กะเม็ง
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Eclipta prostrata (L.) L.
ชื่อวงค์
ASTERACEAE
ชื่อสมุนไพร
กะเม็ง
ชื่ออังกฤษ
False daisy
ชื่อพ้อง
Eclipta prostrata Lour.
Eclipta alba (L.) Hassk.
Eclipta angustata Umemoto & H.Koyama,
Verbesina prostrata L.
ชื่อท้องถิ่น
กะเม็งตัวเมีย คัดเม็ง บังกีเช้า หญ้าสับ ฮ่อมเกี่ยว
ชื่อ INCI
ECLIPTA PROSTRATA CERA
ECLIPTA PROSTRATA EXTRACT
ECLIPTA PROSTRATA LEAF EXTRACT
ECLIPTA PROSTRATA LEAF OIL
ECLIPTA PROSTRATA LEAF POWDER
ECLIPTA PROSTRATA POWDER
ECLIPTA PROSTRATA STEM EXTRACT
ECLIPTA PROSTRATA WAX
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ กระจายตัวโดยขึ้นเป็นวัชพืชทั้งในยุโรป แอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย (4)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก ทอดนอน สูงได้ถึง 50 ซม. กิ่งก้านมีสีน้ำตาลแกมสีแดง ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปใบหอก ยาว 1–5.5 ซม. ขอบใบจักฟันเลื่อย โคนใบสอบเรียวเป็นก้านใบสั้น ๆ หรือไร้ก้าน ผิวใบทั้งสองด้านมีขนแข็งเอน ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามซอกใบ 1–2 ช่อ วงใบประดับ รูปถ้วย มีใบประดับ 8–12 อัน เรียง 2 วง วงนอกรูปไข่ วงในรูปไข่ขนาดเล็กกว่า ดอกวงนอกมี 20–40 ดอก เรียง 2 วง เป็นดอกเพศเมีย ดอกรูปลิ้น สีขาว กลีบรูปแถบ ปลายหยักเป็น 2 พู ดอกวงในสมบูรณ์เพศ มี 15–30 ดอก ดอกรูปหลอด ปลายหยักเป็น 4 แฉก ผลแห้งเมล็ดล่อน มี 3–4 เหลี่ยม รูปขอบขนานปลายตัด ยาว 3–3.5 มม. มีขนและตุ่ม แพปพัสคล้ายเกล็ดขนาดเล็ก 2 อัน (3)
การเพาะปลูก
กะเม็งเป็นวัชพืชที่ขึ้นทั่วไปตามธรรมชาติขยายพันธุ์โดยเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้นและมีอุณหภูมิต่ำ (20-35 องศาเซลเซียส) เป็นพืชวันสั้น ช่วงวันสั้นจะทำให้กะเม็งแตกกิ่งก้านและใบหนา หากช่วงความเข้มแสงน้อยจะทำให้ต้นยืดยาวและใบมีขนาดเล็กลง หากได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสม กะเม็งจะเริ่มงอกและแผ่กิ่งก้านภายใน 2 สัปดาห์ และเริ่มออกดอกในสัปดาห์ที่ 5 ของการเพาะปลูก สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปีหลังการออกดอกครั้งแรก หรือเริ่มเก็บใบในสัปดาห์ที่ 5-8 หลังการออกดอกเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วนำไปตาก เก็บไว้ในที่แห้งและเย็น (46)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ต้น แก้มะเร็ง แก้กลาก เกลื้อน เป็นยาฝาดสมานใช้ล้างแผลรักษาแผลห้ามเลือดแก้ผื่นคันเวลาเกี่ยวข้าวแก้โรคผิวหนังใบแก้ผมร่วงรักษาแผล (5-6)
การใช้ตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน: นำใบและต้นมาขยี้ จนได้ของเหลวสีดำ แล้วนำไปพอกบริเวณเส้นผมหรือหนังศรีษะ (6) หรือนำน้ำคั้นจากต้นไปเคี่ยวกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว นำไปทาศีรษะจะทำให้ผมดกดำและแก้ผมหงอกก่อนวัย (7)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารกลุ่มคูเมสแตน (coumestans) ได้แก่ wadelolactone, demethylwedelolactone (8, 9, 10, 11, 13)
สารกลุ่มไทโอฟีน (thiophenes) ได้แก่ ecliptal, α-terthienyl, α-terthienylmethanol, α-terthienylmethanol, 3′-hydroxy-2,2′:5′,2′′- terthiophene-3′-O-β-D-glucopyranoside, 3′-methoxy-2,2:5,2′′-terthiophene,5-(3′′,4′′-dihydroxy-1′-butynyl)-2,2′-bithiophene, 2-(penta-1,3-diynyl)-5-(3,4-dihydroxy-but-ynyl)-thiophene, 5-(but-3-yne-1,2-diol)-5′-hydroxy-methyl-2,2′-bithiophene, 5′-isovaleryloxymethyl-5-(4-isovaleryloxy-but-1-ynyl)-2,2′-bithiophene, 5-methoxymethyl-2,2′:5′,2′′-terthiophene, 5-ethoxymethyl-2,2′:5′,2′′-terthiophene,α-formylterthienyl, 5-hydroxymethyl-(2,2′:5′,2′′)-terthienyl tiglate, 5-hydroxymethyl-(2,2′:5′,2′′)-terthienyl agelate, 5-hydroxymethyl-(2,2′:5′,′′)-terthienyl acetate (9, 12, 13)
สารกลุ่มโพลีอะซีติลเลนิคกลูโคไซด์ (polyacetylenic glucosides) ได้แก่ 3-O-β-D-glucopyranosyloxy-1-hydroxy-4E,6E-tetradecene-8,10,12-triyne, (5E)-trideca-1,5-dien-7,9,11-triyne-3,4-diol-4-O-β-D-glucopyranoside (12)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) และเทอร์ปีนอยด์ไกลไซด์ (terpenoid glycosides) ได้แก่ rel-(1S,2S,3S,4R,6R)-1,6-epoxy-menthane-2,3-diol-3-O-β-D-glucopyranoside, rel-(1S,2S,3S,4R,6R)-3-O-(6-O-caffeoyl-β-D-glucopyranosyl)-1,6-epoxymenthane-2,3-diol, (2E,6E)-2,6,10-trimethyl-2,6,11-dodecatriene-1,10-diol-1-O-β-D-glucopyranoside, 3β,16β,29-trihydroxyoleanane-12-ene-3-β-b-D-glucopyranoside, 3,28-di-O-β-D-glucopyranosyl-3b,16b-dihydroxy oleanane-12-ene-28-oleanlic acid, 3-O-β-D-glucopyranosyl-(1->2)-b-D-glucopyranosyl oleanlic-18-ene acid-28-β-b-D-glucopyranoside, echinocystic acid, eclalbasaponin I, eclalbasaponin II, eclalbasaponin III, eclalbasaponin IV,eclalbasaponin V, eclalbasaponin VI, eclalbasaponin VII, eclalbasaponin VIII, silphioside B, silphioside E, 28-O-β-D-glucopyranosyl betulinic acid 3b-O-β-D-glucopyranoside,echinocystic acid, 3-oxo-16α-hydroxy-olean-12-en-28-oic acid, echinocystic acid28-O- β-D-glucopyranoside, ecliptasaponin A, ecliptasaponinC, chinocystic acid-3-O-(6-O-acetyl)-β-D-glucopyranoside,α-amyrin, ursolic acid, oleanolic acid (9, 12, 13, 14, 15, 16)
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ 20-epi-3-dehydroxy-3-oxo-5,6-dihydro-4,5-dehydroverazine, 20-epi-verazine, 20-epi-4β-hydroxyverazine, 4β-hydroxyverazineม 20-epi-25β-hydroxyverazine, 25β-hydroxyverazine, ecliptalbine, ecliptamine A, ecliptamine B , ecliptamine C, ecliptamine D, verazine, veramiline (17, 18)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ luteolin-7-O-glucoside, luteolin-7-O-β-glucoside luteolin, luteolin sulfate, apigenin sulfate, apigenin,orobol,pratensein, pratensein-7-O-β-D-glucopyranoside, 3′-hydroxybiochanin A (9, 13, 16)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols) ได้แก่ stigmasterol, β-sitosterol และ daucosterol (19, 20)
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds) ได้แก่ (E)-caryophyllene, humulene epoxide, n-octadecane, n-pentadecane,phytol, α-copaene, α-humulene, β-caryophyllene oxide,β-farnesene, β-pinene (21)
สารกลุ่มคูเมสแตน (coumestans)
สารกลุ่มไทโอฟีน (thiophenes)
สารกลุ่มโพลีอะซีติลเลนิคกลูโคไซด์ (polyacetylenic glucosides)
สารกลุ่มซาโปนิน (saponins) และเทอร์ปีนอยด์ไกลไซด์ (terpenoid glycosides)
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มสเตอรอล (sterols)
สารประกอบอะโรมาติก (aromatic compounds)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขน ได้แก่ wedalolactone (20)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
วิเคราะห์สารสำคัญกลุ่ม coumestans ได้แก่ wadelolactone, demethylwedelolactone ด้วยวิธี High-performance liquid chromatography (HPLC) และ ultra High-performance liquid chromato-graphy (UHPLC)
สภาวะทดลองที่ 1:
column: Nova-Pak C18(5 มคม.; 150x4.6 มม.)
mobile phase: acetonitrile–water-acetic acid (อัตราส่วน 95:5:0.04)
flow rate:0.6 มล./นาที
injection volume: 10 ไมโครลิตร
detector: UV 352 นาโนเมตร (21)
สภาวะทดลองที่ 2
column: SunfireTM C18 (5 มคม.; 250x4.6 มม.)
mobile phase: methanol-water-acetic acid (อัตราส่วน 95: 5: 0.04)
flow rate:0.6 มล./นาที
injection volume: 10 ไมโครลิตร
detector: UV 352 นาโนเมตร (22)
สภาวะทดลองที่ 3
column: Agilent ZORBAX 5 TC-C18 (5 มคม.; 250x4.6 มม.)
mobile phase: acetonitrile (A) และ0.5% acetic acid–water solution (B) โดยอัตราส่วนจะปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system)คือ 0–15 min, 13–18% A; 15–50 min, 18–22% A; 50–65 min, 22–26% A; 65–75 min, 26–46% A; 75–80 min, 46–66% A
flow rate:1มล./นาที
injection volume: 20 ไมโครลิตร
detector: UV 350นาโนเมตร (11)
สภาวะทดลองที่ 4
column: ACQUITY UPLC HSS T3 (5 1.8 มคม.; 100x2.1 มม.)
mobile phase: acetonitrile (A) และ water (containing 0.1%HCOOH; B).โดยอัตราส่วนจะปรับเปลี่ยนเป็นไปตามเวลาที่กำหนด (gradient system) คือ0–15 min, 10–30% A; 15–28min, 30% A; 28–30min, 30–40% A; 30–38 min, 40% A; 38–45 min, 40–100% A; 45–50min, 100–100% A; 50–50.5min, 10% A; 50.5–60min, 10% A flow rate: 0.3mL/min.
injection volume: 5ไมโครลิตร
detector: a diode-array detector (16)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 รักษาแผล (S015)
การศึกษาประสิทธิภาพในการรักษาแผลของตำรับครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดกะเม็ง (ไม่ระบุชนิดสารสกัดและขนาด) ในผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง เช่น แผลกดทับ แผลเบาหวาน แผลฝี แผลมะเร็ง แผลไฟไหม้ ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 121 ราย กำหนดให้ผู้ป่วยทาครีมกะเม็งบางๆ บริเวณแผล หลังจากการทำความสะอาดแผล จากนั้นปิดด้วยผ้าก๊อซ 1-2 แผ่น วันละ 1 ครั้ง ทำการประเมินผลโดยบันทึกความก้าวหน้าของแผลเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้ครีมตำรับกะเม็งโดยมีระยะเวลาการรักษาขึ้นกับขนาดและความรุนแรงของแผลในผู้ป่วยแต่ละราย ผลการศึกษาพบว่าแผลในผู้ป่วยมีการหายของแผลดีขึ้น ขนาดแผลลดลงแผลไม่มีกลิ่นเหม็น สภาพผิวเนื้อสีแดงอมชมพู ขอบแผลเรียบ พื้นที่เนื้อตายและปริมาณสารคัดหลั่งบริเวณแผลลดลง และไม่พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยทั้ง 121 ราย (23-24)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนของสารสกัดจากส่วนเหนือดินต้นกะเม็งในประเทศเกาหลีใต้ (ไม่ระบุ voucher specimen) ทำการเตรียมสารสกัดส่วนต้นกะเม็งโดยใช้ 95%เอทานอลเป็นตัวทำละลาย จากนั้นนำสารสกัดที่ได้มาทดสอบในหนูเม้าส์เปลือยที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีนควบคุมเซลล์ผิวหนังทำให้ไม่สามารถสร้างเส้นขนได้ (Foxn1nu nude mice) กำหนดให้ทาสารสกัด 95%เอทานอลจากต้นกะเม็ง ความเข้มข้น 2.5% ที่บริเวณผิวหนังด้านหลังหนูเม้าส์วันละครั้ง ติดต่อกัน 16 วัน (ระยะเวลาเทียบเท่ากับ 2 รอบวงจรชีวิตของเส้นขน) ผลการศึกษาพบว่าสารสกัด95% เอทานอลจากต้นกะเม็งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำการงอกของเส้นขนได้เช่นเดียวกับกลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับยาปลูกผม minoxidil 2% โดยเพิ่มความยาวและความหนาแน่นของเส้นขนอย่างนัยสำคัญทางสถิติได้ตั้งแต่วันที่ 7 ของการศึกษาเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมและเมื่อติดตามผลต่อเนื่องจนถึงวันที่ 16 ของการศึกษาพบว่าสารสกัดจากต้นกะเม็งมีผลเพิ่มความยาวและความหนาแน่นของเส้นขนได้เหนือกว่ากลุ่มที่ได้รับยา minoxidil อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลจากการตรวจสอบทางจุลชีววิทยาของเนื้อเยื่อ (histomorphometry) ของหนูเม้าส์ที่ได้รับสารสกัดจากต้นกะเม็ง พบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ต่อมขน (hair follicles) ในชั้นผิวหนังเคราติโนไซต์ (keratinocytes) โดยเพิ่มจำนวนและขยายขนาดใหญ่ขึ้น ลักษณะการเจริญเติบโตของเซลล์อยู่ในระยะS-phase ซึ่งบ่งถึงการเปลี่ยนจากระยะพัก (telogen phase) เข้าสู่ระยะเจริญเติบโต (anagenphase) ของเส้นขนซึ่งยืนยันว่าสารสกัด 95%เอทานอลจากต้นกะเม็งมีฤทธิ์กระตุ้นการงอกและการเจริญเติบโตของเส้นขนได้ (25)
การสกัดส่วนเหนือดินของต้นกะเม็งจากประเทศเกาหลีใต้ (ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยวิธีสกัดแบบไหลย้อนกลับ (reflux extraction) และมีปิโตรเลียมอีเธอร์เป็นตัวทำละลาย จากนั้นนำกากที่ได้ไปสกัดซ้ำแบบลำดับส่วนด้วยเฮกเซน บิวทานอล และน้ำ ตามลำดับ แล้วนำสารสกัดดังกล่าวมาทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนในหนูเม้าส์เปลือย (BALB/c-nu mice) การศึกษาแบ่งสัตว์ทดลองออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุม กลุ่มที่ได้รับยา minoxidil 2% และกลุ่ม 3-6 ได้รับครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ส่วนสกัดเฮกเซน ส่วนสกัดบิวทานอลและส่วนสกัดน้ำจากต้นกะเม็งตามลำดับ กำหนดให้ทาสารสกัดบริเวณผิวหนังด้านหลังของหนูเม้าส์ ครั้งละ 5 มก. วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 20 วัน ติดตามผลโดยบันทึกการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิวหนังและความหนาแน่นของเส้นขน พบว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์มีการงอกของเส้นขนบริเวณหลังศีรษะเป็นกลุ่มแรก และมีขนขึ้นปกคลุมหนาแน่นทั่วทั้งตัวในวันที่ 16 ของการศึกษา รองลงมาคือกลุ่มที่ได้รับส่วนสกัดเฮกเซน ส่วนสกัดน้ำ และส่วนสกัดบิวทานอล ตามลำดับ ในขณะที่หนูกลุ่มควบคุมมีขนขึ้นกระจัดกระจายคล้ายคลื่นและขนหลุดร่วงในวันที่ 16 ของการศึกษา ผลจากการศึกษาทางจุลชีววิทยาของเนื้อเยื่อพบว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์มีผลทำให้ต่อมเส้นขนขยายขนาดและเพิ่มจำนวนต่อมรากขนบริเวณเนื้อเยื่อชั้นผิวได้เช่นเดียวกับการใช้ยา minoxidil 2% และสามารถชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม โดยลดระดับ transforming growth factor-β1 (TGF-β1) ทำให้การเปลี่ยนแปลงของเส้นขนจากระยะเจริญเติบโต (anagen phase)เข้าสู่ระยะหยุดการเจริญเติบโต (catagen phase) ลดลง ส่งผลให้การหลุดร่วงของเส้นขนในสัตว์ทดลองเกิดช้าลง (26)
การทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนในหนูเม้าส์เผือกเพศผู้ เตรียมสารสกัดโดยใช้ผงแห้งของส่วนเหนือดินของต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย, voucher specimen: RKR-123-05) มาทำการสกัดแบบต่อเนื่องด้วย soxhlet extractor โดยมีปิโตรเลียมอีเธอร์เป็นตัวทำละลาย และนำกากที่ได้มาสกัดซ้ำด้วย 95%เอทานอล จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางพฤกษเคมี พบสาร wedelolactone ในสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์และส่วนสกัด 95% เอทานอล เท่ากับ 1.9 ± 0.2% และ 0.2 ± 0.01% โดยน้ำหนัก ตามลำดับ เมื่อนำสารสกัดดังกล่าวมาทำการทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นขนด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ หรือสารสกัด 95%เอทานอลจากต้นกะเม็ง ความเข้มข้น 2 และ 5% โดยน้ำหนัก บนผิวหนังหนูแรทถูกที่โกนเส้นขนออก (พื้นที่ผิว 6 ตร.ซม.) วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์จากต้นกะเม็ง ความเข้มข้น 5% สามารถกระตุ้นการงอกของเส้นขนให้เร็วขึ้นสองเท่าของกลุ่มควบคุมคือ พบการงอกของเส้นของในวันที่ 5 ของการทดสอบ และมีขนขึ้นปกคลุมเต็มพื้นที่ได้ในวันที่ 19 ของการศึกษาซึ่งใช้เวลาใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับยา minoxidil 2%โดยพบเส้นขนที่มีความยาวมากกว่า 0.5 มม. ในกลุ่มควบคุมกลุ่มที่ได้รับยาminoxidil 2% กลุ่มที่ได้รับสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ 2 และ 5% เท่ากับ 34±0.4, 49±0.1, 44±0.2 และ 46±0.5% ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัด 95%เอทานอลทั้งสองขนาดให้ผลไม่ต่างจากกลุ่มควบคุม นอกจากนี้สารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์ทั้งสองขนาดยังให้ผลกระกระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมรากขน ได้เหนือกว่ากลุ่มควบคุม 68±1.2 และ 70±1.6% ตามลำดับ และให้ผลดีกว่ากลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับยา minoxidil 2% ที่พบการระยะเจริญของต่อมรากขนเพิ่มขึ้น 67±0.5% เมื่อทำการสังเกตผลครบ 30 วัน พบอัตราส่วนของระยะเจริญ/ระยะพักของเส้นของ (anagen/telogen phase) ในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์จากต้นกะเม็ง ความเข้มข้น 2 และ 5% และกลุ่มที่ได้รับยา minoxidil 2% เพิ่มขึ้น 212.5±2.9, 233.3±1.2 และ 203±1.1% ตามลำดับการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์จากต้นกะเม็งความเข้มข้น 5% มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการงอกของเส้นขนและเพิ่มความยาวของเส้นขนเหนือกว่าการใช้ยา minoxidil 2% โดยคาดว่ามีสาร wedalolactone เป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์ (20)
การศึกษาผลของสารสกัดเมทานอลจากต้นกะเม็งต่อการงอกของเส้นขนในหนูเม้าส์ขนสีดำ (pigmented C57/BL6 mice) ที่มีอายุขน 62 วัน (เทียบเท่าอายุขนช่วงระยะหยุดการเจริญเติบโต (telogen phase)) เตรียมสารสกัดจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย, ไม่ระบุ voucher specimen) โดยการสกัดแบบต่อเนื่องด้วย soxhlet extractor ที่มี 95%เมทานอลเป็นตัวทำละลาย ในการทดสอบแบ่งหนูเม้าส์ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุม กลุ่มยาหลอก กลุ่มที่ 3 และ 4 ทาด้วยสารสกัด 95%เมทานอลจากต้นกะเม็ง ขนาด 1.6 มก. และ 3.2 มก./พื้นที่ผิว 15 ตร.ซม. เป็นเวลา 10 วัน พบว่าสารสกัดจากต้นกะเม็งทั้งสองขนาดกระตุ้นการสร้างเส้นขนใหม่อย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มความหนาของชั้นผิวหนังและเพิ่มจำนวนต่อมรากขนในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังได้ 39±8.4 จุด (50%) และ 66±7.3 จุด (87%) ตามลำดับ/พื้นที่ผิว 15 ตร.ซม. ในขณะที่กลุ่มควบคุมพบต่อมรากขนเพียง 19.2±3 จุด จากการศึกษาอิมมูโนฮิสโตเคมี (immunohistochemistry study) ของเนื้อเยื่อผิวหนังพบว่าในกลุ่มที่ทาด้วยสารสกัดเมทานอลจากต้นกะเม็งมีระดับของโปรตีนสำคัญในการสร้างเส้นขน ได้แก่ fibroblast growth factor-7 (FGF-7) และ Sonic hedgehog (Shh) เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันระดับของ bonemorphogenetic protein-4 ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งกระบวนการเจริญเติบโตของเส้นขนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าสารสกัด 95%เมทานอลจากต้นกะเม็งสามารถกระตุ้นการงอกของเส้นขนโดยเพิ่มปริมาณโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเส้นขน(27)
การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดหยาบจากใบกะเม็ง (ไม่ระบุแหล่งเก็บตัวอย่าง) ที่ทำการสกัดโดยต้มสมุนไพรแห้งที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียล นาน 30 นาที ต่อการเจริญของต่อมรากผมคนที่แยกจากชั้นหนังกำพร้าของอาสาสมัครเพศหญิง อายุ 40-60 ปี ทำการทดสอบโดยเพาะเลี้ยงเซลล์รากผมในอาหารเลี้ยงเซลล์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากต้นกะเม็ง ความเข้มข้น 50นาโนกรัม/มล., 100 นาโนกรัม/มล., 1มคก./มล. และ 10 มคก./มล. เป็นเวลา 4 วัน ทำการประเมินผลด้วยการวัดความยาวของต่อมรากผมเปรียบเทียบวันที่ 0 และวันที่ 4 ผลจากการศึกษานี้ไม่พบฤทธิ์ของสารสกัดหยาบจากใบกะเม็งในการกระตุ้นการงอกของเส้นผมอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และทางผู้วิจัยได้ระบุว่าควรมีการทดลองสกัดด้วยตัวทำละลายชนิดอื่น เพื่อสกัดเอาสารกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำมาทำการทดสอบต่อไป (28)
นอกจากนี้ยังพบรายงานการวิจัยระบุว่าการป้อนสารสกัดจากต้นกะเม็งให้แก่สัตว์ทดลองสามารถกระตุ้นการงอกของเส้นขนได้เช่นเดียวกันกับการใช้ภายนอกการทดสอบในหนูเม้าส์เพศเมียพันธุ์ขนสีดำ (C57BL/6N mice) ด้วยการป้อนสารสกัดจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้, voucher specimen: PNUKH-54) ซึ่งเตรียมด้วยวิธีการแช่ต้นกะเม็งในเมทานอลนาน 24 ชั่วโมง โดยป้อนสารสกัดดังกล่าว ขนาด 1 และ 10 มก./กก.น้ำหนักตัว ให้แก่หนูเม้าส์เป็นเวลา 14 วันพบว่าสารสกัดดังกล่าวให้ผลเหนี่ยวนำการงอกของเส้นขน กระตุ้นระยะเจริญเติบโตของเส้นขนอย่างมีนัยสำคัญหลังการทดสอบป้อนเพียง 8 วัน และพบการสร้างต่อมรากขนบริเวณชั้นผิวหนังเพิ่มมากขึ้นใกล้เคียงกับกลุ่มที่ได้รับยา minoxidil 3% จากการตรวจสอบการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้อง พบว่าสารสกัดเมทานอลกะเม็งมีผลเพิ่มการแสดงออกfibroblast growth factor (FGF-7)ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมรากขนและเพิ่มจำนวนของเซลล์ทำให้เกิดการงอกใหม่ของเส้นผมและลดการแสดงออกของfibroblast growth factor 5 (FGF-5) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการชะลอระยะเติบโตของเส้นขนเพื่อเข้าสู่ระยะหยุดการเจริญเติบโต (catagen phase)ทั้งในระดับโปรตีนและ mRNA โดยพบว่าสารสกัดกะเม็งที่ขนาดต่ำ (1 มก./กก.) ให้ผลกระตุ้นการแสดงออกของ FGF-7 ได้ดีกว่าการใช้ในขนาดสูง ในขณะเดียวกันการใช้ในขนาดสูงจะให้ผลยับยั้ง FGF-5 ได้มากกว่า แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากต้นกะเม็งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการงอกเส้นขนใหม่มากกว่าชะลอการหลุดร่วงของเส้นขน และเมื่อทำการทดสอบซ้ำในหลอดทดลอง) ด้วยการบ่มสารสกัดจากต้นกะเม็ง ความเข้มข้น 5, 10 และ 50 มคก./มล.กับเซลล์รากผมมนุษย์ (human dermal papilla cells เป็นเวลา 24 ชม. พบว่าให้ผลกระตุ้นการแสดงออกของ FGF-7 ทั้งในระดับโปรตีนและระดับ mRNA ได้เช่นเดียวกัน (29)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ของสารสกัดจากดอกกะเม็งสดและดอกกะเม็งแห้งต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในหลอดทดลองเตรียมสารสกัดด้วยวิธีการหมักดอกกะเม็งแบบสดและดอกกะเม็งแห้ง (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดนครปฐม, ไม่ระบุvoucher specimen) กับ 80%เอทานอลเป็นเวลา 24 ชั่วโมงผลการศึกษาพบว่าส่วนของสารสกัดจากดอกกะเม็งสดมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ดได้เพียงเล็กน้อย คือ 1.86±0.71% ในขณะที่สารสกัดจากดอกกะเม็งแห้งไม่ให้ผลต่อการทำงานเอนไซม์ไทโรซิเนส ผลจากการวิเคราะห์ปริมาณสารพฤกษเคมีในสารสกัดพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และสารฟีนอลลิกเป็นสารสำคัญ โดยพบสารสองกลุ่มนี้ในสารสกัดจากดอกแห้งมากกว่าดอกสด ผู้วิจัยจึงระบุว่าสารสำคัญในการออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสของดอกกะเม็งอาจเป็นสารกลุ่มอื่นซึ่งนอกเหนือจากสองกลุ่มดังกล่าว (30)
2.2 ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
สารสกัดเอทิลอะซีเตท เฮกเซน เอทานอล และน้ำจากส่วนเหนือดินของกะเม็งที่ปลูกในประเทศไต้หวัน แสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วย ferric thiocyanate method โดยสารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้น 500 มคก./มล. ให้ผลการยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 77.62% ใกล้เคียงกับการใช้วิตามินอี 500 มคก./มล. รองลงมาคือสารสกัดเอทิลอะซีเตท ส่วนสารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำไม่แสดงผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (31)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบของสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของกะเม็ง ได้แก่ ลำต้น ใบ และดอก (ไม่ระบุแหล่งเก็บตัวอย่าง) สกัดโดยการแช่ตัวอย่างพืชในน้ำกลั่น 30%เอทานอล 70%เอทานอล 99%เอทานอล และเอทิลอะซิเทต พบว่าสารสกัดด้วย 30%เอทานอลมีประสิทธิภาพดีที่สุดในการต้านอนุมูลอิสระในการทดสอบด้วยวิธี 1,1diphenyl-2-picrylhydrazyl (DPPH)radical scavenging assay โดยสารสกัดหยาบจากลำต้น ใบ และดอก มีค่า IC50 เท่ากับ 0.61±0.2, 0.63±0.2 และ 0.65±0.3 มก./มล.ตามลำดับโดยพบว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดสอดคล้องกับปริมาณโพลีฟีนอลรวม (total polyphenol contents) และปริมาณสารฟลาโวนอยด์รวม (total flavonoid contents) ที่พบ โดยพบปริมาณโพลีฟีนอลรวมในส่วนลำต้น ใบ และดอก เท่ากับ 168.8±47.7, 227.8±34.9 และ 198.1±13.2 มก. สมมูลของกรดแกลลิก/ก.สารสกัดหยาบ ตามลำดับ มีสารฟลาโวนอยด์ในส่วนลำต้น ใบ และดอก เท่ากับ 38.1±11.9, 56.4±14.8 และ 45.0±11.5 มิลลิกรัมสมมูลอิพิคาทีชิน/ก.สารสกัดหยาบ ตามลำดับ (32)
การศึกษาผลของสารสกัด 50%เอทานอลจากส่วนเหนือดินของต้นกะเม็ง (ตัวอย่างจากจังหวัดขอนแก่น, ไม่ระบุ voucher specimen)พบว่ามีปริมาณสารฟีนิลลิกรวม เท่ากับ 68.86±5.61 มก./ก. สมดุลของกรดแทนนิก และเมื่อนำสารสกัดดังกล่าวไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging assay และ ferric reducing ability of plasma (FRAP) พบว่ามีค่าต้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 96.31±6.51 มคก/มล. และ 72.45±9.4 มก./ก. ตามลำดับ (33)
การศึกษาวิเคราะห์ปริมาณสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และฟีนอลลิกของสารสกัด 80%เอทานอลจากส่วนดอกกะเม็งสดและดอกแห้ง (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดนครปฐม, ไม่ระบุ voucher specimen) พบว่าสารสกัดจากดอกและดอกแห้ง มีปริมาณสารกลุ่มฟลาโวนอยด์เท่ากับ 1.24±0.02 และ 8.92±0.11มก.สมมูลของรูติน/ก.ตัวอย่างพืชตามลำดับ และสารกลุ่มฟีนอลลิก เท่ากับ 4.22±0.06 และ 5.98±0.08 มก.สมมูลของกรดแกลลิก/ก.ตัวอย่างพืชตามลำดับ และเมื่อนำสารสกัดดังกล่าวมาทดสอบความสามารถในต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging assay พบว่าสารสกัดจากตัวอย่างแห้งมีฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดจากตัวอย่างสด โดยสารสกัดที่ความเข้มข้น 100 มคก./มล. สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้มากกว่า 80% ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าสารมาตรฐานเปรียบเทียบ BHT ซึ่งสามารถยับยั้งปฏิกิริยานี้ได้ 78.57% (30)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของของสารสกัดหยาบและส่วนสกัดจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างจากจังหวัดลำปาง, ไม่ระบุ voucher specimen)ทำการสกัดด้วยตัวทำละลาย 2 ชนิด คือ การกลั่นด้วยน้ำ หรือแช่ใน 95%เอทานอล เป็นเวลา 72 ชั่วโมง จากนั้นนำสารสกัด 95%เอทานอลไปแยกต่อตามความมีขั้วของสารโดยการสกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน เอธิลอะซิเตท บิวทานอลและน้ำ ตามลำดับ ผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging พบว่าส่วนสกัดบิวทานอลแสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด รองลงมาคือส่วนสกัดเอธิลอะซิเตท สารสกัดหยาบเอทานอล สารสกัดหยาบน้ำ ส่วนสกัดน้ำร้อน และส่วนสกัดเฮกเซน โดยพบค่า IC50เท่ากับ 0.053, 0.074, 0.213, 0.326, 0.374 และ 0.891 มก./มล. การวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญในส่วนสกัดบิวทานอลพบปริมาณสารกลุ่มฟีนอลิก เท่ากับ 493.205 ± 10.174มก.สมมูลของกรดแกลลิก/ก.ตัวอย่างพืช (34)
2.3 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (S007)
ยับยั้งเอนไซม์อีลาสเทส
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ของสารสกัดจากดอกกะเม็งสดและดอกกะเม็งแห้งต่อการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทสในหลอดทดลอง เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการแช่ดอกกะเม็งสดและดอกกะเม็งแห้ง (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดนครปฐม, ไม่ระบุ voucher specimen) กับ 80%เอทานอล เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วนำไปทดสอบฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทสจากไตของหมู พบว่าสารสกัดจากดอกกะเม็งสดและดอกกะเม็งแห้งยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อีลาสเทสได้ 22.83±3.78 และ25.98±2.30% ตามลำดับ แต่ให้ฤทธิ์ด้อยกว่าสารเปรียบเทียบ oleanolic acid ซึ่งมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเท่ากับ76.02±2.50%เมื่อทำการวิเคราะห์ปริมาณสารพฤกษเคมีในสารสกัดพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และสารฟีนอลลิกเป็นสารสำคัญ โดยสารสกัดจากส่วนดอกกะเม็งสดมีสารสำคัญน้อยกว่าสารสกัดจากดอกกะเม็งแห้ง (พบสารฟลาโวนอยด์ 1.08±0.06 และ 4.15±0.04 มก.สมมูลของรูติน/ก.ตัวอย่างพืช, สารฟีนอลลิก 3.75±0.05 และ 8.31±0.45 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิก/ก. ตัวอย่างพืช) จึงคาดว่าสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และสารฟีนอลลิกสองกลุ่มนี้เป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อีลาสเทสของดอกกะเม็ง (30)
2.4 กันแดดสำหรับผิวกาย (S008)
ปกป้องผิวจากรังสียูวี
สารสกัดน้ำจากต้นกะเม็งสามารถปกป้องความเป็นพิษต่อเซลล์จากการเหนี่ยวนำของรังสี UVB(ความยาวคลื่น 200-400 นาโนเมตร)เมื่อการทดสอบในเซลล์เคอราติโนไซต์ของมนุษย์ (HaCaT human keratinocytes) พบว่าเมื่อให้สารสกัดน้ำจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศไต้หวัน; ไม่ระบุ voucher specimen) ขนาด 0.1 มก./มล. สามารถเพิ่มการมีชีวิตของเซลล์หลังจากได้รับรังสีUVB ขนาด 30 มล.จูล/ตร.ซม. จาก 72.05 ± 6.58%เป็น96.88 ± 10.64% และที่ขนาด 0.3 มก./มล. สามารถป้องกันการตายของเซลล์หลังจากได้รับรังสีUVB ขนาด 60 มล.จูล/ตร.ซม. ได้ 100% และการทดสอบในเซลล์ไฟโบรบลาสต์(3T3 cells) พบว่าสารสกัดน้ำที่ความเข้มข้น 100-300 มคก./มล. แสดงฤทธิ์ป้องกันการตายของเซลล์อย่างมีนัยสำคัญ จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในสารสกัดดังกล่าวพบสารกลุ่มฟีนอลิกและสาร chlorogenic acid เป็นสารสำคัญ จึงคาดว่าสารสองกลุ่มเหล่านี้มีผลต่อการออกฤทธิ์ปกป้องผิวจากรังสียูวี (35)
2.5 ทำให้ผิวสีแทน (S009)
กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส
สารสกัดน้ำจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศจีน,ไม่ระบุvoucher specimen) ที่เตรียมสารสกัดด้วยวิธีการสกัดแบบไหลย้อนกลับ (reflux extraction) ในสารสกัดประกอบด้วย baicalein, luteolin, apigenin, dehydrated betanin และ kaempferol เป็นสารสำคัญมีผลเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส เมื่อทำการทดสอบในเซลล์ผิวหนังของมนุย์ (human melanocytes) ด้วยการบ่มสารสกัดน้ำจากต้นกะเม็งความเข้มข้น 100 และ 400 มคก./มล. ร่วมกับเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ด เป็นเวลา 72 ชม. พบว่าสามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ 117 และ 119% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (36)
การศึกษาฤทธิ์ต่อการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ดของสารสกัดจากต้นกะเม็งที่เตรียมด้วยวิธีการแช่ส่วนเหนือดินของต้นกะเม็ง (ตัวอย่างจากจังหวัดขอนแก่น, ไม่ระบุ voucher specimen) ใน 50% เอทานอล ทำการทดสอบในหลอดทดลองโดยการเติมสารสกัด50% เอทานอลจากต้นกะเม็งความเข้มข้น 0.625-150 มคก/มล. ร่วมกับเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าสารสกัดที่ความเข้มข้น 150 มคก./มล. มีผลเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส 129.21±5.36% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (33)
กระตุ้นการสร้างเม็ดสี
สารสกัดน้ำจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศจีน, ไม่ระบุ voucher specimen) ที่ทำการสกัดด้วยวิธีสกัดแบบไหลย้อนกลับ (reflux extraction) มีผลกระตุ้นการสร้างเม็ดสีในเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ (human melanocytes) เมื่อทำการทดสอบโดยการบ่มสารสกัดน้ำจากต้นกะเม็งที่ความเข้มข้น 100 และ 400 มคก./มล. กับเซลล์ผิวหนังเป็นเวลา 3 วันให้ผลเพิ่มปริมาณเม็ดสีเมลานินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดยไม่แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ และสารสกัดน้ำจากต้นกะเม็งยังให้ผลเพิ่มการเคลื่อนที่ (migration) ของเซลล์ผิวหนังmelanocytes เพิ่มขึ้น 172% เมื่อการทดสอบการเคลื่อนที่ของเซลล์ด้วยวิธีcollagen IV-coated transwell โดยพบว่ากลไกในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินของสารสกัดน้ำจากต้นกะเม็งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน microphtalmia-associated transcription factor (MITF) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง (36)
การทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของต้นกะเม็งต่อการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์ผิวหนังเมลาโนไซต์ชนิด B16F10ที่เพาะเลี้ยงจากผิวหนังของหนูเม้าส์เตรียมสารสกัดโดยการแช่ส่วนเหนือดินของต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดขอนแก่น, ไม่ระบุ voucher specimen) ใน 50%เอทานอล ทำการทดสอบโดยการบ่มสารสกัดความเข้มข้น 62.5-250 มคก./มล. กับเซลล์ผิวหนังเมลาโนไซต์ เป็นเวลา 48 ชั่วโมง พบว่าสารสกัดกะเม็งทุกความเข้มข้นสามารถเพิ่มปริมาณเม็ดสีเมลานินได้ตามขนาดของความเข้มข้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม(เพิ่มขึ้น 111.8±1.95 - 125.62±1.26%) โดยไม่แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์ทดสอบ (33)
2.6 ต้านการอักเสบของผิวกาย (S014)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลีใต้, ไม่ระบุ voucher specimen) ที่ทำการสกัดด้วยวิธีต่างกัน คือ การสกัดด้วยวิธี ultrasonic extraction(UE) ที่ความถี่ 120 กิโลเฮิร์ต ตัวทำละลาย 70%เอทานอล อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียล เป็นเวลา 6 ชั่วโมง กับการสกัดแบบดั้งเดิม (EE) ด้วย 70%เอทานอล อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียล เป็นเวลา 12 ชั่วโมงจากนั้นนำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจ (RAW 264.7)พบว่าสารสกัด UE ที่เข้มข้น 0.3 มก./มล. สามารถยับยั้งการสร้างสารสื่อการอักเสบinterleukin-6 (IL-6) และ tumor necrosing factor-α (TNF-α) จากการเหนี่ยวนำด้วย lipopolysaccharide (LPS) ได้ดีกว่าสารสกัดEEอย่างไรก็ตามสารสกัด UE ยังให้ฤทธิ์ด้อยกว่าสารเปรียบเทียบมาตรฐานวิตามิน D3 ขนาด 1.0 ไมโครโมลาร์ เมื่อทำการทดสอบในเซลล์ไฟโบรบลาสต์เพาะเลี้ยงของมนุษย์ (CCD-986sk) พบว่าสารสกัด UE 0.3 มก./มล. สามารถยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin E2 ได้ดีกว่าสารสกัด EE โดยให้ฤทธิ์ใกล้เคียงกับสารเปรียบเทียบวิตามิน D3 ซึ่งฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดต้นกะเม็งนี้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ปริมาณสารพฤกษเคมีในสารสกัดที่พบว่าในสารสกัด UE มีสาร wedelolactoneในปริมาณสูงกว่าสารสกัด EE (พบสาร wedelolactone 378.6 และ172.9 มก./100 ก.ตัวอย่าง ตามลำดับ) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากต้นกะเม็งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบของผิวหนังได้ใกล้เคียงกับการใช้วิตามิน D3 และสาร wedelolactone เป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ (37)
สารสกัดคลอโรฟอร์มจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย, ไม่ระบุ voucher specimen) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบทั้งแบบฉียบพลันและแบบเรื้อรังเมื่อทำการทดสอบในหนูแรทด้วยการป้อนสารสกัดคลอโรฟอร์มจากต้นกะเม็ง ขนาด 50, 100 และ 200 มก./กก.น้ำหนักตัว ให้แก่หนูแรทที่เวลา 60 นาที ก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดอาการอักเสบแบบเฉียบพลันด้วยการฉีดคาราจีแนนเข้าบริเวณอุ้งเท้า ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดทั้งสามขนาดมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบจากของอุ้งเท้าได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยสารสกัดขนาด 200 มก./กก. น้ำหนักตัว มีฤทธิ์ดีที่สุดในยับยั้งการบวม (ยับยั้งได้ 55.85%) แต่มีฤทธิ์น้อยกว่ากลุ่มควบคุมบวกที่ได้รับยามาตรฐาน indomethacin ขนาด 10 มก./กก.น้ำหนักตัว (ยับยั้งได้ 61.30%) โดยกลไกการออกฤทธิ์ลดบวมของสารสกัดจากต้นกะเม็งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งสารฮิสตามีนและเซอโรโตนินภายในเซลล์ ยืนยันได้จากการทดสอบด้วยการฉีดสารฮีสตามิน (1 มก./กก.) และเซอโรโตนิน (1มก./กก.) ที่บริเวณอุ้งเท้าหนูแรท พบว่าสารสกัดจากต้นกะเม็ง ขนาด 200 มก./กก. สามารถยับยั้งฤทธิ์กระตุ้นการบวมจากการเหนี่ยวนำของฮิสตามินและเซอโรโตนิน 61.31 และ 59.10% ตามลำดับ ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับการใช้ยา indomethacin (38) และการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบเรื้อรังด้วยการฝังก้อนสำลีบริเวณอุ้งเท้าของหนูแรท พบว่าสารสกัดขนาด 50, 100 และ 200 มก./กก.น้ำหนักตัว สามารถยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อ granuloma ได้เหนือกว่าการใช้ยาindomethacin โดยสามารถยับยั้งได้ 27.41, 38.42, 55.23 และ 53.48% ตามลำดับการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มจากต้นกะเม็งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง (38)
นอกจากนี้ยังพบอีกหลายการศึกษาที่ระบุว่าสารสำคัญในต้นกะเม็งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเมื่อทำการสกัดสารจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดสงขลา, voucher specimen: 4412025) ด้วยวิธีการแช่ส่วนเหนือดินของต้นกะเม็งในไดคลอโรมีเทน นาน 5 วันในสารสกัดพบสารสำคัญเป็นสารประกอบกลุ่ม terthiophene ได้แก่ สาร orobol, 5-hydroxymethyl-(2,2′:5′,2″)-terthienyl tiglate, 5-hydroxymethyl-(2,2′:5′,2″)-tert-hienyl agelate, 5-hydroxymethyl-(2,2′:5′,2″)-terthienyl acetate, ecliptal และ wedelolactone จากการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจ พบว่าสาร orobol มีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งการอักเสบของเซลล์แมคโครฟาจ (RAW 264.7) จากการเหนี่ยวนำด้วย lipopolysaccharide โดยยับยั้งการหลั่ง nitric oxide ด้วยค่า IC50เท่ากับ 4.6 ไมโครโมลาร์ และให้ฤทธิ์ดีกว่าสารเปรียบเทียบcaffeic acid phenethylester, indomethacin และL-nitroarginine ซึ่งมีค่า IC50เท่ากับ 5.0, 20.1 และ 59.0 ไมโครโมลาร์ตามลำดับ และสาร orobol ยังมีผลยับยั้งการหลั่ง prostaglandin E2 (PGE-2) และ TNF-α เมื่อศึกษากลไกในการต้านอักเสบของสาร orobol ด้วยวิธี RT-PCR พบว่าเกี่ยวข้องกับกลไกยับยั้งการแสดงออกของ inducible nitric oxide synthase (iNOS) และ cyclooxygenase-2 (COX-2) ทั้งในระดับยีนและ mRNA (13)
งานวิจัยอีกฉบับหนึ่งจากประเทศเกาหลีใต้พบว่าสาร echinocystic acid ที่แยกได้จากสารสกัด 70%เอทานอลจากต้นกะเม็งที่สกัดด้วยวิธีการแช่ (ตัวอย่างพืชจากประเทศเกาหลี,voucher specimen:2011-ECPR01) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมื่อทำการทดสอบโดยการบ่มเซลล์แมคโครฟาจด้วยสาร echinocystic acid ขนาด 10, 20 และ 30 ไมโครโมลาร์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ก่อนการเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยการเติม LPS ขนาด 1 มคก./มล. ผลการศึกษาพบว่าสาร echinocystic acid มีผลลดการหลั่ง NO จากการเหนี่ยวนำด้วยสาร LPS ได้ตามขนาดของสารสกัดที่ได้รับ โดยสาร echinocystic acid มีผลยับยั้งการทำงานของ nuclear factor kappa-beta ส่งผลให้การแสดงออกของสารสื่อการอักเสบ ได้แก่ iNOS, TNF-αและ IL-6 ในเซลล์ลดลงทั้งในระดับโปรตีนและระดับยีน (15)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน ด้วยการป้อนสารสกัดน้ำจากใบกะเม็ง (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย; voucher specimen: B.M.D/BOT/03/10) ขนาด 0.5, 1.75, 2.0, 2.5 และ 3.0 มก./กก.น้ำหนักตัว แบบครั้งเดียว ให้แก่หนูเม้าส์เพศเมีย และเฝ้าสังเกตอาการติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน พบว่าสารสกัดที่ขนาดมากกว่า 2.0ก./กก.น้ำหนักตัว มีผลเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพของตับ และมีผลเพิ่มระดับของ serum glutamic pyruvictransferase, total protein และอัลบูมินของสัตว์ทดลองอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบค่า LD50ของสารสกัดเท่ากับ 2.3 ก./กก.น้ำหนักตัว การทดสอบนี้จึงสรุปว่าสารสกัดน้ำจากต้นกะเม็งมีความปลอดภัยเมื่อใช้ในขนาดไม่เกิน 2.0 ก./กก.น้ำหนักตัว (39) และการทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันด้วยการป้อนสารสกัดเอทานอล ขนาด 0.5, 1.0, 2.0, 3.0 และ 4.0 มก./กก. ให้แก่หนูเม้าส์แบบครั้งเดียว และเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ไม่พบความเป็นพิษหรือก่อให้เกิดความผิดปกติของสัตว์ทดลอง (40)
การศึกษาความเป็นพิษของส่วนสกัด 70% เอทานอลจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างจากประเทศจีน, ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยการป้อนที่ขนาด 40 มล./กก. น้ำหนักตัว เป็นเวลา 14 วัน (41) การป้อนส่วนสกัดคลอโรฟอร์ม (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย; voucher specimen: KRA/24475) ขนาด 50 มก./กก. นาน 2 สัปดาห์ (42) และการป้อนสารสกัดเมทานอลจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศอินเดีย; voucher specimen: ACC-31253) ขนาด 300 มก./กก. น้ำหนักตัว นาน 28 วัน (43) ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง ไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว และการกินอาหารของสัตว์ทดลอง
ความเป็นพิษต่อเซลล์
การศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดน้ำจากใบต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากจังหวัดฉะเชิงเทรา) ต่อตัวอ่อนภายในไข่ของปลาม้าลาย (Danio rerio) และผลต่อพัฒนาการของตัวอ่อนที่เวลา 24, 48 และ 144 ชั่วโมง พบค่า lowest observed effect concentrations (LOEC) หรือค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่มีผลทำให้ตัวอ่อนตาย และเริ่มพบความผิดปกติ ที่เวลา 48 ชั่วโมง คือ 1% และ 0.1% ตามลำดับ และค่า NOEC (no observed effect concentration) หรือความเข้มข้นที่สูงสุดของสกัดที่ยังไม่ก่อให้สัตว์ทดลองตายและเกิดอาการผิดปกติที่สังเกตได้ที่เวลา 48 ชั่วโมง คือ 0.01 และ 0.1% ลำดับ (44)
จากการศึกษาความเป็นพิษต่อไรน้ำเค็ม (brine shrimp lethality bioassay) พบว่าสารสกัดเอทานอลจากส่วนเหนือดินของกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศบังคลาเทศ, ไม่ระบุ voucher specimen) ความเข้มข้น 25, 31.25, 62.5, 125, 250 และ500 มคก./มล. แสดงความเป็นพิษได้ตามความเข้มข้นของสารสกัดที่ได้รับ คือมีผลทำให้ไรน้ำเค็มตาย 0, 10.0, 41.7, 61.7, 83.3 และ100% ตามลำดับ และมีค่า LC50 เท่ากับ 94.3 มคก./มล. (40)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ไขกระดูก (bone marrow stromal cells) ของสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากต้นกะเม็ง (ตัวอย่างพืชจากประเทศจีน, voucher specimen:110406) พบว่าสารสกัดที่ความเข้มข้น 20 มคก./มล. และสาร wedelolactone ขนาด 10 มคก./มล. แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์โดยทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต (45)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของตำรับครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดกะเม็ง (ไม่ระบุชนิดสารสกัดและขนาด) สำหรับทาแผลเรื้อรัง เช่น แผลกดทับ แผลเบาหวาน แผลฝี แผลมะเร็ง แผลไฟไหม้ โดยทาครีมกะเม็งบางๆ วันละ 1 ครั้ง สามารถรักษาแผล ช่วยให้การหายของแผลดีขึ้น ขนาดแผลลดลง แผลไม่มีกลิ่นเหม็น สภาพผิวเนื้อสีแดงอมชมพู ขอบแผลเรียบ พื้นที่เนื้อตายและปริมาณสารคัดหลั่งบริเวณแผลลดลง (23-24)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
กะเม็งมีฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม ช่วยเพิ่มความยาวและความหนาแน่นของเส้นขน รวมถึงมีผลชะลอการหลุดร่วงของเส้นขนเป็นพืชที่มีศักยภาพในการนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังมีพบฤทธิ์เกี่ยวกับผิวกายที่น่าสนใจ เช่น ฤทธิ์รักษาแผล ต้านการอักเสบของผิวหนัง ป้องกันผิวจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต และต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอกต่อไปในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Eclipta prostrata (L.) L. The Plant List. [Internet]. 2013 [cited 2020 Oct 8]. Available from: http://http://www.plantlist.org/tpl1.1/record/gcc-6746.
3. ราชันย์ ภู่มา.สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60พรรษา.-- กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2559.
4. Chen Y, Nicholas DJ.Asteraceae (tribe Heliantheae). Flora of China. 2020;20-21:869.
5. วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล พร้อมจิต ศรลัมพ์ วิชิต เปานิล, บรรณาธิการ. สยามไภษัชยพฤกษ์. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด, 2538.
6. นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (1). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2539.
7. สุภาภรณ์ ปิติพร, บรรณาธิการ. บันทึกของแผ่นดิน ๑ หญ้า ยา สมุนไพร ใกล้ตัว. ปราจีนบุรี: ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจตนารมภัณฑ์, 2551.
8. Mansoorali KP, Prakash T, Kotresha D, Prabhu K, Rama Rao N. Cerebroprotective effect of Eclipta alba against global model of cerebral ischemia induced oxidative stress in rats. Phytomedicine. 2012;19(12):1108-16.doi: 10.1016/j.phymed.2012.07.004.
9. Kim HY, Kim HM, Ryu B, Lee JS, Choi JH, Jang DS. Constituents of the aerial parts of Eclipta prostrata and their cytotoxicity on human ovarian cancer cells in vitro. Arch Pharm Res. 2015;38(11):1963-9.doi: 10.1007/s12272-015-0599-2.
10. Jadhav VM, Thorat RM, Kadam VJ, Salaskar KP. Chemical composition, pharmacological activities of Eclipta alba. J Pharm Res. 2009;2(8):1129-31.
11. Wang L, Huang B, Li C, Yang B, Jia X, Feng L. The combination of HPLC and biological analysis to determine the quality markers and its structural composition of Eclipta prostrata L. Phytochem Anal. 2020;31:968–81. doi: 10.1002/pca.2969.
12. Xi FM, Li CT, Han J, Yu SS, Wu ZJ, Chen WS. Thiophenes, polyacetylenes and terpenes from the aerial parts of Eclipata prostrata. Bioorg Med Chem. 2014;22(22):6515-22.doi: 10.1016/j.bmc.2014.06.051.
13. Tewtrakul S, Subhadhirasakul S, Tansakul P, Cheenpracha S, Karalai C. Antiinflammatory constituents from Eclipta prostrata using RAW264.7 macrophage cells. Phytother Res. 2011;25(9):1313-6.doi: 10.1002/ptr.3383.
14. Liu QM, Zhao HY, Zhong XK, Jiang JG. Eclipta prostrata L. Phytochemicals: Isolation, structure elucidation, and their antitumor activity. Food Chem Toxicol. 2012;50(11):4016-22.doi: 10.1016/j.fct.2012.08.007.
15. Ryu S, Shin JS, Jung JY, Cho YW, Kim SJ, Jang DS, et al. Echinocystic acid isolated from Eclipta prostrata suppresses lipopolysaccharide-induced iNOS, TNF-α, and IL-6 expressions via NF-kappaB inactivation in RAW 2 6 4 .7 macrophages. Planta Med. 2013; 79(12):1031-7. doi: 10.1055/s-0032-1328767.
16. Han L, Liu E, Kojo A, Zhao J, Li W, Zhang Y, et al. Qualitative and quantitative analysis of Eclipta prostrata L. by LC/MS. Scientific D World J. 2015;2015:1-15. doi: 10.1155/2015/980890.
17. Tabata A, Taniguchi M, Shibano M. Ecliptamines A–D, four new guanidine alkaloids from Eclipta prostrata L. Phytochem Lett. 2015;11:224-8.doi: 10.1016/j.phytol.2015.01.001
18. Abdel-Kader MS, Bahler BD, Malone S, Werkhoven MC, van Troon F, David GI, et al. DNA-damaging steroidal alkaloids from Eclipta alba from the suriname rainforest. J Nat Prod. 1998;61(10):1202-8.doi: 10.1021/np970561c.
19. Jahan R, Al-Nahain A, Majumder S, Rahmatullah M. Ethnopharmacological significance of Eclipta alba (L.) Hassk. (Asteraceae). Int Sch Res Notices. 2014;2014:385969. doi: 10.1155/2014/385969.
20. Roy RK, Thakur M, Dixit VK. Hair growth promoting activity of Eclipta alba in male albino rats. Arch Dermatol Res. 2008;300(7):357-64.doi: 10.1007/s00403-008-0860-3.
21. Rai K, Agrawal SB. Effect on essential oil components and wedelolactone content of a medicinal plant Eclipta alba due to modifications in the growth and morphology under different exposures of ultraviolet-B. Physiol Mol Biol Plants. 2020;26:773–92. doi: 10.1007/s12298-020-00780-8.
22. Kumar S, Dhanani T. Development and validation of a rapid high performance liquid chromatography-photodiode array detection method for estimation of a bioactive compound wedelolactone in extracts of Eclipta alba. Braz J Pharm Sci. 2013;49(1):57-63. doi: 10.1590/S1984-82502013000100007
23. อนันต์ กนกศิลป์. การใช้ตำรับสมุนไพรครีมกะเม็งในการรักษาผู้ป่วยแผลเรื้อรัง. เอกสารประกอบการบรรยายในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "แผลเบาหวานกับการแพทย์แผนไทย : องค์ความรู้ การบูรณาการ และประยุกต์ใช้". กรุงเทพ. 14 กันยายน 2560.
24. อนันต์ กนกศิลป์. รายงานการใช้ตำรับสมุนไพรครีมกะเม็งในการรักษาผู้ป่วยแผลเรื้อรัง.ใน: กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. 4th Service Plan Sharing 2017 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ Road to Service Plan 4.0. นนทบุรี: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2561. หน้า 410-1.
25. Begum S, Lee MR, Gu LJ, Hossain MJ, Kim HK, Sung CK. Comparative hair restorer efficacy of medicinal herb on nude (Foxn1nu) mice. Biomed Res Int. 2014;2014:319795.doi: 10.1155/2014/319795.
26. Begum S, Lee MR, Gu LJ, Hossain J, Sung CK. Exogenous stimulation with Eclipta alba promotes hair matrix keratinocyte proliferation and downregulates TGF-β1 expression in nude mice. Int J Mol Med. 2015;35(2):496-502.doi: 10.3892/ijmm.2014.2022.
27. Datta K, Singh AT, Mukherjee A, Bhat B, Ramesh B, Burman AC. Eclipta alba extract with potential for hair growth promoting activity. J Ethnopharmacol. 2009;124:450–6. doi: 10.1016/j.jep.2009.05.023.
28. Gerdpraset O, Laupattarakasam P, Tankitiwat U, Jareonsuppaperch E, Padumgchaichot P. Effect of crude extract from Thai herbs on growth of cultured human hair follicle: a pilot study. J Med Health Sci. 2008;15(1):1-11.
29. Lee KH, Choi D, Jeong SI, Kim SJ, Lee CH, Seo HS, et al. Eclipta prostrata promotes the induction of anagen, sustains the anagen phase through regulation of FGF-7 and FGF-5. Pharm Biol. 2019;57(1):105-11.doi: 10.1080/13880209.2018.1561729.
30. จำเนียร ชมภู, ธนพงศ์ ไกรพุฒ, สุนิสา อุยะตุง, ทศพล พรพรหม. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของผิวหนังของดอกวัชพืชในวงศ์ Asteraceae บางชนิด. วารสารเกษตร. 2563;36(3):301-12.
31. Karthikumar S, Vigneswari K, Jegatheesan K. Screening of antibacterial and antioxidant activities of leaves of Eclipta prostrata (L). Sci Res Essays. 2007;2(4):101-4.
32. Akeyothinwong K, Sakkayawong N, Damrianant S. Antioxidant activity and bioactivity compounds of Kameng (Eclipta prostrata Linn.) extracts. Thai J Sci Techn. 2563;9(1):45-57. doi: 10.14456/tjst.2020.5.
33. นวฉัตร เทียนสุวรรณ, บังอร ศรีพานิชย์กุลชัยม นภภัค ใจภักดี. ผลของสารสกัดสมุนไพรไทยสี่ชนิดต่อการสังเคราะห์เมลานิน. วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน. 2559;11(ฉบับพิเศษ):33-42.
34. Pukumpuang W, Chansakaow S, Tragoolpua Y. Antioxidant activity, phenolic compound content and phytochemical constituents of Eclipta prostrata (Linn.) Linn. Chiang Mai J Sci. 2014;41(3):568-76.
35. Chan CF, Huang WY, Guo HY, Wang BR. Potent antioxidative and UVB protective effect of water extract of Eclipta prostrata L. Sci World J. 2014;2014:759039. doi: 10.1155/2014/759039.
36. Xu P, Su S, Tan C, Lai RS, Min ZS. Effects of aqueous extracts of Ecliptae herba, Polygoni multiflori radix praeparata and Rehmanniae radix praeparata on melanogenesis and the migration of human melanocytes. J Ethnopharmacol. 2017;195:89-95.doi: 10.1016/j.jep.2016.11.045.
37. Lee HY. Enhancement of skin anti-inflammatory activities of Eclipta prostrata L. from the ultrasonic extraction process. Appl Sci. 2017;7:1227-36.doi: 10.3390/app7121227
38. Kumar SS, Sivakumar T, Chandrasekar MJ, Suresh B. Evaluation of anti-inflammatory activity of Eclipta alba in rats. Anc Sci Life. 2005;24(3):112-8.
39. Uddin N, Rahman A, Ahmed ND, Rana S, Akter R, Chowdhury AM MA. Antioxidant, cytotoxic and antimicrobial properties of Eclipta alba ethanol extract. Int J Biol Med Res. 2010;1(4):341-6.
40. Ponpornpisit A, Pirarat N, Suthikrai W, Binwihok A. Toxicity test of kameng (Eclipta prostrata Linn.) and kradhuawean (Spilanthes acmella (Linn.) Murr.) to early life stage of zebrafish (Danio rerio). Thai J Vet Med. 2011;41(4):523-7.
41. Liu YQ, Zhan LB, Liu TG, Cheng MC, Liu XY, Xiao HB. Inhibitory effect of Ecliptae herba extract and its component wedelolactone on pre-osteoclastic proliferation and differentiation. J Ethnopharmacol. 2014;157:206-11. doi: 10.1016/j.jep.2014.09.033.
42. Singh T, Sinha N, Singh A. Biochemical and histopathological effects on liver due to acute oral toxicity of aqueous leaf extract of Eclipta alba on female Swiss albino mice. Indian J Pharmacol. 2013;45(1):61-5.doi: 10.4103/0253-7613.106437.
43. Zhao Y, Peng L, Lu W, Wang Y, Huang X, Gong C, et al. Effect of Eclipta prostrata on lipid metabolism in hyperlipidemic animals. Exp Gerontol. 2015;62:37-44. doi: 10.1016/j.exger.2014.12.017.
44. Arya RK, Singh A, Yadav NK, Cheruvu SH, Hossain Z, Meena S, et al. Anti-breast tumor activity of Eclipta extract in-vitro and in-vivo: novel evidence of endoplasmic reticulum specific localization of Hsp60 during apoptosis. Sci Rep. 2015;5:18457. doi: 10.1038/srep18457.
45. Rahman MS, Rahman MZ, Begum B, Chowdhury R, Islam SN, Rashid MA. Antidiabetic principle from Eclipta prostrata. Planta Med. 2011;30(8):1656-60. doi: 10.1055/s-0028-1084319
46. van Valkenburg Johan LCH, Bunyapraphatsara N (Editor). Plant Resources of South East Asia 12(2): Medicinal and poisonous plants 2. Leiden: Backhuys Publisher; 2001:782 pp.