ตะไคร้
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
ชื่อวงค์
POACEAE
ชื่อสมุนไพร
ตะไคร้
ชื่ออังกฤษ
Lemon grass, Lapine
ชื่อพ้อง
Andropogon ceriferus Hack.
Andropogon citratus DC.
Andropogon roxburghii Nees ex Steud.
ชื่อท้องถิ่น
คาหอม, ไคร, จะไคร, เซิดเกรย, ห่อวอตะโป่, หัวสิงไค, เหลอะเกรย
ชื่อ INCI
CYMBOPOGON CITRATUS EXTRACT
CYMBOPOGON CITRATUS LEAF
CYMBOPOGON CITRATUS LEAF EXTRACT OXIDIZED
CYMBOPOGON CITRATUS LEAF OIL
CYMBOPOGON CITRATUS LEAF POWDER
CYMBOPOGON CITRATUS LEAF WATER
CYMBOPOGON CITRATUS LEAF/STEM OIL
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
ไม่ทราบถิ่นกำเนินที่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบเฉพาะในแปลงปลูก โดยมีการปลูกมานานหลายศตวรรษ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการปลูกเป็นแปลงขนาดใหญ่ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ หลังจากนั้นมีการปลูกในมาดากัสการ์และหมู่เกาะใกล้เคียงในแอฟริกา ปัจจุบันมีทั้งการปลูกและพบขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นเมืองทั่วไปในพื้นที่เขตร้อนและเขตอบอุ่นที่มีอากาศร้อน เช่น ตอนใต้ของรัสเซีย และตอนเหนือของออสเตรเลีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีปลูกทั่วไปทั้งในแปลงปลูกเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมและเป็นพืชสวนครัว (5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกอายุหลายปี มักขึ้นเป็นกอใหญ่ ลำต้นรูปทรงกระบอก แข็ง ผิวเกลี้ยง เหง้าใต้ดินมีกลิ่นเฉพาะ กาบใบเกลี้ยง ด้านในสีอมเขียว แผ่นใบรูปขอบขนานแคบ มีนวลสีขาวผิวใบสากและคม ลิ้นใบ ยาวประมาณ 2 มม. ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ช่อดอกย่อยเป็นคู่ ช่อดอกย่อยแบบมีก้าน และแบบไม่มีก้านแต่ละช่อดอกย่อยมี 2 ดอกย่อยดอกย่อยด้านล่างลดรูปเป็นเพียงกลีบเดียวโปร่งแสง ดอกย่อยด้านบนสมบูรณ์เพศ มีใบประดับ 2 ใบ (3-4)
การเพาะปลูก
การขยายพันธุ์และการปลูก
ตะไคร้มีการติดเมล็ดน้อยมาก การขยายพันธุ์จึงใช้วิธีแยกกอ แต่ละกออาจมีจำนวนต้น 50-200 ต้น ต้นกล้าที่มีขนาดใหญ่จะออกรากได้ดีและโตเร็ว ทำการตัดใบและรากทิ้งก่อน ให้เหลือส่วนต้นยาวประมาณ 10-15 ซม. นำไปแช่ในสารป้องกันและกำจัดโรคพืชก่อนปลูก โดยทั่วไปจะปลูกบนพื้นราบ ขุดหลุมลึก 10-15 ซม. ระยะปลูก 50-90 ซม. X 50-60 ซม. หรือปลูกเป็นแถวห่าง 120 ซม. ระยะระหว่างต้น 30 ซม. การปลูกลึกและพูนโคนอาจเป็นผลดีเมื่อปลูกในสภาพดินทราย แต่ในสภาพดินเหนียวอาจมีปัญหาต้นเกิดใหม่เน่าตายได้ การปลูกตะไคร้เพื่อผลิตน้ำมันไม่นิยมปลูกพืชร่วม เพราะตะไคร้ต้องการแสงแดดจัดและน้ำมาก
การบำรุงดูแลรักษา
การกำจัดวัชพืชมีความสำคัญมาก ในแปลงปลูกตะไคร้ที่มีการเจริญเติบโตดีแล้ว ตามปกติจะทำการกำจัดวัชพืชหลังการเก็บเกี่ยวทุกครั้ง ในแปลงปลูกขนาดเล็กมักจะให้น้ำหลังการเก็บเกี่ยว ในขณะที่แปลงปลูกขนาดใหญ่จะให้น้ำเมื่อการขาดน้ำมีผลต่อการเจริญเติบโต บางพื้นที่การให้น้ำทุก ๆ 10 วัน ในฤดูแล้งจะทำให้ได้ผลผลิตสูง การทำให้เกิดการขาดน้ำในระยะก่อนการเก็บเกี่ยวจะทำให้ได้ผลผลิตพืชลดลงแต่จะเพิ่มปริมาณน้ำมันในพืช
ตะไคร้ต้องการปุ๋ยไนโตรเจนพอประมาณ บางพื้นที่ใส่ปุ๋ยหมักจากใบตะไคร้ที่สกัดเอาน้ำมันออกไปแล้ว อัตราส่วน 800 กก./ไร่ เสริมด้วยขี้เถ้าไม้ อัตราส่วน 320 กก./ไร่ การใส่ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ใส่อย่างละ 4.8 กก./ไร่ และใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเสริม อัตราส่วน 9.6 กก./ไร่/ปี โดยแบ่งใส่หลังเก็บเกี่ยว มีคำแนะนำให้เก็บต้นที่เป็นโรคและต้นที่ตายออกจากแปลง ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดวัชพืชในบางส่วนของแปลงตามความจำเป็นหลังการเก็บเกี่ยว อายุการให้ผลผลิตโดยทั่วไปไม่เกิน 4-5 ปี
โรคและแมลงศัตรูพืช
โรคที่พบคือโรคใบจุดซึ่งเกิดจากเชื้อรา Helminthosporium cymbopogi และ Curvularia lunata ซึ่งจะพบในช่วงปลายฤดูแล้ง ยังไม่มีรายงานแมลงศัตรูพืชที่สำคัญแต่ที่พบได้บ่อยคือการเข้าทำลายของหนอนกอ
การเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวใบครั้งแรกหลังปลูก 6-8 เดือน หลังจากนั้นทำการเก็บเกี่ยว 3-6 ครั้งในแต่ละปีในช่วง 4-6 ปี บางพื้นที่รักษาระยะเวลาเก็บเกี่ยวทุก ๆ 3-4 เดือน ควรเก็บเกี่ยวใบในตอนเช้าหลังจากน้ำค้างระเหยไปหมด ตัดเหนือดินประมาณ 10-20 ซม. ทำการตัดแต่งกอเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตหลังการเก็บเกี่ยว บางครั้งมีการเผาแปลงเพื่อให้ต้นเจริญเติบโตขึ้นมาใหม่
ผลผลิต
ผลผลิตใบตะไคร้สดโดยเฉลี่ย 4.8-8 ตัน/ไร่/ปี ได้น้ำมันตะไคร้ 12-40 กก./ไร่ และในแปลงที่มีการบำรุงและดูแลรักษาดีสามารถรักษาระดับการให้ผลผลิตได้นาน 4-6 ปี การเก็บเกี่ยวเฉพาะส่วนปลายใบจะมีปริมาณน้ำมัน 0.6% ในขณะที่ส่วนโคนใบมีน้ำมันเพียง 0.15%
การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
การสูญเสียความชื้นของใบก่อนการสกัดน้ำมันมีผลต่อปริมาณน้ำมันเพียงเล็กน้อย แต่ทำให้มีปริมาณสาร citral เพิ่มขึ้น การตากแดดให้แห้งมีผลให้ปริมาณน้ำมันลดลง แต่มีผลต่อคุณภาพของน้ำมันเพียงเล็กน้อย ตามปกติจะมีการผึ่งใบทิ้งไว้นาน 3 วัน ก่อนนำมาสกัดน้ำมัน การสกัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้โดยทั่วไปจะใช้วิธีกลั่นด้วยไอน้ำ การศึกษาในประเทศอินเดียพบว่าการผึ่งให้แห้งนาน 2 วัน และการกลั่นนาน 1 ชม. 30 นาที จะให้ผลผลิตสูงสุด (0.4%) การเพิ่มเวลากลั่นแม้จะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ปริมาณสาร citral ในน้ำมันลดลง การศึกษาในประเทศเปอโตริโกพบว่า การใส่เกลือในน้ำในหม้อต้ม ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 30% เศษพืชหลังการสกัดน้ำมันสามารถนำไปตากแห้ง ทำปุ๋ยหมักหรือใช้เลี้ยงสัตว์
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหย (essential oil) เป็นสารสำคัญโดยมีสาร citral (3,7-dimethyl-2,6-octadienal) เป็นส่วนประกอบหลัก (70-90%) ซึ่ง citral เป็นส่วนผสมของ isomeric acyclic monoterpene aldehydes 2 ชนิดคือ geranial (trans-citral, citral A) และ neral (cis-citral, citral B) และสารประกอบอื่น ๆ ที่อยู่ในน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ myrcene, geraniol, 6-methyl-5-hepten-2-one, geranic acid, neric acid, geranyl acetate, linalool, citronellol, citronellal, (E)-β-ocimene, (Z)-β-ocimene, 2-undecanone,α-pinene,β-pinene, 1,8-cineole, borneol, camphene, camphor, isopulegol, pulegone, menthone,β-elemene, terpinen-4-ol,α-terpineol, (E)-carveol, limonene,α-phellandrene,β-bisabolene,oxirane methanol, oxirane carboxaldehyde,β-caryophyllene, caryophyllene oxide,α-humulene (5-23)
องค์ประกอบทางเคมีในน้ำมันหอมระเหย (essential oil)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
สารออกฤทธิ์ของตะไคร้ คือ น้ำมันหอมระเหย แต่อาจมีสัดส่วนของสารที่เป็นองค์ประกอบแตกต่างกันออกไปในแต่ละการทดลอง อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบสำคัญของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ที่พบในการทดลองส่วนใหญ่คือ สาร citral (ประกอบด้วย geranial และ neral), myrcene, และ geraniolซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ในเครื่องสำอางดังนี้
- ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (24-26)
- ช่วยให้ผิวขาว (27-30)
- ต้านเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุของสิวและฝีหนองในบาดแผล (31-48)
- ต้านอนุมูลอิระ (18, 34,36, 37, 40, 49-59)
- ต้านการอักเสบ (59-63)
- ต้านการแพ้ (52, 61)
- ฆ่าเชื้อ และ biofilm ก่อโรคในช่องปาก (64-73)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การวิเคราะห์ด้วย thin layer chromatography (TLC)
ตัวอย่างที่ 1 การตรวจสอบสาร citral ในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ด้วยวิธี TLC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (26)
เตรียมสารละลายน้ำมันหอมระเหยตะไคร้โดยละลายน้ำมันหอมระเหย 1 มล. ใน hexane 1 มล.
Stationary phase: silica gel GF254, aluminium sheet
Mobile phase: toluene : ethyl acetate (97:3)
Detector: UV 254 nm
Spray reagent: vanillin sulfuric acid reagent (5% sulfuric acid ใน ethanol และ1% vanillin ใน ethanol)
Reference standard: citral
Result: ค่า Rfของสาร citral คือ 0.38 และเมื่อฉีดพ่นด้วย vanillin sulfuric acid reagent จะเกิดแถบสีม่วงแดง
การวิเคราะห์ด้วย high performance liquid chromatography (HPLC)
ตัวอย่างที่ 2 การวิเคราะห์ปริมาณสาร citral ในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ด้วยวิธี HPLC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (74)
HPLC: Schimadzu LC-10A, SCL-10A system controller, C-R6A integrator, LC-10AS pump
Detector: SPD-10A variable-wavelength UV detector (ความยาวคลื่น 233 นาโนเมตร)
Detector sensitivity: 1.0 AUFS
Injection volume: 20 มคล. (Rheodyne injection valve)
Column: Spherisorb® CN column (250 มม. × 4.6 มม., 5 มคม.) และ Spherisorb® CN guard column (10 มม. x 4.6 มม., 5 มคม.)
Mobile phase: n-hexane : ethanol (85:15, v/v)
Flow rate: 0.3 มล./นาที
การวิเคราะห์ด้วย gas chromatography (GC)
ตัวอย่างที่ 3 การศึกษาผลของการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ต่อปริมาณสาร citral โดยเปรียบเทียบวิธีการสกัด 4 วิธี และวิเคราะห์ผลด้วยวิธี gas chromatography flame ionization detection (GC-FID) มีรายละเอียดดังนี้ (75)
วิธีที่ 1 สกัดด้วยการกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation extraction)
นำตะไคร้มาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ(steam distillation) โดยใช้ปริมาณของตะไคร้และระยะเวลาในการสกัดดังนี้ (S1) ตะไคร้ 10 ก. สกัดนาน 2 ชม., (S2) ตะไคร้ 10 ก. สกัดนาน 6.5 ชม.,และ (S3) ตะไคร้ 20 ก. สกัดนาน 9.5 ชม. หลังจากครบเวลา เติม hexane ลงไปเพื่อแยกน้ำมันหอมระเหยออกจากชั้นน้ำ จากนั้นกำจัด hexane ออก และเติม anhydrous sodium sulfate เพื่อทำให้แห้ง นำสารสกัดที่ได้มาละลายใน internal standard solution* 10 มล. และนำไปวิเคราะห์ด้วยวิธี GC-FID
*internal standard solution เตรียมโดยนำcapric acid methyl ester 860 มก. มาละลายในdichloromethane 500 มล. ซึ่งมีความเข้มข้นสุดท้ายเท่ากับ 1.72 มก./มล.
วิธีที่ 2 สกัดด้วยตัวทำละลาย (solvent extraction)
นำตะไคร้ 25 ก. ใส่ลงใน polypropylene centrifuge tube (Falcon tubes) แบบมีฝาปิด เติมตัวทำละลายที่ใช้ในการสกัดได้แก่ hexane, dichloromethane, acetone, หรือ methanol 20 มล. นำไปสกัดด้วยเครื่อง 50HT Aquasonic Sonicator โดยเดินเครื่อง 30 นาที นำไปปั่นในเครื่อง centrifuge ความเร็ว 3,000 รอบ/นาที นาน 8 นาที เก็บส่วนใส ทำการสกัด 2 ครั้ง จากนั้นจึงรวมส่วนใสที่ได้ นำไปทำให้แห้งภายใต้สุญญากาศโดยไม่ใช้ความร้อนเพื่อป้องกันการสูญเสียส่วนที่ระเหยได้ นำสารสกัดที่ได้มาละลายใน internal standard solution 10 มล. และนำไปวิเคราะห์ด้วย GC-FID
วิธีที่ 3 สกัดด้วยตัวทำละลายแบบเร่ง (accelerated solvent extraction; ASE)
นำตะไคร้ 5 ก. มาสกัดด้วยเครื่อง Dionex ASE 200 Accelerated Solvent Extractor ที่ความดัน 1,000 psi อุณหภูมิคงที่ 40 oC ทำการสกัด ด้วยตัวทำละลาย hexane, dichloromethane, acetone, หรือmethanol 15 มล.จำนวน3 ครั้ง ครั้งละ 10 นาทีรวมสารสกัดที่ได้ ปรับปริมาตรด้วยตัวทำละลายจนครบ 50 มล. นำสารสกัดที่ได้ 5 มล. ใส่ลงใน volumetric flask ขนาด 10 มล. เติมcapric acid methyl ester 17.2 มก. ลงไปละลายสารทั้งหมดใน volumetric flask ด้วย dichloromethane และนำไปวิเคราะห์ด้วย GC-FID
วิธีที่ 4 สกัดด้วยของไหลวิกฤตยิ่งยวด (supercritical fluid extraction)
นำตะไคร้ 2.5 ก. มาสกัดด้วยเครื่อง Isco SFX 2-10 Supercritical Fluid Extractor เชื่อมต่อกับ Isco model 260D syringe pump 2 ตัวโดยใช้ supercritical CO2ความดัน 80 atm อุณหภูมิ 50 °C, flow rates fluctuating ระหว่าง 0.2 และ 1.5 มล./นาที เก็บสารสกัดที่ได้ใน dichloromethane โดยทำซ้ำ 3 ครั้ง นำสารที่สกัดได้ทั้งหมดมาทำให้เข้มข้นภายใต้ภาวะสุญญากาศ และในการสกัดมีการเปรียบเทียบระหว่างการใช้วิธีปกติ (no modifier) เวลาสกัดนาน 1 ชม. กับการใช้ 10% hexane modifier เวลาสกัดนาน 1, 2, 4ชม., การใช้ 30% hexane modifier เวลาสกัดนาน2ชม., การใช้ 10% dichloromethane modifier เวลาสกัดนาน2ชม., และการใช้ 30% dichloromethane modifier เวลาสกัดนาน2ชม.นำสารสกัดที่ได้มาละลายใน internal standard solution 10 มล. และนำไปวิเคราะห์ด้วย GC-FID
การวิเคราะห์ด้วย GC-FID มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ
GC-FID: HP5890 GC-FID เชื่อมต่อกับ HP7673 GC/SFC Injector วิเคราะห์ผลด้วย HP Chemstation software
Column: A DB-1 Agilent (15 ม. x 0.25 มม. x 0.25 มคม.)
Flow rate: 1 มล./นาที
Carrier gas: helium
Split ratio: 1:100
Column temperature: เริ่มต้นที่ 90 oC คงไว้ 4.5 นาที จากนั้นเพิ่มเป็น 110 oC ด้วยอัตราเร็ว 5 oC/นาที และเพิ่มเป็น 200 oC ด้วยอัตราเร็ว 30oC/นาทีคงไว้ 5 นาที จากนั้นเพิ่มเป็น 300 oC ด้วยอัตราเร็ว 50oC/นาทีคงไว้ 2 นาทีผลรวมเวลาคือ 20.5 นาที
Injector temperature: 250 oC
Detector temperature: 300 oC
Injection volume: 2 มคล.
ผลการศึกษา: การสกัดด้วยการกลั่นด้วยไอน้ำพบว่าการใช้ตะไคร้ 20 ก. สกัดนาน 9.5 ชม. ให้ปริมาณสาร citral มากที่สุด (92.81%),การสกัดด้วยตัวทำละลายและการสกัดด้วยตัวทำละลายแบบเร่ง (ASE) พบว่าการสกัดด้วย hexane ให้ปริมาณสาร citral มากที่สุด (86.83% และ 74.98% ตามลำดับ), และการสกัดด้วยของไหลวิกฤตยิ่งยวด (SFE) พบว่าการใช้ 10% hexane modifier เวลาสกัดนาน 1 ชม. ให้ปริมาณสาร citral มากที่สุด (85.84%)
ตัวอย่างที่ 4 การศึกษาผลของการทำให้ใบตะไคร้แห้งหลังการเก็บเกี่ยวด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ต่อปริมาณน้ำมันหอมระเหยและปริมาณสาร citral โดยเปรียบเทียบพืชสดกับพืชที่ถูกทำให้แห้งด้วยวิธีตากแดด (36 ชม.), ผึ่งในที่ร่ม (48 ชม.) และอบในเตา (อุณหภูมิ 45 oC, 7 ชม.) ซึ่งตัวอย่างทั้งหมดจะถูกตัดเป็นชิ้นขนาด 1 x 1 ซม. และนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ(hydrodistillation) นาน 3 ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-typeและกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นจึงนำไปวิเคราะห์ผลด้วยวิธี GC และ Gas chromatography–mass spectroscopy (GC-MS) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (76)
การวิเคราะห์ด้วยGC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ
GC: HP 6890 GC gas chromatograph
Column: fused capillary column (30 ม. x 320 มคม. x 0.25 มคม.) เคลือบด้วย 5% Phenyl Methyl Siloxane (HP-5)
Oven temperature program: เริ่มต้นที่ 50 oC คงไว้ 2 นาทีและเพิ่มเป็น 240 oC ด้วยอัตราเร็ว 8 oC/นาที
Detector temperature: 280 oC
Injector temperature: 240 oC
Carrier gas: nitrogen, linear velocity of 30 มล./นาที
การวิเคราะห์ด้วย GC-MS มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ
GC–MS: Varian 240 GC–MS system
Column: VF-5 fused capillary column (30 ม. x 0.25 มม. x 0.25 มคม.)
Oven temperature program: 50–180 oC ด้วยอัตราเร็ว 5 oC/นาที
Transfer line temperature: 250 oC
Carrier gas: helium
Flow rate: 1 มล./นาที
Split ratio: 1:20
Ionization energy: 70 eV
Mass range: 35–390 a.m.u.
ผลการศึกษา: ปริมาณน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากพืชสด, พืชที่ทำให้แห้งด้วยวิธีตากแดด,ผึ่งในที่ร่ม,และอบในเตาเท่ากับ 2.86%, 2.10%, 2.12%, และ 2.34% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารสำคัญพบว่า พืชสด, พืชที่ทำให้แห้งด้วยวิธีตากแดด,ผึ่งในที่ร่ม,และอบในเตามีสาร geranial 40.72%, 31.53%, 39.86%, และ 37.24% ตามลำดับมีสาร neral 34.98%, 30.08%, 34.52%, และ 31.28% ตามลำดับ และมีสาร myrcene 15.69%, 16.61%, 14.49% และ 15.42% ตามลำดับ
ตัวอย่างที่ 5 การศึกษาเพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ปริมาณของน้ำมันหอมระเหยและสาร citral มากที่สุด จากการสกัดด้วยวิธีใช้คลื่นไมโครเวฟช่วยสกัด (microwave-assisted hydrodistillation) โดยเปรียบเทียบการใช้สัดส่วนของ น้ำ : ใบตะไคร้ คือ 8:1, 10:1, และ 12:1 (v/w) ใช้เวลาในการสกัด 30, 60, 90, 120, และ 150 นาที และใช้กำลังไฟของเตาไมโครเวฟ(Samsung, 250v-50Hz, maximum: 800 watts) 200 W และ 250 W จากนั้นจึงนำน้ำมันที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีGC-MS ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (77)
GC-MS: Agilent 6890 gas chromatography instrument เชื่อมต่อกับ Agilent 5973 mass spectrometer และ Agilent Chem
Electron Impact ionization: 70eV
split/splitness injector: 280 ºC, split ratio 1:20
Column: DB-5 column (30x 0.25 มม.,เส้นผ่าศูนย์กลาง0.25 มม.)
Oven temperature program: เริ่มต้น 50ºC คงไว้ 5 นาที และเพิ่มเป็น300 ºC ด้วยอัตราเร็ว 5ºC/นาที
Injector/detector temperature: 280 ºC
Carrier gas: helium
Flow rate: 1 มล./นาที
ผลการศึกษา: สภาวะของการสกัดด้วยวิธีใช้คลื่นไมโครเวฟช่วยสกัดที่ทำให้ได้ปริมาณน้ำมันหอมระเหยมากที่สุด คือสัดส่วนของ น้ำ : ใบตะไคร้ (8:1 v/w) นาน 90 นาที และเตาไมโครเวฟกำลังไฟ 250W โดยทำให้ได้น้ำมันหอมระเหย 1.37% แต่ระยะเวลาการสกัดที่ยาวนานขึ้น จะช่วยให้ได้สาร citral เพิ่มขึ้น โดยที่เวลา 30, 60, 90, 120, และ 150 นาที จะทำให้ได้สาร citral 46.95%, 44.24%, 48.16%, 50.45%, และ 65.80% ตามลำดับ (77) และการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบกับการสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodiatillation) โดยใช้สัดส่วนของ น้ำ : ใบตะไคร้ (8:1 v/w) และเวลา 90 นาที จากนั้นจึงนำน้ำมันที่ได้ไปวิเคราะห์ผลด้วยวิธีGC-MS พบว่า การสกัดด้วยวิธีใช้คลื่นไมโครเวฟช่วยสกัดและการสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำทำให้ได้ปริมาณน้ำมันหอมระเหย 1.46% และ 0.98% ตามลำดับ แต่น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากทั้ง 2 วิธี มีสาร citral เป็นส่วนประกอบไม่ต่างกันมากนัก (86.48% และ 85.15% ตามลำดับ)(78)
ตัวอย่างที่ 6 การวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ด้วย GC-MS มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (79) เตรียมสารละลายตัวอย่างโดยละลายน้ำมันตะไคร้ 5 มคล. ใน ethyl acetate 1 มล.
Injection volume: 1 มคล.
Column: silica capillary column DB-5(30ม. x 0.25 มม. x 0.25มคม.)
Electron impact: 70 eV
Carrier gas: helium
Flow rate: 1.7 มล./นาที
Injector temperature:240 oC
Detector temperature: 230 oC
Oven temperature program: 50 oC นาน 5 นาทีและเพิ่มเป็น250 oC ด้วยความเร็ว 5 oC/นาที
ผลการศึกษา: สารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ คือ geranial (40.8%), neral (36.3%), และ β-myrcene (13.2%)
ตัวอย่างที่ 7 การวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ด้วย GC-MS มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (28)
GC-MS: Agilent 6890 gas chromatograph
Mass spectrometer: 70 eV electron impact
Detector: HP 5973 mass selective detector
Column: HP-5MS fused silica capillary column (30.0 ม. × 250 มม. x 0.25 มม.)
Carrier gas: helium
Flow rate: 1.0 มล./นาที
Injector temperature: 260 oC
Oven temperature program: 100 oC คงไว้นาน 3 นาที และเพิ่มเป็น 188 oC ด้วยอัตราเร็ว 3 oC/นาที และเพิ่มเป็น 280 oC ด้วยอัตราเร็ว 20 oC/นาทีแล้วคงไว้ 3 นาที
Detector temperature: 280°C
ผลการศึกษา: สารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ คือ geranial (42.0%) และ neral (32.1%)
ตัวอย่างที่ 8 การวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยที่แยกได้จากกาบใบและใบของตะไคร้ด้วย GC-MS มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (51) เตรียมสารละลายน้ำมันหอมระเหยตะไคร้โดยละลายน้ำมันหอมระเหยใน acetone อัตราส่วน 1:100
GC-MS: Hewlett Packard 5890 II GC
Column: HP-5 MS capillary column (30 ม. × 0.25 มม. x 0.25 มคม.)
Detector: HP 5972 mass selective detector
Mass spectrometer: 70 eV electron ionization system
Carrier gas: helium
Flow rate: 1 มล./นาที
Injector temperature: 220 oC
MS transfer line temperature: 290 oC
Oven temperature program: อุณหภูมิเริ่มต้น 50 oC จากนั้นเพิ่มเป็น 150 oC ด้วยอัตราเร็ว 3 oC/นาทีคงไว้ 10 นาที และเพิ่มเป็น 250 oC ด้วยอัตราเร็ว 10oC/นาที
Injection volume: 1 มคล.
ผลการศึกษา: สารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหยจากกาบใบและใบของตะไคร้ คือ geranial (32.10% และ 29.64% ตามลำดับ), neral (22.36% และ 21.73% ตามลำดับ), geraniol (5.40% และ 7.75% ตามลำดับ), limonene (5.71% และ 5.92% ตามลำดับ) และβ-myrcene (2.20% และ 2.28% ตามลำดับ)
ตัวอย่างที่ 9 การวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยที่แยกได้จากกาบใบและใบของตะไคร้ด้วย GC-MS มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (53)
GC-MS: Trace GC chromatograph เชื่อต่อกับ Finnigan Polaris Q mass spectrometer
Column: ZB-5 column (30 ม. x 0.25 มม. x 0.25 มคม.)
Split injection mode: อุณหภูมิ 200 oC, (1:50)
Carrier gas: helium
Flow rate: 1.0 มล./นาที
Oven temperature program: อุณหภูมิเริ่มต้น 40 oC คงไว้ 2 นาที จากนั้นเพิ่มเป็น 120 oC ด้วยอัตราเร็ว 8 oC/นาที และเพิ่มเป็น 140 oC ด้วยอัตราเร็ว 3oC/นาที และเพิ่มเป็น 220 oC ด้วยอัตราเร็ว 10oC/นาทีคงไว้ 2 นาที
Mass spectral scan: 40-450 m/z.
ตัวอย่างที่ 10 การวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ด้วย GC-MS มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (61)
GC–MS: Agilent 5972A MSD mass spectrometer
Column: InertCap WAX (polyethylene glycol)-fused silica capillary column (60 ม. x 0.25 มม. X 0.25 มคม.
Injection volume: 0.6 มคล.
Split ratio: 1:60
Carrier gas: helium (inlet pressure = 149 kPa), split/splitless mode
Flow rate: 1.2 มล./นาที
Oven temperature program: 70 oC นาน 5 นาที และเพิ่มเป็น 240 oC ด้วยอัตราเร็ว 3 oC /นาที
Injector/transfer line temperature: 240 oC
Mass spectrometer: 70 eV electron impact (ion source temperature = 150 oC)
Mass scan range: 27-400 m/z
ผลการศึกษา: สารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ คือ geranial (40.2%), neral (34.2%), geraniol (5.1%), geranyl acetate (2.9%), linalool (1.5%) และ camphene (1.4%)
ตัวอย่างที่ 11 การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบวิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้โดยนำใบตะไคร้สดมาผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิห้องและพลิกกลับด้านวันละ 3 ครั้ง นาน 1 สัปดาห์ จากนั้นนำสกัดด้วย 2 วิธี คือ วิธีที่ 1 การกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยนำใบตะไคร้แห้ง 50 ก. มาบด และสกัดด้วยอุปกรณ์ Clevenger นาน 60 นาที และวิธีที่ 2 การสกัดโดยใช้คลื่นไมโครเวฟช่วย (microwave assisted extraction) โดยนำใบตะไคร้แห้ง 50 ก. มาบด ใส่ในขวดก้นกลมขนาด 500 มล. เติมน้ำกลั่น 200 มล. นำไปกลั่น 30 นาที โดยชุดกลั่นจะถูกติดตั้งอยู่ในเตาไมโครเวฟ Daewoo DC model KOR 6LYB กำลังไฟ 600 W ผลการทดลองพบว่า วิธีกลั่นด้วยน้ำและวิธีใช้คลื่นไมโครเวฟช่วย ทำให้ได้ปริมาณน้ำมันหอมระเหย 0.752 และ 1.5%v/w ตามลำดับ นำน้ำมันที่ได้มาวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี GC-MS ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (18)
GC-MS: Agilent Technologies 6850 gas chromatograph เชื่อมต่อกับ Agilent Technologies 5975 mass selective detector
Column: Agilent capillary column (HP-5 ms nonpolar 5 % phenyl methyl polysiloxane) (30 ม. x 0.25 มม. X 0.25 มคม.)
Carrier gas: helium
Flow rate: 1.1 มล./นาที
Oven temperature: เริ่มต้น 60oC คงไว้ 2 นาที จากนั้นเพิ่มเป็น 250oC ด้วยอัตราเร็ว 10oC/นาที คงไว้ 10 นาที
Injection volume: 1 มคล.
Split injection: 10:1
Injector temperature: 250 oC
ผลการศึกษา: น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากวิธีกลั่นด้วยน้ำมี geranial 15.97%, neral 19.35%, และ oxirane methanol 28.4% ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากวิธีใช้คลื่นไมโครเวฟช่วยมี geranial 22.63%, neral 29%, และ oxirane carboxaldehyde 25.29% ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วิธีสกัดโดยใช้คลื่นไมโครเวฟช่วยทำให้ได้สารสำคัญ (geranial และ neral) มากกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า
ตัวอย่างที่ 12 การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำมันหอมระเหยและปริมาณสารสำคัญที่ได้จากการสกัดใบตะไคร้แห้งที่ถูกย่อยขนาดด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 3 วิธี คือ 1. ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ (cut), 2. ปั่นด้วยเครื่องบดอาหาร (mixer grinder), และ 3. ตำให้ละเอียดด้วยครกหิน (stone grinder) จากนั้นจึงนำมาสกัดดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ(hydrodistillation)นำน้ำมันที่ได้มาวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี GC-MS ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (80)
GC-MS: Agilent 7890B gas chromatography เชื่อมต่อกับ Agilent 7697A mass spectrometer
Column: capillary GC column HP-5MS 5% Phenyl Methyl Siloxane (30 ม. x 250 มคม. x 0.25 มคม.)
Carrier gas: helium
Flow rate: 1.2 มล./นาที
Split injection mode: (50:1)
Injector temperature: 250 °C
Oven temperature program: เริ่มต้น 50 oC จากนั้นเพิ่มเป็น 240 oC ด้วยอัตราเร็ว 3 oC/นาที
Detector: mass selective detector
Electron Impact ionization: 70 eV
ผลการศึกษา: การย่อยขนาดด้วยวิธีที่ 1 (cut), 2 (mixer grinder), และ 3 (stone grinder) จะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันหอมระเหย 0.40%, 0.70%, และ 0.82% ของน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหยได้แก่ คือ geranial, neral, และ geranyl acetate พบว่า วิธีที่ 1 ให้ปริมาณสาร 25.25%, 21.67%, และ 1.92% ตามลำดับ วิธีที่ 2 ให้ปริมาณสาร 34.64%, 25.06%, และ 10.85% ตามลำดับ และวิธีที่ 3ให้ปริมาณสาร 34.67%, 27.64%, และ 8.12% ตามลำดับจะเห็นว่าการย่อยขนาดสมุนไพรมีผลต่อปริมาณน้ำมันหอมระเหยและปริมาณสารสำคัญ จากการทดลองพบว่า การย่อยขนาดด้วยการตำให้ละเอียดด้วยครกหิน (วิธีที่ 3) ทำให้ได้ปริมาณน้ำมันหอมระเหยและผลรวมของสาร citral (geranial และ neral) มากที่สุด
ตัวอย่างที่ 13 การวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ด้วย gas chromatography-mass spectrometry (GC-MS) มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (81)
GC–MS: Agilent 5977A GC–MS
Column: HP-5 capillary column (30 ม. X 0.25 มม. x 0.25 มคม.)
Oven temperature program: เพิ่มจาก 50 oC ไปจนถึง 180 oC ด้วยอัตราเร็ว 5 oC/นาที
Transfer line temperature: 250 oC
Carrier gas: helium
Flow rate: 1 มล./นาที
Split ratio: 1:20
Ionization energy: 70 eV
Mass range: 40–400 a.m.u.
ผลการศึกษา: สารที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ คือ geranial (40.7%), neral (30.6%), และ myrcene (19.0%)
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับช่องปาก
1.1 ระงับกลิ่นปาก (L005)
การศึกษาทางคลินิกเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีน้ำมันตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ความเข้มข้น 1% v/v เปรียบเทียบกับยาบ้วนปากหลอกในการลดกลิ่นปากตอนเช้าของอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 20 คน โดยใช้วิธีสุ่มเลือก อาสาสมัครจะได้รับการประเมินสภาพช่องปากก่อนและหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากโดยทันตแพทย์ แล้วนำน้ำยาบ้วนปากกลับไปใช้ต่อเป็นเวลา 7 วัน โดยบ้วนปากครั้งละ 15 มล. นาน 1 นาที วันละ 2 ครั้งเช้าและเย็น การประเมินกลิ่นปากทำโดยการวัดค่าไอระเหยของสารประกอบซัลเฟอร์ (volatile sulfur compounds; VSC) ของเช้าวันที่ 0, หลังทำการบ้วน 30 นาทีและ เช้าวันที่ 8 ผลศึกษาพบว่า กลิ่นปากของกลุ่มที่ได้รับน้ำยาบ้วนปากจากน้ำมันตะไคร้ที่เวลา 30 นาทีหลังบ้วนมีค่าเฉลี่ยของ VSC ต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับยาบ้วนปากหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเปรียบเทียบในกลุ่มเดียวกันพบว่า กลุ่มที่ได้รับน้ำยาบ้วนปากจากน้ำมันตะไคร้มีค่าเฉลี่ยของ VSC ก่อนบ้วนมากกว่าหลังบ้วนที่เวลา 30 นาทีและวันที่ 8 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงสรุปว่าน้ำมันตะไคร้ 1% v/v มีประสิทธิภาพในการยับยั้งกลิ่นปากตอนเช้า (64)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะ (H008)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อรา Malassezia furfur ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของรังแคบนหนังศีรษะ ของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อราด้วยวิธี broth dilution พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อรา (MIC) เท่ากับ 31.25 มคล./มล. (24)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อรา Malassezia furfur ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของรังแคบนหนังศีรษะ ของน้ำมันหอมระเหยจากกาบใบของตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อราด้วยวิธี broth dilution พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อรา (MIC) และค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อรา (MFC) เท่ากันคือ 6.25 มคล./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน citral มีค่า MIC และ MFC เท่ากับ 3.13และ 12.50 มคล./มล. ตามลำดับ เมื่อนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แชมพูซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 1-5% พบว่า แชมพูซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 2% มีลักษณะทางกายภาพและความคงตัวดีที่สุด และยังคงมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ M. furfurโดยแชมพูที่เตรียมใหม่, แชมพูที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 28-30 oC นาน 6 สัปดาห์, และแชมพูที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิ 45 oC (สภาวะเร่ง) นาน 6 สัปดาห์ มีค่า MFC เท่ากับ 75.0, 75.0, และ 18.8 มคล./มล. ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เพิ่มขึ้นในสภาวะเร่งนี้ อาจเกิดจากการสูญเสียน้ำของผลิตภัณฑ์ ทำให้น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น จึงทำให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น (25-26)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ของสารสำคัญที่พบได้ในน้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้ ได้แก่ geranic acid (trans-และ cis-) และ geranial (Sigma-Aldrich Japan) ด้วยวิธี tyrosinase Inhibition assay พบว่าtrans-geranic acid, cis- geranic acid และ geranial มีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 0.14, 2.3, และ 1.62 มิลลิโมลาร์ ตามลำดับ ในขณะที่สารมาตรฐาน kojic acid มีค่า IC50 เท่ากับ 0.017 มิลลิโมลาร์ (27)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนเหนือดินของตะไคร้จากจังหวัดเชียงใหม่ (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วยanhydrous sodium sulfate นำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ด้วยวิธีdopachrome method ใน 96-well microtiter plate โดยใช้น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 40 มคล./หลุม(ไม่ระบุความเข้มข้น) พบว่าน้ำมันตะไคร้สามารถยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 69±4% (29) และพบว่าน้ำมันตะไคร้มีค่า IC50เท่ากับ 0.5 มล./มล. (28) การวิเคราะห์ทางเคมีพบว่าสารที่เป็นส่วนประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้คือสาร geranial และ neral (28, 29)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ของน้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้จากสาธารณรัฐมอริเชียส (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วยanhydrous magnesium sulfate นำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ด้วยวิธี tyrosinase Inhibition assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีค่า IC50เท่ากับ 132.16 มคก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน kojic acid มีค่า IC50 เท่ากับ 2.28 มคก./มล. (30)
2.2 ฤทธิ์ต้านสิวและเชื้อแบคทีเรีย (S005)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ของ บริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัดซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อPropionibacterium acnes DMST 14916การทดสอบด้วยวิธี disc diffusion method โดยใช้น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 0.25% v/v, 0.50% v/v, 1.00% v/v, และ 2.00% v/v พบว่า มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อ (inhibition zone) เท่ากับ 9.2, 10.5, 13.2, และ 14.0 มม. ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธีbroth microdilution method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ (minimum inhibitory concentration; MIC) และค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อได้ (minimum bactericidal concentration; MBC) เท่ากันคือ 0.6 มคล./มล. (34)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ของบริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัดโดยทดสอบกับเชื้อที่เป็นสาเหตุของสิว ได้แก่ P. acnes DMST 14916 และ Staphylococcus epidermidis TISTR 518 เมื่อทำการทดสอบด้วยวิธี disc diffusion method โดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 15 มคล. พบว่า มีinhibition zone เท่ากับ 21.47 และ 17.80 มม. ตามลำดับ และเมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้และสาร citral (Sigma-Aldrich, Inc. St. Louis. Mo, USA) มาทดสอบด้วยวิธีbroth dilution method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีค่าMIC ต่อเชื้อทั้ง 2 ชนิดเท่ากับ 6.25 มก./มล. ในขณะที่สาร citral มีค่า MIC ต่อ P. acnes และ S. epidermidisเท่ากับ 0.125 และ 0.25 มก./มล. ตามลำดับ(31)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (Flora Perpétua, Tremsbüttel, Germany) โดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 10 มคล.มาทดสอบกับเชื้อ Staphylococcus aureus NCIB 6571 ด้วยวิธี antimicrobial assay พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 29.2 มม.(32)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก(ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 7 ชม. ด้วยอุปกรณ์Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfateจากนั้นนำมาทดสอบกับเชื้อที่แยกได้จากฝีหนอง (abscess) ได้แก่ Bacillus subtilis, Klebsiella oxytoca, Klebsiella pneumonia, และ S. aureus โดยใช้วิธี diffusion method และใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 5 มคล.พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 12, 14, 16, และ 15 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยามาตรฐาน tetracyclinehydrochloride ความเข้มข้น 20 มคก./ล.มีinhibition zone เท่ากับ22, 28, 25, และ <10 มม. ตามลำดับ (33)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศไนจีเรีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 4 ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อS. aureusด้วยวิธี agar disc diffusion method โดยจุ่ม disc ขนาด 7 มม. ลงในน้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 50%w/v และทิ้งให้ disc แห้งก่อนนำไปทดสอบ พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 14 มม. ในขณะที่ยามาตรฐาน gentamicin ความเข้มข้น 10 มคก./ล.และ amoxicillin ความเข้มข้น 15 มคก./ล. มี inhibition zone เท่ากับ 17 และ 25 มม. ตามลำดับ (35)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ของ บริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัดโดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus พบว่า มีค่า MIC และค่า MBC เท่ากันคือ 0.54 มคล./มล. (36)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วยanhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusการทดสอบด้วยวิธี disc diffusion methodโดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 5 มคล.พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 40.33 มม. และการทดสอบด้วยวิธี agar dilution method พบว่ามีค่า MIC และค่า MBC เท่ากับ 8 และ ≤16 มคล./มล. ตามลำดับ (37)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ซึ่งเตรียมรูปแบบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโดยใช้น้ำมันหอมระเหย และน้ำมันหอมระเหยที่เจือจางในอัตราส่วน 1:1, 1:2, 1:4 เปรียบเทียบผลกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมาตรฐาน Lysol และ Lysol ที่เจือจางในขนาด 12 มล. ในน้ำ 4 ล. จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureusด้วยวิธีdisc diffusion method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้,น้ำมันหอมระเหยที่เจือจางในอัตราส่วน 1:1, 1:2, 1:4,Lysol, และ Lysol ที่เจือจาง มี inhibition zone เท่ากับ 4.2, 2.6, 1.4, 0.8, 6.4, และ 4.6 ซม. ตามลำดับ (38)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศซูดาน (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 4ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ด้วยวิธี cup-plate agar diffusion methodพบว่ามี inhibition zone เท่ากับ 38 มม. (39)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (Absolute Aromas, Covilhã, Portugal)ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ATCC 25923 และ methicillin-resistant S. aureus (MRSA 10/08)ด้วยวิธี disc diffusion assay โดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 10 มคล.พบว่ามีinhibition zone เท่ากับ 45.90 และ 50.88 มม. ตามลำดับ (40)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ประเทศเอกวาดอร์ (voucher specimen:HERUTEQ1056) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) นาน 6 ชม.จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ATCC 25923 พบว่า มีค่า MIC เท่ากับ 0.005 มคล./มล. (41)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้(ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยทดสอบกับเชื้อ S. aureus การทดสอบด้วยวิธี agar well diffusion method โดยใช้น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น50 มคล. ใน ethanol 100 มคล. พบว่า มีinhibition zone เท่ากับ 9.98 มม. ในขณะที่ยามตรฐาน chloramphenicol ขนาด 100 มคก.มีค่าinhibition zone เท่ากับ 20.27 มม. และการทดสอบด้วยวิธี broth dilution method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีค่า MIC และค่า MBC เท่ากันคือ 1 มก./มล. ในขณะที่ยามาตรฐาน chloramphenicol มีค่า MIC และ MBC เท่ากับ 0.25 มก./มล. ตามลำดับ (42)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศบราซิล (voucher specimen:UVS530) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (water distillation) ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-typeจากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus และ Staphylococcus non-aureus การทดสอบด้วยวิธีdisk diffusion test โดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 5 มคล.พบว่า มีค่าเฉลี่ยเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อ (halo diameter) เท่ากับ 31.4 และ 30.47 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยามาตรฐาน vancomycin มีค่า halo diameter เท่ากับ 21.52 และ 21.1 มม. ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธีmicrodilution method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ขนาด 0.625 มก./มล. สามารถฆ่าเชื้อทดสอบทุกชนิดได้ 100% และที่ความเข้มข้น 0.312 มก./มล. สามารถฆ่าเชื้อ S. aureus ได้ 99.06% และฆ่าเชื้อ Staphylococcus non-aureus ได้ 100% การทดสอบเพิ่มเติมในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลติดเชื้อโดยทำให้เกิดบาดแผลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ซม. บริเวณหลังและใส่เชื้อ S. aureus DRJ080 ลงไปในแผลขนาด0.5 มล. (มีเชื้อ 1.0 x 108CFU/มล.) ปิดแผลด้วยTegaderm® transparent film 48 ชม. จากนั้นแบ่งหนูเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ใส่แผลด้วย carbopol polymer gel 1 มล. กลุ่มที่ 2 ใส่แผลด้วยยามาตรฐาน 1% vancomycin ใน carbopol polymer gel ขนาด 1 มล. และกลุ่มที่ 3 ใส่แผลด้วยน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 1% ใน carbopol polymer gel ขนาด 1 มล. ทำการศึกษานาน 11 วัน พบว่าประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ ยามาตรฐานvancomycin>น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้>กลุ่มควบคุมที่ได้รับ carbopol polymer gel(43)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้(ไม่ระบุส่วนที่ใช้ แหล่งที่มา และ voucher specimen) ซึ่งสกัดโดยการนำตะไคร้มาแช่ในน้ำ และต้มจนเดือด เก็บส่วนของน้ำมันที่ออกมากับไอน้ำ แยกน้ำออก และนำมาทำให้แห้งด้วยเครื่อง rotavaporจากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคบนผิวหนัง ได้แก่S. aureus, methicillin-resistant S. aureus (MRSA), และ B. subtilisการทดสอบด้วยวิธี disc volatilization assayโดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 15 มคล. พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 36.00, 36.00, และ 28.33 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยามาตรฐาน erythromycin ความเข้มข้น 10 มก./มล. มีค่าinhibition zone เท่ากับ 37, ไม่ยับยั้ง, และ 35.66 มม. ตามลำดับการทดสอบด้วยวิธี disc-diffusion assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 2.5% สามารถฆ่าเชื้อทดสอบทุกชนิด (44)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากสาธารณรัฐเบนิน (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type
จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ATCC 29213 การทดสอบด้วยวิธี disc method โดยใช้น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 20 มก./มล. ขนาด 30มคล.พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 15.5 มม. และการทดสอบด้วยวิธีmacro dilution method พบว่ามีค่า MIC เท่ากับ 0.625 มก./มล. (45)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากสาธารณรัฐคองโก (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ด้วยวิธี Mueller Hinton diffusion method พบว่ามี inhibition zone เท่ากับ 7.3 มม. (46)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศบราซิล (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus (ATCC 25923) การทดสอบด้วยวิธี disc diffusion technique โดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 50 มคล.พบว่า มี inhibition zone เท่ากับ 25 มม. และการทดสอบด้วยวิธี Mueller Hinton broth dilution technique พบว่า มีค่า MIC และ MBC เท่ากับ 25 และ 200 มคก./มล. ตามลำดับ (47)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus (MTCC 3160)ด้วยวิธี agar well diffusion method โดยใช้น้ำมันหอมระเหยขนาด 150 มคล.พบว่ามีinhibition zone เท่ากับ 32 มม. ในขณะที่ยามาตรฐาน azithromycin ความเข้มข้น 40 มก./มล.ขนาด 150 มคล. พบว่ามีค่า inhibition zone เท่ากับ 29 มม. (48)
2.3 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ของ บริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัดซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2′-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) assay พบว่า มีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 27.0 ± 0.7 มคล./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน ascorbic acid, α-tocopherol และ butylated hydroxyl toluene (BHT) มีค่า IC50เท่ากับ7.9 ± 0.2, 16.7 ± 1.0, และ 31.4 ± 0.7 มคก./มล. ตามลำดับ (34)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนเหนือดินของตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ซึ่งสกัดได้ด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 26.773 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน quercetin, trolox, และkaempferal มีค่า IC50เท่ากับ 5.9, 10.5, และ 11.3 มคก./มล. ตามลำดับ (49)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ของ บริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัด โดยทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 3.33 มคล./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน ascorbic acid, vitamin E acetate และ BHT มีค่า IC50เท่ากับ 0.27, 10.83, และ 1.16 มคก./มล. ตามลำดับ (36)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนเหนือดินของตะไคร้จากประเทศอียิปต์ (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดได้ด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-type นาน 3 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate 0.5 ก. นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้ การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 199.63 ก./ล. (สารมาตรฐาน ascorbic acid และ BHT มีค่า IC50เท่ากับ 0.42 และ 0.53 ก./ล. ตามลำดับ) เมื่อทดสอบด้วยวิธี Ferric Reducing Antioxidant Capacity (FRAC) พบว่าที่ความเข้มข้น 50 ก./ล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox 2.95 มิลลิโมล/ล. (สารมาตรฐานascorbic acid และBHT มีค่า 4.07 และ 3.29 มิลลิโมล/ล. ตามลำดับ) เมื่อทดสอบด้วยวิธี thiobarbituric acid reactive substance (TBARS) assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 3.99 ก./ล. (สารมาตรฐานascorbic acid และBHT มีค่า3.70 และ 0.001 ก./ล. ตามลำดับ) เมื่อทดสอบด้วยวิธี Ferrous Ion Chelating (FIC) assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 0.004 ก./ล. (สารมาตรฐานascorbic acid และBHT มีค่า 79.51 และ 138.42 ก./ล. ตามลำดับ) และเมื่อทดสอบด้วยวิธี Rancimat assay พบว่าที่ความเข้มข้น 50 ก./ล. มีค่าantioxidant activity index (AAI) เท่ากับ 0.23 (สารมาตรฐานascorbic acid และBHT มีค่า AAI เท่ากับ 1.44และ 2.42 ตามลำดับ) (50)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากกาบใบและใบของตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ซึ่งสกัดได้ด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-type ใช้ไดคลอโรมีเทนช่วยในการแยกน้ำมันหอมระเหยออกจากชั้นน้ำ และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากกาบใบและใบของตะไคร้ที่ความเข้มข้น 50% สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 89.5% และ 78.9% ตามลำดับ (51)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งนำมาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี lipophilic oxygen radical absorbance capacity (L-ORAC) พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ได้โดยน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 1 กรัม ออกฤทธ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox >0.02 โมล (moles of trolox equivalent per gram; mol of TE/g) (52)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้จากจังหวัดขอนแก่น (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำใบตะไคร้มาผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิ ~30 oC นาน 3 วัน บดให้ละเอียด นำมาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีค่า IC50เท่ากับ 4.73 มคล./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน α-tocopherol และeugenol มีค่า IC506.20 x 10-3 และ 1.34 มคล./มล. ตามลำดับ (53)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ในประเทศเม็กซิโก (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำใบตะไคร้สดมาผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิห้องและพลิกกลับด้านวันละ 3 ครั้ง นาน 1 สัปดาห์ จากนั้นนำสกัดโดยใช้คลื่นไมโครเวฟช่วย (microwave assisted extraction) โดยนำใบตะไคร้แห้ง 50 ก. มาบด ใส่ในขวดก้นกลมขนาด 500 มล. เติมน้ำกลั่น 200 มล. นำไปกลั่น 30 นาที โดยชุดกลั่นจะถูกติดตั้งอยู่ในเตาไมโครเวฟ Daewoo DC model KOR 6LYB กำลังไฟ 600 W จากนั้นนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ 100 มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox 44.06 มก. (18)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากกาบใบของตะไคร้จากจังหวัดเชียงใหม่ (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดได้ด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) โดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-type นาน 5 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 26.7727 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน quercetin, trolox, kaempferol, และ thyme oil มีค่า IC50เท่ากับ 0.0059, 0.0105, 0.0113, และ 1.0002 มก./มล. ตามลำดับ และเมื่อนำมาทดสอบด้วยวิธี thiobarbituric acid reactive substance (TBARS) assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ1.0665 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน quercetin, trolox, kaempferol, และ thyme oil มีค่า IC50เท่ากับ 38.3, 401.4, 121.2, และ 230.3 มคก./มล. ตามลำดับ (54)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วยanhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay และ 2,2-azinobis (3-ethylbenzothiazoline-6-sulfonic acid) (ABTS)assay พบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 17.92 และ 17.21 มคล./มล. ตามลำดับ (37)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (Absolute Aromas, Covilhã, Portugal)ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 0.03 %v/v ในขณะที่สารมาตรฐาน gallic acid มีค่า IC50เท่ากับ 0.22 %w/v และการทดสอบด้วยβ-carotene bleaching test พบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 2.27 %v/v ในขณะที่สารมาตรฐาน BHTมีค่า IC50เท่ากับ 3.58 %w/v (40)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนกาบใบของตะไคร้จากประเทศอินโดนีเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำตะไคร้มาผึ่งให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน จากนั้นนำมาสกัดได้ด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ โดยใช้อุปกรณ์ Karlsruhe นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า มีค่า IC50เท่ากับ 15,914 ppm ในขณะที่สารมาตรฐาน ascorbic acid มีค่า IC50เท่ากับ 5.8 ppm (55)
การศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบ กาบใบ และส่วนเหนือดิน (ใบ+กาบใบ) ของตะไคร้อายุ 6 เดือน จากประเทศอินโดนีเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วย2 วิธี คือ วิธีที่ 1 steam-water distillation (indirect distillation) และวิธีที่ 2 water distillation(direct distillation) ซึ่งจะใช้พืชสดน้ำหนัก 5 กก. ใช้เวลาในการสกัด 4 ชม. อุณหภูมิ 100 oC จากนั้นนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้ มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า เมื่อสกัดด้วยวิธี steam-water distillation น้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบ กาบใบ และส่วนเหนือดินสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 60.8%, 72.3%, และ 48.0% ตามลำดับ และเมื่อสกัดด้วยวิธี water distillation น้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบ กาบใบ และส่วนเหนือดินสามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ 57.3%,51.0%, และ 70.1% ตามลำดับ(56)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จากประเทศจีน (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำพืชสด 10 กก. มาทำให้แห้ง ซึ่งจะได้พืชแห้ง 8.8 กก. แช่ในน้ำ 100 กก. เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง 24 ชม. นำไปใส่ในชุดกลั่น ต้มให้เดือดที่อุณหภูมิ 100 oC นาน 3 ชม. จะได้ส่วนที่กลั่นได้ ประมาณ 1.5 ล. ถ่ายใส่ขวดรูปชมพู่ขนาด 5 ล. แยกส่วนน้ำมันหอมระเหยออกมาด้วยการสกัดด้วย petroleum ether 1.5 ล. 2 ครั้ง รวมส่วนของ petroleum ether ใส่ลงขวดรูปชมพู่ขนาด 5 ล.และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate ซึ่งจะได้น้ำมันหอมระเหย C.EO นำ C.EO มาเตรียมให้อยู่ในรูปของ microemulsion ซึ่งจะได้น้ำมันหอมระเหย M-EOจากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้การทดสอบด้วยวิธี oxygen radical absorbance capacity (ORAC) assay พบว่า C.EO และ M-EO ขนาด 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน Trolox 582 และ 857 ไมโครโมล ตามลำดับ การทดสอบด้วยวิธี peroxyl radical scavenging capacity (PSC) assay พบว่า C.EO และ M-EO ขนาด 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน ascorbic acid 761 และ 2,161 ไมโครโมล ตามลำดับ
และการทดสอบด้วยวิธี cellular antioxidant activity (CAA) assayในเซลล์ตับชนิด HepG2 พบว่า M-EO ขนาด 1 มก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน quercetin 151 ไมโครโมล ส่วน C.EO ไม่มีผลการทดสอบเนื่องจากละลายในตัวทำละลายได้น้อย ซึ่งจะเห็นว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ที่เตรียมในรูปแบบของ microemulsion มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ในรูปแบบปกติ (57)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้จากประเทศบราซิล (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดได้ด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) และนำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของ microencapsulation ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 5% (M1), 10% (M2), และ 15% (M3) (การเตรียมในรูปแบบของ microencapsulation จะช่วยให้น้ำมันหอมระเหยทนต่อความร้อนและภาวะออกซิเดชันได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยลดการระเหยและการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้, M1, M2, และM3 ขนาด 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน Trolox 22.16, 2.46, 7.74, และ 12.10 มก. ตามลำดับ (58)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนเหนือดินของตะไคร้จากประเทศจีน (voucher specimen: 2018-100A) ซึ่งสกัดโดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) นาน 3-4 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีค่า IC50เท่ากับ 0.101% ในขณะที่สารมาตรฐานวิตามินซี มีค่า IC50เท่ากับ 0.010% (59)
2.4 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (บริษัท Sanoflore ประเทศฝรั่งเศส, ไม่ระบุ voucher specimen) ด้วยวิธี Neutrophil preparation and adherence assay ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil จะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย tumor necrosis factor-alpha (TNF-α), lipopolysaccharide (LPS), และ phorbol 12-myristate 13-acetate (PMA) โดยใช้น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ที่เจือจาง 0.05%, 0.025%, 0.0125%, และ 0.00625% พบว่าเมื่อถูกกระตุ้นด้วย TNF-αน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถยับยั้ง neutrophil adhesion ได้ดีมากที่ความเข้นข้น 0.00625% และยับยั้งได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ความเข้นข้น 0.025% และคงที่ (อิ่มตัว) ที่ความเข้มข้น 0.05%โดยที่ความเข้นข้น 0.00625% สามารถยับยั้งได้>50% จึงสรุปว่า มีค่า IC50 <0.00625% เช่นเดียวกับการกระตุ้นด้วย LPS ซึ่งพบว่ามีค่า IC50<0.00625% ส่วนการกระตุ้นด้วย PMA พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 0.018% และเมื่อนำสาร citral ซึ่งเป็นสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มาทดสอบก็พบว่า มีค่า IC50<0.00625% เมื่อกระตุ้นด้วย TNF-αแสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้และสาร citral มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ดี (60)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งนำมาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจชนิด RAW264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย LPS ขนาด 100 นาโนกรัม/มล. โดยใช้น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 100 มคก./มล. พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถยับยั้งการสร้าง TNF-α จากเซลล์ได้ >50% จึงนำน้ำมันตะไคร้มาแยกองค์ประกอบด้วยวิธี GC-MS ซึ่งพบว่ามีสารที่เป็นองค์ประกอบหลัก 6 ชนิด ได้แก่ คือ citral (ประกอบด้วย geranial 40.16% และ neral 34.24%), geraniol, geranyl acetate, linalool และ camphene จากนั้นจึงนำมาทดสอบฤทธิ์อีกครั้ง ซึ่งพบว่าน้ำมันตะไคร้, สาร citral และสารgeranialสามารถยับยั้งการสร้าง TNF-αได้ดี โดยยับยั้งได้มากกว่า 50% จึงนำสารทั้ง 3 ชนิดมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการ nuclear translocation ของ nuclear factor-κB (NF-κB) ในเซลล์ RAW264.7 ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วย LPS โดยใช้สารทดสอบความเข้มข้น 10 มคล./มล. พบว่าสาร citral และสาร geranial ออกฤทธิ์ได้ดี โดยสามารถยับยั้งได้ 40 และ 52% ตามลำดับ ส่วนน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีฤทธิ์ใกล้เคียงกับสาร citral และสาร geranial โดยประสิทธิภาพเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ สาร geranial >น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ >สาร citral และการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูเม้าส์ด้วยวิธี Gschwendt’s method โดยเตรียมสารทดสอบด้วยการละลายน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้, สาร citral, และสาร geranial ขนาด 500 มคก. ในacetone 20 มคล. นำไปทาที่หูด้านในของหนูทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นจึงเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยการทาบริเวณดังกล่าวด้วยสารละลาย 12-O-tetradecanoylphorbol-13-acetate (TPA) ขนาด0.5 มคก. ในacetone 20 มคล. หลังจากนั้น 7 ชม. จึงวิเคราะห์ผลเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน glycyrrhetinic acid ที่ความเข้มข้นเดียวกัน พบว่าสารทดสอบทั้งหมดสามารถลดอาการบวมที่หูหนูได้มากกว่า 50% โดยมีประสิทธิภาพเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ สาร geranial >น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้>สาร citral และสารทดสอบทั้ง 3 ชนิดมีประสิทธิภาพดีกว่าสารมาตรฐาน glycyrrhetinicacid ขนาด 500 มคก./หู ซึ่งสามารถลดอาการบวมที่หูหนูได้ 40.5% แสดงให้เห็นว่าน้ำมันตะไคร้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และคาดว่าสารออกฤทธิ์คือ สาร citral และสารgeranial (61)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดโดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation)จากนั้นนำไปทดสอบกับหนูเม้าส์ โดยทาน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้ขนาด 5 และ 10 มคล./หู ที่บริเวณใบหูข้างซ้าย หลังจากนั้น 30 นาที จึงเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบและการบวมด้วยการทาน้ำมันสลอดความเข้มข้น 5% ขนาด 10 มคล. และสังเกตอาการ 4 ชม. เปรียบเทียบผลที่ได้กับการทายามาตรฐาน Voltaren® Emulgel 1% (diclofenac sodium) ในขนาด 5 มก./หู พบว่าน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้ขนาด 5 และ10 มคล. สามารถยับยั้งการบวมที่ใบหูได้ 62.50% และ 75.00% ตามลำดับ ส่วนยามาตรฐาน Voltaren สามารถยับยั้งการบวมที่ใบหูได้ 56.25% แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการบวมได้ดีกว่ายา Voltaren ในขนาดที่ทำการทดสอบ และประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาดที่ให้ (62)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดโดยใช้อุปกรณ์ Clevenger และ reflux นาน 4 ชม. นำน้ำมันที่สกัดได้มาเตรียมเป็นยาทาถูนวด (liniment) โดยใช้น้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้ : tween 80 (ความเข้มข้น 10%)อัตราส่วน 1 : 0.5 จากนั้นนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูแรท โดยถูนวดยาน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้ 1 มล. ที่บริเวณอุ้งเท้าด้านขวา หลังจากนั้น 30 นาที จึงเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบและการบวมด้วยการฉีดสารคาราจีแนนความเข้มข้น 1% ขนาด 0.1 มล. เข้าไปในบริเวณดังกล่าว สังเกตอาการ 4 ชม. เปรียบเทียบผลที่ได้กับหนูกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำเกลือ (saline), หนูที่ทายานวดน้ำมันสน (ยานวดมาตรฐาน) 1 มล. และหนูที่ป้อนยามาตรฐาน indomethacin ขนาด10มก./กก. พบว่า ที่เวลา 2 ชม. สารทดสอบทุกชนิดสามารถยับยั้งการบวมได้สูงสุด โดยหนูที่ได้รับยา indomethacin, หนูที่ทายานวดน้ำมันสน, และหนูที่ทายานวดน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้ สามารถยับยั้งการบวมได้ 67.36%, 56.84%, และ 63.15% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า ยานวดน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการบวมได้ดีกว่ายานวดน้ำมันสน และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับยา indomethacin (63)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำมันหอมระเหยจากกส่วนเหนือดินของตะไคร้จากประเทศจีน (voucher specimen: 2018-100A) ซึ่งสกัดโดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation)นาน 3-4 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำไปทดสอบกับหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่หูบวมด้วยการทาสารละลาย TPA ความเข้มข้น 100มคก./มล. ขนาด 10 มคล. บริเวณด้านในและด้านนอกของใบหู หลังจากนั้น 30 นาที จึงทาน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 25, 50, และ 100 มก./กก. ขนาด 10 มคล. ที่บริเวณดังกล่าว สังเกตอาการหลังจากเริ่มทา TPA 6 ชม. พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 25, 50, และ 100 มก./กก. สามารถยับยั้งการบวมที่ใบหูได้ 30.23%, 41.88%, และ 50.70% ตามลำดับ การวิเคราะห์เนื้อเยื่อบริเวณใบหูพบว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ทำให้ระดับสารก่อการอักเสบชนิด cyclooxygenase-2 (COX-2), NF-κB, interleukin-6 (IL-6), และ TNF-αลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ TPA เพียงอย่างเดียว แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีฤทธิ์ลดการบวมและต้านการอักเสบ (59)
2.5 ฤทธิ์ต้านการแพ้ (S016)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการแพ้ของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งนำมาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการแพ้ด้วยวิธี β-hexosaminidase release assay ในเซลล์เซลล์เม็ดเลือดขาวของหนู (rat basophilic leukemia) ชนิด RBL-2H3 ซึ่งถูกเหนี่ยวนำด้วย A23187 (calcium ionophore) ขนาด 5 ไมโครโมลาร์ โดยใช้น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 100 มคก./มล. พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถยับยั้งการปลดปล่อยเอนไซม์β-hexosaminidase จากเซลล์ได้ >50% โดยไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์และการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถยับยั้งการเกิด mast cell degranulation ซึ่งคาดว่ากลไกการออกฤทธิ์น่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของ protein kinase C(52, 61) การศึกษาเพิ่มเติมโดยแยกสารสำคัญที่เป็นองค์ประกอบหลักในน้ำมันตะไคร้ และนำมาทดสอบฤทธิ์อีกครั้งพบว่า สาร citral (geranial 40.16% และ neral 34.24%), และสาร geranial ออกฤทธิ์ยับยั้งการปลดปล่อยเอนไซม์β-hexosaminidase ได้ดี โดยสาร geranial ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด (61)
3 การศึกษาเกี่ยวกับริมฝีปากและช่องปาก
3.1. ฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก (L001)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศอินโดนีเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำและน้ำ (steam-hydro distillation) นาน 6 ชม. จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อStreptococcus mutansATCC 21752 รวมทั้งฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง biofilm ด้วยวิธีต่าง ๆ โดยการทดสอบด้วยวิธี microtiter broth method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ 90% (minimum inhibitory concentration; MIC90) เท่ากับ 0.06% และมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อได้ (minimum bactericidal concentration; MBC) เท่ากับ 0.6% การทดสอบด้วยวิธี adherence assay พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเกิด biofilm เชื้อได้ครึ่งหนึ่ง (50% inhibitory concentration; IC50) เท่ากับ 0.008% และมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่มีประสิทธิภาพในการกำจัด biofilm เชื้อได้ครึ่งหนึ่ง (50% effective concentration; EC50) เท่ากับ 0.026% และการทดสอบด้วยวิธี bioautography assay โดยใช้น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 1% พบว่ามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อ (inhibition zone) 6.25 มม. แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ออกฤทธิ์ต้านเชื้อ S. mutans และ biofilm ได้ดี (65)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากสาธารณรัฐเบนิน(ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ(hydrodistillation) โดยใช้อุปกรณ์ Clavenger-type
จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อที่พบในช่องปากจำนวน 5 ชนิด ได้แก่ Micrococcus luteus ATCC 10240, Staphylococcus aureus ATCC 29213, Proteus mirabilis ATCC 24974, Pseudomonas aeruginosa ATCC 27853, และ Candida albicans IP 4872ด้วยวิธี microdilution method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ (minimum inhibitory concentration; MIC) M. luteus, S. aureus, P. mirabilis, P. aeruginosa, และ C. albicansเท่ากับ 0.078, 0.156, 0.078, 0.078, และ 0.078 มก./มล. ตามลำดับ และมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อได้ (minimum bactericidal concentration; MBC) เท่ากับ 0.078, 0.156, 0.625, 0.312, และ 0.078 มก./มล. ตามลำดับ จากนั้นจึงนำมาพัฒนาเป็นน้ำยาบ้วนปาก (mouth bath) โดยในสารละลาย100มล. ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้0.2มล., citric acid 0.6ก., aspartame0.4ก, sodium hydroxide 0.6ก, methyl salicylate 0.15ก, Tween 800.5ก, alcohol 95°5มล.และปรับปริมาตรให้เป็น 100 มล. ด้วยน้ำ นำมาเตรียมเป็นสารละลายเจือจาง (dilution) ด้วยอัตราส่วน 1/2, 1/4, 1/8, 1/16, 1/32, 1/64, และ 1/128 เปรียบเทียบผลกับน้ำยาบ้วนปากมาตรฐานEludril® และ Givalex® พบว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้เป็นส่วนประกอบมีค่า MIC ต่อM.luteus, S. aureus, P. mirabilis, P. aeruginosa,และ C. albicansเท่ากับ 1/16, 1/8, 1/8, 1/8, และ 1/2 ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ 1/4, 1/8, 1/8, 1/8, และ 1/2 ตามลำดับ ในขณะที่ Eludril® และ Givalex® สามารถยับยั้งเชื้อทุกชนิดที่ความเข้มข้น 1/128 การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีสาร geranial, neral, และ myrcene เป็นส่วนประกอบหลัก แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อในช่องปาก (66)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศบราซิล (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (water distillation) โดยใช้อุปกรณ์ Clavenger-typeนาน 3 ชม. ล้างด้วยสารไดคลอโรมีเทน 50 มล. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfateจากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อที่พบในช่องปากจำนวน 5 ชนิด ได้แก่Candida albicans CBS 562, Streptococcus sanguis ATCC 10556, Streptococcus mitis ATCC 903, Porphyromonas gingivalis ATCC 33277, และ Fusobacterium nucleatum ATCC 25586 ด้วยวิธี microdilution method พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีค่าMIC ต่อเชื้อ C. albicans, S. sanguis, S. mitis, P.gingivalis, และ F. nucleatumเท่ากับ 0.015, 0.500, 0.250, 0.250, และ 0.250 มก./มล. ตามลำดับ และมีค่าMBC เท่ากับ 0.125, >1.000, 0.500, 0.250, และ 0.250 มก./มล. ตามลำดับแสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อในช่องปาก (67)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ของบริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัดซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) และสาร citral จาก Sigma-Aldrich, Inc (St. Louis MO, USA)โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อที่พบในช่องปาก ได้แก่ Porphyromonas gingivalis, Streptococcus sanguinis, และ Streptococcus mutans ด้วยวิธีต่าง ๆ โดยการทดสอบด้วยวิธี broth dilution method พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้มีค่า MIC ต่อเชื้อ P. gingivalis, S. sanguinis, และ S. mutansเท่ากับ 0.015%v/v, 0.015%v/v, และ 0.03 %v/v ตามลำดับ และมีค่าMBC เท่ากับ 0.03%v/v, 0.062%v/v, และ 0.03 %v/v ตามลำดับส่วนสาร citralมีค่า MIC เท่ากับ 0.023%v/v, 0.046%v/v, และ 0.011 %v/v ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ 0.023%v/v, 0.093%v/v, และ 0.046 %v/v ตามลำดับ การทดสอบฤทธิ์ต้าน biofilm ของเชื้อ S. mutans ด้วยวิธี microtiter-plate screening method พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 0.5%v/v สามารถยับยั้งการเกิด biofilm ได้ 99.82% และที่ความเข้มข้นต่ำ (0.062%v/v) สามารถยับยั้งการเกิด biofilm ได้ 96.36% และการทดสอบด้วยวิธี time kill assay พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 4 เท่าของค่า MIC (4 x MIC) สามารถลดจำนวนเชื้อ P. gingivalisที่มีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และสามารถฆ่าเชื้อได้หมดภายในระยะเวลา 2 ชม. และที่ความเข้มข้น 2 เท่าของค่า MIC (2 x MIC) สามารถฆ่าเชื้อได้หมดภายในระยะเวลา 4 ชม. และน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ทั้ง 2 ความเข้มข้นนี้ สามารถฆ่าเชื้อ S. sanguinis, และ S. mutans ได้หมดภายในระยะเวลา 12 ชม. แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้และสาร citral มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก (68)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้(ไม่ระบุส่วนที่ใช้)จากประเทศโคลัมเบีย (voucher specimen: 4952 20/10/2014) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ(steam distillation) จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus mutans ATCC 35668 strain biofilms ด้วยวิธี minimum biofilm eradication concentration (MBEC) assay โดยใช้น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ความเข้มข้น 0.1มก./100มล., 0.01มก./100มล., และ0.001มก./100มล.เปรียบเทียบผลกับยาฆ่าเชื้อมาตรฐาน chlorhexidine ความเข้มข้น 0.5%, 1%, และ2%พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ความเข้มข้น 0.1มก./100มล., 0.01มก./100มล., และ0.001มก./100มล.สามารถกำจัด biofilm ได้ 95.4%, 95.4%, และ 93.1% ตามลำดับ ในขณะที่ยา chlorhexidine ความเข้มข้น 1%และ2%สามารถกำจัด biofilm ได้ 100% และที่ความเข้มข้น 0.5% สามารถกำจัด biofilm ได้ 99.4% การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีสาร geranial, neral, และ myrcene เป็นส่วนประกอบหลัก แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถกำจัด biofilm ได้ดี (69)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ของ Laszlo Aromaterapia Ltd. (Belo Horizonte, Brazil) และสาร citral จาก Sigma-Aldrich Co. (St. Louis, USA) โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อที่พบในช่องปาก ได้แก่ Actinomyces naeslundii ATCC 19039, Lactobacillus acidophilus ATCC 4356, Streptococcus gordonii ATCC 10558, Streptococcus mitis ATCC 9811, S. mutans ATCC 35688, Streptococcus sanguinis ATCC 10556, และ Streptococcus sobrinus ATCC 33478 ด้วยวิธีต่าง ๆ โดยการทดสอบด้วยวิธี agar well diffusion test พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 9:1 (v/v) ใน propylene glycol มีเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณที่มีการยับยั้งเชื้อ (halo diameter) ต่อเชื้อ A. naeslundii, L. acidophilus, S. gordonii, S. mitis, S. mutans, S. sanguinis, และ S. sobrinusเท่ากับ 16, 8, 10, 19, 11, 10, และ 11 มม. ตามลำดับ ในขณะที่น้ำยาบ้วนปากมาตรฐานที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อ chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. มีค่า halo diameter เท่ากับ 25, 13, 20, 22, 17, 19, และ 24 มม. ตามลำดับ การทดสอบด้วยวิธี microdilution reference method พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 9:1 (v/v) ใน propylene glycol มีค่าMIC ต่อเชื้อA. naeslundii, L. acidophilus, S. gordonii, S. mitis, S. mutans, S. sanguinis, และ S. sobrinusเท่ากับ 1.32, 1.32, 1.32, 2.61, 2.61, 2.61, และ 2.61 มก./มล. ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ 5.23, 2.61, 5.23, 5.23, 10.54, 10.54, และ 10.54 มก./มล. ตามลำดับในขณะที่น้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. มีค่า MIC เท่ากับ 0.02, 0.02, 0.09, 0.18, 0.04, 0.04, และ 0.02 มก./มล. ตามลำดับและมีค่า MBC เท่ากับ 0.04, 0.02, 0.09, 0.18, 0.04, 0.04, และ 0.02 มก./มล. ตามลำดับเมื่อนำสาร citral มาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S. mutansและ L. acidophilus พบว่ามีค่า MIC เท่ากับ 2.75 และ 1.33 มก./มล. ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ11.1และ 2.75 มก./มล. ตามลำดับ การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อแบคทีเรียบนเคลือบฟันที่แยกมาจากผู้ป่วยพบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. สามารถลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่เกาะบนเคลือบฟัน (adhered cell) ได้ 100% และ 69% ตามลำดับ และค่าเฉลี่ย colony forming units (CFUs)/specimen ของกลุ่มควบคุม (ไม่ได้รับสารทดสอบใด ๆ), น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 1/2 MIC, และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. เท่ากับ (8.7 ± 10.7)× 106, 0, และ (2.7 ± 8.0)×105 ตามลำดับการทดสอบฤทธิ์ยับยั้ง biofilm ของเชื้อ S. mutans และ L. acidophilus (short treatment exposure time) พบว่ากลุ่มควบคุม, น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 2 เท่า, 4 เท่า, 10 เท่าของ MIC, และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. มีค่า CFUs)/specimen ต่อ biofilm ของเชื้อS. mutansเท่ากับ (7.4 ± 8.3) × 108, (2.4 ± 5.3) × 108, (9.5 ± 20.8) × 107, (4.1 ± 9.4) × 107, และ (1.7 ± 2.7) × 108ตามลำดับ และมีค่า CFUs)/specimen ต่อ biofilm ของเชื้อ L. acidophilusเท่ากับ(4.9 ± 6.7) × 108, (2.3 ± 3.0) ×107, (1.9 ± 3.2) × 107, (2.0 ± 2.5) × 106, (1.0 ± 2.2) ×107 ตามลำดับการทดสอบฤทธิ์ยับยั้ง polymicrobial biofilm จากน้ำลายของผู้ป่วย (medium treatment exposure time) พบว่ากลุ่มควบคุม, น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 2 เท่า, 4 เท่า, 10 เท่าของ MIC, และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. มีค่า CFUs)/specimen เท่ากับ (1.4 ± 0.3) × 107, 0, 0,0 และ (1.2 ± 0.2) × 105ตามลำดับและการทดสอบฤทธิ์ยับยั้ง biofilm ของเชื้อ S. mutansบนเคลือบฟันของสาร citral ความเข้มข้น 27.5 มก./มล. และน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate 1.2 มก./มล. พบว่าสารทดสอบทั้ง 2 ชนิดสามารถลดจำนวน CFUs)/specimen ได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และสาร citral มีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำยาบ้วนปาก chlorhexidine digluconate ในขนาดที่ทำการทดสอบ แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้และสาร citral มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อและ biofilm ในช่องปาก (70)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) ของบริษัท อุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย-จีน จำกัด ซึ่งเตรียมเป็นผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นลำคอและปาก (oral spray) ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 2%, 4% และ 6% โดยทำการทดสอบกับเชื้อ Streptococcus mutans (ATCC 25175), S. sobrinus (ATCC 6715) และเชื้อ S. mutans ที่แยกได้จากเด็กอีก 3 ชนิดคือ N006, N029, และ N113 เมื่อทดสอบด้วยวิธี microbroth dilution method พบว่า oral spray ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 2% มีค่าMIC ต่อเชื้อ S. mutans (ATCC 25175), N006, N029, N113, และ S. sobrinus (ATCC 6715) เท่ากับ 0.5, 0.5, 0.25, 0.5, และ 0.5 มคก./มล. ตามลำดับ และมีค่าMBC เท่ากับ 0.5, 0.5, 0.5, 0.5, และ 0.5 มคก./มล. ตามลำดับ oral spray ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 4% มีค่า MIC เท่ากับ 1, 1, 0.125, 0.125, และ 1 มคก./มล. ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ 1, 1, 0.25, 0.25, และ 1 มคก./มล. ตามลำดับและ oral spray ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 6% มีค่า MIC เท่ากับ 1.5, 3, 1.5, 1.5, และ 3 มคก./มล. ตามลำดับ และมีค่า MBC เท่ากับ 3, 6, 6, 3, และ 6 มคก./มล. ตามลำดับเมื่อทดสอบฤทธิ์ยับยั้ง biofilm ด้วยวิธี biofilm susceptibility test พบว่า oral spray ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 2%มีค่า MIC ต่อ biofilm ของเชื้อ S. mutans (ATCC 25175), N006, N029, N113, และ S. sobrinus (ATCC 6715) เท่ากับ 6.25, 3.125, 6.25, 6.25, และ 6.25 มคล. ตามลำดับ oral spray ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 4% มีค่า MICเท่ากับ 3.125, 3.125, 1.56, 3.125, และ 1.56 มคล. ตามลำดับ และ oral spray ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ 6%มีค่า MICเท่ากับ 1.56, 1.56, 1.56, 1.56, และ 1.56 มคล. ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อและ biofilm ในช่องปาก (71)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) (Quinari Casa das Essências, Ponta Grossa, PR, Brazil) ต่อเชื้อ Streptococcus mutans UA159 และ Candida albicans ATCC 90029 โดยทำการทดสอบด้วยวิธี microdilution technique พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีค่า MIC เท่ากับ 1 มก./มล. และ 125 มคก./มล. ตามลำดับ (72)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อในช่องปากของสาร citral (Alfa Aesar®, Heysham, UK) และสาร myrcene (Sigma-Aldrich®, Dorset, UK) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้โดยนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อที่พบในช่องปากจำนวน 5 ชนิด ได้แก่Enterococcus faecalis ATCC 29212, Streptococcus mutans ATCC 25175, S. mutans ATCC 35668, S. mutans ATCC UA159, Lactobacillus rhamnosus ATCC 53103 เมื่อทดสอบด้วยวิธี agar dilution assays พบว่า สาร citral มีค่าMIC ต่อเชื้อE. faecalis ATCC 29212, S. mutans ATCC 25175, S. mutans ATCC 35668, S. mutans ATCC UA159, และL. rhamnosus ATCC 53103เท่ากับ 1.5, 1.0, 1.0, 1.0, และ 1.5 มก./มล. ตามลำดับ ส่วนสาร myrcene มีค่า MIC ต่อเชื้อทดสอบทุกชนิด >8.0 มก./มล.ในขณะที่ยามาตรฐาน chlorhexidine มีค่า MIC เท่ากับ 2.9 x 10-3, 8.7x 10-4, 1.3x 10-3, 1.3x 10-3, และ 1.3x 10-3มก./มล. ตามลำดับ จากนั้นจึงนำเฉพาะสาร citral ไปหาค่า MBC ต่อเชื้อทั้ง 5 ชนิด และเชื้อS. mutansที่แยกได้จากเด็กอีก 8 ชนิด (strain 1, 2, 3, 6, 10, 11, 13, 14) โดยเตรียมสาร citral ความเข้มข้น 0.25, 0.5, 1.0, 1.5, และ 2.0 มก./มล.พบว่า สาร citral ที่ความเข้มข้น 1.0 มก./มล. สามารถฆ่าเชื้อทุกชนิดได้ และที่ความเข้มข้น 0.5 มก./มล.สามารถฆ่าเชื้อ S. mutans strain 1, 2, 3, 6, 10, 13 ได้ แสดงให้เห็นว่าสาร citral มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในช่องปาก (73)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
1 การทดสอบการแพ้และการระคายเคืองต่อผิวหนัง
การทดสอบทางคลินิก
มีการรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมในปอดเมื่อสูดดมน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จำนวน2 ราย โดยทำให้เกิดภาวะถุงลมอักเสบ (alveolitis) (82)
การทดสอบการแพ้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้น้ำหอมจำนวน 747 คน โดยทำการทดสอบด้วยวิธี patch test กับส่วนประกอบต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในน้ำหอม (ไม่ระบุแหล่งที่มา) พบว่า มีผู้ป่วย 6 รายที่ให้ผลเป็นบวกกับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 2% (83)
การทดสอบการแพ้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้น้ำหอมจำนวน 1,606 คน โดยทำการทดสอบด้วยวิธี patch test กับส่วนประกอบต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในน้ำหอม (ไม่ระบุแหล่งที่มา) พบว่า มีผู้ป่วย 25 รายที่ให้ผลเป็นบวกกับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 2% (84)
การทดสอบการแพ้ในผู้ให้บริการสุคนธบำบัด (aromatherapist) จำนวน 4 คนที่เกิดอาการผิวหนังอักเสบบริเวณมือและแขนจากการทำงาน โดยทำการทดสอบด้วยวิธี patch test กับน้ำมันหอมระเหยชนิดต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในการทำสุคนธบำบัด (ไม่ระบุแหล่งที่มา) พบว่าให้ผลเป็นบวกกับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 2% จำนวน 2 คน (85)
การทดสอบการแพ้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้น้ำหอมจำนวน 318 คน โดยทำการทดสอบด้วยวิธี patch test กับส่วนประกอบและน้ำมันหอมระเหยชนิดต่าง ๆ ที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม (ไม่ระบุแหล่งที่มา) พบว่า มีผู้ป่วย 4 รายที่ให้ผลเป็นบวกกับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 2% (86)
การทดสอบในสัตว์ทดลอง
การทดสอบการระคายเคืองต่อผิวหนังของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ในกระต่าย โดยทาน้ำมันขนาด 0.5 มล. บริเวณผิวหนังปกติ(intact skin) และผิวหนังที่ถูกขูด (abraded skin) จากนั้นจึงสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เวลา 24 และ 72 ชม. พบว่าผิวหนังที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยเกิดอาการบวมอย่างรุนแรง (severe edema) ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นแดง (erythema) และเกิดการล่อน (eschar formation) ในระดับต่ำจนถึงรุนแรงหลังจากทาน้ำมันที่เวลา 24 และ 72 ชม. ซึ่งอาการบวมและผื่นแดงจะหายไปภายในวันที่ 7 แต่การล่อนของผิวหนังจะยังไม่หายไป แม้จะใช้เวลานานถึง 11 วัน แสดงให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีความระคายเคืองต่อผิวหนัง ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและต้องเจือจางก่อนนำมาใช้กับผิวหนัง (87)
การทดสอบความเป็นพิษของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จากประเทศเอธิโอเปีย (voucher specimen: EL896) โดยนำส่วนใบและลำต้นตะไคร้มาผึ่งให้แห้ง 1 สัปดาห์ จากนั้นนำมาสกัดน้ำมันด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้มาเตรียมขี้ผึ้งน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 10% โดยนำน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 10 ก. มาผสมกับ petroleum jelly base 90 ก. นำไปทดสอบการระคายเคือต่อผิวหนังในกระต่ายด้วยวิธี skin irritation test โดยโกนขนบริเวณหลังกระต่าย ทาขี้ผึ้ง 500 มก. เฝ้าสังเกตที่เวลา 24ชม., 48ชม., 72ชม., 7 วัน, และ 15 วัน เปรียบเทียบผลกับบริเวณที่ไม่ได้ทาขี้ผึ้ง พบว่าไม่เกิดการระคายเคือง โดยไม่พบอาการบวม ผื่นแดง หรือการอักเสบในบริเวณที่ทาขี้ผึ้งน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้(18)
2 การทดสอบความเป็นพิษ
การทดสอบความเป็นพิษในหนูแรทโดยป้อนหนูด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ขนาด 1,500 ppm เป็นเวลานาน 60 วัน พบว่าที่ขนาดดังกล่าวทำให้น้ำหนักตัวหนูเพิ่มขึ้น และหนูกินอาหารมากกว่ากลุ่มควบคุมเล็กน้อย แต่ค่าเม็ดเลือด, ระดับน้ำตาล, โปรตีน, คอเลสเตอรอล, ยูเรีย,serum glutamic oxaloacetic transaminase (SGOT), serum glutamic pyruvic transaminase (SGPT), และ alkaline phosphatase ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (88)
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 3% (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) ในหนูแรท โดยการให้ทางปากและทางผิวหนังในขนาด 2ก./นน.ตัว 1 กก. จากนั้นจึงสังเกตอาการนาน 14 วัน พบว่าไม่มีสัตว์ทดลองตาย และไม่พบความผิดปกติใด ๆ (89)
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากสาธารณรัฐเบนิน (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำใบตะไคร้มาผึ่งให้แห้งในห้องปฏิบัติการที่มีอุณหภูมิ 25-30 oC นาน 3 วัน จากนั้นนำไปสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation)นาน 3 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous magnesium sulfateจากนั้นจึงนำมาทดสอบในหนูแรท โดยป้อนหนูด้วยน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 5, 50, 500, 1,000, 1,500, 2,000, 3,000 และ 3,500 มก./กก./วัน ติดต่อกัน 14 วัน และเฝ้าสังเกตอาการทุกวัน ทำการวิเคราะห์ความเป็นพิษเฉียบพลันในวันที่ 1 พบว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 5-1,500 มก./กก. ไม่ทำให้หนูเกิดความผิดปกติใด ๆ และให้ผลเหมือนกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำมันข้าวโพด (น้ำกระสายยา) แต่พบความผิดปกติของหนูที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาดตั้งแต่ 2,000 มก./กก. ขึ้นไป โดยขนาด 2,000 และ 3,000 มก./กก. ทำให้หนูมีอาการซึม จมูกและเปลือกตามีเลือดออกหลังการป้อน และกลุ่มที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 3,500 มก./กก. หนูทุกตัวมีอาการซึมและตายหลังการป้อน 4 ชม. จึงคาดว่าค่าความเข้มข้นที่ทำให้หนูแรทตายครึ่งหนึ่ง (median lethal dose; LD50) เท่ากับ3,250 มก./กก. จากนั้นจึงทำการวิเคราะห์ความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันในหนูที่รอดชีวิตต่อจนถึงวันที่ 14 พบว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 5-1,500 มก./กก. ไม่ทำให้หนูเกิดความผิดปกติใด ๆ และให้ผลเหมือนกลุ่มควบคุม แต่หนูที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 2,000-3,000 มก./กก. ทุกตัว ตายในวันที่ 2 การผ่าพิสูจน์ซากหนูทั้งหมดพบว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 5-1,500 มก./กก. ไม่ทำให้เนื้อเยื่อหรือวัยวะภายในของหนูผิดปกติ แต่ในขนาด >1,500 มก./กก. พบว่าทำให้กระเพาะอาหารและตับของหนูถูกทำลาย โดยเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและทำให้เซลล์ตับเกิดการตายแบบ necrosis (90)
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศบราซิล (voucher specimen: #23031) โดยนำใบตะไคร้สดมาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) จากนั้นจึงนำมาทดสอบในหนูเม้าส์ โดยแบ่งหนูเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ตัว ป้อนหนูด้วยน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 0.25,0.5,1.0,3.0, 5.0 ก./กก. จากนั้นจึงเฝ้าสังเกตที่เวลา 30 นาที, 1, 3, 5 ชม. และ 15 วัน พบว่า หนูมีอาการซึม การทำกิจกรรมลดลง สงบ การตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ลดลง โดยที่ขนาด 0.25-1.0 ก./กก. จะมีอาการในระดับที่ไม่รุนแรง แต่ที่ขนาด >1.0 ก./กก. จะมีอาการในระดับที่ปานกลาง-รุนแรง และพบการตายของหนูในกลุ่มที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 3.0 ก./กก. จำนวน 3 ตัว และในกลุ่มที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ขนาด 5.0 ก./กก. จำนวน 1 ตัว ซึ่งคาดว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้อาจมีผลต่อการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย (79)
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศเอธิโอเปีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ และนำมาเตรียมให้อยู่ในรูปอีมัลชัน (oil-water emulsion) ที่มีน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 2.5% จากนั้นนำไปทดสอบกับหนูเม้าส์ โดยแบ่งหนูเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว ป้อนหนูด้วยอีมัลชันขนาด 0, 0.5, 1.0, 1.5, 2.0, 2.5, 3.0, 3.5 และ 4.0 มล./กก. สังเกตอาการหนูทุก ๆ 30 นาที เป็นเวลานาน 4 ชม., ที่เวลา 24 ชม., 7 วัน, และ 14 วัน พบว่า หนูที่ได้รับอีมัลชันขนาด 0.5-2.5 มล./กก.ไม่มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น ส่วนหนูที่ได้รับอีมัลชันขนาด 3.0-4.0 มล./กก. ขนมีลักษณะตั้งชัน การกินอาหารและน้ำลดลง ถ่ายเป็นน้ำสีเหลือง และเข้าไปอยู่รวมกันนานกว่า 2 ชม. หนูในกลุ่มที่ได้รับอีมัลชันขนาด 3.5 และ 4.0 มล./กก. ตาย 2 และ 4 ตัว ตามลำดับ จึงคาดว่าค่า LD50ของอีมัลชันน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ 2.5% มีค่าระหว่าง 3.5-4.0 มล./กก.(91)
การทดสอบความเป็นพิษของน้ำมันหอมระเหยจากส่วนเหนือดินของตะไคร้จากประเทศเอธิโอเปีย (voucher specimen: EL896) โดยนำส่วนใบและลำต้นตะไคร้มาผึ่งให้แห้ง 1 สัปดาห์ จากนั้นนำมาสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ นำน้ำมันหอมระเหยที่ได้ไปทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูเม้าส์ โดยป้อนให้หนูกินในขนาด 2 ก./กก. เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดในเวลา 4 ชม. และที่เวลา 24 ชม. จากนั้นสังเกตอาการวันละครั้ง นาน 14 วัน พบว่าไม่มีหนูตาย และไม่พบความผิดปกติใด ๆ จึงคาดว่าค่า LD50 ของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีค่า>2 ก./กก.และการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันโดยป้อนให้หนูกินในขนาด 2 ก./กก./วัน นาน 21 วัน พบว่าไม่มีหนูตาย และไม่พบความผิดปกติใด ๆ การผ่าพิสูจน์ซากพบว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ในขนาดที่ทำการทดสอบ ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติกับค่าทางชีวเคมี เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (81)
การทดสอบความเป็นพิษแบบกึ่งเรื้อรังของน้ำมันหอมระเหยใบตะไคร้จากสาธารณรัฐเบนิน (voucher specimen: AAC173/HNB) ซึ่งสกัดโดยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำโดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-type เมื่อนำน้ำมันที่ได้มาทดสอบในหนูแรท โดยป้อนให้หนูกินในขนาด 0.6-4 ก./กก. พบว่าที่ขนาด ≤ 3 ก./กก. ไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และไม่พบความผิดปกติของอวัยวะภายใน (92)
การทดสอบความเป็นพิษของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้จากประเทศบราซิล (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 3 ชม. ด้วยอุปกรณ์ Clevenger-type และกำจัดน้ำออกด้วย anhydrous sodium sulfate จากนั้นนำมาทดสอบความเป็นพิษด้วยวิธีArtemia salina Leach bioassay พบว่า ขนาดที่ทำให้ A. salina ตายครึ่งหนึ่ง (LC50) คือ 582±3.41 มก./ล. (47)
3 ความเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์
การทดสอบความเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ในหนูแรทโดยป้อนสาร β-myrcene ซึ่งพบได้ในน้ำมันตะไคร้ (ไม่ระบุแหล่งที่มา) ขนาด 0.25, 0.5, 1.0, และ 1.5 ก./กก. ให้หนูแรทที่ตั้งท้อง 15 วัน หนูแรทที่คลอดลูก และตลอดช่วงให้นมลูก พบว่าสาร β-myrcene ขนาด 0.25 ก./กก. ไม่เป็นพิษต่อลูกหนู แต่ขนาด 0.5, 1.0, และ 1.5 ก./กก. ทำให้น้ำหนักตัวแรกเกิดลดลง อัตราการตายหลังคลอดเพิ่มขึ้น ลูกหนูหลังคลอดมีพัฒนาการช้าลง และลูกหนูเพศเมียที่แม่หนูได้รับสาร β-myrcene ขนาด 1.0 และ 1.5 ก./กก. จะไม่สามารถมีลูกได้ (93)
4 ความเป็นพิษต่อเซลล์
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จากจังหวัดเชียงใหม่ (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ นาน 3 ชม. และกำจัดน้ำออกด้วยanhydrous sodium sulfate นำมาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ใน peripheral blood mononuclear (PBMCs) ด้วยวิธี MTT assay โดยใช้น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ความเข้มข้น 0-25 มคก./มล. พบว่าอัตราการรอดชีวิตของเซลล์ PBMC ที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ทุกความเข้มข้น มีค่าใกล้เคียง 100%(28)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์และความเป็นพิษต่อยีนของน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้และสาร citral (จากSigma–Aldrich Fine Chemicals, St. Louis, MO, USA) ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte โดยใช้น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้และสาร citral ความเข้มข้น 25, 50, 100, 200, 400 และ 800 มคก./มล. ทำการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ด้วยวิธี MTT assay และทำการทดสอบความเป็นพิษต่อยีนด้วยวิธี comet assay และ DNA diffusion assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้และสาร citral ทำให้อัตราการรอดชีวิตของเซลล์ลดลงและทำให้ DNA ถูกทำลาย โดยเฉพาะเมื่อให้ในความเข้มข้นสูงและสาร citral แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์มากกว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ และการวิเคราะห์ระดับ reactive oxygen species (ROS) ด้วย flow cytometry พบว่า น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้และสาร citral ทำให้ระดับ ROS ในเซลล์ lymphocyte เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อให้ในขนาด >400 มคก./มล. แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้และสาร citral มีความเป็นพิษต่อเซลล์และมีความเป็นพิษต่อยีน ควรใช้ในขนาดต่ำ(94)
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ของน้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ของLaszlo Aromaterapia Ltd. (Belo Horizonte, Brazil) ในเซลล์ human keratinocyte ชนิด HaCaT โดยใช้น้ำมันหอมระเหยจากใบตะไคร้ความเข้มข้น 0.25-25 มก./มล. และทดสอบด้วยวิธี MTT assay พบว่า ที่เข้มข้น 0.25 มก./มล. เซลล์มีอัตราการรอดชีวิต 98% และที่เข้มข้น 25 มก./มล. เซลล์มีอัตราการรอดชีวิต 85% (70)
5 ความเป็นพิษต่อเม็ดเลือดแดง
การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือแดงของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) (Quinari Casa das Essências, Ponta Grossa, PR, Brazil) พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้นต่ำกว่า 500 มคก./มล. ไม่ก่อให้ความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง (72)
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้พืชในตะกูล POACEAE หรือผู้ที่แพ้น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้
ข้อควรระวัง
น้ำมันหอมระเหยตะไคร้เข้มข้นทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรือทำให้ผิวหนังอักเสบได้ และควรมีการเจือจางก่อนนำไปใช้
อาการไม่พึงประสงค์
อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
น้ำยาบ้วนปากที่มีน้ำมันตะไคร้ความเข้มข้น 1% v/v เป็นส่วนประกอบ เมื่อใช้บ้วนปากครั้งละ 15 มล. นาน 1 นาที วันละ 2 ครั้งเช้าและเย็น สามารถช่วยยับยั้งกลิ่นปากตอนเช้าได้ (64)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
USPTO (USA)
สรุป
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอางพบว่า น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิระต้านการอักเสบต้านการแพ้ และต้านจุลชีพได้ดี โดยเฉพาะฤทธิ์ต้านเชื้อราบนหนังศีรษะและฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุของสิวและฝีหนองในบาดแผล รวมทั้งมีฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคในช่องปากและ biofilm ซึ่งอาจนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและหนังศีรษะ หรือผลิตภัณฑ์สำหรับฆ่าเชื้อบนผิวหนังและภายในช่องปากได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานการเกิดภาวะผิวหนังอักเสบและอาการแพ้จากการใช้น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้อยู่พอสมควร ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ในขนาดสูง ควรเจือจางก่อนนำไปใช้ และใช้ด้วยความระมัดระวัง
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Cymbopogon citratus (DC.) Stapf. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-406132.
3. นันทวัน บุณยะประภัศร และคณะ. ก้าวไปกับสมุนไพร เล่ม 1. กรุงเทพฯ: ธรรกมลการพิมพ์;2529.
4. พร้อมจิต ศรลัมพ์, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล, วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล, และคณะ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ จำกัด; 2535.
5. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.). ทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลำดับที่ 19. พืชที่ให้น้ำมันหอม. นนทบุรี: สหมิตรพริ้นติ้ง; 2544.
6. Manzoor-I-Khuda M, Rahman M, Yusuf M, Chowdhury JU. Essential oils of Cymbopogon species of Bangladesh. J Bangladesh Acad Sci. 1984;8(2):77-80.
7. Ekundayo O. Essential oils. Part VII. Composition of the leaf volatile oil of Cymbopogon citratus. Fitoterapia. 1985;56(6):339-42.
8. Torres RC. Citral from Cymbopogon citratus (DC) Stapf (lemongrass) oil. Philipp J Sci. 1993;122(3):269-87.
9. Faruq MO, Chowdhury J, Yusuf M, Farooque SM, Chowdhury MM Khuda MM, et al. TLC technique in the component characterization and quality determination of Bangladeshi lemongrass oil (Cymbopogon citratus Stapf.). Bangladesh J Sci Ind Res. 1994;29(2):27-38.
10. Chisowa EH, Hall DR, Farman DI. Volatile constituents of the essential oil of Cymbopogon citratus Stapf grown in Zambia. Flavour Fragr J. 1998;13(1):29-30. doi: 10.1002/(SICI)1099-1026(199801/02)13:1<29::AID-FFJ682>3.0.CO;2-S.
11. Chagonda LS, Makanda C, Chalchat J-C. Essential oils of cultivated Cymbopogon winterianus (Jowitt) and of C. citratus (DC) (Stapf) from Zimbabwe. J Essent Oil Res. 2000;12(4):478-80. doi: 10.1080/10412905.2000.9699570.
12. Pino JA, Rosado A. Chemical composition of the essential oil of Cymbopogon citratus (DC.) Stapf. from Cuba. J Essent Oil Res. 2000;12(3):301-2. doi: 10.1080/10412905.2000.9699521.
13. Sidibe L, Chalchat J-C, Garry R-P, Lacombe L, Harama M. Aromatic plants of Mali (IV): chemical composition of essential oils of Cymbopogon citratus (DC) Stapf and C. giganteus (Hochst.) Chiov. J Essent Oil Res. 2001;13(2):110-2. doi: 10.1080/10412905.2001.9699629.
14. Kasali AA, Oyedeji AO, Ashilokun AO. Volatile leaf oil constituents of Cymbopogon citratus (DC) Stapf. Flavour Fragr J. 2001;16(5):377-8. doi: 10.1002/ffj.1019.
15. Ali M, Sahrawat I, Singh O. Volatile constituents of Cymbopogon citratus (DC.) Stapf. leaves. JEOBP. 2004;7(1):56-9. doi: 10.1080/0972-060X.2004.10643365.
16. Andrade EHA, Zoghbi MGB, Lima MP. Chemical composition of the essential oils of Cymbopogon citratus (DC.) Stapf cultivated in north of Brazil. JEOBP. 2009;12(1):41-5. doi: 10.1080/0972060X.2009.10643689.
17. Vyshali P, Thara Saraswathi KJ. Evaluation of polar and non-polar fractions of essential oil from Cymbopogoncitratus (DC.) Stapf. IJGHC. 2013;2(4):923-9.
18. Vazquez-Briones MC, Hernandez LR, Guerrero-Beltran JA. Physicochemical and antioxidant properties of Cymbopogon citratus essential oil. J Food Res. 2015;4(3):36-45. doi: 10.5539/jfr.v4n3p36.
19. Elhassan IA, Eltayeb IM, Khalafalla EB. Physiochemical investigation of essential oils from three Cymbopogonspecies cultivated in Sudan.J Pharmacogn Phytochem. 2016;5(1):24-9.
20. Jain N, Sharma M. Phytochemical screening and antidermatophytic activity of Cymbopogon citratus leaves essential oil and their fractions. JEOBP. 2017;20(4):1107-16. doi: 10.1080/0972060X.2017.1351894.
21. Diop SM, Gueye MT, Ndiaye I, Diop MB, Ndiaye EHB, Thiam A, et al. Study of the chemical composition of essential oils and floral waters of Cymbopogon citratus (DC.) Stapf (Poaceae) from Senegal. Int J Biol Chem Sci. 2017;11(4):1884-92. doi: 10.4314/ijbcs.v11i4.37.
22. Dao TP, Do HT, Le QK, Phap NVG, Cang MH, Pham TN, et al. Evaluation of physico-chemical properties of lemongrass (Cymbopogon citratus L.) essential oil grown in Tien Giang Province, Vietnam. Asian J Chem. 2020;32(5):1248-50. doi: 10.14233/ajchem.2020.22258.
23. Soliman WS, Salaheldin S, Amer HM. Chemical composition evaluation of Egyptian lemongrass, Cymbopogon citratus, essential oil. IJSER. 2017;8(11):630-4.
24. เกศิณี เลิศแสงสุวรรณ, วิภาวี รอดจันทร์. แชมพูสมุนไพรขจัดรังแค (Antidandruff herbal shampoo). กรุงเทพฯ : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2551.
25. พลอยพรรณ โชติปทุมวรรณ. การพัฒนาตำรับแชมพูสมุนไพรขจัดรังแค (Development of antidandruff herbal shampoo). กรุงเทพฯ : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2552.
26. Wuthi-udomlert M, Chotipatoomwan P, Panyadee S, Gritsanapan W. Inhibitory effect of formulated lemongrass shampoo on Malassezia furfur: a yeast associated with dandruff. Southeast Asian J Trop Med Public Health. 2011;42(2):363-9.
27. Masuda T, Odaka Y, Ogawa N, Nakamoto K, Kuninaga H. Identification of geranic acid, a tyrosinase inhibitor in lemongrass (Cymbopogon citratus). J Agric Food Chem. 2008; 23;56(2):597-601. doi: 10.1021/jf072893l.
28. Saeio K, Yotsawimonwat S, Anuchapreeda S, Okonogi S. Development of microemulsion of a potent anti-tyrosinase essential oil of an edible plant. Drug Discov Ther. 2011;5(5):246-52. doi: 10.5582/ddt.2011.v5.5.246.
29. Saeio K, Chaiyana W, Okonogi S. Antityrosinase and antioxidant activities of essential oils of edible Thai plants. Drug Discov Ther. 2011;5(3):144-9. doi: 10.5582/ddt.2011.v5.3.144.
30. Aumeeruddy-Elalfi Z, Gurib-Fakim A, Mahomoodally MF. Kinetic studies of tyrosinase inhibitory activity of 19 essential oils extracted from endemic and exotic medicinal plants. S Afr J Bot. 2016;103:89-94. doi: 10.1016/j.sajb.2015.09.010.
31. Bunrathep S, Thongphasuk P, Settharaksa S, Kamkaen N. Effect of an essential oil blend of citronella, lemongrass, and patchouli on acne-causing bacteria. Songklanakarin J Sci Technol. 2020;42(5):1106-12. doi: 10.14456/sjst-psu.2020.144.
32. Baratta MT, Dorman HJD, Deans SG, Figueiredo AC, Barroso JG, Ruberto G. Antimicrobial and antioxidant properties of some commercial essential oils. Flavour Fragr J. 1998;13(4):235-44. doi: 10.1002/(SICI)1099-1026(1998070)13:4<235::AID-FFJ733>3.0.CO;2-T.
33. Cimanga K, Kambu K, Tona L, Apers S, De Bruyne T, Hermans N, et al. Correlation between chemical composition and antibacterial activity of essential oils of some aromatic medicinal plants growing in the Democratic Republic of Congo. J Ethnopharmacol 2002;79:213-20.doi: 10.1016/s0378-8741(01)00384-1.
34. Lertsatitthanakorn P, Taweechaisupapong S, Aromdee C, Khunkitti W. In vitro bioactivities of essential oils used for acne control. Int J Aromather. 2006;16(1):43-9. doi: 10.1016/j.ijat.2006.01.006.
35. Owolabi MS, Oladimeji MO, Lajide L, Singh G, Marimuthu P, Isidorov VA. Cymbopogon citratus (DC) Stapf volatile oil from South - West, Nigeria. JEOBP. 2008;11(4):335-41. doi: 10.1080/0972060X.2008.10643638.
36. Aiemsaard J, Aiumlamai S, Taweechaisupapong S, Aromdee C, Khunkitti W. Chemical composition, antioxidant activity and antibacterial action of eight essential oils against clinical isolates of mastitis pathogens. IJEOT. 2010;4(1-2):37-43.
37. Srivastava U, Ojha S, Tripathi NN, Singh P. In vitro antibacterial, antioxidant activity and total phenolic content of some essential oils. J Environ Biol. 2015;36(6):1329-36.
38. Mathew TK, Aswathy PG, Surya NK, Honey M, Kuriakose J. Study on disinfectant potential of lemon grass oil against common pathogens. IJAR. 2016;4(7):675-9. doi: 10.21474/IJAR01/926.
39. Ali MM, Yusuf MA, Abdalaziz MN. GC-MS analysis and antimicrobial screening of essential oil from lemongrass (Cymbopogon citratus). Int J Pharm Chem. 2017;3(6):72-6. doi: 10.11648/j.ijpc.20170306.11.
40. Luis A, Duarte AP, Pereira L, Domingues F. Chemical profiling and evaluation of antioxidant and anti-microbial properties of selected commercial essential oils: A comparative study. Medicines. 2017;4(2):36/1-16. doi: 10.3390/medicines4020036.
41. Pino JA, Fon-Fay FM, Pérez JC, Falco AS, Rodríguez JL, Hernández I, et al. Chemical composition and biological activities of essential oil from lemongrass (Cympopogon citratus [D.C.] Stapf.) leaves grown in Amazonian Ecuador. Revista CENIC. Ciencias Químicas. 2018;49(1):1-8.
42. Narayanasamy K, Elangovan E, Keerthi D, Jagadeeswari S, Krithiga B, Padmanabhan V, et al. Antimicrobial activity of selected essential oils against antibiotic resistant organisms. Asian J Pharm Pharmacol. 2019;5(3):503-12. doi: 10.31024/ajpp.2019.5.3.11.
43. Oliveira JB, Teixeira MA, Paiva LF, Oliveira RF, Mendonca ARA, Brito MJA. In vitro and in vivo antimicrobial activity of Cymbopogon citratus (DC.) Stapf. againstStaphylococcus spp. isolated from newborn babies in an intensive care unit. Microb Drug Resist. 2019;25(10):1490-6. doi: 10.1089/mdr.2018.0047.
44. Pattanapanit P, Mithonglang S, Mithonglang S, Techaoei S. In vitro antimicrobial activity of some essential oils against bacterial pathogens causing skin diseases in vapor phase. Int J App Pharm. 2019;11(5):113-5. DOI:10.22159/ijap.2019.v11s5.t0084.
45. Sakirigui A, Ladekan EY, Fagbohoun L, Sika K, Assogba F, Gbenou JD. Comparative antimicrobial activity of volatile and non-volatile extracts of Cymbopogon citratus leaves. IJP. 2019;7(9):234-9. doi: 10.13040/ijpsr.0975-8232.ijp.7(9).234-39.
46. Bertin M, Rachel M, Tarcisse BN, Etienne N. Optimization by mixture design of the antimicrobial activities of five selected essential oils. J Med Plants Res. 2020;14(10):A50FF8564837. doi: 10.5897/jmpr2020.7020.
47. Everton GO, Santos Junior PS, Araujo RJ, Ferreira AM, Gomes PRB, Rosa PVS, et al. Chemical profile and antimicrobial potential of essential oils of Cymbopogon citratus (DC.) Stapf, Ocimum basilicum Linn and Aniba rosaeodora Ducke. Scientia Plena. 2020;16(6):061502. doi: 10.14808/sci.plena.2020.061502.
48. Shendurse AM, Sangwan RB, Kumar A, Ramesh V, Patel AC, Gopikrishna G, et al. Phytochemical screening and antibacterial activity of lemongrass (Cymbopogon citratus) leaves essential oil. J Pharmacogn Phytochem. 2021;10(2):445-9.
49. Leelapornpisid, P., Chansakaow, S., Chaiyasut, C, Wongwattananukul, N. Antioxidant activity of some volatile oils and absolutes from Thai aromatic plants. Acta Hortic. 2008;786:61-5. doi: 10.17660/ActaHortic.2008.786.5.
50. Viuda-Martos M, El Gendy AENGS, Sendra E, Fernandez-Lopez J, Abd El Razik KA, Omer EA, et al. Chemical composition and antioxidant and anti-listeria activities of essential oils obtained from some Egyptian plants. J Agric Food Chem. 2010;58(16):9063-70. doi: 10.1021/jf101620c.
51. Mirghani MES, Liyana Y, Parveen J. Bioactivity analysis of lemongrass (Cymbopogan citratus) essential oil. Int Food Res J. 2012;19(2):569-75.
52. Mitoshi M, Kuriyama I, Nakayama H, Miyazato H, Sugimoto K, Kobayashi Y, et al. Effects of essential oils from herbal plants and citrus fruits on DNA polymerase inhibitory, cancer cell growth inhibitory, antiallergic, and antioxidant activities. J Agric Food Chem. 2012;60(45):11343-50. doi: 10.1021/jf303377f.
53. Jumepaeng T, Prachakool S, Luthria DL, Chanthai S. Determination of antioxidant capacity and α-amylase inhibitory activity of the essential oils from citronella grass and lemongrass. Int Food Res J. 2013;20(1):481-5.
54. Leelapornpisid P, Wickett RR, Chansakaow S, Wongwattananukul N. Potential of native Thai aromatic plant extracts in antiwrinkle body creams. J Cosmet Sci. 2015;66(4):219-31.
55. Anggraeni NI, Hidayat IW, Rachman SD, Ersanda. Bioactivity of essential oil from lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf) as antioxidant agent. AIP Conference Proceedings (2018), 1927 (1, 1st International Conference and Exhibition on Powder Technology Indonesia, 2017), 030007/1-5. doi: 10.1063/1.5021200.
56. Hartatie ES, Prihartini I, Widodo W. Wahyudi A. Bioactive compounds of lemongrass (Cymbopogon citratus) essential oil from different parts of the plant and distillation methods as natural antioxidant in broiler meat. IOP Conference Series: Materials Science and Engineering (2019), 532(International Conference on Science, Technology and Interdisciplinary Research, 2018), 12018. doi: 10.1088/1757-899x/532/1/012018.
57. Li Y, Wang C, Tao Z, Zhao Z, You L, Zheng R, et al. Enhanced antioxidant and antiproliferative activities of Cymbopogon citratus (dc.) Stapf essential oils in microemulsion. ACS Sustainable Chem Eng. 2019;7(18):15173−81. doi: 10.1021/acssuschemeng.9b01606.
58. Martins WS, Araujo JSF, Feitosa BF, Oliveira JR, Kotzebue LRV, Agostini DL, et al. Lemongrass (Cymbopogon citratus DC. Stapf) essential oil microparticles: Development, characterization, and antioxidant potential. Food Chem. 2021;355:129644. doi: 10.1016/j.foodchem.2021.129644.
59. Li C, Luo Y, Zhang W, Cai Q, Wu X, Tan Z, et al. A comparative study on chemical compositions and biological activities of four essential oils: Cymbopogon citratus (DC.) Stapf, Cinnamomum cassia (L.) Presl, Salvia japonicaThunb. and Rosa rugosa Thumb. J Ethnopharmacol. 2021;114472. doi: 10.1016/j.jep.2021.114472.
60. Abe S, Maruyama N, Hayama K, Ishibashi H, Inoue S, Oshima H, Yamaguchi H. Suppression of tumor necrosis factor-alpha-induced neutrophil adherence responses by essential oils. Mediators Inflamm 2003;12(6):323-8.doi: 10.1080/09629350310001633342.
61. Mitoshi M, Kuriyama I, Nakayama H, Miyazato H, Sugimoto K, Kobayashi Y, et al. Suppression of allergic and inflammatory responses by essential oils derived from herbal plants and citrus fruits. Int J Mol Med. 2014;33(6):1643-51. doi: 10.3892/ijmm.2014.1720.
62. Boukhatem MN, Saidi F, Kebir HT, Ferhat MA, Kameli A. Lemon grass (Cymbopogon citratus) essential oil as a potent anti-inflammatory and antifungal drugs. Libyan J Med. 2014;9:25431. doi: 10.3402/ljm.v9.25431.
63. Doppalapudi S, Suryadevara V, Ainampudi SK, Reddyvallam SL, Anne R. Formulation and evaluation of anti-inflammatory activity of lemon grass oil liniments on Wistar rats. Asian J Pharm Pharmacol. 2018;4(4):434-9. doi: 10.31024/ajpp.2018.4.4.9.
64. ภัทรียา ทิมาบุตร, วัชรี คุณกิตติ, สุวิมล ทวีชัยศุภพงษ์, และคณะ. ประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากจากน้ำมันตะไคร้ในการลดกลิ่นปากตอนเช้าในอาสาสมัครปกติสุขภาพดี. Congress On Science And Technology Of Thailand, 34th, Bangkok Thailand, Dec 31 -Nov 2, 2008;O_O0017 422396
65. Hertiani T, Pratiwi SUT, Irianto IDK, Adityaningrum D, Pranoto B. Effect of Indonesian medicinal plants essential oils on Streptococcus mutans biofilm. Majalah Farmasi Indonesia. 2011;22(3):174-81.
66. Baba-Moussa F, Adjanohoun A, Attakpa ES, Kpavode L, Gbenou JD, Akpagana K, et al. Antimicrobial activity of three essential oils from Benin on five oral germs: test of mouthbaths. Ann Biol Res. 2012;3(11):5192-9.
67. Bersan SMF, Galvao LCC, Goes VFF, Sartoratto A, Figueira GM, Rehder VLG, et al. Action of essential oils from Brazilian native and exotic medicinal species on oral biofilms. BMC Complement Altern Med. 2014;14:451/-21. doi: 10.1186/1472-6882-14-451.
68. Wongsariya K, Lomarat P, Bunyapraphatsara N, Srisukh V, Chomnawang MT. Evaluation of Thai spice essential oils and their active compounds for anti-cariogenic activity and mechanism of action. J Essent Oil-Bear Plants. 2014;17(6):1064-74. doi: 10.1080/0972060X.2014.895163.
69. Tofino-Rivera A, Ortega-Cuadros M, Galvis-Pareja D, Jimenez-Rios H, Merini LJ, Martinez-Pabon MC. Effect of Lippia alba and Cymbopogon citratus essential oils on biofilms of Streptococcus mutans and cytotoxicity in CHO cells. J Ethnopharmacol. 2016;194:749-54. doi: 10.1016/j.jep.2016.10.044.
70. Oliveira MAC, Borges AC, Koga-Ito CY, Brighenti FL, Salvador MJ, Gontijo AVL. Cymbopogon citratus essential oil: effect on polymicrobial caries-related biofilm with low cytotoxicity. Braz Oral Res. 2017;31:e89. doi: 10.1590/1807-3107BOR-2017.
71. Mitrakul K, Srisatjaluk R, Srisukh V, Lomarat P, Vongsawan K, Kosanwat T. Cymbopogon citratus (lemongrass oil) oral sprays as inhibitors of mutans Streptococci biofilm formation. J Clin Diagnostic Res. 2018;12(12):ZC06-12. doi: 10.7860/jcdr/2018/37459.12342.
72. Silva NB, Rangel ML, Castro RD, Lima JM, Castellano LRC, Valenca AMG, et al. Anti-biofilm and hemolytic effects of Cymbopogon citratus (Dc) Stapf essential oil. Pesqui Bras Odontopediatria Clín Integr. 2019;19:e5011. doi: 10.4034/pboci.2019.191.103.
73. Chaves-Quiros C, Usuga-Usuga J-S, Morales-Uchima S-M, Tofino-Rivera A-, Tobon-Arroyave S-I, Martinez-Pabon M-C. Assessment of cytotoxic and antimicrobial activities of two components of Cymbopogon citratus essential oil. J Clin Exp Dent. 2020;12(8):e749-54. doi: 10.4317/jced.56863.
74. Rauber C, Guterres SS, Schapoval EES. LC determination of citral in Cymbopogon citratus volatile oil. J Pharm Biomed Anal. 2005;37(3):597-601. doi: 10.1016/j.jpba.2004.10.042.
75. Schaneberg BT, Khan IA. Comparison of extraction methods for marker compounds in the essential oil of lemon grass by GC. J Agric Food Chem. 2002;50(6):1345-9. doi: 10.1021/jf011078h.
76. Mohamed Hanaa AR, Sallam YI, El-Leithy AS, Aly SE. Lemongrass (Cymbopogon citratus) essential oil as affected by drying methods. Ann Agric Sci. 2012;57(2):113-6. doi: 10.1016/j.aoas.2012.08.004.
77. Abdurahman HN, Ranitha M, Azhari HN. Extraction and characterization of essential oil from ginger (Zingiber officinale Roscoe) and lemongrass (Cymbopogon citratus) by microwave-assisted hydrodistillation. Int J Chem Environ Eng. 2013;4(4):221-6.
78. Ranitha M, Nour AH, Sulaiman ZA, Nour AH, Thana RS. A comparative study of Lemongrass (Cymbopogon citratus) essential oil extracted by microwave-assisted hydrodistillation (MAHD) and conventional hydrodistillation (HD) method. Int J Chem Eng. 2014;5(2):104-8. doi: 10.7763/IJCEA.2014.V5.360.
79. Blanco MM, Costa CARA, Freire AO,Santos JG, Costa M. Neurobehavioral effect of essential oil of Cymbopogon citratus in mice. Phytomedicine. 2009;16(2-3):265-70. doi: 10.1016/j.phymed.2007.04.007.
80. Rashmi BS, Singh AK. New approach towards tuning of essential oil properties by different grinding methods in Cymbopogon citratus and Eucalyptus globulus. World J Pharm Pharm Sci. 2015;4(11):1646-55.
81. Lulekal E, Tesfaye S, Gebrechristos S, Dires K, Zenebe T, Zegeye N, et al. Phytochemical analysis and evaluation of skin irritation, acute and sub-acute toxicity of Cymbopogon citratus essential oil in mice and rabbits. Toxicol Rep. 2019;6:1289-94. doi: 10.1016/j.toxrep.2019.11.002.
82. Gruenwald J, Brendler T, Jaenicke C, editors. PDR for Herbal Medicines. 2nded. New Jersey: Medical Economic Company; 2000.
83. Wohrl S, Hemmer W, Focke M, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, Colophony, and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy. Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.doi: 10.1046/j.1365-2133.2001.04345.x.
84. Frosch PJ, Johansen JD, Menne T, Pirker C, Rastogi SC, Andersen KE, et al. Further important sensitizers in patients sensitive to fragrances. II. Reactivity to essential oils. Contact Dermatitis 2002;47:279-87.doi: 10.1034/j.1600-0536.2002.470204.x.
85. Bleasel N, Tate B, Rademaker M. Allergic contact dermatitis following exposure to essential oils. Australas J Dermatol 2002;43(3):211-3.doi: 10.1046/j.1440-0960.2002.00598.x.
86. Paulsen E, Andersen KE. Colophonium and Compositae mix as markers of fragrance allergy: Cross-reactivity between fragrance terpenes, Colophonium and Compositae plant extracts.Contact Derm. 2005;53(5),285-91. doi:10.1111/j.0105-1873.2005.00704.x.
87. Shin J-Y, Park S-C, Kim K-H, Shin D-H, Kim S-H, Kim J-C. Primary dermal irritation of lemon grass (Cymbopogon citratus) essential oil in rabbits. J Toxicol Pub Health. 2005;21(3):249-53.
88. Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon citratus and Citrus medica in rats. Phytother Res. 1992;6:279-81.doi: 10.1002/ptr.2650060512.
89. Limpanussorn J, Klungsupya P, Soontornsaratune P. Acute toxicity studies of antifungal lemon grass oil cream in rats. Bangkok: Thailand Institute of Scientific and Technological Research; 1995a.
90. Fandohan P, Gnonlonfin B, Laleye A, Gbenou JD, Darboux R, Moudachirou M. Toxicity and gastric tolerance of essential oils from Cymbopogon citratus, Ocimum gratissimum and Ocimum basilicum in Wistar rats.Food Chem Toxicol. 2008;46(7):2493-7. doi: 10.1016/j.fct.2008.04.006.
91. Gebremickael A. Single dose acute toxicity testing and preliminary safety evaluation of lemongrass oil in mice. Int J Curr Res. 2017;9(08):56297-9.
92. Gbenou JD, Ahounou JF, Akakpo HB, Laleye A, Yayi E, Gbaguidi F, et al. Phytochemical composition of Cymbopogon citratus and Eucalyptus citriodora essential oils and their anti-inflammatory and analgesic properties on Wistar rats. Mol Biol Rep. 2013;40(2):1127-34. doi: 10.1007/S11033-012-2155-1.
93. Delgado IF, de Almeida Nogueira ACM, et al. Peri- and postnatal developmental toxicity of [beta]-myrcene in the rat. Food Chem Toxicol. 1993;31(9):623-8. doi: 10.1016/0278-6915(93)90044-y.
94. Sinha S, Jothiramajayam M, Ghosh M, Mukherjee A. Evaluation of toxicity of essential oils palmarosa, citronella, lemongrass and vetiver in human lymphocytes. Food Chem Toxicol. 2014;68:71-7. doi: 10.1016/j.fct.2014.02.036.
P018_(18).xlsx