเมล็ดสีแดง ด้วยค่าการยับยั้ง 15.87 และ 13.89% ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบแยกสารหอมระเหยจากเมล็ดข้าวสีขาว พบสาร 2-pentylfuran, guaiacol, vanillin และ vanillyl alcohol เป็นองค์ประกอบหลัก และสารดังกล่าวที่ความเข้มข้น 0.10 มก./มล. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ 45.94, 62.00, 60.08 และ 75.78% ตามลำดับ และพบว่าสาร vanillyl alcohol มีฤทธิ์ดีกว่ากรดโคจิกเมื่อให้ในขนาดที่เท่ากัน (67.88%) (26)
การเตรียมสารสกัด50% เอทานอลข้าวสังข์หยด ข้าวมันปู ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวหอมนิล และข้าวลืมผัว โดยแช่สกัดผงข้าวใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน นำไปปั่นเหวี่ยงด้วยแรง 4427g นาน 15 นาที กรอง และระเหยตัวทำละลายออกโดยใช้เครื่องระเหยแห้งแบบลดความดัน สารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสด้วยวิธีที่ใช้L-DOPA เป็นสารตั้งต้นพบว่าที่ความเข้มข้น 1 มก./มล. ค่าความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ของสารสกัดข้าวมันปู >ข้าวลืมผัว > ข้าวสังข์หยด > ข้าวไรซ์เบอร์รี่ > ข้าวหอมนิล ด้วยเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 23.51, 19.56, 15.45, 14.49 และ 14.27% ตามลำดับ (47)
โปรตีนไฮโดรไลเซสจากรำข้าวหอมมะลิ RD 15 (rice bran protein hydrolysates) ที่เตรียมจากสารสกัดน้ำ, สารสกัดด้วย 2% NaCl และสารสกัด 0.1 N NaOH จากรำข้าวด้วยเอนไซม์อัลคาเลส พบ %yield ของโปรตีนในสารสกัดน้ำ (RBPH1), สารสกัดด้วย 2% NaCl (RBPH2)และสารสกัด 0.1 N NaOH (RBPH3) เท่ากับ 3.52, 2.67 และ 5.56 ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ด ด้วยวิธีที่ใช้L-DOPA เป็นสารตั้งต้นพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดย RBPH3 และ RBPH2 มีฤทธิ์ดีที่สุดด้วยค่า IC50เท่ากับ 0.46 และ 1.92 มก./มล. และพบว่า RBPH3 ยับยั้งเอนไซม์แบบไม่แข่งขัน (แบบ non-competitive mechanism)ด้วยค่าคงที่การยับยั้ง Kiและ Kis เท่ากับ 2.8 และ 2.5 มก./มล. ตามลำดับ ส่วน RBPH2 ยับยั้งเอนไซม์แบบไม่แข่งขัน (แบบ uncompetitive mechanism)ด้วยค่าคงที่การยับยั้งKiและ Kisเท่ากับ 6.1 และ 4.5 มก./มล. ตามลำดับ (48)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ด ด้วยวิธีที่ใช้ L-DOPA เป็นสารตั้งต้นพบว่าสาร momilactones A, B, และ tricin(สารกลุ่มฟลาโวนอยด์) ที่พบในเปลือกข้าว (ตัวอย่างพืชจากประเทศญี่ปุ่น) ความเข้มข้น 2 มก./มล. มีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลอง ได้ 37.59, 12.60, และ 15.69% ตามลำดับ (16)
2.2 ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า (F008)
สารสกัดโพลีฟีนอลรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 จากจังหวัดเชียงราย (voucher no: MKOS 05ML14) เตรียมสารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยนำรวงข้าวตากแห้ง บดเป็นผง ไฮโดรไลซ์ด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 2 โมลาร์ ทำให้เป็นกลางด้วยกรดไฮโดรคลอริก (HCI) 2 โมลาร์ และนำไปสกัดต่อด้วยเอธิลอะซิเตท จากนั้นทำให้สารสกัดเข้มข้นด้วยวิธีสุญญากาศ จะได้สารสกัดรวงข้าวดอกมะลิที่มีปริมาณสารโพลีฟีนอลรวม 22.48 ก.สมมูลกรดแกลลิก/100 ก.สารสกัด การศึกษาฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทส และคอลลาจีเนสในหลอดทดลอง พบว่าเมื่อให้สารสกัดรวงข้าวขาวดอกมะลิ ความเข้มข้น 0.08 มก./มล. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ 48.74% ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับสารเปรียบเทียบมาตรฐาน feruric acid 0.04 มก./มล. และมีฤทธิ์น้อยกว่าursolic acid และผลการทดสอบฤทธิ์ต่อเอนไซม์คอลลาจีเนส พบว่าสารสกัดที่ความเข้มข้น 0.1 มก./มล. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ 79.27% ซึ่งมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับสารเปรียบเทียบมาตรฐานepigallocatechin gallate 0.05 มก./มล. ที่ยับยั้งได้ 78.64% (24)
การศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากข้าวทับทิมชุมแพ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดขอนแก่น ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำเมล็ดข้าวอบที่อุณหภูมิ 50°C บดเป็นผง และร่อนผ่านตะแกรงขนาด 100 แมซ ทำการสกัดข้าวทับทิมชุมแพด้วยวิธีแช่สกัดผงข้าวด้วยตัวทำละลาย 70%เอทานอล (อัตราส่วน1:5 โดยน้ำหนัก/ปริมาตร) นาน 24 ชม. เขย่าที่ความเร็วรอบ 120 รอบต่อนาที กรอง และทำให้สารสกัดแห้งด้วยเครื่องระเหยสุญญากาศ เมื่อนำสารสกัดที่ได้มาวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวม พบฟีนอลิกรวม เท่ากับ 80.20±0.03ก.สมมูลแกรแกลลิก/ก. สารสกัด และมีฟลาโวนอยด์รวม8.18±0.05ก. สมมูลเควอซิติน/ก. สารสกัด ผลการศึกษาฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์อีลาสเทสสารสกัดข้าวทับทิมชุมแพ ความเข้มข้น 1 มก./มล. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์เท่ากับ 84.23±0.14%และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์คอลลาจิเนส ผ่านการยับยั้ง matrixmetalloproteinase (MMP)-1 และ MMP-2 เท่ากับ 83.67±0.49 และ83.26±0.16% ตามลำดับ ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับสารepigallocatechin gallate การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสผิวหนังของมนุษย์ (CCD-986 SK) ด้วยการให้สารสกัดข้าวทับทิมชุมแพ ความเข้มข้น 2-200 มคก./มล. ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์โดยสารสกัดที่ขนาด 200 มคก./มล. พบอัตราการรอดชีวิตของเซลล์ 100.00±6.23% จึงนำสารสกัดทับทิมชุมแพมาใส่ครีมบำรุงผิวโดยละลาย xanthine gum ลงในกลีเซอรีนและ propylene glycol จากนั้นเติมน้ำปราศจากอิออน กวนผสมกับสารทำให้ข้นและสารสกัดข้าวทับทิมชุมแพ 2% โดยน้ำหนักปรับค่าความเป็นกรดด่างด้วย triethnolamine และแต่งกลิ่นด้วยน้ำหอม จากนั้นนำตำรับครีมดังกล่าวไปทดสอบความคงตัวที่สภาวะอุณหภูมิต่างๆ และสภาวะเร่ง เป็นระยะเวลา 3 เดือนพบว่าตำรับครีมสารสกัดข้าวทับทิมชุมแพมีลักษณะของเนื้อครีมเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แยกชั้น อย่างไรก็ตามค่าความเป็นกรดด่าง (pH)ความหนืด และค่าสีมีการเปลี่ยนแปลงหลังการทดสอบแต่ไม่มีผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตำรับ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดข้าวทับทิมชุมแพมีศักยภาพในการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิว (49)
สารสกัดจากข้าวเมล็ดสีดำ (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดด้วยวิธี microwave system โดยใช้ 50% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย กรอง และทำให้สารสกัดแห้งด้วยวิธีการทำแห้งแบบเยือกแข็ง ทำการทดสอบฤทธิ์ต่อเอนไซม์ matrix metalloproteinase ในเซลล์เคอร์ติโนไซต์ของมนุษย์ที่ได้รับรังสียูวีบี พบว่าสารสกัด50% เอทานอลจากข้าวเมล็ดสีดำลดการแสดงออกของโปรตีน MMP-1 และเพิ่มโปรตีน type I procollagen และการทดสอบในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของมนุษย์ พบว่าสารสกัด50% เอทานอลจากข้าวเมล็ดสีดำลดการแสดงออกของ MMP-1 และ MMP-3 ลดการทำงานของ p38,c-JunN-terminal kinaseและยับยั้งการกระตุ้น activator protein-1 (AP-1) จากการเหนี่ยวนำด้วยรังสียูวีบี รวมถึงลดระดับ reactive oxygen species ในเซลล์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีที่พบcyanidin-3-O-β-D-glycosideและtaxifolin-7-O-glucoside เป็นสารสำคัญ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัด50% เอทานอลจากข้าวเมล็ดสีดำยับยั้งการเพิ่มขึ้นของ matrix metalloproteinaseในเซลล์จากการเหนี่ยวนำด้วยรังสียูวีบี โดยปรับปรุงการทำงานของmitogen-activated protein kinase และ AP-1 ในเซลล์(50)
การเตรียมสารสกัด50% เอทานอลข้าวสังข์หยด ข้าวมันปู ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวหอมนิล และข้าวลืมผัว โดยแช่สกัดผงข้าวใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน นำไปปั่นเหวี่ยงด้วยแรง 4427g นาน 15 นาที กรอง และระเหยตัวทำละลายออกโดยใช้เครื่องระเหยแห้งแบบลดความดัน ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์คอลลาจีเนส พบว่าสารสกัดจากข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยสารสกัดจากข้าวลืมผัวมีฤทธิ์ดีที่สุด ด้วยค่า IC50เท่ากับ 0.015 มก./มล. ตามมาด้วยสารสกัดจากข้าวมันปู ข้าวสังข์หยด ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวหอมนิล ตามลำดับ และการทดสอบฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทส พบว่าสารสกัดจากข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ที่ความเข้มข้น 0.019-0.625มก./มล.ไม่แสดงฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์ (47)
การศึกษาฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยของไวน์ข้าวในประเทศเกาหลีใต้ (ไม่ระบุที่มาและวิธีเตรียมสารสกัด) ทำการทดสอบในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของมนุษย์ ด้วยการบ่มไวน์ข้าว ความเข้มข้น 0.05, 0.1 และ 0.2% แก่เซลล์เป็นเวลา 24 ชม. กระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีน type I procollagen ได้ตามขนาดที่ได้รับ โดยไวน์ข้าวขนาด 0.2% ให้ผลใกล้เคียงกับกลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับวิตามินซี 20 ไมโครโมลาร์ การทดสอบฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอยของผิวหนังในหนูเม้าส์ไร้ขน ที่เหนี่ยวนำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยด้วยการฉายรังสียูวีบี ความเข้มแสง 60 ไมโครจูล/ตร.ซม. 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ตามด้วยความเข้มแสง 120 ไมโครจูล/ตร.ซม. 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จากนั้นทาผิวหนังด้วยไวน์ข้าว ความเข้มข้น 2% วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2 เดือน พบว่าค่าการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง (transepidermal water loss) ในกลุ่มที่ได้รับไวน์ข้าวเกิดขึ้นน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับรังสียูวีบีเพียงอย่างเดียว (16.3 และ 31.8% ตามลำดับ)จำนวนการเกิดริ้วรอย (wrinkle) และความลึกของริ้วรอย ในกลุ่มที่ได้รับไวน์ข้าวน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังมีผลความหนาตัวของผิวชั้น epidermis ในกลุ่มที่ได้รับรังสียูวีบีเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับไวน์ข้าวมีผลยับยั้งความหนาตัวของชั้น epidermis ได้ 45% (51)
สารสกัดกึ่งบริสุทธิ์จากรำข้าว (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่) ที่สกัดด้วยเทคนิคคาร์บอนไดออกไซด์เหนือวิกฤตยิ่งยวด (rice bran supercritical CO2extract) ความเข้มข้น 0.001-10 มก./มล. และสารสำคัญ 3 ชนิดที่พบในสารสกัดกึ่งบริสุทธิ์จากรำข้าว ได้แก่ ferulic acid (F),γ-oryzanol(O) และ phytic acid(P) ความเข้มข้น 10 มก./มล. ไม่แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของมนุษย์ และพบว่าสาร F, O, P ที่ความเข้มข้น 10 มก./มล. กระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 1.37, 1.66 และ 0.97 เท่า ตามลำดับ การทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดต่อการแสดงออกของเอนไซม์ matrix metalloproteinase-2 (MMP-2) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการสลายคอลลาเจนในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ พบว่าสาร ferulic acid,γ-oryzanol และ phytic acidความเข้มข้น 1 มก./มลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ MMP-2 โดยสาร phytic acid ยับยั้งการทำงานของ MMP-2 ได้ดีที่สุด เท่ากับ 63.91% และมีฤทธิ์ดีกว่าสารเปรียบเทียบกรดแอสคอบิก(50.53%) รองลงมาคือ γ-oryzanol และ ferulic acid ด้วยค่าการยับยั้งเท่ากับ 58.34 และ 35.28% ตามลำดับ (22)
สารสกัดน้ำจากข้าวที่เตรียมด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 3 วิธี คือ วิธีที่ 1วิธีการต้ม (RWB) นำข้าวเปลือก 400 ก. ต้มกับน้ำปราศจากอิออน 1 ล. นาน 30 นาที วิธีที่ 2วิธีแช่ทั้งเมล็ด (RWM) แช่ข้าวเปลือก 400 ก. ในน้ำปราศจากอิออน 1 ล. เขย่าเป็นระยะ นาน 24 ชม. และวิธีที่ 3วิธีแช่ผงเมล็ดข้าว (RWS) บดข้าวเปลือก 400 ก. ให้เป็นผงและนำไปแช่ในน้ำปราศจากอิออน 1 ล. เขย่าเป็นระยะ นาน 24 ชม. จากนั้นกรองผ่านผ้าขาวบางนำส่วนของเหลวออกมาทดสอบ การทดสอบผลต่อการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทสในหลอดทดลองพบว่า RWB และ RWS(ไม่ระบุความเข้มข้น) ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ 89.0 และ 57.9% ตามลำดับ ส่วน RWMไม่มีฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์อิลาสเทส (38)
โปรตีนไฮโดรไลเซทข้าว (rice protein hydrolysates) ที่เตรียมด้วยการนำข้าว 100 ก. แช่ในน้ำ 1 ล. ที่มีเอนไซม์อะไมเลสจากเชื้อรา 0.5% ให้ความร้อนที่ 60ºC นาน 24 ชม. นำไปปั่นเหวี่ยงที่ 1968xg นาน 10 นาที และแยกส่วนของเหลวมาทำให้เข้มข้น 20 เท่า จากนั้นเติม 0.1 hydrolytic protease เขย่าและบ่มที่ 55ºC นาน 4 ชม. จากนั้นหยุดการทำงานของเอนไซม์ด้วยการให้ความร้อนที่ 85ºC นำไปปั่นเหวี่ยงที่ 3075xg เป็นเวลา 15 นาที และแยกส่วนใสทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบเยือกแข็ง มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสและเอนไซม์ไทโรซิเนส ด้วยค่า IC50เท่ากับ 8.91 และ 107.6 มก./มล. ตามลำดับ (52)
สาร momilactones A, B, และ tricin(สารฟลาโวนอยด์) ที่พบในเปลือกข้าว (ตัวอย่างพืชจากประเทศญี่ปุ่น) ความเข้มข้น 2 มก./มล. มีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทสในหลอดทดลอง ได้ 30.86, 18.50, และ13.97% ตามลำดับ (16)
2.3 ตกแต่งผิวหน้า (F009)
การศึกษาพัฒนาแป้งอัดแข็งจากแป้งข้าวขาวดอกมะลิ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดมหาสารคาม ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมผงแป้งด้วยการแช่ข้าวขาวดอกมะลิ 1 กก. แช่ในน้ำ 1 ล. จากนั้นนำไปปั่นด้วยเครื่องปั่นอาหาร กรองผ่านผ้าขาวบาง ทิ้งให้ของเหลวตกตะกอนที่อุณหภูมิห้อง 6 ชม. และนำไปเก็บในตู้เย็น 24 ชม. จากนั้นแยกแป้งที่ตกตะกอนด้านล่างมาอบที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 2 ชม. และร่อนผ่านตะแกรงขนาด 100 แมช จนได้ผงแป้งละเอียดเตรียมแป้งข้าวดอกมะลิดัดแปลง (modification of rice flour with PEG-50 shea butter) โดยแช่ผงข้าวดอกมะลิในน้ำ (อัตราส่วน 1:20) จากนั้นเติม 10%polyethylene glycol (PEG)-50 shea butterปั่นให้เข้ากันที่ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที เป็นเวลา 10 นาที และทำให้ตกตะกอนด้วยการปั่นเหวี่ยง 5,000 รอบ/นาที เป็นเวลา 5 นาที แยกแป้งที่ตกตะกอนด้านล่างมาอบที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 2 ชม. และร่อนแป้งผ่านตะแกรงขนาด 100 แมช เมื่อทำการศึกษาคุณลักษณะทางกายภาพพบว่าผงแป้งข้าวดอกมะลิดัดแปลงมีประสิทธิภาพในการไหลและกันน้ำได้ดีกว่าผงแป้งข้าวขาวดอกมะลิ จึงทำการพัฒนาสูตรแป้งอัดแข็งโดยใช้ผงแป้งข้าวดอกมะลิดัดแปลงทดแทนการใช้ผงแป้งทัลคัม พบว่าแป้งอัดแข็งผงแป้งข้าวดอกมะลิดัดแปลงมีคุณสมบัติในการยึดเกาะและปกปิดผิวเทียบเท่ากับแป้งอัดแข็งที่เตรียมจากทัลคัม และมีค่าในการป้องกันแสงแดด (SPF) มากกว่า 15 และการทดสอบความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ในอาสาสมัคร 20 ราย พบว่ามีความพึงพอใจรวมในผลิตภัณฑ์เท่ากับ 4.22 จากคะแนนเต็ม 5 โดยพึงพอใจในคุณสมบัติเกลี่ยง่าย >ทำให้ผิวนุ่ม > ทำให้ผิวเรียบเนียน > การเกาะติดผิว >การปกปิดรอยบนผิว > สีผิว (53)
การพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้าดัดแปร ที่เตรียมด้วยการนำแป้งข้าวเจ้า 100 ก. แช่ใน สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ 0.35% เป็นเวลา12 ชม. จากนั้นนำไปเหวี่ยงด้วยเครื่องปั่นเหวี่ยงที่ความเร็วรอบ 3,000xg เป็นเวลา 15 นาที ปรับค่าความเป็นกรดด่างด้วยกรดไฮโดรคลอริก นำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 40-45ºC เป็นเวลา 24 ชม. นำแป้งที่อบแห้งแล้วเติมเอทานอลบริสุทธิ์ จากนั้นนำเข้าเครื่อง Ball Mill เป็น เวลา 1 ชั่วโมง กรอง และอบที่อุณหภูมิ 40ºCนาน 24 ชม.จะได้แป้งข้าวเจ้าที่ได้สามารถดูดซับน้ำได้ร้อยละ 2.12 นำแป้งข้าวเจ้าที่ได้มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นโรยตัว ได้สูตรที่เหมาะสม คือ แป้งข้าวเจ้า 70.05%, ทัลคัม 7.44%, zinc stearate 10.07% และmagnesium carbonate 11.94% โดยแป้งฝุ่นโรยตัวผสมสแป้งข้าวเจ้ามีค่าคุณภาพ ได้แก่ whiteness 80.10, ค่า water activity 0.353, flow property 37.87, bulk density 0.25, pH 7.33 และความชื้นร้อยละ 7.29 จากการทดสอบทางประสาทสัมผัสพบว่าผู้บริโภคให้คะแนนความชอบรวมผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นโรยตัวผสมแป้งข้าวเจ้าอยู่ในช่วงชอบปานกลางถึงชอบมาก ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นประเภทเดียวกันที่มีอยู่ในท้องตลาด และการทดสอบการยอมรับของอาสาสมัครเพศหญิงอายุ 15-45 ปี จำนวน 250 ราย พบความพึงใจในผลิตภัณฑ์ระดับปานกลาง (54)
3 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
.3.1 บำรุงผิว (S003)
ไขรำข้าว (rice bran wax) ที่เตรียมด้วยการสกัดรำข้าวแบบต่อเนื่องด้วย soxhlet extractor ที่มีเอธิลตะซิเตทเป็นตัวทำละลาย (85°C นาน 30 นาที) จากนั้นนำสารสกัดที่ได้มากำจัดสีออกด้วย H2O2 2% ที่ 90°C นาน 1 ชม.และกำจัดสีครั้งที่ 2 ด้วย NaOCl 15% ที่ 100°C นาน 1 ชม. จนได้ไขรำข้าวบริสุทธิ์ เตรียมสูตรตำรับครีมไขรำข้าว ที่ประกอบด้วยไขรำข้าวบริสุทธิ์ 15%, steric acid 3%, triethanolamine 1.5% และ cetyl acohol การทดสอบประสิทธิภาพต่อผิวหนังของไขรำข้าวและตำรับครีมไขรำข้าวในเซลล์เคอร์ราติโนไซต์ พบว่ารำข้าว ไขรำข้าวและตำรับครีมไขรำข้าวไม่มีผลต่อการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง (trans epidermal water loss) แต่ตำรับครีมไขรำข้าวมีผลเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของเซลล์ (water holding capacity) ได้ 1.2 มก./100 มก.น้ำหนักเซลล์ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวหนัง (natural moisturizing factor) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าตำรับครีมไขรำข้าวมีส่วนช่วยคงเพิ่มปริมาณน้ำในผิว และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และป้องกันการเกิดผิวแห้งแตกได้ (55)
3.2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและปริมาณสารประกอบฟีนอลิกในแกลบ รำ ข้าวกล้องดอกมะลิ 105 และข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ปลูกในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ 3 แหล่งได้แก่ อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอโพนทราย และอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด (ไม่ระบุ voucher specimen)เตรียมสารสกัดหยาบจากแกลบ รำ และเมล็ดข้าว โดยใช้ 80% เมทานอล เขย่าด้วยความเร็ว 150 รอบต่อนาที เป็นเวลา 16 ชม. ก่อนนำไปแยกชั้นด้วยเครื่องปั่นเหวี่ยงความเร็ว 2,500 รอบ/นาที เป็นเวลา 20 นาที เก็บส่วนของเหลวมาให้ทำให้แห้งด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบสุญญากาศ ผลการตรวจสอบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกพบว่าสารสกัดจากรำข้าวมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกมากที่สุด รองลงมาคือสารสกัดแกลบ สารสกัดข้าวกล้องและสารสกัดข้าวขาว เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในสารสกัดรำข้าวพบสารγ-oryzanol และ tocopherols เป็นองค์ประกอบหลัก ส่วนสารสกัดแกลบพบสาร ferulic acids, vanillic acidsและp-coumaric acids เป็นองค์ประกอบหลัก ผลการตรวจสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดด้วยวิธี DPPH radical scavenging และ Ferric reducing ability power (FRAP)พบว่าค่าต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดสัมพันธ์กับปริมาณสารประกอบฟีนอลิก โดยสารสกัดรำข้าว สารสกัดแกลบ สารสกัดข้าวกล้อง และสารสกัดข้าวขาว (ไม่ระบุความเข้มข้น) ยับยั้งอนุมูลอิสระได้เท่ากับ 85.9-86.7%, 42.0-89.5%, 37.5-68.0% และ 25.2-39% ตามลำดับและมีค่าความสามารถในการรีดิวซ์ เท่ากับ 27.5-32.2, 12.4-28.2, 6.4-12.5 และ 4.6-6.5 ไมโครโมลาร์ FeSO4/ก.สารสกัดตามลำดับนอกจากนี้ยังพบว่าแหล่งปลูกมีความสัมพันธ์กับปริมาณสารสำคัญที่พบโดยข้าวจากอำเภอโพนทรายพบปริมาณสารฟีนอลิกรวมสูงที่สุด รองลงมาคืออำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอเกษตรวิสัย ตามลำดับ (27)
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงฤทธิ์ทางชีวภาพและสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในเมล็ดข้าวไทย 3 สายพันธุ์ คือ ข้าวขาวดอกมะลิ ข้าวหอมมะลิแดง และข้าวไรซ์เบอร์รี ที่มีอายุ 7, 14, 21, 28 และ 35 วัน หลังการออกดอก เตรียมสารสกัดเมล็ดข้าว ด้วยการนำผงข้าวที่กำจัดไขมันออกด้วยเฮกเซน จากนั้นนำไปสกัดด้วยตัวทำละลาย acidified methanol/1 N HCl in water (85:15 by volume) นาน 1 ชม. นำเข้าเครื่องปั่นเหวี่ยงเพื่อให้แยกชั้น และแยกชั้นของเหลวมาระเหยตัวทำละลายออกโดยใช้เครื่องระเหยแห้ง วิเคราะห์ปริมาณสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ ได้แก่ แอนโทไซยานิน โปรแอนโทไซยานิดิน ปริมาณฟีนอลิกรวม และฟลาโวนอยด์รวม ผลพบว่าปริมาณสารแอนไซยานินพบมากที่สุดในข้าวไรซ์เบอร์รีอายุ 21-35 วัน สารโปรแอนโทไซยานิดินพบมากที่สุดในข้าวหอมมะลิแดง อายุ 7-35 วัน สารฟีนอลิกรวมพบมากที่สุดในข้าวหอมมะลิแดงอายุ 14-28 วัน และสารฟลาโวนอยด์รวมพบมากที่สุดในข้าวไรซ์เบอร์รีอายุ 28-35 วัน การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย DPPH พบว่าข้าวทั้ง 3 สายพันธุ์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดที่อายุ 7 วัน และค่อยๆ ลดลงตามลำดับ และการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP พบว่าเมล็ดข้าวดอกมะลิขาวทั้ง 5 ระยะเวลาไม่มีความแตกต่างกันในคุณสมบัติการรีดิวซ์ ข้าวหอมมะลิแดงอายุ 14 วัน มีความสามารถในการรีดิวซ์มากที่สุด ด้วยค่าต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 503 มก. สมมูลTrolox/ 100 ก. น้ำหนักแห้ง และค่อยๆ ลดลงจนอายุ 35 วัน ส่วนข้าวไรซ์เบอร์รีมีค่าความสามารถในการรีดิวซ์เพิ่มขึ้นตามอายุของเมล็ด โดยพบค่ามากที่สุดเมื่ออายุ 35 วัน (152 มก. สมมูล Trolox/ 100 ก. น้ำหนักแห้ง) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าอายุของเมล็ดมีผลต่อปริมาณสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในเมล็ดข้าว และมีผลต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงควรเลือกเวลาการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวที่มีปริมาณสารสำคัญมากที่สุด (9)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าวกล้องงอกจากข้าวกล้องไทยในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอร์รี, ข้าวหอมมะลิแดง. ข้าวขาวดอกมะลิ 105เตรียมข้าวกล้องงอกด้วยการแช่เมล็ดข้าวกับน้ำ ในอัตราส่วน 2:1 ที่อุณหภูมิ 25ºC เป็นเวลา 6 ชม. และเก็บที่อุณหภูมิ 10ºC ต่ออีก 24 ชม. ก่อนนำมาเพาะในที่มืด ทำการเก็บเกี่ยวข้าวกล้องงอกที่เวลา 0, 24 และ 48 ชม. มาอบที่อุณหภูมิ 60ºC นาน 6 ชม. แล้วบดให้เป็นผง เตรียมสารสกัดข้าวกล้องงอกด้วยวิธีแช่สกัดผงข้าวกล้องงอก 1 ก. ในเมทานอล 10 มล. เป็นเวลา 24 ชม. ผลการวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลิกรวมด้วย Folin-Ciocalteu colorimetric method และตรวจสอบปริมาณสารฟลาโวนอยด์ด้วย aluminum chloride colorimetric method พบว่าข้าวไรซ์เบอร์รีงอกมีปริมาณฟีนอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวมสูงสุดที่อายุ 48 ชม. (25.06 มก.สมมูลกรดแกลลิก/ก. น้ำหนักแห้ง, 88.89 มก. สมมูลเควอซิติน/ก. น้ำหนักแห้ง ตามลำดับ) ข้าวหอมมะลิแดงงอกมีปริมาณฟีนอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวมสูงสุดที่อายุ 24 ชม. (24.92 มก.สมมูลกรดแกลลิก/ก. น้ำหนักแห้ง, 95.67 มก. สมมูลเควอซิติน/ก. น้ำหนักแห้ง ตามลำดับ) ส่วนข้าวดอกมะลิงอกมีปริมาณฟีนอลิกรวมสูงสุดที่อายุ 48 ชม. และมีฟลาโวนอยด์สูงสุดที่อายุ 24 ชม. (16.04 มก.สมมูลกรดแกลลิก/ก. น้ำหนักแห้ง, 43.00 มก. สมมูลเควอซิติน/ก. น้ำหนักแห้ง ตามลำดับ)เมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าวงอกที่ดีที่สุด 3 ลำดับแรกคือ ข้าวไรซ์เบอรี่งอก 48 ชม. ข้าวหอมมะลิแดงงอก 24 ชม. และข้าวหอมมะลิแดง งอก 48 ชม. โดยที่ความเข้มข้น 100 มก./มล. ยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 81.52, 78.97 และ 71.64% ตามลำดับ และผลต่อการยับยั้งอนุมูลอิสระด้วย ABTS free-radical scavenging assays พบค่าการยับยั้งดีที่สุด 3 อันดับแรกคือ ข้าวหอมมะลิแดงงอก 24 ชม., ข้าวหอมมะลิแดงงอก 48 ชม. และข้าวไรซ์เบอรี่งอก 24 ชม. ความเข้มข้น 100 มก./มล. ด้วยค่าการยับยั้ง67.92, 61.94 และ 58.58% ตามลำดับ (46)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดข้าวสังข์หยดงอก (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดสงขลา ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมข้าวงอกด้วยวิธีการแช่เมล็ดข้าวในน้ำ 24 ชม. จากนั้นเก็บไว้ในที่มืด เก็บเกี่ยวเมื่ออายุครบ 60 ชม. นำมาอบที่อุณหภูมิ 40ºC นาน 24 ชม. บดผงและร่อนผ่านตะแกรงความถี่ 40 แมช เตรียมสารสกัดข้าวสังข์หยดงอก ด้วยวิธีการแช่สกัดผงข้าวงอก 100 ก. ใน 50% เอทานอล อัตราส่วน 1:15 (ก.:มล.) เขย่าด้วยความเร็ว 200 รอบต่อนาที เป็นเวลา 30 นาที ก่อนนำไปแยกชั้นด้วยเครื่องปั่นเหวี่ยงความเร็ว 4,000 รอบ/นาที เป็นเวลา 5 นาที เก็บส่วนของเหลวมาให้ทำให้เข้มข้นด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบสุญญากาศ ได้ %yield เท่ากับ 6.56% สารฟีนอลิกรวม 1,627 มก.สมมูลแกรแกลลิก/100 ก. น้ำหนักแห้ง และมีปริมาณฟลาโวนอยด์รวมเท่ากับ 559.50 มก. สมมูลเควอซิติน/100 ก. น้ำหนักแห้งการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบค่าIC50เท่ากับ 0.16 มก./มล.ซึ่งมีค่าสูงกว่าสารสกัดเอทานอลจากข้าวสังข์หยด และสารสกัดข้าวไรซ์เบอรี ซึ่งมีค่า IC50เท่ากับ 0.54 และ 0.32 มก./มล. ตามลำดับ (56)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากข้าวทับทิมชุมแพ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดขอนแก่น ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำเมล็ดข้าวอบที่อุณหภูมิ 50°C บดเป็นผง และร่อนผ่านตะแกรงขนาด 100 แมซ ทำการสกัดข้าวทับทิมชุมแพด้วยวิธีแช่สกัดผงข้าวด้วยตัวทำละลาย 70%เอทานอล (อัตราส่วน1:5 โดยน้ำหนัก/ปริมาตร) นาน 24 ชม. เขย่าที่ความเร็วรอบ 120 รอบต่อนาที กรอง และทำให้สารสกัดแห้งด้วยเครื่องระเหยสุญญากาศ (rotary evaporator) เมื่อนำสารสกัดที่ได้มาวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกรวมฟลาโวนอยด์รวม พบว่าสารสกัดข้าวทับทิมชุมแพมีปริมาณฟีนอลิกรวม เท่ากับ 80.20±0.03ก.สมมูลแกรแกลลิก/ก. สารสกัด และมีฟลาโวนอยด์รวม8.18±0.05ก. สมมูลเควอซิติน/ก. สารสกัด การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีDPPH และ ABTS+พบค่า IC50 เท่ากับ 0.77±0.006 และ 0.29±0.002มก./มล.ตามลำดับ (49)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากเมล็ดข้าวสีดำและเมล็ดข้าวสีแดง โดยแบ่งเป็นกลุ่มเมล็ดสีดำ 6 ตัวอย่าง ได้แก่ ข้าวหอมนิล-เชียงราย, ข้าวหอมนิล-เชียงราย2, ข้าวหอมนิล-เชียงใหม่, ข้าวหอมนิล-พะเยา, ข้าวเหนียวดำ-เชียงราย, ข้าวเหนียวดำ-พะเยา และกลุ่มข้าวเมล็ดสีแดง จำนวน 6 ตัวอย่าง ได้แก่ ข้าวมันปู-เชียงราย, ข้าวมันปู-พะเยา, ข้าวมันปู-ปราจีนบุรี, ข้าวสังข์หยด-พัทลุง, ข้าวสังข์หยด-พัทลุง2 และ ข้าวสังข์หยด-สงขลาเตรียมสารสกัดโดยใช้ตัวอย่างเมล็ดข้าว 50 ก. ในตัวทำละลายกรดไฮโดรคลอริก 0.01% ในเอทานอล 200 มล. ตรวจสอบปริมาณสารฟีนอลิกรวมด้วยวิธีFolin-Ciocalteu assay พบว่ากลุ่มข้าวเมล็ดสีแดงมีปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิกรวมเท่ากับ 0.21-0.99 มก. สมมูลกรดแกลลิค/มล. สารสกัด สูงกว่ากลุ่มเมล็ดสีดำที่พบปริมาณสารฟีนอลิกรวม 0.05-0.54 มก. สมมูลกรดแกลลิค/มล. สารสกัด โดยสารโปรไซยานิดินเป็นสารหลักในกลุ่มเมล็ดสีแดง และพบสารแอนโธไซยานินเป็นองค์ประกอบหลักในกลุ่มเมล็ดสีดำ การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีFRAP ของข้าวทั้ง 12 สายพันธุ์มีค่าเท่ากับ 0.06, 0.23, 0.48, 0.30, 0.63, 0.37, 0.47, 0.42. 1.36, 0.26, 0.23 และ 0.78 มก. สมมูลกรดแอสคอบิก/มล. และมีค่าต้านอนุมูลอิสระเมื่อวัดด้วยวิธี DPPH พบค่า IC50เท่ากับ 0.14, 0.59, 0.57, 0.26, 0.55, 0.53, 0.10, 0.12, 0.15, 1.12, 0.34, และ 0.17 มก./มล. ตามลำดับ และมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด lipid peroxidation (TBARS)เท่ากับ 40.48, 14.79, 20.92, 15.44, 16.16, 15.11, 11.19, 12.81. 20.98, 10.51, 7.57 และ 20.87% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มข้าวเมล็ดสีแดงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่ากลุ่มข้าวเมล็ดสีดำเมื่อทดสอบด้วยวิธี FRAP แต่ให้ผลไม่ต่างกันเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ TBARS โดยในการศึกษานี้พบว่าข้าวมันปูจากจังหวัดปราจีนบุรีเป็นสายพันธุ์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด (57)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าวเหนียวดำ (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดด้วยการแช่สกัดผงข้าวเหนียวดำใน 95% เอทานอล กรอง และทำให้แห้งด้วยวิธีสุญญากาศวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลลิกรวมด้วยน้ำยาFolin-Ciocalteureagentพบสารฟีนอลิกรวมเท่ากับ 12.721 ก. สมมูลกรดแกลลิก/ 100 ก.ตัวอย่าง และการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบค่า IC50เท่ากับ 12.77 มคก./มล. (58)
สารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำ (black rice; ตัวอย่างพืชจากจังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดโดยใช้ 60% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย และทำให้สารสกัดแห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบเยือกแข็ง ได้สารสกัดแอนโทไซยานินข้าวสีดำ (ANT) ที่ประกอบด้วยแอนโทไซยานินในรูปของ cyanidin-3-O-glucoside 1,704 มก./กก.,peonidin-3-O-glucoside 572.89 มก./กก. และ quercetin-3-β-D-glucoside 728.37 มก./กก. และมีปริมาณฟีนอลิกรวม 30 มิลลิโมลาร์สมมูลกรดแกลลิก ทำการทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของหนูแรท พบว่าสารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำความเข้มข้น 5, 10 และ 25 ไมโครโมลาร์/มล. เพิ่มการเคลื่อนที่ของเซลล์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับและมีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของหนูแรทจากการเหนี่ยวนำด้วย H2O2เพิ่มการแสดงออกของ collagen type I alpha 2 (COL1A2) mRNA และโปรตีน type I collagen ในเซลล์ที่ลดลงจากการเหนี่ยวนำด้วย H2O2 แสดงให้เห็นว่าสารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดเลือนริ้วรอยโดยมีผลเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์ (23)
การศึกษาองค์ประกอบและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าวหอมมะลิแดง ข้าวลืมผัว และข้าวกล้องญี่ปุ่น (ตัวอย่างพืชจากประเทศไทย ไม่ระบุ voucher specimen) สกัดเมล็ดข้าวด้วยตัวทำละลาย 70% เอทานอล เขย่าด้วยความเร็ว 150 รอบ/นาที เป็นเวลา 6 ชม. กรอง และทำให้แห้งด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบสุญญากาศ การตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมีพบว่าในข้าวหอมมะลิแดงมีปริมาณสารฟีนอลิกรวมสูงที่สุด คือ 1.018 มก. สมมูลกรดแกลลิก/มก. สารสกัด และพบ proanthocyanidin 3.168 มก. สมมูลคาเตชิน/ มก. สารสกัด ข้าวลืมผัวพบสารฟีนอลิกรวม 0.755 มก. สมมูลกรดแกลลิก/มก.สารสกัด และ anthocyanin 17.784 มก./มล. สารสกัด และข้าวกล้องญี่ปุ่นพบสารฟีนอลิกรวม 0.069 มก. สมมูลกรดแกลลิก/มก. สารสกัด การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, ABTS และ FRAP พบว่าข้าวหอมมะลิแดงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด โดยพบค่าต้านอนุมูลอิสระของข้าวหอมมะลิแดงต่อการทดสอบทั้ง 3 วิธี เท่ากับ7.528, 84.476, 10.792 มก.สมมูล Trolox/มก. สารสกัด ตามลำดับ รองลงมาคือข้าวลืมผัว ด้วยค่าต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 7.227, 79.347, 8.727 มก.สมมูล Trolox/มก. สารสกัด และข้าวกล้องญี่ปุ่น เท่ากับ 0.537, 18.199, 0.640 มก.สมมูล Trolox/มก. สารสกัด ตามลำดับ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าข้าวสีของไทย โดยเฉพาะกลุ่มข้าวสีแดงมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่ากลุ่มข้าวสีดำและกลุ่มข้าวสีขาว (59)
การวิเคราะห์และเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าวไรซ์เบอร์รี และข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ผ่านกระบวนการงอกและกระบวนการหุงในครัวเรือน การทดสอบด้วยวิธี DPPH assayพบว่าสารสกัดเมทานอลจากข้าวไรซ์เบอร์รีมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่าสารสกัดเมทานอลข้าวขาวดอกมะลิ 105โดยพบปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 883.03 และ 690.14 ไมโครโมลสมมูล Trolox/ก.สารสกัด ตามลำดับเมื่อนำข้าวไปหุงในหม้อหุงข้าวแบบครัวเรือน พบว่าค่าการต้านอนุมูลอิสระของข้าวทั้ง 2 สายพันธุ์ ลดลงเหลือ 851.49 และ 663.79 ไมโครโมลสมมูล Trolox/ก. สารสกัด ตามลำดับและเมื่อนำข้าวทั้งสองสายพันธุ์ไปผ่านกระบวนการงอก ด้วยการนำข้าวแช่น้ำ 12 ชั่วโมง และปล่อยให้งอก 2 วันพบว่าปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมีค่าลดลง โดยคงเหลือ 861.11 และ 441.51ไมโครโมลสมมูล Trolox/ก. สารสกัด ตามลำดับและเมื่อนำข้าวงอกทั้ง 2 สายพันธุ์ไปหุงมีผลทำให้ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระลดลง โดยเหลือ 819.95 และ 378.44 ไมโครโมลสมมูล Trolox/ก. สารสกัด ตามลำดับแสดงให้เห็นว่ากลุ่มข้าวมีสีอาจจะมีปริมาณแอนโทไซยานินที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากลุ่มข้าวไม่มีสี และกระบวนการงอกที่ระยะเวลา 2 วันไม่มีผลในการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนกระบวนการหุงมีผลทำให้ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระลดลงทั้ง 2 สายพันธุ์ (60
การศึกษาปริมาณสารโปรแอนโทไซยานิดินและแอนโทไซยานิน และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าวมีสีทั้ง 4 ชนิด คือ ข้าวเหนียวดำ (ดำ) ข้าวหอมนิล (ดำ) ข้าวมันปู (แดง) ข้าวสังข์หยด (เหลืองแดง) (ตัวอย่างพืชจากประเทศไทย ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยตัวทำละลาย 6 ชนิด คือ น้ำกลั่น, กรดเกลือ 1% ในน้ำกลั่น, เอทานอล, กรดเกลือ 1% ในเอทานอล, อะซีโตน และกรดเกลือ 1% ในอะซีโตน (สกัดด้วยวิธีการแช่สกัดข้าวในตัวละลาย อัตราส่วน 1:2 เป็นเวลา 6 ชม.) ผลการศึกษาพบว่าชนิดของข้าวและตัวทำละลายมีผลต่อปริมาณสารสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปริมาณโปรแอนโทไซยานิดินพบมากในข้าวมันปู >ข้าวสังข์หยด> ข้าวหอมนิล > ข้าวเหนียวดำ โดยพบปริมาณโปรแอนโทไซยานิดินมากที่สุดในสารสกัดเอทานอลจากข้าวมันปู เท่ากับ 0.938 มก.สมมูลอิพิคาเทชิน (epicatechin)/มก. สารสกัด ส่วนสารแอนโทไซยานินพบมากในข้าวเหนียวดำ > ข้าวหอมนิล > ข้าวสังข์หยด > ข้าวมันปู โดยพบปริมาณแอนโทไซยานินมากที่สุดในสารสกัดกรดเกลือ 1% ในน้ำกลั่นข้าวเหนียวดำ เท่ากับ 3.741 มก./มล. จากการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าสารสกัดข้าวด้วยตัวทำละลายต่างกันมีผลต่อฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของข้าว โดยพบว่าตัวทำละลายอะซีโตนให้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด โดยพบว่าข้าวเหนียวดำ >ข้าวสังข์หยด >ข้าวมันปู>ข้าวหอมนิล (61)
สารสกัดจากข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ ข้าวสีนิล ข้าวทับทิมล้านนา ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวแดงสังข์หยด และข้าวก่ำดอยมูเซอ (ไม่ระบุที่มาของวัตถุดิบ) เตรียมสารสกัดด้วยการแช่สกัดผงข้าว 500 ก. ใน 70% เอทานอล เป็นเวลา 4 วัน กรอง และระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบลดความดัน ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าข้าวก่ำดอยมูเซอร์มีฤทธิ์ดีที่สุด รองลงมาด้วยข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวทับทิมล้านนา ข้าวหอมนิล ข้าวสีนิล และข้าวแดงสังหยด ด้วยค่า EC50เท่ากับ 140.00, 169.67, 189.67, 197.33, 276.00 และ 327.5 มคก./มล. ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธี FRAPพบค่าความสามารถในการรีดิวซ์ของข้าวหอมนิล > ข้าวก่ำดอยมูเซอร์ > ข้าวแดงสังข์หยด > ข้าวไรซ์เบอร์รี > ข้าวสีนิล > ข้าวทับทิมสยาม ด้วยค่า 1996.67, 1933.06, 1643.89, 1676.67, 1613.89 และ 1522.22 FeFug/มล.ตามลำดับ(44)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำจากเปลือกข้าวเหนียว กข. 6 (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดเชียงราย) ด้วยวิธีการสกัดแบบไหลย้อนกลับ ด้วยเวลาต่างกัน คือ 30, 60 และ 120 นาที พบว่าสารสกัดสารสกัดเปลือกข้าวเหนียวที่เวลา 120 นาที มีฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH รองลงมาคือสารสกัดที่เวลา 60 และ 30 นาที โดยพบค่า IC50เท่ากับ 37.20, 46.52 และ 84.00 มก./มล. ตามลำดับ โดบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดมีความสัมพันธ์กับปริมาณฟีนอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวม ซึ่งพบสูงที่สุดในสารสกัดเปลือกข้าวเหนียวที่เวลา 120 นาที โดยมีค่าเท่ากับ 7.512 ก. สมมูลกรดแกลลิก/ 100 ก. สารสกัด และพบมีฟลาโวนอยด์รวม 36.886 ก. สมมูลเควอซิติน/ 100 ก. สารสกัด (62)
การศึกษาปริมาณγ-oryzanol และวิตามินอีจากน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดง ที่สกัดน้ำมันรำข้าวด้วยวิธีหีบรำข้าวด้วยเครื่องหีบแบบเกลียวคู่ (ตัวอย่างพืชจากประเทศไทย ไม่ระบุ voucher specimen) พบว่าน้ำมันรำข้าวหอมมะลิแดง 1 ก. มีปริมาณγ-oryzanol 14.06 มก. และวิตามินอี 49.47 มก. วิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และปริมาณสารฟีนอลิกทั้งหมดด้วยวิธี Folin-Ciocalteu พบค่า IC50 เท่ากับ 0.437 มคก./มล. และปริมาณสารฟีนอลิกทั้งหมด เท่ากับ 150.82 มก.สมมูลของกรดแกลลิก/ ก. สารสกัด (21)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร γ-oryzanolจากน้ำมันรำข้าว (CrucianiAlberto Crual Products, Italy) ด้วยวิธี DPPH พบว่าสาร γ-oryzanol ขนาด 50-250 ไมโครโมลาร์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ตามขนาดของสารที่ได้รับแต่มีฤทธิ์น้อยกว่าวิตามินอีเมื่อให้ในขนาดที่เท่ากันและสาร γ-oryzanolขนาด 50 ไมโครโมลาร์ยับยั้งการเกิด lipid peroxidation จากการเหนี่ยวนำด้วย 2,2′-azobis(2,4-dimethylvaleronitrile) ได้ดีกว่าวิตามินอี ขนาด 10 ไมโครโมลาร์ อย่างไรก็ตามสาร γ-oryzanol ไม่มีผลยับยั้งอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี hydroxyl (•-OH) radical scavengingและsuperoxide (O2•-) radical scavenging(28)
สารสกัดรำข้าวสีดำ (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้) ที่เตรียมด้วยแช่สกัดรำข้าวสีดำ 100 ก. ในตัวทำละลาย 50% เอทานอล ขนาด 1 ลิตร นาน 7 วัน กรอง และทำให้เข้มข้นด้วยเครื่องระเหยแห้งแบบสุญญากาศ จากนั้นชะด้วย 50% เอทานอล (elute A) และ 1% HCOOH/MeOH (elute B) ตามลำดับ การตรวจสอบพฤกษเคมีเบื้องต้นในสารสกัด elute A พบ cyanidin และสารสกัด elute B พบ cyanidin-3-O-glucoside เป็นสารสำคัญ การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ESR-spin trap พบว่าสารสกัดรำข้าวสีดำ ยับยั้งอนุมูลอิสระชนิด superoxide (O2•-),hydroxyl (•-OH), singlet oxygen (1O2) และtert-Buthylperoxyl (t-BuOO•)ด้วยค่า IC50เท่ากับ 0.020, 0.900, 0.093 และ 1.40 มก./มล. ตามลำดับ สาร elute A พบ ค่า IC50เท่ากับ 0.016, 0.660, 0.130, 0.150 และสาร elute B พบ ค่า IC50เท่ากับ 0.010, 0.430, 0.035 และ 0.043 มก./มล. ตามลำดับ และมีฤทธิ์ปกป้องผิวจากรังสียูวีบี เมื่อทดสอบด้วยการให้สารสกัดหยาบรำข้าวสีดำ, elute A และ elute B ความเข้มข้น 0-100 มคก./มล. แก่เซลล์ผิวชั้น epidermis นาน 2 ชม. มีผลยับยั้งความเสียหายต่อเซลล์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ (63)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำข้าวในประเทศโปรตุเกส ที่เตรียมน้ำข้าวด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 3 วิธี คือ วิธีที่ 1 วิธีการต้ม (RWB) นำข้าวเปลือก 400 ก. ต้มกับน้ำปราศจากอิออน 1 ล. นาน 30 นาที วิธีที่ 2 วิธีแช่ทั้งเมล็ด (RWM) แช่ข้าวเปลือก 400 ก. ในน้ำปราศจากอิออน 1 ล. เขย่าเป็นระยะ นาน 24 ชม. และวิธีที่ 3วิธีแช่ผงเมล็ดข้าว (RWS) บดข้าวเปลือก 400 ก. ให้เป็นผงและนำไปแช่ในน้ำปราศจากอิออน 1 ล. เขย่าเป็นระยะ นาน 24 ชม. จากนั้นกรองผ่านผ้าขาวบางนำส่วนของเหลวออกมาทดสอบ ผลการวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลิกรวมในน้ำข้าวด้วยวิธี Folin–Ciocalteu พบปริมาณฟีนอลิกรวมในRWB, RWM และ RWS เท่ากับ 3.15±0.41, 0.23±0.01 และ 3.33±0.36 มก.สมมูลpyrogallol/ล. ตามลำดับ การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยการตรวจวัด reactive oxygen species (ROS) production จากในเซลล์เคราติโนไซต์ของมนุษย์จากการเหนี่ยวนำด้วย H2O2และรังสียูวีบี พบว่า RWB(ไม่ระบุความเข้มข้น) ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้มากกว่า 80%และให้ผลใกล้เคียงกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับกรดแอสคอบิก รองลงมาคือ RWS และ RWM ตามลำดับ (38)
โปรตีนไฮโดรไลเซทจากข้าว (rice protein hydrolysates) ที่เตรียมด้วยการนำข้าว 100 ก. แช่ในน้ำ 1 ล. ที่มีเอนไซม์อะไมเลสจากเชื้อรา 0.5% ให้ความร้อนที่ 60ºCนาน 24 ชม. นำไปปั่นเหวี่ยงที่ 1968xg นาน 10 นาที และแยกส่วนของเหลวมาทำให้เข้มข้น 20 เท่า จากนั้นเติม 0.1 hydrolytic protease เขย่าและบ่มที่ 55ºC นาน 4 ชม. จากนั้นหยุดการทำงานของเอนไซม์ด้วยการให้ความร้อนที่ 85ºC นำไปปั่นเหวี่ยงที่ 3075xg เป็นเวลา 15 นาที และแยกส่วนใสไปทำให้แห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบเยือกแข็ง ทำการวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลิกรวมและสารฟลาโวนอยด์รวม พบว่ามีปริมาณฟีนอลิกรวมเท่ากับ 2.06±0.13 มก. สมมูลกรดแกลลิก/ก.โปรตีนไฮโดรไลเซท และมีปริมาณฟลาโวนอยด์รวมเท่ากับ 25.96±0.52 มคก. สมมูลเควอซีติน/ก.โปรตีนไฮโดรไลเซท ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าค่าการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นที่ใช้ โดยพบค่า IC50เท่ากับ 42.58 มก./ก.โปรตีนไฮโดรไลเซท และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วย ABTS พบค่า IC50เท่ากับ 2.11 มก./ก.โปรตีนไฮโดรไลเซทค่าความสามารถในการรีดิวซ์เท่ากับ 6.95 มก. สมมูลวิตามินซี/ก. โปรตีนไฮโดรไลเซท และพบค่าการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี oxygen radical absorbance capacity เท่ากับ 473 ไมโครโมลาร์สมมูล Trolox/ ก.โปรตีนไฮโดรไลเซท(52)
3.3 กันแดดสำหรับผิวกาย (S008)
เตรียมสารสกัด50% เอทานอลข้าวสังข์หยด ข้าวมันปู ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวหอมนิล และข้าวลืมผัว โดยแช่สกัดผงข้าวใน 50% เอทานอล เป็นเวลา 3 วัน นำไปปั่นเหวี่ยงด้วยแรง 4427g นาน 15 นาที กรอง และระเหยตัวทำละลายออกโดยใช้เครื่องระเหยแห้งแบบลดความดัน ทดสอบฤทธิ์ป้องกันแสงแดดของสารสกัดจากข้าวทั้ง 5 ชนิด โดยวัดค่าการดูดซับแสงที่ความยาวคลื่น290-440 นาโนเมตร (รังสียูวีบีและเอ) ผลพบว่าสารสกัดจากข้าวลืมผัว ความเข้มข้น 0.4 มก./มล. สามารถดูดซับรังสียูวีบีและรังสียูวีเอได้ดีที่สุด ให้ผลดีกว่าสารสกัดจากข้าวชนิดอื่น 2-3 เท่า รองลงมาคือสารสกัดจากข้าวหอมนิล สารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี สารสกัดข้าวสังข์หยด และสารสกัดข้าวมันปู ตามลำดับ (47)
การศึกษาฤทธิ์ปกป้องผิวจากแสงแดดของโปรตีนไฮโดรไลเซทจากข้าว (China Food Haishi Co., Ltd., China) ที่มีโครงสร้างแตกต่างกัน 3 แบบ ได้แก่ Leu-Leu-Lys (LLK), Leu-Pro-Lys (LPK), และ pyroGlu-Lys (pEK) ทำการทดสอบในเซลล์ไฟโบรบลาสของมนุษย์ที่เหนี่ยวให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ด้วยรังสียูวีบีความเข้มแสง 160 ไมโครจูล/ตร.ซม. พบว่าเซลล์ที่ได้รับรังสียูวีบีมีระดับของอนุมูลอิสระ reactive oxygen species เพิ่มขึ้น 142.92% และเมื่อให้LLK, LPK และ pEK ความเข้มข้น 10 มคก./มล. แก่เซลล์ มีผลลดการเกิดอนุมูลอิสระ โดยพบเพียง 125.41, 114.84, และ105.71%ตามลำดับ ระดับ hydroxyproline ส่วนประกอบสำคัญในคอลลาเจนที่ลดลงจากการได้รับรังสียูวีบีมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเซลล์ที่ได้รับ LPK และ pEK (40 และ 33.33% ตามลำดับ) นอกจากนี้ LPK และ pEK ยังเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน type I collagenที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจนในผิว การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าโปรตีนไฮโดรไลเซทจากข้าวสามารถลดความเสียหายของเซลล์ผิวโดยเกี่ยวข้องกับฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสียหายของชั้นคอลลาเจนในเซลล์ผิว (64)
การทดสอบในเซลล์เคอราติโนไซต์และเซลล์ผิวหนังชั้น epidermis พบว่าเมื่อให้สารสกัดจากรำข้าวด้วยเอนไซม์ (water-soluble enzymatic extract: EERB) ขนาด 10-100 มคก./มล. สามารถปกป้องเซลล์จากการทำลายด้วยรังสียูวีบี ป้องกันการเกิด lipid peroxidation โดยลดการสร้าง malondialdehyde ได้ 33-44% โดยค่าการปกป้องจะเพิ่มขึ้นเมื่อให้ในขนาดที่สูงขึ้นและไม่แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ และพบว่าสารสกัดที่ขนาด 100 มคก./มล. ให้ผลป้องกันได้เทียบเท่าการใช้วิตามินอีขนาด 666 มคก./มล. การตรวจสอบค่าการปกป้องแสงแดด (Sun protection factor: SPF) ด้วยวิธี spectrophotometric method พบค่า SPF 9เท่ากับ 4.8±0.3 (65)
การศึกษาประสิทธิภาพในการบรรเทาความเสียหายต่อเซลล์ไฟโบบลาสต์จากรังสียูวีของสารสกัดน้ำจากรำข้าวที่หมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีLactobacillus rhamnosusและSaccharomycescerevisiae(fermentedrice bran extracts: FRBEs) ทำการศึกษาในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของมนุษย์ที่ได้รับรังสียูวีบี 30 ไมโครจูล/ตร.ซม. เป็นเวลา 24 ชม. จากนั้นให้สาร FRBEs ความเข้มข้น 0.1, 0.5 และ 1% แก่เซลล์เป็นเวลา 3 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับกรดแอสคอบิก 25 ไมโครโมลาร์ ผลพบว่า FRBEs มีผลป้องกันการลดลงของคอลลาเจนในเซลล์ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยพบว่าระดับคอลลาเจนในเซลล์ปกติ เซลล์ที่ได้รับรังสียูวีบี เซลล์ที่ได้รับรังสียูวีบีร่วมกับFRBEs ความเข้มข้น 0.1, 0.5 และ 1% เท่ากับ 3.1±0.02, 1.8±0.1, 2.0±0.2, 2.8±0.15 และ 3.1±0.4 มคก. ตามลำดับ และให้ผลดีกว่ากลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับกรดแอสคอบิก 25 ไมโครโมลาร์ (2.2±0.2 มคก.) การตรวจสอบทางอิมมูโนฮีสโตเคมี (Immunohistochemistry) พบว่า FRBEs มีผลต่อการสังเคราะห์คอลลาเจนภายในเซลล์โดยเพิ่มการแสดงออกของโปรตีนที่ใช้ในการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังพบว่า FRBEs มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ โดยลดการหลั่ง IL-1αและยับยั้งการหลั่ง MMP-1 จากการเหนี่ยวนำของรังสียูวีบี ได้ใกล้เคียงกับการใช้กรดแอสคอบิก การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดน้ำจากรำข้าวที่หมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์มีผลเพิ่มการสังเคราะห์ type-1 collagen ลดการหลั่ง MMP-1 และ IL-1α จากการเหนี่ยวนำด้วยแสงแดด (66)
ไวน์ข้าวมีฤทธิ์ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยพบว่าเมื่อให้ไวน์ข้าว(วัตถุดิบจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ระบุที่มาและวิธีเตรียมสารสกัด)แก่เซลล์ไฟโบรบลาสต์และเซลล์เคราติโนไซท์ของมนุษย์ก่อนการกระตุ้นความเสียหายต่อผิวด้วยรังสียูวีบี 50 ไมโครจูล/ตร.ซม. สามารถป้องกันการแสดงออกของ matrix metalloproteinase-1 และมีผลต้านการอักเสบของผิวหนังจากรังสียูวีบี โดยลดการสร้าง tumor necrosis factor-α ในเซลล์เคราติโนไซท์ ได้ตามขนาดที่ได้รับ การทดสอบฤทธิ์ในหนูเม้าส์ไร้ขนที่เหนี่ยวนำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยด้วยการรังสียูวีบี ความเข้มแสง 60 ไมโครจูล/ตร.ซม. 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ตามด้วยความเข้มแสง 120 ไมโครจูล/ตร.ซม. 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จากนั้นทาผิวหนังด้วยไวน์ข้าว ความเข้มข้น 2% วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 2 เดือน พบว่าค่าการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง (transepidermal water loss) ในกลุ่มที่ได้รับไวน์ข้าวเกิดขึ้นน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับรังสียูวีบีเพียงอย่างเดียว (16.3 และ 31.8% ตามลำดับ)จำนวนการเกิดริ้วรอย (wrinkle) และความลึกของริ้วรอย ในกลุ่มที่ได้รับไวน์ข้าวน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังมีผลความหนาตัวของผิวชั้น epidermis ในกลุ่มที่ได้รับรังสียูวีบีเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับไวน์ข้าวมีผลยับยั้งความหนาตัวของชั้น epidermis ได้ 45% (51)
การเตรียมเจลนีโอเอทโทโซม(nanoethosomes) กักเก็บ γ-oryzanol(GO-NEs) ด้วยวิธีฉีดด้วยเอทานอล ผลได้นีโอโซมขนาดอนุภาค80±5 นาโนเมตร ค่าศักย์ไฟฟ้า zeta -5±0.9 มิลลิโวลต์ และมีค่าประสิทธิภาพการกักเก็บ γ-oryzanol เท่ากับ 96.39±2.14% ทำการศึกษาความสามารถในการป้องกันแสงแดด (sun protection factor) ของตำรับเจลนีโอเอทโทโซม(nanoethosomes) กักเก็บ γ-oryzanol(GO-NEs) ความเข้มข้น 0.085% โดยน้ำหนัก ด้วยการทาเจล GO-NEs ขนาด 2 มก./ตร.ซม. บนTranspore™ membraneและวัดค่าการดูดกลืนแสดงที่ความยาว 290-400 นาโนเมตร ผลพบว่าเจลเบส และเจล GO-NEs มีค่าป้องกันแสงแดดเท่ากับ 0.75 และ 3.68 ตามลำดับ ทำการทดสอบฤทธิ์ปกป้องผิวจากแสงแดดในหนูเม้าส์ที่เหนี่ยวนำให้เกิดความเสียหายต่อผิวด้วยการให้รังสียูวี ขนาดความเข้มแสง 200 จูล/ตร.ม/วัน จากนั้นแบ่งทาหนูเม้าส์ด้วยเจล GO-NEs0.085% โดยน้ำหนัก, เจล γ-oryzanol0.085% โดยน้ำหนัก, หรือเจลเบส วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 22 สัปดาห์ สามารถป้องกันการรอยโรคมะเร็งผิวหนังในสัตว์ทดลองอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบการเกิดแผลเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับเจลเบส และกลุ่มควบคุมลบที่ไม่ได้รับสารใดเลย การศึกษาทางจุลกายวิภาคในเซลล์ผิวของสัตว์ทดลองที่ได้รับเจล GO-NEs ไม่พบความเสียหายของเนื้อเยื่อชั้น epidermis เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และต่อรากขนในผิว และไม่พบการแบ่งตัวที่ผิดปกติของผิวหนัง ส่วนกลุ่มที่ได้รับเจล γ-oryzanol พบว่าเนื้อเยื่อชั้น epidermisได้รับความเสียหายเล็กน้อย และพบลักษณะเซลล์ผิดปกติคล้ายถุงน้ำส่วนกลุ่มที่ได้รับเจลเบสพบความกิดเซลล์ลักษณะคล้ายถุงน้ำขนาดใหญ๋ในชั้นเนื้อเยื่อ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสาร γ-oryzanolป้องกันความเสียหายของผิวหนังจากการได้รับรังสียูวีได้ และการใช้ในรูปของนีโอโซมกักเก็บγ-oryzanol จะให้ประสิทธิภาพดีกว่าการใช้ในรูปของสารสกัด (29)
การทดสอบฤทธิ์ปกป้องผิวจากแสงแดดของตำรับเจลนาโนเอนแคปซูเลชันน้ำมันรำข้าว(Irgovel Brazil) ทำการทดสอบโดยทาตำรับเจลนาโนเอนแคปซูเลชันน้ำมันรำข้าว ขนาด 0.6 ก. บริเวณใบหนูของหนูเม้าส์ ก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังด้วยรังสียูวีบี 1 ชม. ผลพบว่าตำรับเจลนาโนเอนแคปซูเลชันน้ำมันรำข้าวป้องกันอาการบวมและอาการอักเสบบริเวณใบหูของหนูเม้าส์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยลดอาการบวมได้ 60±9% และให้ผลดีกว่าตำรับเจลน้ำมันรำข้าว และตำรับเจลสารผสมไตรกลีเซอไรด์ (medium chain triglycerides mixture) ระดับของ protein carbonylation และ NF- κB จากการเหนี่ยวนำด้วยรังสียูวีมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับตำรับเจลนาโนเอนแคปซูเลชันน้ำมันรำข้าว (67)
3.4 ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
สารสกัดข้าวงอกข้าวขาวดอกมะลิ 105ข้าวมันปู และข้าวลืมผัว (ตัวอย่างข้าวขาวดอกมะลิและข้าวมันปูจากจังหวัดเชียงราย และข้าวมันปูจากจังหวัดเชียงใหม่) เตรียมสารสกัดข้าวงงอกด้วยการเพาะเมล็ดโดยควบคุมความชื้น เก็บที่อุณหูมิห้องเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นนำข้าวงอก 1 ก. มาสกัดด้วยเครื่องความถี่สูง (sonication) ที่ใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย เป็นเวลา 2 ชม. ทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เคอราติโนไซต์ของมนุษย์ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide บ่มเซลล์ด้วยสารสกัดข้าวขาวดอกมะลิงอก ข้าวมันปูงอก และข้าวลืมผัวงอก ความเข้มข้น 0.125 มก./มล. แก่เซลล์ 24 ชม. พบว่าข้าวลืมผัวงอกยับยั้งการสร้าง nitric oxide ได้มากที่สุด รองลงมาคือข้าวมันปูงอก และข้าวขาวดอกมะลิงอก 105 ด้วยเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 64.96, 63.06 และ 45.31% ตามลำดับ และพบว่าสารสกัดข้าวงอกมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดเอทานอลจากข้าวไม่งอก โดยพบเปอร์เซ็นต์การยับยั้งของข้าวมันปู ข้าวลืมผัว และข้าวขาวดอกมะลิ 105 เท่ากับ 36.38, 31.47 และ 24.18% ตามลำดับ ในการศึกษานี้ระบุว่าฤทธิ์ต้านการอักเสบของข้าวทั้ง 3 ชนิดเกี่ยวข้องกับปริมาณโปรไซยานิดินที่พบ และปริมาณสารโปรไซยานิดินจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อกระตุ้นให้เกิดสภาวะข้าวงอก (68)
สารสกัดหยาบจากข้าวมะลินิลสุรินทร์ (SRNC05053-6-2) เตรียมสารสกัดด้วยhi-speed herb extractor โดยใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ผิวหนังโรคสะเก็ดเงินเพาะเลี้ยง (human psoriatic artificial skin) พบว่าเมื่อให้สารสกัดหยาบจากข้าวมะลินิลสุรินทร์ความเข้มข้น 200 มคก./มล. แก่เซลล์ทุก 2 วัน ติดต่อกัน 8 วันและการทดสอบหนูแรทที่เป็นโรคสะเก็ดเงินจากการเหนี่ยวนำด้วย imiquimod พบว่าเมื่อทาครีมสารสกัดข้าวมะลินิลความเข้มข้น 2.5, 5 และ 10% วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน มีผลลดความแดง การเกิดสะเก็ด และความหนาของผิวหนังอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยา betamethasone และ calcitriol โดยพบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยลดการแสดงออกของสารสื่อการอีกเสบ ได้แก่ IL-6, IL-8, IL-20, IL-22 และ TNF-α, chemokines (CCL-20) เพิ่มการแสดงออกของสารต้านการอักเสบ ได้แก่IL-10 และ TGF-βรวมถึงลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคสะเก็ดเงินได้แก่ psoriasin, β-defensin, koebnerisin 15L และ koebnerisin 15S ในขณะเดียวกันก็เพิ่มการแสดงออกของยีนที่ช่วยรักษาภาวะสะเก็ดเงิน ได้แก่ caspase-14, involucrin and filaggrin ทั้งในเซลล์และในสัตว์ทดลอง แสดงให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลจากข้าวมะลินิลสุรินทร์อาจะใช้ในการรักษาอาการอักเสบเรื้อรังสะเก็ดเงินได้ (69)
สารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำ (black rice; ตัวอย่างพืชจากจังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ระบุ voucher specimen) เตรียมสารสกัดโดยใช้ 60% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย และทำให้สารสกัดแห้งด้วยวิธีทำแห้งแบบเยือกแข็ง ได้สารสกัดแอนโทไซยานินข้าวสีดำ (ANT) ที่ประกอบด้วยแอนโทไซยานินในรูปของ cyanidin-3-O-glucoside 1,704 มก./กก. สารสกัด ,peonidin-3-O-glucoside 572.89 มก./กก. สารสกัด และ quercetin-3-β-D-glucoside 728.37 มก./กก. สารสกัด และมีปริมาณฟีนอลิกรวม 30 มิลลิโมลาร์ สมมูลกรดแกลลิก/ก. ตัวอย่างพืช ทำการทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำในเซลล์ไฟโบรบลาสต์ของหนูแรท พบว่าสารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวสีดำความเข้มข้น 5, 10 และ 25 ไมโครโมลาร์/มล. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจากการเหนี่ยวนำด้วยH2O2โดยเกี่ยวข้องกับวิถี signal-regulated protein kinases 1/2 (ERK1/2) และ Akt ลดการ phosphorylation ของ IκBα ลดการทำงานของ nuclear factor-kappa B, โปรตีน p50 และ p65 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบภายในเซลล์ (23)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
1 การทดสอบอาการระคายเคือง
การทดสอบการระคายเคืองของน้ำมันรำข้าว และครีมน้ำมันรำข้าวในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 200 รายโดยทำการแปะแผ่นแปะ (patch test) ที่บรรจุน้ำมันรำข้าว ครีมรำข้าว หรือน้ำเปล่า เป็นเวลา 24 ชม. ทำการบันทึกผลอาการร้อนแดง และบวมของผิว หลังจากแกะแผ่นแปะแล้วเป็นเวลา 15-30 นาที และ 72 ชั่วโมง ไม่พบอาการระคายเคืองต่อน้ำมันรำข้าวและครีมรำข้าวในอาสาสมัครที่ทดสอบ (70)
การทดสอบฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตาของสารสกัดรำข้าวด้วยเทคนิคคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้สภาวะวิกฤติยวดยิ่ง (rice bran supercritical CO2extract) ในกระต่ายและหนูตะเภา พบว่าเมื่อให้สารสกัดรำข้าว ขนาด 0.1 มล./ดวงตา 1 ข้าง ไม่ก่อให้เกิดอาคารระคายเคืองในดวงตากระต่าย การทดสอบอาคารระคายเคืองต่อผิวหนัง ด้วยการทาสารสกัดจากรำข้าว ขนาด 0.5 มล. บนแผ่นปิดผิว ปิดทิ้งไว้ 24 ชม. พบว่าก่ออาการระคายเคือง โดยพบอาการผื่นแดง บวม และอาการจะหายไปหลังการหยุดใช้ 72 ชม. (71)
2 การทดสอบความเป็นพิษ
การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) ของน้ำมันรำข้าว น้ำมันจมูกข้าว และน้ำมันรำข้าวผสมน้ำมันจมูกข้าว คือมากกว่า 5 ก./กก.น้ำหนักตัว, มากกว่า 5 ก./กก.น้ำหนักตัว และมากกว่า 40 มล./กก.น้ำหนักตัว ตามลำดับ และค่า LD50 ของไขจากข้าว และไขจากรำข้าว คือ มากกว่า 24ก./กก.น้ำหนักตัว และมากกว่า 5 ก./กก.น้ำหนักตัว ตามลำดับ (72) และการทดสอบป้อนข้าวกลุ่มที่มีสีม่วงให้หนูเม้าส์กินแบบครั้งเดียว ขนาด 2.5, 5 และ 10 ก./กก. น้ำหนักตัว ไม่ทำให้หนูตาย และไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ อีกทั้งไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลและเอนไซม์ในตับ (73)
การศึกษาแบบกึ่งเรื้องรังของสาร glycospingolipid (RBGSL) ซึ่งแยกได้จากรำข้าว โดยป้อน RBGSL ขนาด 60, 250 และ 1,000 มก./กก.น้ำหนักตัว วันละ 5 ครั้ง ติดต่อกัน 13 สัปดาห์ ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษ หรือความผิดปกติใด ๆ ในสัตว์ทดลองตลอดการศึกษา แสดงให้เห็นว่าขนาดสูงสุดของสารที่ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติ (no observed adverse effect level: NOAEL) คือมากกว่า 1,000 มก./กก./วัน (74) และเมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของแกลบ 2.5 - 5.0% โดยน้ำหนักให้แก่หนูแรทกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย หรือก่อให้เกิดอาการผิดปกติแต่การป้อนในขนาดสูง (ขนาด 5%) มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอลในสัตว์ทดลอง จึงสรุปได้ว่าขนาดสูงสุดของสารที่ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติ คือมากกว่า 3.80 ก./กก./วัน สำหรับหนูเพศเมีย และ 4.11 ก./กก./วัน สำหรับหนูเพศผู้ (75)
การศึกษาพิษแบบเรื้อรังโดยการป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันรำข้าว 10% ให้แก่หนูแรท เป็นเวลา 120 วัน ไม่พบอาการผิดปกติของสัตว์ทดลอง รวมถึงไม่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ทดลอง การตั้งท้อง การให้นม รวมถึงการเจริญเติบโตของรุ่นลูก จนถึงการสืบประชากรรุ่นที่ 3 (72)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
พบรายงานการเกิดอาการผื่นแพ้จากการสัมผัสเมล็ดข้าว ทำให้เกิดผื่นแดง บริเวณมือ เปลือกตาบวมซึ่งเมื่อทดสอบด้วยวิธี skin prick test แล้วพบว่าเกิดจากอาการแพ้ข้าว (76-77) และพบรายงานการเกิดอาการแพ้จากการบริโภคอาหารที่ทำจากข้าว เกิดผื่นแดงบริเวณผิวหนัง เปลือกตาบวม หายใจลำบากในผู้ที่รับประทานธัญพืชที่มีส่วนผสมของข้าวและขนมปังที่ทำจากแป้งข้าว (78) จึงควรระมัดระวังการใช้ในผู้ที่มีอาการแพ้
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
กระตุ้นการงอกของเส้นผม
โทนิคบำรุงผมสารสกัดรำข้าวญี่ปุ่น 0.5% ทาบนหนังศีรษะครั้งละ 4 มล. วันละ 2 ครั้ง (ทาห่างกัน 12 ชม.) ติดต่อกัน 16 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความหนาแน่นและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผม (20)
การใช้เซรั่มไมโครอิมัลชันกักเก็บสารสกัดข้าวสังข์หยด 94%(ไม่ระบุขนาดและวิธีการใช้) ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพในการลดการหลุดร่วงของเส้นผม และทำให้ผมหนาขึ้น (33)
ทำให้ผิวหน้าขาว
ตำรับครีมที่มีส่วนผสมของสาเกความเข้มข้น 200 ppm. ทาวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 14 วันช่วยเพิ่มความสว่างใสของผิวหน้า (34)
บำรุงผิวหน้า
ตำรับครีมไดเปปไทด์และไตรเปปไทด์จากข้าวความเข้มข้น 4% ทาบนใบหน้า วันละ 2 ครั้ง นาน 90 วัน สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และความแข็งแรงให้ผิว (35)
ครีมบำรุงผิวเปปไทด์จากข้าว (hydrolyzed rice protein: rice peptide) ความเข้มข้น 4% ครีม วันละ 1 ครั้ง ในช่วงกลางคืน และการใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลากลางวัน ติดต่อกัน 90 วันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และลดความแก่ของผิวจากการได้รับแสงอัลตร้าไวโอเลต (36)
ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า
ตำรับแอมพูลเปปไทด์ซี (Peptide-C ampoules: ประกอบด้วยวิตามินซี 10%, เปปไทด์จากข้าว, กรดไฮยารูนิก และน้ำแร่) ทาครั้งละ12 หยด วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ช่วยลดรอยตีนกา และรอยย่นบนหน้าผาก(37)
บำรุงผิวกาย
ครีมสารสกัดโพลีฟีนอลจากรวงข้าวขาวดอกมะลิ 105ทาวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ติดต่อกัน 84 วัน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดรอยหมองคล้ำของผิว (24)
ตำรับเจลน้ำข้าว (ประกอบด้วยsodium acrylates copolymer, lecithin, methylpropanediol, caprylyl glycol, phenylpropanol และน้ำข้าวที่ได้จากการต้ม 96%) ทาครั้งละ 2 มก./ตร.ซม. เป็นเวลา 28 วัน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว (38)
ตำรับเจลที่มีส่วนผสมของนีโอโซมสารสกัดรำข้าว 97% และตำรับครีมที่มีส่วนผสมของนีโอโซมสารสกัดรำข้าว 85%วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 28 วันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความกระจ่างใส ความเรียบเนียน และความยืดหยุ่นของผิว(22)
ครีมนีโอโซมสารสกัดข้าวเหนียวดำ ความเข้มข้น 1% วันละครั้ง (ไม่ระบุขนาดและความเข้มข้นของสารสกัดที่ใช้) ติดต่อกัน 28 วันวันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิว (39)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
ข้าวจัดเป็นพืชที่มีความปลอดภัยสูงและใช้เพื่อการบริโภคมาเป็นระยะเวลานาน โดยพบการศึกษาทางคลินิก ได้แก่ กระตุ้นการงอกของเส้นผม ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้ผิวขาว ลดเลือนริ้วรอย บำรุงผิว และพบการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ได้แก่ กระตุ้นการงอกของเส้นผม ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้ผิวขาว ลดเลือนริ้วรอย บำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ปกป้องผิวจากแสงแดด ต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบ ซึ่งล้วนแต่สนับสนุนการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านเครื่องสำอางจึงนับเป็นพืชมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ทางเครื่องสำอางในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
2. Oryza sativa L. World flora online. [Internet]. 2018. [cited 2021Nov 18]. Available from: http://www.worldfloraonline.org/taxon/wfo-0000882438.
3. ราชบัณฑิตยสถาน. หนังสืออนุกรมวิธานพืชอักษร ข. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพ: ราชบัณฑิตยสถาน; 2547.
4. Grubben GJH (Editors). PROSEA - Plant Resources of South East Asia: 10.Leiden:Cereals. Backhuys Publishers,1996.
5. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (1). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2539.
6. Moongngarma A, Daomukdaa N, Khumpika S. Chemical compositions, phytochemicals, and antioxidant capacity of rice bran, rice bran layer, and rice germ. APCBEE Procedia. 2012;2:73-9. doi:10.1016/j.apcbee.2012.06.014.
7. Xu Z, Godber JS. Purification and identification of components of g-oryzanol in rice bran oil. JAgric Food Chem. 1999;47:2724-8. doi:10.1021/jf981175j.
8. Kim HY, Hwang IG, Kim TM, Woo KS, Park DS,Kim JH, et al. Chemical and functional components in different parts of rough rice (Oryza sativa L.) before and after germination. Food Chem. 2012;134(1):288-93. doi:10.1016/j.foodchem.2012.02.138.
9. Jiamyangyuen S, Nuengchamnong N. Ngamdee P. Bioactivity and chemical components of Thai rice in five stages of grain development. J Cereal Sci. 2017;74:136-44. doi:10.1016/j.jcs.2017.01.021.
10. Peanparkdeea M, Patrawartb J, Iwamotoa S. Effect of extraction conditions on phenolic content, anthocyanin content and antioxidant activity of bran extracts from Thai rice cultivars. J Cereal Sci. 2019;86:86–91. doi:ttps://doi.org/10.1016/j.jcs.2019.01.011.
11. Simionato AV, Carrilho E, Tavares MF. Characterization of protein hydrolysates of cosmetic use by CE-MS. J Sep Sci. 2011;34(8):947-56. doi: 10.1002/jssc.201000677.
12. Nanok K, Sansenya S. Combination effects of rice extract and five aromatic compounds against a-glucosidase, a-amylase and tyrosinase. J Biosci Bioeng. 2021;132(1):9-17.doi:10.1016/j.jbiosc.2021.02.003.
13. Mingyai S, Srikaeo K, Kettawan A, Singanusong R, Nakagawa K, Kimura F, et al. Effects of extraction methods on phytochemicals of rice bran oils produced from colored rice. J Oleo Sci. 2018;67(2):135-42.doi: 10.5650/jos.ess17122.
14. Wang Y, Zhao L, Zhang R, Yang X, Sun Y, Shi L, Xue P. Optimization of ultrasound-assisted extraction by response surface methodology, antioxidant capacity, and tyrosinase inhibitory activity of anthocyanins from red rice bran. Food Sci Nutr. 2020;8(2):921-32. doi: 10.1002/fsn3.1371.
15. Peanparkdee M, Patrawart J, Iwamoto S. Physicochemical stability and in vitro bioaccessibility of phenolic compounds and anthocyanins from Thai rice bran extracts. Food Chem. 2020;329:127157. doi:10.1016/j.foodchem.2020.127157.
16. Quan NV, Thien DD, Khanh TD, Tran HD, Xuan TD. Momilactones A, B, and tricin in rice grain and by-products are potential skin aging inhibitors. Foods. 2019;8(12):602. doi:10.3390/foods8120602.
17. Jia M, Wang X, Liu J, Wang R, Wang A, Strappe P, et al. Physicochemical and volatile characteristics present in different grain layers of various rice cultivars. Food Chem. 2022;371:131119. doi: 10.1016/j.foodchem.2021.131119.
18. Dias LG, Hacke A, Bergara SF, Villela OV, Mariutti LRB, Bragagnolo N. Identification of volatiles and odor-active compounds of aromatic rice by OSME analysis and SPME/GC-MS. Food Res Int. 2021;142:110206. doi: 10.1016/j.foodres.2021.110206.
19. Ruksiriwanich M, Manosroi J, Abe M, Manosroi W, Manosroi A. 5a-Reductase type 1 inhibition of Oryza sativa bran extract prepared by supercritical carbon dioxide fluid. J Supercrit Fluids. 2011;59:61-71. doi: 10.1016/j.supflu.2011.07.017.
20. Choi JS, Park JB, Moon WS, Moon JN, Son SW, Kim MR. Safety and efficacy of rice bran supercritical CO2extract for hair growth in androgenic alopecia: a16-week double-blind randomized controlled trial. Biol Pharm Bull. 2015;38(12):1856-63. doi: 10.1248/bpb.b15-00387.
21. จิราภรณ์ ทองตัน,วรพงศ์ ภู่พงศ์. การประยุกต์ใช้น้ำมันรำข้าวและสารสกัดจากรำข้าวหอมมะลิแดงในเครื่องสำอางสำหรับผิว. วารสารวิจัยและพัฒนาวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์. 2560:12(2):43-56.
22. Manosroi A, Chutoprapat R, Abe M, Manosroi W, Manosroi J. Anti-aging efficacy of topical formulations containing niosomes entrapped with rice bran bioactive compounds. Pharm Biol. 2012;50(2):208-24. doi: 10.3109/13880209.2011.596206.
23. Palungwachira P, Tancharoen S, Phruksaniyom C, Klungsaeng S, Srichan R, Kikuchi K, et al. Antioxidant and anti-inflammatory properties of anthocyanins extracted from Oryza sativa L. in primary dermal fibroblasts. Oxid Med Cell Longev. 2020;2020:6306104.
24. Kanlayavattanakul M, Lourith N, Chaikul P. Jasmine rice panicle: a safe and efficient natural ingredient for skin aging treatments. J Ethnopharmacol. 2016;193:607-16. doi: 10.1016/j.jep.2016.10.013.
25. Lee TH, Kang JH, Seo JO, Baek SH, Moh SH, Chae JK, et al. Anti-melanogenic potentials of nanoparticles from calli of resveratrol-enriched rice against UVB-induced hyperpigmentation in guinea pig skin. Biomol Ther (Seoul). 2016;24(1):85-93. doi: 10.4062/biomolther.2015.165.
26. SansenyaS, PayakaA, Wannasut W,Hua Y, Chumanee S. Biological activity of rice extract and the inhibition potential of rice extract, rice volatile compounds and their combination against a-glucosidase, a-amylase and tyrosinase. Int J Food Sci Tech. 2021;56:1865-76.
27. Butsat S, Siriamornpun S. Antioxidant capacities and phenolic compounds of the husk, bran and endosperm of Thai rice. Food Chem. 2010:119:606-13. doi:10.1016/j.foodchem.2009.07.001
28. Juliano C, Cossu M, Alamanni MC, Piu L. Antioxidant activity of g-oryzanol: mechanism of action and its effect on oxidative stability of pharmaceutical oils. Int J Pharm. 2005;299(1-2):146-54. doi:10.1016/j.ijpharm.2005.05.018.
29. Zeinali M, Abbaspour-Ravasjani S, Soltanfam T, Paiva-Santos AC, Babaei H, Veiga F, et al. Prevention of UV-induced skin cancer in mice by g-oryzanol-loaded nanoethosomes. Life Sci. 2021;283:119759. doi:10.1016/j.lfs.2021.119759.
30. กระทรวงสาธารณสุข. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 421) พ.ศ. 2564 เรื่อง น้ำมันและไขมัน. ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่มที่ 138, ตอนพิเศษ 31 ง (ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564). http://food.fda.moph.go.th/law/data/announ_moph/P421.pdf
31. Chen MH, Bergman CJ. A rapid procedure for analysing rice bran tocopherol, tocotrienol and g-oryzanol contents. J Food ComposAnal. 2005;18:139–51. doi:10.1016/j.jfca.2003.09.004.
32. Shao Y, Xu F, Sun X, Bao J. Identification and quantification of phenolic acids and anthocyanins as antioxidants in bran, embryo and endosperm of white, red and black rice kernels (Oryza sativa L.). J Cereal Sci. 2014;59:211-8. doi:10.1016/j.jcs.2014.01.004.
33. ณัตฐาวุฒิ ฐิติปราโมทย์, นัฎฐเนศวร์ ลับเลิศลบ, วรรธิดา ชัยญาณะ, ภานุพงศ์ ใจวุฒิ. วิทยาพันธ์ นันติตานนท์, ณ หทัย สว่าง. การพัฒนาไมโครอีมัลชันกักเก็บสารสกัดข้าวสังข์หยดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ป้องกันผมร่วง. สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน). 2559.
34. Hwang JA, Goh MJ, Kim EJ, Lee MR, Park NH, Na YJ, et al. Identification of sake extract as a new anti-melanogenic ingredient by in vitro and clinical trials. Nat Prod Commun. 2013;8(11):1605-8.
35. Maia Campos PMBG, Melo MO, Siqueira César FC. Topical application and oral supplementation of peptides in the improvement of skin viscoelasticity and density. J Cosmet Dermatol. 2019;18(6):1693-9. doi: 10.1111/jocd.12893.
36. Fossa Shirata MM, Maia Campos PMBG. Sunscreens and cosmetic formulations containing ascorbyl tetraisopalmitate and rice peptides for the improvement of skin photoaging: a double-blind, randomized placebo-controlled clinical study. Photochem Photobiol. 2021;97(4):805-15. doi:10.1111/php.13390.
37. Escobar S, Valois A, Nielsen M, Closs B, Kerob D. Effectiveness of a formulation containing peptides and vitamin C in treating signs of facial ageing: three clinical studies. Int J Cosmet Sci. 2021;43(2):131-135. doi:10.1111/ics.12665.
38. Marto J, Neves Â, Gonçalves LM, Pinto P, Almeida C, Simões S. Rice water: a traditional ingredient with anti-aging efficacy. Cosmetics. 2018;5(2):26. doi:10.3390/cosmetics5020026
39. Manosroi J, Chankhampan C, Kitdamrongtham W, Zhang J, Abe M, Akihisa T, et al. In vivo anti-aging activity of cream containing niosomes loaded with purple glutinous rice (Oryza sativa Linn.) extract. Int J Cosmet Sci. 2020;42(6):622-31. doi:10.1111/ics.12658.
40. Manosroi A, Ruksiriwanich W, Abe M, Manosroi W, Manosroi J. Transfollicular enhancement of gel containing cationic niosomes loaded with unsaturated fatty acids in rice (Oryza sativa) bran semi-purified fraction. Eur J Pharm Biopharm. 2012;81(2):303-13. doi:10.1016/j.ejpb.2012.03.014..
41. Manosroi A, Ruksiriwanich W, Manosroi W, Abe M, Manosroi J. In vivo hair growth promotion activity of gel containing niosomes loaded with the Oryza sativa bran fraction (OSF3). Advanced Sci Lett. 2012;16(1):222-8. doi:10.1166/asl.2012.3657.
42. Kim YM, Kwon SJ, Jang HJ, Seo YK. Rice bran mineral extract increases the expression of anagen-related molecules in human dermal papilla through wnt/catenin pathway. Food Nutr Res. 2017;61(1):1412792. doi:10.1080/16546628.2017.1412792.
43. Fernández E, Martínez-Teipel B, Armengol R, Barba C, Coderch L. Efficacy of antioxidants in human hair. J Photochem Photobiol B. 2012;117:146-56. doi:10.1016/j.jphotobiol.2012.09.009.
44. Soradech S, Reungpatthanaphong P, Tangsatirapakdee S, Panaphong K, Thammachat T, Manchun S, et al. Radical scavenging, antioxidant and melanogenesis stimulating activities of different species of rice (Oryza sativa L.) extracts for hair treatment formulation. TJPS. 2016;40(Supplement Issue):92-5.
45. Zhang R, Wei Y, Li M, Cai M, Gu R, Ma Y, et al. Melanogenesis effects of rice protein hydrolysate and its characteristic peptides Leu-Leu-Lys, Leu-Pro-Lys, and pyroGlu-Lys on UVB-induced human epidermal melanocyte cells. Food Funct. 2020;11(10):8757-67. doi:10.1039/d0fo01808b.
46. Sangsila A, Promden W, Pimda W. Antioxidant and antityrosinase activities in germinated brown rice of indigenous Thai cultivars. Int J Agri Technol. 2018;14(7):1883-92.
47. TeeranachaideekulV, Wongrakpanich A, Leanpolchareanchai J, Thirapanmethee K, Sirichaovanichkarn C. Characterization, biological activities and safety evaluation of different varieties of Thai pigmented rice extracts for cosmetic applications. Pharm Sci Asia. 2018;45(3):140-53. doi:10.29090/psa.2018.03.140.
48. Wunnakup T, Monton C, Charoenchai L. Inhibitory activity of protein hydrolysates from rice bran on mushroom tyrosinase. J Curr Sci Tech. 2021;11(2):325-33. doi: 10.14456/jcst.2021.32.
49. ฤทธิพันธ์ รุ่งเรือง, จรัสฟ้า โหมดสุวรรณ, อมรรัตน์ สีสุกอง. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านริ้วรอยของสารสกัดข้าวทับทิมชุมแพสำหรับประยุกต์ใช้ในเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้า. วารสารวิจัยและพัฒนา มจธ. 2562;42(1):95-107.
50. Han M, Bae JS, Ban JJ, Shin HS, Lee DH, Chung JH. Black rice (Oryza sativa L.) extract modulates ultraviolet-induced expression of matrix metalloproteinases and procollagen in a skin cell model. Int J Mol Med. 2018;41(5):3073-80. doi: 10.3892/ijmm.2018.3508.
51. Seo MY, Chung SY, Choi WK, Seo YK, Jung SH, Park JM, et al. Anti-aging effect of rice wine in cultured human fibroblasts and keratinocytes. J Biosci Bioeng. 2009;107(3):266-71. doi: 10.1016/j.jbiosc.2008.11.016.
52. Chen HJ, Dai FJ, Chen CY, Fan SL, Zheng JH, Huang YC, et al. Evaluating the antioxidants, whitening and antiaging properties of rice protein hydrolysates. Molecules. 2021;26(12):3605. doi: 10.3390/molecules26123605.
53. Jarupinthusophon S, Anurukvorakun O. Development of jasmine rice flour properties as a safe and efficient ingredient for compact powder. Applied Sciences. 2021;11:2-12. doi:10.3390/app11010248.
54. วนิดา พฤกษธัมมโกวิท. การพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้าดัดแปร. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. วิทยาศาสตร์ (พัฒนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเกษตร). มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2544.
55. Sabakel V, Sabeal PM, Lakhotiya CL. In vitro studies on rice bran wax as skin moisturizer. Indian J Pharm Sci. 2007;69(2):215-8. doi: 10.4103/0250-474X.33146.
56. Chairerk N, Pongyeela P, Chungsiriporn J, Rakmak N. Ethanol extraction of active ingredients and antioxidants from germinated Sangyod rice. Appl Sci Eng Prog. 2021:14(1):52-9. doi:10.14416/j.asep.2019.03.003.
57. Vichit W, Seawan N. Antioxidant activities and cytotoxicity of Thai pigmented rice. Int J Pharm Pharm Sci. 2015;7(7):329-34.
58. Lourith N, Kanlayavattanakul M. Antioxidant color of purple glutinous rice (Oryza sativa) color and its stability for cosmetic application. Advanced Sci Lett. 2012;5:1-4.
59. Thitipramote N, Pradmeeteekul P, Nimkamnerd J, Chaiwut P, Pintathong P, Thitilerdecha N. Bioactive compounds and antioxidant activities of red (Brown Red Jasmine) and black (Kam Leum Pua) native pigmented rice. Int Food Res J. 2016;23(1):410-4.
60. กาญจนา เสือมั่น, สไมพร ปักษี, อภิญญา อาบสุวรรณ์, รพิกร ฉลองสัพพัญญู, ภรภัทร สำอาง, ปนัดดา จันทร์เนย และคณะ. การวิเคราะห์หาสารต้านอนุมูลอิสระในข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวหอมดอกมะลิ 105. PSRU J Sci Technol. 2019;4(3): 95-108.
61. นิสากร แซ่วัน, ภาณุพงษ์ ใจวุฒิ, ปัญญวัฒน์ ปินตาทอง, นนท์ ธิติเลิศเดชา, นัฎฐเนศวร์ ลับเลิศลบ และคณะ. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของโปรแอนโทไซยานิดินและแอนโทไซยานินจากข้าวมีสี 4 ชนิด. การประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติครั้งที่ 2, 21-23 ธ.ค. 2555, กรุงเทพฯ. 694 หน้า.
62. Lourith N, Kanlayavattanakul M. Appraisal of Thai glutinous rice husk for health promotion products. J Cereal Sci. 2013;57:343-7. doi:10.1016/j.jcs.2012.12.005.
63. Kaneda I, Kubo F, Sakurai H. Antioxidative compounds in the extracts of black rice brans. J Health Sci. 2006;52(5):495-511. doi:10.1186/s13065-018-0382-9.
64. Zhang R, Wei Y, Zhang J, Cai M, Lu L, Fang L. Protection effects of rice protein hydrolysate on UVB-irradiated photodamage in Hartley guinea pigs skin and human skin fibroblasts. J Funct Food. 2021;82:10504. doi: 10.1016/j.jff.2021.104504.
65. Santa-María C, Revilla E, Miramontes E, Bautista J, García-Martínez A, Romero E, et al. Protection against free radicals (UVB irradiation) of a water-soluble enzymatic extract from rice bran: study using human keratinocyte monolayer and reconstructed human epidermis. Food Chem Toxicol. 2010;48(1):83-8.doi:10.1016/j.fct.2009.09.019
66. Seo YK, Jung SH, Song KY, Park JK, Park CS. Anti-photoaging effect of fermented rice bran extract on UV-induced normal skin fibroblasts. Eur Food Res Technol.2010; 231:163–9. doi:10.1007/s00217-010-1261-3.
67. Rigo LA, da Silva CR, de Oliveira SM, Cabreira TN, de Bona da Silva C, Ferreira J, et al. Nanoencapsulation of rice bran oil increases its protective effects against UVB radiation-induced skin injury in mice. Eur J Pharm Biopharm. 2015;93:11-7. doi:10.1016/j.ejpb.2015.03.020.
68. Vichit W, Saewan N. Effect of germination on antioxidant, anti-inflammatory and keratinocyte proliferation of rice. Int Food Res J. 2016:23(5):2006-15.
69. Ampawong S, Kengkoom K, Sukphopetch P, Aramwit P, Muangkaew W, Kanjanapruthipong T, et al. Evaluating the effect of rice (Oryza sativa L.: SRNC05053-6-2) crude extract on psoriasis using in vitro and in vivo models. Sci Rep. 2020;10(1):17618. doi:10.1038/s41598-020-74634-4.
70. พรทิพย์ นิมมานนิตย์. การพัฒนาน้ำมันรำข้าวเพื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง. กรุงเทพฯ: ภาควิชาเภสัชกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
71. Choi JS, Moon JN, Moon WS, Cheon EJ, Kim JW, Kim MR. Acute dermal and ocular irritation testing of rice bran supercritical CO2 extract (RB-SCE) and 0.5% RB-SCE essence product. Toxicol Environ Health Sci. 2015; 7:65–72. doi:10.1007/s13530-015-0222-4.
72. Anonymous. Amended final report on the safety assessment of Oryza sativa (rice) bran oil, Oryza sativa (rice) germ oil, rice bran acid, Oryza sativa (rice) bran wax, hydrogenated rice bran wax, Oryza sativa (rice) bran extract, Oryza sativa (rice) extract, Oryza sativa (rice) germ powder, Oryza sativa (rice) starch, Oryza sativa (rice) bran, hydrolyzed rice bran extract, hydrolyzed rice bran protein, hydrolyzed rice extract, and hydrolyzed rice protein. Int J Toxicol. 2006;25(Suppl 2):91-120.
73. Han HK, Choi SS, Shin JC, Chung HS. A study on single oral dose toxicity of highly-developed anthocyanin-pigmented rice varieties. J Korean Soc Food Sci Nutr. 2008;36(5):527-33.
74. Moto M, Okamura M, Watanabe T, Kashida Y, Mitsumori K. Thirteen-week repeated dose toxicity of rice bran glycosphingolipid in Wistar Hannover (GALAS) rats. J Toxicol Sci. 2004;29(1):73-80. doi: 10.2131/jts.29.73.
75. Gao Y, Shen J, Yin J, Li C, Fu C, Cho S. A subchronic dietary toxicity study of rice hull fiber in rats. Food Chem Toxicol. 2013;51:137-42. doi:10.1016/j.fct.2012.09.028.
76. di Lernia V, Albertini G, Bisighini G. Immunologic contact urticaria syndrome from raw rice. Contact Dermatitis. 1992;27(3):196. doi: 10.1111/j.1600-0536.1992.tb05260.x.
77. Lezaun A, Igea JM, Quirce S, Cuevas M, Parra F, Alonso MD, et al. Asthma and contact urticaria caused by rice in a housewife. Allergy. 1994;49(2):92-5. doi: 10.1111/j.1398-9995.1994.tb00806.x.
78. Ikezawa Z, Ikebe T, Ogura H, Odajima H, Kurosaka F, Komatu H, et al. Mass trial of hypoallergenic rice (HRS-1) produced by enzymatic digestion in atopic dermatitis with suspected rice allergy. Acta Derm Venereol Suppl (Stockh) 1992;176:108-12.
79. องค์ความรู้เรื่องข้าว กองวิจัยและพัฒนาข้าว [อินเทอร์เนต]. 2559. [เข้าถึงเมื่อ25 พย. 2564]. เข้าถึงจาก:http://webold.ricethailand.go.th/rkb3/index.htm.