หมีเหม็น (ใบหมี่)
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Litsea glutinosa (Lour.) C.B. Rob.
ชื่อวงค์
LAURACEAE
ชื่อสมุนไพร
หมีเหม็น (ใบหมี่)
ชื่ออังกฤษ
-
ชื่อพ้อง
Litsea apetala (Roxb.) Pers. Litsea chinensis Lam. Litsea laurifolia (Jacq.) Cordem. Camellia integrifolia Choisy Decapenta involucrata Raf. Dodecadenia robusta Zoll. & Moritzi Sebifera glutinosa Lour. Tetranthera apetala Roxb.
ชื่อท้องถิ่น
หมี, กำปรนบาย, ดอกจุ๋ม, ตังสีไพร, ทังบวน, ม้น, มะเย้อ, มือเบาะ, ยุบเหยา, เส่ปึยขู้, หมีหมูทะลวง, หมูเหม็น, อีเหม็น
ชื่อ INCI
LITSEA GLUTINOSA BARK EXTRACT
LITSEA GLUTINOSA LEAF EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
พบได้ทั่วไปในที่โล่งแจ้งหรือขึ้นปะปนกับไม้อื่นในป่าเบญจพรรณถึงป่าดิบเขาในระดับความสูง 1,500 ม. เหนือระดับน้ำทะเล ในต่างประเทศมีในเนปาล อินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ และทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงออสเตรเลียตอนเหนือ (5)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ยืนต้น สูง 5-15 ม. ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรีแกมขอบขนานหรือรูปไข่กลับ กว้าง 5-9 ซม. ยาว 10-20 ซม. ปลายใบกลมหรือเรียวแหลม โคนใบสอบเป็นครีบหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนเกลี้ยงเป็นมัน ด้านล่างมีขน ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. มีขนดอกช่อซี่ร่มออกที่ซอกใบ แยกเพศอยู่คนละต้น ช่อดอกตัวผู้มีประมาณ 8-10 ดอก กลีบรวมลดรูปลงเหลือ 1-2 กลีบ หรือไม่มีเลย รูปขอบขนาน ขอบกลีบมีขน เกสรตัวผู้มี 9-20 อัน ช่อดอกตัวเมียกลีบรวมลดรูปเหลือเพียงเล็กน้อยหรือไม่มี ผลสดรูปทรงกลม เมื่อสุกสีม่วงเข้ม ผิวมัน (3-4)
การเพาะปลูก
ในธรรมชาติต้นหมีเหม็นขยายพันธุ์โดยเมล็ด โดยปลูกทั้งผล ซึ่งร้อยละ 85จะงอกภายในเวลา 15-45 วัน (5)การปลูกในปัจจุบันจะใช้วิธีนำต้นกล้าจากเมล็ดมาปลูกเท่านั้น เนื่องจากต้นหมีเหม็นเป็นไม้เนื้อแข็ง ทำให้การขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่น ๆ เช่นวิธีปักชำหรือการตอนกิ่ง ทำได้ยาก อีกทั้งการขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นจะทำให้ได้ต้นหมีเหม็นที่แตกกิ่งน้อย ไม่ได้ทรงพุ่มใหญ่เหมือนการปลูกจากต้นเมล็ด (38)\n การปลูกต้นหมีเหม็นจากต้นกล้าเมล็ดทำได้ด้วยการนำเมล็ดที่แก่จัด โดยเฉพาะเมล็ดที่หล่นจากต้นมาเพาะจนได้ต้นกล้าสูง 20-30 ซม. จึงย้ายไปปลูกตามจุดที่ต้องการ หรือใช้วิธีหาขุดต้นกล้าตามป่าต่างๆ แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลเฉพาะต้นกล้าที่ยังมีขนาดเล็กที่ความสูงไม่เกิน 5-10 ซม. เพราะหากต้นสูงกว่านี้ ลำต้นจะมีรากยาวลึกลงดิน เวลาขุดมักจะทำให้รากขาด เมื่อย้ายมาปลูกก็จะปลูกติดได้ยาก (38)
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
เปลือกต้น แก้คัน แก้อักเสบแก้แสบตามผิวหนัง(5-6)ต้มเอาน้ำทำเป็นยาสระผมแก้รังแค น้ำแช่เปลือกไม้ทำเป็นน้ำยาเคลือบผม (5) ใบ แก้ฝี แก้ปวด(6)ต้มเอาน้ำทำเป็นยาสระผมแก้ขี้รังแคและแก้เหาบนศีรษะ ต้มน้ำอาบแก้แผลพุพอง (5) เมล็ด ใช้ตำพอก แก้ปวดฝี แก้พิษอักเสบต่างๆ(5-6) ยาง แก้บาดแผล แก้ฟกช้ำ (5-6)
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
ใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นมีสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบดังนี้
ใบหมีเหม็นมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids) ได้แก่ oxoaporphine, (liriodenine), actinodaphnine, cassythicine, litseglutine A (litseferine), boldine, isoboldine, laurelliptine, laurolitsine, laurotetanine, litseglutine B, N-methyllaurotetanine และเปลือกต้นหมีเหม็นมีสาร laurolitsine, coclaurine (7-9)
ใบหมีเหม็นมีสารกลุ่มไกลโคไซด์ (glycosides) ได้แก่ megastigmane diglycoside (6S, 7E, 9R)-6,9-dihydroxy-4,7-megastigmadien-3-one-9-O-[α-L-arabinofuranosyl-(1′′→6′)]-β-D-glucopyranoside), (6S, 7E, 9R)-roseoside, (7′R, 8′S)-dihydrodehydrodiconifenyl alcohol 9′-O-β-D-xylopyranoside, (7′R,8′R)-3,5′-dimethoxy-9,9′-dihydroxy-4,7′-epoxylignan 4′-β-D-glucopyranoside, pinoresinol 3-O-β-D-glucopyranoside, roseoside, alangionoside E, euodionoside A, apocynoside I, apocynoside II, euodionoside G, euodionoside F, spinoside A,blumenol C glucoside, (6R,7E,9R)-9-hydroxy-megastigma-4,7-dien-3-one 9-O-β-D-glucopyranoside (10-11)
ใบหมีเหม็นมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ kaempferol 7-glucoside, naringerin, naringin, astragalin (kaempferol 3-glucoside), pelargonidin 3-glucoside, quercitrin (quercetin 3-O-α-L-rhamnopyranoside), quercetin, glutin (2′,5,7-trihydroxy-6-methoxyflavone 2′-O-β-D-glucopyranoside) (9, 12)และเปลือกต้นหมีเหม็นมีสาร quercetin(13)
เปลือกต้นหมีเหม็นมีสารกลุ่มลิกแนน (lignans) ได้แก่ litseaglutinan A, (7′S,8R,8′S)-3,3′,5-trimethoxy-4,4′,9-trihydroxy-9′-O-β-D-xylopyranosyl-2,7′-cyclolignan, (-)-lyoniresinol, (-)-isolariciresinol-9′-O-β-D-xylopyranoside, (-)-isolariciresinol-5′-methoxy-9′-O-β-D-xylopyranoside, (7′R,8S,8′R)-nudiposide, (7′S,8R,8′S)-lyoniresinol, (7′S,8R,8′R)-4,4′,9-trihydroxy-3′,5-dimethyl-9′-O-β-D-xylopyranosyl-2,7′-cyclolignan, ssioriside, glochidioboside, [(2R,3S)-2,3-dihydro-2-(4-hydroxy-3-methoxyphenyl)-5-(3-hydroxypropyl)-7-methoxy-1-benzofuran-3-yl]methyl β-D-glucopyranoside (14)
ใบหมีเหม็นมีน้ำมันหอมระเหย (essential oil) ได้แก่ phytol, caryophyllene, caryophyllene oxide, thujopsene, β-myrcene β-caryophyllene, α-caryophyllene, β-ocimene, β-pinene, α-pinene, bicyclogermacrene (15-17)
ใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นสารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharides) ได้แก่ arabinoxylan (18-20)
เปลือกต้นหมีเหม็นมีสารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ gallic acid(13)
ใบหมีเหม็นมีสารกลุ่มซาโปนิน (saponins) เป็นส่วนประกอบหลัก และพบสาร diosgenin (21)
สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloids)
สารกลุ่มไกลโคไซด์ (glycosides)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
สารกลุ่มลิกแนน (lignans)
น้ำมันหอมระเหย (essential oil)
สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharides)
สารกลุ่มซาโปนิน(saponins)
สารประกอบฟีนอลิก(phenolic compounds)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
- สารออกฤทธิ์ทำความสะอาดเส้นผม ได้แก่ สารเมือก (mucilage) (22)
- สารออกฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผม ได้แก่ สารเมือก (22)
- สารออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (23)
- สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (23)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
การทดสอบสารพฤกษเคมีเบื้องต้นของหมีเหม็น
การทดสอบสารพฤกษเคมีเบื้องต้นของหมีเหม็น (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) พบว่าสารสกัดน้ำ สารสกัดอะซีโตน และสารสกัดเมทานอล ประกอบด้วยสารกลุ่ม alkaloids, flavonoids, tannins, saponins, stereoids, terpenoids, glycosides, และ anthraquinones ซึ่งการสกัดพืชทำได้โดยใช้ผงแห้งของพืช 2 ก. มาแช่ในน้ำ อะซีโตน หรือเมทานอลปริมาตร 100 มล. นาน 1 คืน กรอง จากนั้นนำมาทดสอบดังนี้ (24)
การทดสอบสารในกลุ่ม alkaloids
นำสารสกัด 2 มล. มาผสมกับกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง 2% (2% diluted HCl) 0.2 มล. และ Mayer’sreagent 0.2 มล. ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดตะกอนสีเหลืองครีม
การทดสอบสารในกลุ่ม flavonoids
นำสารสกัด 2 มล. มาเติมแผ่นแมกนีเซียมชิ้นเล็ก ๆ 2-3 ชิ้น หยดกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น (concentrated HCl) ลงไป 0.2 มล. ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดสารละลายสีแดง
การทดสอบสารในกลุ่ม steroids
นำสารสกัด 2 มล. มาผสมกับคลอโรฟอร์ม 2 มล. ค่อย ๆ เติมกรดซัลฟิวริกเข้มข้น (concentrated H2SO4) ลงไปด้านข้าง 0.5 มล. ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดสารละลายสีแดงระหว่างรอยต่อของชั้นสารละลาย
การทดสอบสารในกลุ่ม terpenoids
นำสารสกัด 2 มล. มาผสมกับคลอโรฟอร์ม 2 มล. นำไประเหยแห้ง นำมาเติมกรดซัลฟิวริกเข้มข้น2 มล. ตั้งบน water bath ประมาน 2 นาที ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดสารละลายสีแดง
การทดสอบสารในกลุ่ม tannins
นำสารสกัด 0.1 มล. มาผสมกับสารละลายเฟอร์ริกคลอไรด์2% (2%solution of FeCl3) 2 มล. ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดสารละลายสีน้ำเงิน-เขียว หรือสีดำ
การทดสอบสารในกลุ่ม saponins
นำสารสกัด 1 มล. มาผสมกับน้ำกลั่น4มล. เขย่าแรง ๆ ประมาณ 5 นาที ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดฟองถาวร
การทดสอบสารในกลุ่ม glycosides
นำสารสกัด 0.1 มล. มาผสมกับคลอโรฟอร์ม 2 มล. เติมกรดซัลฟิวริกเข้มข้น 2 มล. ค่อย ๆ เขย่าเบา ๆ ด้วยความระมัดระวัง ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดสารสีน้ำตาลแดงของ steroidal ring
การทดสอบสารในกลุ่ม anthraquinones
นำสารสกัด 2 มล. มาผสมกับสารละลายแอมโมเนีย 10% (10% ammonia solution) 1 มล. ผสมให้เข้ากัน ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดสารละลายสีชมพู แดง หรือม่วงไวโอเลต ในชั้นของแอมโมเนีย
การตรวจสอบและวิเคราะห์สาร alkaloids
ตัวอย่างที่ 1 นำผงแห้งของเปลือกต้นหมีเหม็น 20 ก. มาสกัดด้วยเมทานอลโดยใช้อุปกรณ์ soxhlet ใช้อุณหภูมิที่ไม่เกินจุดเดือดของเมทานอลในการสกัด นาน 72 ชม. กรอง และระเหยตัวทำละลายออกโดยการตั้งบน water bath อุณหภูมิ 60oC นำสารสกัดที่ได้มาวิเคราะห์สาร alkaloids โดยนำสารสกัด 20 มก. มาละลายในเมทานอล 10 มล. โดยใช้ sonic bath กรอง นำสารที่กรองได้มาผสมกับกรดไฮโดรคลอริก 1% จากนั้นนำมาเติมสารทดสอบ 3 ชนิดดังนี้ (25)
Meyers’ test: นำสารละลายที่ได้ 1 มล. มาเติม Meyer’sreagent 6 หยดให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดตะกอนสีเหลืองครีม
Wagner’s Test: นำสารละลายที่ได้ 1 มล. มาเติม Wagner’sreagent 6 หยด ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดตะกอนสีน้ำตาลแดง
Dragendroff’s test: นำสารละลายที่ได้ 1 มล. มาเติม Dragendroff’s reagent 6 หยด ให้ผลเป็นบวกเมื่อเกิดตะกอนสีส้ม
ตัวอย่างที่ 2 นำผงแห้งของเปลือกต้นหมีเหม็น 20 ก. มาแช่ในสารละลายแอมโนเนียม 10% ในเอทานอล (10% ammonical ethanol) 100 มล. นาน 24 ชม. กรองและระเหยตัวทำละลายออกจนได้สารสกัดเข้มข้น นำสารสกัดที่ได้มาแยกด้วยวิธี Thin-Layer chromatography (TLC) ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการแยกคือ(25)
Stationary phase: TLC silica gel G ความยาว 20 ซม.
Mobile phase: chloroform : methanol : tetraethylamine (75:22:3)
Running time: 45นาที
Detector: UV-VIS IR analysis ที่ความยาวคลื่น 200-1,000 นาโนเมตร
ผลการทดสอบ: พบ active bands จำนวน 8 ตำแหน่ง โดยมีค่า Rf เท่ากับ 0.93, 0.71, 0.62, 0.61, 0.58, 0.42, 0.34, และ 0.18 ซึ่งมีค่าการดูดกลืนแสงสูงสุด (absorption maxima)อยู่ในช่วงความยาวคลื่น 200 - 300 นาโนเมตร
นำสารสกัดเมทานอลที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วยวิธี Gas chromatography–mass spectrometry (GC-MS) ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ
GC-MS : Perkin Elmer autosystem XL with turbo mass system (70 eV)
Column: silica capillary PE 5 MS 30 ม. x250 ไมครอน
Injector temperature: 250oC
Detector temperature: 300oC
Column temperature: เริ่มต้น 70oC (5 นาที) และเพิ่มเป็น 290oC ด้วยอัตราเร็ว 10 oC/นาที
Sample volume: 3มคล.
Carrier gas:helium
Scanning speed: 0.84 ครั้ง/วินาที
Scanning period: 40 - 550 วินาที
ผลการวิเคราะห์: พบสารกลุ่ม piperzine carobnitrile, eicosanoic acids, cinnamolaurine derivatives, androstane derivatives, pregnane derivatives, quinoline derivatives, cinnamic acid derivative, crinamine derivatives, androstane, dihydroandosterone derivatives, thiocoumarin, cinnamon derivatives, gestonorone
การตรวจสอบและวิเคราะห์สาร flavonoids
ตัวอย่างที่ 1 การตรวจสอบสารกลุ่ม flavonoids ของสารสกัดเอทานอลของใบหมีเหม็นด้วยวิธี TLC(26)
TLC plate: silica gel GF254
Mobile phase: ethyl acetate : dichloromethane : formic acid (8:1:2)
Spray reagent: NP + PEG 4000
Reference standard: rutin
UV detector: UV ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตรและ UV ที่ความยาวคลื่น 366 นาโนเมตร
ผลการทดสอบ: เมื่อพ่นแผ่น TLC ด้วย NP + PEG 4000 และ ตรวจสอบภายใต้แสง UV ความยาวคลื่น 366 นาโนเมตร พบแถบเรืองแสงสีเหลืองจากน้ำคั้นใบหมีเหม็น และพบแถบเรืองแสงสีส้มจากสารสกัดเอทานอลของใบหมีเหม็น ที่มีค่า Rf เท่ากับ 0.21 ซึ่งใกล้เคียงกับแถบเรืองแสงสีส้มของ rutin
ตัวอย่างที่ 2 สกัดใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นโดยการนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บดหยาบ ๆ นำมาสกัดด้วยเมทานอลโดยใช้อุปกรณ์ soxhlet นาน 8 ชม. กรอง จากนั้นระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotaryevaporator ทำการวิเคราะห์ผลรวมสารฟีนอลด้วยวิธี aluminum chloride spectrophotometric method โดยนำสารสกัดเมทานอลที่ได้ มาเจือจางด้วยน้ำกลั่น(double distilled water) 4 มล.นำไปผสมกับโซเดียมไนไตรท์ (NaNO2) ความเข้มข้น 5% ขนาด 0.3 มล. เติม aluminum chloride ความเข้มข้น 10% ลงไป ผสมให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 6 นาที เติมโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ความเข้มข้น 1.0 โมลาร์ขนาด 2 มล. และน้ำกลั่น(double distilled water) 2.4มล. ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 510นาโนเมตร ในเครื่อง spectrophotometer เตรียมกราฟสารมาตรฐาน(calibration curve) โดยใช้สารละลาย quercetin ความเข้มข้น 0 - 500 มก./ล. (27)
การตรวจสอบและวิเคราะห์สาร phenolic compounds
ตัวอย่างที่ 1การวิเคราะห์สารสกัดน้ำ-แอลกอฮอล์ (hydroalcoholic extract)ของเปลือกต้นหมีเหม็นด้วยวิธี TLC มีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ(13)
Stationary phase: TLC plate
Mobile phase: toluene :ethyl acetate: formic acid (7:5:1) และ (5:4:1)
Sample volume: ไม่ระบุ
Reference standard: gallic acid, quercetin
Detector: visible light, UV ที่ความยาวคลื่น 254 และ366 นาโนเมตร
ผลการทดสอบ: เมื่อใช้ mobile phase เป็น toluene : ethyl acetate : formic acid (7:5:1) พบจุดบนแผ่น TLC ที่ตำแหน่ง Rf = 0.65 ซึ่งตรงกับสารมาตรฐาน gallic acid และเมื่อใช้ mobile phase เป็นtoluene : ethyl acetate : formic acid (5:4:1) พบจุดบนแผ่น TLC ที่ตำแหน่ง Rf = 0.82 ซึ่งตรงกับสารมาตรฐาน quercetin
ตัวอย่างที่ 2 สกัดใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นโดยการนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บดหยาบ ๆ นำมาสกัดด้วยเมทานอลโดยใช้อุปกรณ์ soxhlet นาน 8 ชม. กรอง จากนั้นระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotaryevaporator ทำการวิเคราะห์ผลรวมสารฟีนอลด้วยวิธี Folin-Ciocalteu method เตรียมกราฟสารมาตรฐาน(calibration curve)ของสารละลาย gallic acid ในเมทานอล โดยใช้สารละลายที่ความเข้มข้น0.025, 0.05, 0.075, 0.1, 0.2และ 0.3 มก./มล. ขนาด 1 มล. ผสมกับ Folin-Ciocaltue reagent 0.5 มล. และ sodium carbonate (ความเข้มข้น 75ก./ล.) ขนาด 4 มล.ทิ้งไว้ 1 ชม. ที่อุณหภูมิ 20 oC นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 765นาโนเมตร เตรียมสารสกัดด้วยวิธีเดียวกับการเตรียมสารละลายมาตรฐานและตรวจสอบด้วยวิธีเดียวกัน ผลรวมปริมาณสารฟีนอล (total phenoliccontent) ของสารสกัดแสดงในหน่วยเทียบเท่ากับสาร gallic acid (Gallic Acid Equivalents; GAE) โดยใช้สมการดังต่อไปนี้(27)
C = c.V/m
โดยที่ C คือผลรวมปริมาณสารฟีนอลหน่วยเป็น มิลลิกรัม GAE/กรัมของสารสกัด
c คือความเข้มข้นของสาร gallic acid (มก./ก.) ซึ่งมาจากกราฟสารมาตรฐาน
V คือปริมาตรของสารสกัด (มล.)
m คือน้ำหนักแห้งของพืช
การตรวจสอบและวิเคราะห์น้ำมันหอมระเหย
ตัวอย่างที่ 1นำใบและผลของหมีเหม็นมาสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) นาน 4 ชม. จากนั้นนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้ไปวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี GC-MS ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (15)
GC-MS : GC-17A gas chromatography (Shimadzu) และ GC-MS QP 5050A mass spectrometer (Shimadzu)
Column: fused silica capillary column (30 ม.×2.5 มม.; film thickness 0.25 มคม.), coated with DB-1 (J&W)
Injector temperature: 220oC
Detector temperature: 250oC
Oven temperature: 60 - 250ºC (3ºC/นาที)
Column temperature: เริ่มต้น 100oC (2 นาที) และเพิ่มเป็น 250oC ด้วยอัตราเร็ว 3 oC/นาทีภายในเวลา 50 นาที
Carrier gas:helium ความดันคงที่ 90 kPa
Scan range: 40 - 350amu
ผลการวิเคราะห์: ใบหมีเหม็นมีสาร phytol (22.42%), caryophyllene (21.48%), thujopsene (12.17%) และβ-myrcene (5%)เป็นส่วนประกอบหลัก ในขณะที่ผลของหมีเหม็นมีสาร lauric acid (44.84%), 3-octen-5-yne, 2,7-dimethyl (28.72%), α-cubebene (6.84%) และ caryophyllene (5.04%) เป็นส่วนประกอบหลัก
ตัวอย่างที่ 2นำใบหมีเหม็นสดและแห้งมาสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) นาน 6 ชม. จากนั้นนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้ไปวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี GC-MS ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ(16)
GC-MS : 6890N-5973N gas chromatograpy–mass spectrometry
Column: HP-5MS capillary column (30 ม.x0.25 มม., 0.25 มคม.)
Column temperature: เริ่มต้น 80oC (3 นาที) และเพิ่มเป็น 100oC ด้วยอัตราเร็ว 10 oC/นาทีคงไว้ 1 นาที และเพิ่มเป็น 160 oC ด้วยอัตราเร็ว 20 oC/นาทีคงไว้ 2 นาทีและเพิ่มเป็น 190 oC ด้วยอัตราเร็ว 10 oC/นาทีคงไว้ 1นาทีและเพิ่มเป็น 250 oC ด้วยอัตราเร็ว 20 oC/นาทีคงไว้ 2 นาที
Injector Temperature: 250oC
Carrier gas:helium (1 มล./นาที)
Split ratio: 20:1
Injection volume: 0.4 มคล.
ผลการวิเคราะห์: น้ำมันหอมระเหยจากใบหมีเหม็นสดมีสาร β-caryophyllene (22.83%), β-ocimene (7.19%), phytol (6.90%), β-pinene (6.79%), α-pinene (5.97%), และ caryophyllene oxide (5.95%) ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากใบหมีเหม็นแห้งมีสารβ-caryophyllene (23.22%), β-ocimene (7.78%), bicyclogermacrene (7.24%), α-caryophyllene (5.89%), และα-pinene (5.42%)
ตัวอย่างที่ 3 นำใบหมีเหม็นมาสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำนาน 4 ชม. จากนั้นนำน้ำมันหอมระเหยที่ได้ไปวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธี Gas chromatography-flame ionization detector (GC-FID) และ GC-MS ซึ่งมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ(17)
GC-FID : HP 6890 Plus Gas chromatography equipped with a FID
Column: HP-Wax และ HP-5MS columns (30 ม.x0.25 มม.; film thickness 0.25 มคม.)
Carrier gas:hydrogen (1 มล./นาที)
Injector Temperature: 250oC
Detector Temperature: 260oC
Column temperature: เริ่มต้น 40 oC (2 นาที) และเพิ่มเป็น 220 oC ด้วยอัตราเร็ว 4 oC/นาที คงไว้ 10 นาที
Split ratio: 10:1
Injection volume: 1.0 มคล.
Inlet pressure: 6.1 kPa
GC-MS : HP 6890N Plus Chromatograph เชื่อมต่อกับ Mass Spectrometer HP 5973 MSD
Column: fused silica capillary HP-5 MS column (30 ม.x0.25 มม.; film thickness 0.25 มคม.)
Carrier gas:helium (1 มล./นาที)
สภาวะอื่น ๆ เหมือนกับการวิเคราะห์ด้วย GC-FID
MS condition: ionization voltage 70 eV; emission current 40 mA; scan mass range 35-350 amu; sampling rate 1.0 scan/วินาที
ผลการวิเคราะห์: น้ำมันหอมระเหยจากใบหมีเหม็นมีสาร (E)-β-ocimene (57.4 %), α-pinene (7.8 %) และβ-pinene (7.3 %) เป็นส่วนประกอบหลัก
ตัวอย่างที่ 4 สกัดน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็นโดยการนำเปลือกต้นมาผึ่งลมให้แห้ง สับและบดเป็นผง นำมา 250 ก. สกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำโดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-typeapparatus แยกส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา และเติม anhydrous sodium sulfate เพื่อกำจัดน้ำ นำมาวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธีGC-MS โดยมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (23)
GC-MS : Shimadzu GCMS-QP2010S (electron ionization system, ionization of 70 eV)
Column: Rtx-5,capillary column (0.25 มม., 0.25 มคม.)
Split ratio: 1:25
Injector temperature: 300oC
Column temperature: 60oC และเพิ่มเป็น 300oC ในเวลา 10 นาที
Sample volume: 1มคล.
Carrier gas:helium
Flow rate: 1มล./นาที
Mass scanning range: 40-500 m/z
ผลการวิเคราะห์: น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็นมีองค์ประกอบหลักคือ 9,12-octadecadienoic acid (62.57%), hexadecanoic acid (12.68%), stigmast-5-en-3-ol (6.87%) และvitamin E (2.51%)
การแยกและตรวจสอบสารกลุ่ม polysaccharides
ตัวอย่างที่ 1แยกสารเมือก (mucilage) จากใบหมีเหม็นโดย นำใบหมีเหม็น 200 ก. มาอบแห้งที่อุณหภูมิ 40 oC บดให้ละเอียด นำมาต้มกับน้ำ นาน 1 ชม. นำสารสกัดที่ได้ไปใช้ หรือนำไปทำให้แห้งด้วยเครื่อง spray dryer เพื่อความสะดวกในการเก็บรักษา (22)
ตัวอย่างที่ 2แยกสารเมือกจากใบหมีเหม็นโดย นำใบหมีเหม็นสด 100 ก. มาคั้นกับน้ำที่ปราศจากไอออน 1,000 มล. กรองและบีบผ่านผ้ามัสลินที่หนา 4 ชั้น เก็บสารเมือกที่ได้ไปใช้ (22)
ตัวอย่างที่ 3แยกสารเมือกจากเปลือกต้นหมีเหม็นโดย นำผงแห้งของเปลือกต้นหมีเหม็น 30 ก. มาสกัดกับตัวทำละลายอีเธอร์ด้วยอุปกรณ์ soxhlet นาน 6-8 ชม. นำส่วนกากมาทำให้แห้ง และหมักกับแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ (absolute alcohol) 1 คืน เพื่อกำจัดไขมันและสี ทิ้งส่วนที่เป็นของเหลว จากนั้นนำกากมาหมักกับสารละลายกรดอะซิติก 5% ในน้ำ (5% aqueous acetic acid solution) นาน 18-20 ชม. ทำการหมักซ้ำ 3 รอบ กรอง นำสารละลายที่ได้มาทำให้เข้มข้นโดยการระเหยบน water bath จนเหลือ 50 มล. จากนั้นนำมาทำให้สารเมือกตกตะกอนด้วยการเติมแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ กรอง และล้างด้วยแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ นำมาทำให้แห้งที่อุณหภูมิ 100 oC ซึ่งจะได้สารเมือกประมาณ 38% w/w (เทียบกับเปลือกต้นหมีเหม็นแห้ง) บดให้เป็นผงและนำมาผ่านแร่งเบอร์ 80 เก็บสารที่ได้ในตู้ควบคุมความชื้น (desiccator) จนกว่าจะนำไปใช้ (28)
ตัวอย่างที่ 4วิธีการแยกสาร arabinoxylan ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม polysaccharides จากใบหมีเหม็นทำได้โดยนำใบหมีเหม็นสด 200 ก. มาต้มกับน้ำกลั่นนาน 7 ชม. กรองด้วยผ้าลินิน นำสารที่ได้ไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที นาน 40 นาที นำส่วนใสมาตกตะกอนด้วยเอทานอล อัตราส่วน 1:5 (v/v) นำตะกอนที่ได้มาละลายในน้ำและกรองด้วยวิธี dialysis ผ่าน cellulose membrane (retaining Mw >12,400) จากนั้นนำมาทำให้แห้งความความเย็น (freeze-drying) ซึ่งจะได้ crude polysaccharide ประมาณ 1 ก. จากนั้นนำมาทำให้บริสุทธิ์ด้วยเทคนิค gel permeation chromatography โดยละลาย crude polysaccharide 30 มก. ในน้ำ นำไปผ่าน column ขนาด 90 ซม. X 2.1 ซม. ซึ่งบรรจุ Sepharose 6B โดยใช้ flow rate 12 หยด/นาที เก็บสารที่ได้ (eluant) ในหลอดทดลองขนาด 2 มล. ด้วยอุปกรณ์ Redifrac fraction collector (ขนาดบรรจุ 95 หลอด) ทำการวิเคราะห์แต่ละหลอดด้วยวิธี phenol–sulphuric colorimetric assay โดยวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง UV–vis spectrophotometer ที่ความยาวคลื่น 490 นาโนเมตรซึ่งจะได้สาร pure polysaccharide (PS) ประมาณ 22 มก. จากนั้นจึงนำไปพิสูจน์โครงสร้างด้วยเทคนิค nuclear magnetic resonance (NMR) (ได้แก่ 1H, 13C, DQF-COSY, TOCSY, NOESY, ROESY, HMBC, DEPT-135), gas-liquid chromatography (GLC), และ gas-liquid chromatography-mass spectrometry (GLC-MS) ซึ่งสารที่แยกได้คือสาร arabinoxylan (20)
การตรวจสอบและวิเคราะห์สาร saponins
ตัวอย่างที่ 1 การตรวจสอบสารกลุ่ม saponins ด้วยวิธี TLC (26)
TLC plate: silica gel GF254
Mobile phase: chloroform: methanol : water (6.4:5:1)
Spray reagent: anisaldehyde-sulfuric acid
Reference standard: commercial saponin (Merck)
UV detector: UV ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตรและ UV ที่ความยาวคลื่น 366 นาโนเมตร
ผลการทดสอบ: การตรวจสอบภายใต้แสง UV ความยาวคลื่น 366 นาโนเมตร พบแถบเรืองแสงสีฟ้าของน้ำคั้นและสารสกัดเอทานอลของใบหมีเหม็น และ commercial saponin เมื่อพ่นแผ่น TLC ด้วย anisaldehyde-sulfuric acid พบแถบสีเขียวของน้ำคั้นและสารสกัดเอทานอลของใบหมีเหม็น และ commercial saponin เมื่อนำไปอบที่อุณหภูมิ 110 oC จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง-น้ำเงิน และเมื่อตั้งทิ้งไว้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ตัวอย่างที่ 2นำใบหมีเหม็นมาทำความสะอาดและอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 40 oC นาน 72 ชม. บดให้ละเอียด นำผงแห้ง 0.05 ก. มากระจายใน 80% เมทานอล สกัดโดยการสั่นด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonication) นำส่วนใสที่ได้มาทดสอบด้วยวิธี colorimetric method โดยนำสารสกัด 50 มคล. มาผสมกับกรดซัลฟิวริก 72% (v/v) 2.5 มล. และสารละลาย 8% vanillin ในเอทานอล (8% vanillin solution in ethanol) 0.1 มล. นำไปตั้งบน water bath อุณหภูมิ 60oC นาน 10 นาที และทำให้เย็นลงด้วยการแช่ในน้ำเย็น นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 544 นาโนเมตร ด้วยเครื่อง SPECTROstar Nano Microplate Reader สารมาตรฐานที่ใช้ในการเปรียบเทียบคือสาร diosgenin โดยแสดงผลเป็นหน่วย มิลลิกรัมเทียบเท่าสาร diosgenin ต่อกรัมของสารสกัด(mg diosgenin equivalents per gram extract; mg DE/g extract) ซึ่งพบว่าสารสกัดเมทานอลของใบหมีเหม็นมีผลรวมปริมาณสาร saponins เทียบเท่ากับสาร diosgenin 0.52 มิลลิกรัมต่อกรัมของสารสกัด(21)
ตัวอย่างที่ 3นำใบหมีเหม็นมาทำความสะอาดและอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 40 oC นาน 72 ชม. บดให้ละเอียด นำผงแห้ง 0.05 ก. มากระจายใน 80% เมทานอล สกัดโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonication) นำส่วนใสที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธี high performance thin layer chromatography (HPTLC) โดยสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ (21)
Stationary phase: glass plates with silica gel 60 F254 (20×10 cm)
Mobile phase: chloroform: glacial acetic acid: methanol: H2O (6.4:3.2:1.2:0.8)
Sample volume: 3-10 มคล.
Reference standard: diosgenin
Detection reagent: จุ่ม plate ลงใน anisaldehyde sulfuric acid reagent และทำให้แห้งบนแผ่นให้ความร้อน(heat plate) ที่อุณหภูมิ 100 oC นาน 5 นาที
Detector: visible light, UV ที่ความยาวคลื่น 254 และ366 นาโนเมตร
ผลการทดสอบ: พบแถบเรืองแสงจำนวน 8 แถบ (Rf = 0.12, 0.20, 0.38, 0.45, 0.53, 0.64, 0.70, และ 0.84) เมื่อตรวจสอบภายใต้แสง UV ความยาวคลื่น 366 นาโนเมตรและสารมาตรฐาน diosgenin มีค่า Rf = 0.84
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผม (H004)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการหลุดร่วงของเส้นผมของแชมพูที่มีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลจากใบหมีเหม็น และแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำคั้นจากใบหมีเหม็น(ไม่ระบุแหล่งที่มาและvoucher specimen) ซึ่งเตรียมสารสกัดเอทานอลจากใบหมีเหม็นโดยการนำใบหมีเหม็นสด 5 กก. มาอบแห้งที่อุณหภูมิ 70-80 oC บดให้ละเอียด หมักด้วย 95% เอทานอล 10 ล. กวนหรือเขย่าบ่อย ๆ ขณะแช่สกัด โดยแช่สกัด 3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลา 3 วัน เมื่อครบ 3 วันแรก กรองสารสกัดด้วยผ้าขาวบาง ระเหยตัวทำละลายออกบางส่วนด้วยเครื่อง rotary evaporator จากนั้นจึงนำกากที่เหลือไปแช่สกัดต่อด้วย 95% เอทานอล 10 ล. ทำเช่นเดิมจนครบ 3 ครั้ง รวมสารสกัดที่ได้ นำมาต้มกับ activated charcoal จนเดือดเล็กน้อย (เพื่อกำจัดคลอโรฟิลล์) นำมากรอง และล้างด้วย 95% เอทานอลหลาย ๆ ครั้งเพื่อให้สารสำคัญที่เกาะอยู่กับ activated charcoal หลุดออกมา จากนั้นจึงระเหย 95% เอทานอลออกด้วยการตั้งบน water bath จนหมดกลิ่นเอทานอล จะได้สารสกัดเอทานอลจากใบหมีเหม็นสำหรับเตรียมแชมพูและเตรียมน้ำคั่นจากใบหมีเหม็นโดยการนำใบหมีเหม็นสด 2.9 กก. มาหั่นเป็นชิ้นเล็กพอประมาณ ต้มกับน้ำ 8 ล. คั้นน้ำจากใบหมีเหม็นโดยใช้ผ้าขาวบาง กรอง จะได้น้ำคั้นจากใบหมีเหม็นสำหรับเตรียมแชมพู ทำการทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 20 คน อายุระหว่าง 21-51 ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน กลุ่มที่ 1 ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารสกัดเอทานอลของใบหมีเหม็น 0.15% และกลุ่มที่ 2 ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำคั้นจากใบหมีเหม็น 10% โดยให้อาสาสมัครใช้แชมพูสระผมวันละ 1 ครั้ง สระแบบวันเว้นวัน ใช้แชมพูครั้งละ 5 มล. ชโลมลงบนผมที่เปียกน้ำ ขยี้เบา ๆ จนทั่ว นาน 2 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำ ทำการทดสอบนาน 1 เดือน พบว่า กลุ่มที่ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารสกัด 95% เอทานอลของใบหมีเหม็นจำนวน 6 คน (60%) มีความพึงพอใจ และมีอัตราการลดลงเฉลี่ยของผมร่วง 23.46% ในขณะที่กลุ่มที่ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำคั้นจากใบหมีเหม็นจำนวน 9 คน (90%) มีความพึงพอใจ และมีอัตราการลดลงเฉลี่ยของผมร่วง 28.56% แต่เมื่อเปรียบเทียบอัตราการลดลงเฉลี่ยของผมร่วงของแชมพูทั้ง 2 ชนิดในทางสถิติ พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) จึงยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม (26)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ
1.1 ฤทธิ์ทำความสะอาดเส้นผม (H001)
การทดสอบฤทธิ์ทำความสะอาดเส้นผมของสารเมือก (mucilage) ที่สกัดได้จากใบหมีเหม็นจากจังหวัดนครนายก (voucher specimen: ws0124) โดยใช้ใบหมีเหม็นที่โตเต็มที่มาสกัดเพื่อให้ได้สารสกัด 3 ชนิดดังนี้
นำใบหมีเหม็น 200 ก. มาอบแห้งที่อุณหภูมิ 40 oC บดให้ละเอียด นำมาต้มกับน้ำที่ปราศจากไอออน (deionized water) 2,000 มล. นาน 1 ชม. จากนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนที่ 1 นำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -20 oC (ได้สารสกัด M-B) ส่วนที่ 2 นำไปทำให้แห้งด้วยเครื่อง spray dryer (ได้สารสกัด M-P)
นำใบหมีเหม็นสด 100 ก. มาคั้นกับน้ำที่ปราศจากไอออน 1,000 มล. กรองและบีบผ่านผ้ามัสลินที่หนา 4 ชั้น เก็บสารเมือกที่ได้ (ได้สารสกัด M-F)
นำสารสกัดที่ได้มาทดสอบความสามารถในการลดแรงตึงผิว (surface tension) ของน้ำด้วยเครื่อง du Noüy ring tensiometer ที่อุณหภูมิ25oC โดยใช้สารสกัดความเข้มข้น 0-100% (v/v) พบว่า M-P และ M-F สามารถลดแรงตึงผิวของน้ำได้ดี และมีค่าใกล้เคียงกัน ส่วนM-B สามารถลดแรงตึงผิวของน้ำได้ดีเช่นกัน แต่ประสิทธิภาพยังน้อยกว่า M-P และ M-F เล็กน้อยสารสกัดทั้ง 3 ชนิดมีค่าความเข้มข้นวิกฤตของการเกิดไมเซลล์ (critical micellar concentration; CMC) ที่ความเข้มข้นเดียวกันคือ 20% (v/v) โดยที่ความเข้มข้นดังกล่าว M-F, M-B, และ M-P ทำให้แรงตึงผิวของน้ำลดลงเหลือ 46.29, 47.57, และ 44.95 มิลลินิวตัน/เมตร (mN/m) ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่า สารสกัดทั้ง 3 ชนิดของใบหมีเหม็นมีคุณสมบัติในการช่วยทำความสะอาดได้(22)
1.2 ฤทธิ์บำรุงเส้นผม (H002)
การทดสอบฤทธิ์บำรุงเส้นผมของใบหมีเหม็น(ไม่ระบุแหล่งที่มาและvoucher specimen) โดยนำใบหมีเหม็นมาทำให้แห้งและสกัดด้วยน้ำด้วยวิธีสั่นด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (sonication) จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ไปทดสอบกับปอยผม โดยประเมินผลจากลักษณะภายนอก และลักษณะทางกายภาพโดยการส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 1,000 เท่า พบว่าปอยผมที่ได้รับสารสกัดมีลักษณะภายนอก ความนุ่ม และการหวีลื่น ดีกว่าปอยผมที่ไม่ได้รับสารสกัด (29)
1.3 กระตุ้นการงอกของเส้นผม (H005)
การทดสอบฤทธิ์กระตุ้นการงอกของเส้นผมของสารเมือก (mucilage) ที่สกัดได้จากใบหมีเหม็นจากจังหวัดนครนายก (voucher specimen: ws0124) โดยนำใบหมีเหม็นที่โตเต็มที่ 200 ก. มาอบแห้งที่อุณหภูมิ 40 oC บดให้ละเอียด นำมาต้มกับน้ำที่ปราศจากไอออน (deionized water) 2,000 มล. นาน 1 ชม. จากนั้นนำไปทำให้แห้งด้วยเครื่อง spray dryer (ได้สารสกัด M-P) นำมาทดสอบกับเซลล์ต่อมผมของมนุษย์ (human hair follicle dermal papilla; HFDP) ด้วยวิธี3- (4,5-dimethylthiazol-2-yl)-2,5-diphenyl-tetrazolium-bromide (MTT) assay โดยบ่มเซลล์ HFDP ร่วมกับ M-P (ละลายในDMSO) ที่ความเข้มข้น 4 – 1,000 มคก./มล. อุณหภูมิ 37 oC เป็นเวลานาน 24, 48, และ 72 ชม.จากผลการทดลองพบว่า ณ เวลา 24 ชม. M-P ที่ความเข้มข้น 125, 250, และ 500 มคก./มล. กระตุ้นการเจริญเติบโตของ HFDP ได้ 23%, 40% และ 25% ตามลำดับ แต่เมื่อระยะเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 48 ชม. การเจริญเติบโตของ HFDP กลับลดลง ในขณะที่ยาปลูกผมminoxidil จะออกฤทธิ์กระตุ้นการเจริญเติบโตของ HFDP ได้ดีที่ความเข้มข้นต่ำ โดยความเข้มข้น 16, 32, 62.5 มคก./มล. สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของ HFDP ได้ 16%, 13% และ 28% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าสารเมือกจากใบหมีเหม็นมีฤทธิ์กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ต่อมผมของมนุษย์ที่ดี แต่อาจต้องใช้ความเข้มข้นที่เหมาะสมและสูงกว่า minoxidil (22)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิว (S005)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์, คลอโรฟอร์ม, และเอทานอลของใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นจากประเทศอินเดีย (voucher specimen: 97294) ซึ่งทำการสกัดโดยนำใบและเปลือกของต้นหมีเหม็นมาล้างทำความสะอาด ผึ่งให้แห้ง 1 สัปดาห์ บดเป็นผง นำผงที่ได้มาสกัดด้วยตัวทำละลายต่าง ๆ โดยใช้อุปกรณ์ soxhlet นาน 48 ชม. จากนั้นระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งโดยการตั้งบน water bath นำสารสกัดแต่ละชนิดมาละลายใน10% dimethyl sulphoxide (DMSO) เพื่อให้ได้ความเข้มข้น 40, 20, 10, 5 และ2.5 มก./มล.ทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียStaphylococcus aureusด้วยวิธี agar dilution susceptibility test เพื่อหาค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ (MIC) พบว่าสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์, คลอโรฟอร์ม, และเอทานอลจากส่วนใบมีค่า MIC เท่ากับ >40, >40, และ 2.5 มก./มล. ตามลำดับ และสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์, คลอโรฟอร์ม, และเอทานอลจากส่วนเปลือกมีค่า MIC เท่ากับ 10, 2.5, และ 2.5 มก./มล. ตามลำดับ จากนั้นนำสารสกัดที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureusด้วย sensitive radial diffusion technique โดยใช้สารสกัดขนาด 5 มก./disc เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน ciprofloxacin ขนาด 100 มคก./disc พบว่าสารสกัดเอทานอลจากส่วนใบมีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อ (diameter of zone of inhibition) เท่ากับ 7.6 มม. (สารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์และสารสกัดคลอโรฟอร์มไม่แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังกล่าว) และสารสกัดปิโตรเลียมอีเธอร์, คลอโรฟอร์ม, และเอทานอลจากส่วนเปลือกมีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 5.8, 13.6, และ 15.2 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยามาตรฐาน ciprofloxacin มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 25.0 มม. จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากเปลือกต้นออกฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ได้ดีกว่าสารสกัดจากใบ และสารสกัดเอทานอล ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด แต่ประสิทธิภาพยังน้อยกว่ายามาตรฐาน ciprofloxacin ในขนาดที่ทำการทดสอบ (30)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ของสารสกัดน้ำและสารสกัดเอทานอลจากใบและเปลือกต้นหมีเหม็นจากประเทศบังกลาเทศ(ไม่ระบุ voucher specimenและวิธีการสกัด)ด้วยวิธี Kirby Bauer disc diffusion method โดยใช้สารสกัดเอทานอลขนาด 1,000 มคก./disc และใช้สารสกัดน้ำขนาด 10 มคก./disc เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน kanamycin (ไม่ระบุความเข้มข้น) ขนาด 30 มคล./disc วัดค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อที่เวลา 24 ชม. พบว่า สารสกัดเอทานอลของใบและเปลือกต้นมีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 14.7 และ 14.6 มม. ตามลำดับ สารสกัดน้ำของใบและเปลือกต้นมีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 34 และ 27 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยามาตรฐาน kanamycin ค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 32 มม. จะเห็นว่า สารสกัดน้ำของใบหมีเหม็นมีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.aureusดีที่สุด และออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายามาตรฐาน kanamycin ในขนาดที่ทำการทดสอบ (31)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็นจากประเทศอินเดีย (voucher specimen: 97294) ซึ่งสกัดโดยการนำเปลือกต้นมาผึ่งลมให้แห้ง สับและบดเป็นผง นำมา 250 ก. สกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation)โดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-typeapparatus แยกส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา และเติม anhydrous sodium sulfate เพื่อกำจัดน้ำ นำน้ำมันหอมระเหยที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus ด้วยวิธี agar disk diffusion method และ resazurin microtitre-plate assay พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็นขนาด 5มคล./disc ยามาตรฐาน gentamycin และ ampicillin (ไม่ระบุความเข้มข้น) ขนาด 10 มคล./disc มีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 9.66, 24.67, และ12.67 มม. ตามลำดับ และมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ (MIC) เท่ากับ12.5, 4.16, และ 5.20 มก./มล. ตามลำดับ (23)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสกัดเอทานอลของใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นจากประเทศบังกลาเทศ (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งทำการสกัดโดยนำใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นมาผึ่งให้แห้ง 1 สัปดาห์ บดเป็นผงหยาบ นำมาสกัดด้วยเอทานอลโดยใช้อุปกรณ์ soxhlet จากนั้นระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียS. aureusด้วยวิธี disc diffusion method โดยใช้สารสกัด 250 และ 500 มคก./disc เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน kanamycin ขนาด 30 มคก./disc พบว่าสารสกัดจากส่วนใบที่ความเข้มข้น 250 และ 500 มคก./disc มีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 7 และ 10 มม. ตามลำดับ สารสกัดจากส่วนเปลือกมีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 9และ 16 มม. ตามลำดับ ในขณะที่ยามาตรฐาน kanamycin มีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 25 มม. แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากส่วนเปลือกมีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.aureusดีกว่าสกัดจากส่วนใบ (32)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ของสารสกัดต่างๆ จากใบหมีเหม็นจากประเทศอินเดีย(ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดโดยการนำใบหมีเหม็นมาผึ่งให้แห้ง บดให้เป็นผง นำมาสกัดโดยวิธี sequential extraction method ด้วยเฮกเซน คลอโรฟอร์ม และเมทานอล ตามลำดับ กรอง และระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ40 °C จะได้สารสกัดเฮกเซน สารสกัดคลอโรฟอร์ม และสารสกัดเมทานอล เตรียมสารสกัดน้ำโดยการนำผงแห้งของใบหมีเหม็นมาเติมน้ำ ตั้งบน water bath และคนอย่างสม่ำเสมอ นาน 4 ชม. กรอง และนำมาสารละลายที่ได้มาปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว5,000 รอบ/นาที นาน 15 นาที นำส่วนใสที่ได้ไประเหยตัวทำละลายออก จะได้สารสกัดน้ำ นำสารสกัดแต่ละชนิดมาละลายใน DMSO ให้ได้ความเข้มข้น 25, 50, และ 100มก./มล. นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ S.aureus MTCC B3160 ด้วยวิธี agar well diffusion และ two-fold serial dilution method เปรียบเทียบผลกับยามาตรฐาน tetracycline พบว่า สารสกัดเฮกเซนความเข้มข้น 25, 50, และ 100 มก./มล. มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อ เท่ากับ 16, 18, และ 20 มม. ตามลำดับ สารสกัดคลอโรฟอร์มความเข้มข้น 25, 50, และ 100 มก./มล. มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 17, 19, และ 21มม. ตามลำดับสารสกัดเมทานอลความเข้มข้น 25, 50, และ 100 มก./มล. มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 16, 18, และ 20 มม. ตามลำดับสารสกัดน้ำความเข้มข้น 25, 50, และ 100 มก./มล. มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ11, 13, และ 15 มม. ตามลำดับในขณะที่ ยามาตรฐาน tetracycline (ไม่ระบุความเข้มข้น) มีค่าเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณยับยั้งเชื้อเท่ากับ 24 มม. และสารสกัดเฮกเซน สารสกัดคลอโรฟอร์ม สารสกัดเมทานอล และสารสกัดน้ำมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ (MIC) เท่ากับ 500, 250, 250, และ 1,000 มคก./มล. ตามลำดับ (ไม่ระบุค่า MIC ของ tetracycline) (33)
2.2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (S006)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอลของใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นจากประเทศอินเดีย (voucher specimen: 9639) ซึ่งทำการสกัดโดยนำใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บดหยาบ ๆ นำมาสกัดด้วยเมทานอลโดยใช้อุปกรณ์ soxhlet นาน 8 ชม. กรอง จากนั้นระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2, 2-diphenyl-1-picryl hydrazyl (DPPH) scavenging, nitric oxide scavenging, superoxide scavenging, metal chelating activity และ reducing power potency พบว่าสารสกัดจากเปลือกมีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) น้อยกว่าสารสกัดจากใบในทุก ๆ การทดสอบ (แสดงผลเป็นกราฟ) แสดงให้เห็นว่าสารสกัดเมทานอลจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าสารสกัดเมทานอลจากใบหมีเหม็น(27)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็นจากประเทศอินเดีย(voucher specimen: 97294)ซึ่งสกัดโดยการนำเปลือกต้นมาผึ่งลมให้แห้ง สับและบดเป็นผง นำมา 250 ก. สกัดด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation)โดยใช้อุปกรณ์ Clevenger-typeapparatus แยกส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา และเติม anhydrous sodium sulfate เพื่อกำจัดน้ำ นำน้ำมันหอมระเหยที่ได้มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, 2, 2-azinobis-3-ethylbenzothiazoline-6-sulfonate radical cation (ABTS) และβ-carotene bleaching assay พบว่าการทดสอบด้วยวิธี DPPH และ ABTSassay น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็นมีค่า IC50 เท่ากับ4.54 และ256.02 มคก./มล. ตามลำดับ ในขณะที่สารมาตรฐาน BHA (DPPH assay) และ BHT(ABTS asay) มีค่า IC50 เท่ากับ 19.13 และ 4.45 มคก./มล. ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธี β-carotene bleaching assay น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นหมีเหม็น(ไม่ระบุความเข้มข้น) มีฤทธิ์ยับยั้งได้ 78.51% ในขณะที่สารมาตรฐาน ascorbic acid และ BHA(ไม่ระบุความเข้มข้น) ยับยั้งได้ 63.33% และ 93.42% ตามลำดับ (23)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทานอลของใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นจากประเทศบังกลาเทศ (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งทำการสกัดโดยนำใบและเปลือกต้นของหมีเหม็นมาผึ่งให้แห้ง 1 สัปดาห์ บดเป็นผงหยาบ นำมาสกัดด้วยเอทานอลโดยใช้อุปกรณ์ soxhlet จากนั้นระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดเอทานอลของใบและเปลือกของต้นหมีเหม็นมีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 76.75 และ 17.49 มคก./มล. และเมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี reducing power assay โดยใช้สารสกัดขนาด 100 – 1,000 มคก./มล. เปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน ascorbic acid ที่ขนาดเดียวกัน พบว่าสารสกัดทั้ง 2 ชนิดมี reducing power ที่ดี โดยประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาดที่ให้ ซึ่งสารสกัดจากส่วนเปลือกมีฤทธิ์ดีกว่าสกัดจากส่วนใบ และมีฤทธิ์ใกล้เทียบกับสารมาตรฐาน ascorbic acid(32)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเอทานอลจากใบหมีเหม็นจากประเทศอินเดีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดด้วยวิธีแช่สกัด (maceration) กับเอทานอล หลังจากระเหยตัวทำละลายออกแล้ว นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay และ hydrogen Peroxide (H2O2) scavenging activity method ซึ่งการทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดเอทานอลจากใบหมีเหม็นมีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 82.471 มคก./มล.ส่วนสารมาตรฐาน ascorbic acid มีค่า IC50 17.681 มคก./มล.และการทดสอบด้วยวิธี H2O2 method พบว่าสารสกัดเอทานอลจากใบหมีเหม็นมีค่า IC50 เท่ากับ 91.940 มคก./มล.ส่วนสารมาตรฐาน ascorbic acid มีค่า IC50 36.613 มคก./มล. การทดสอบด้วยวิธี ferric reducing ability of plasma (FRAP) assay โดยการวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 700 นาโนเมตรด้วยเครื่อง UV-Vis spectrophotometer ของสารสกัดเอทานอลเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน ascorbic acid ความเข้มข้น 10 - 200 มคก./มล. พบว่าสารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ(reducing power) ที่ดี (ค่าการดูดกลืนแสง 0.089-0.533) โดยการออกฤทธิ์จะขึ้นกับขนาดที่ใช้ แต่ประสิทธิภาพยังน้อยกว่าสารมาตรฐาน ascorbic acid(ค่าการดูดกลืนแสง 0.345-0.896) (34)
2.3 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (S014)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเมทานอลของใบหมีเหม็นจากประเทศบังกลาเทศ (voucher specimen: 38277) ซึ่งสกัดโดยนำผงแห้งของใบหมีเหม็น 630 ก. มาแช่ใน 99% เมทานอล 2,200 มล. ทิ้งไว้ 15 วัน โดยมีการเขย่าเป็นประจำ กรอง ระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporator โดยใช้ความเร็วของการหมุน 4 รอบ/นาที อุณหภูมิ 65 oC จากนั้นนำมาทำให้แห้งด้วยความเย็น จะได้สารสกัดเมทานอล นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูเม้าส์ โดยแบ่งหนูเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มที่ 2 ได้รับการป้อนยามาตรฐาน ketorolac 10 มก./กก. กลุ่มที่ 3 และ 4 ได้รับการป้อนสารสกัดขนาด 250 และ 500 มก./กก. ตามลำดับ หลังจากนั้น 30 นาที หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยการฉีดสารคาราจีแนนเข้าบริเวณอุ้งเท้าหลัง 0.05 มล. ทำการวัดขนาดอุ้งเท้าที่เวลา 0, 1, 2, และ 3 ชม. หลังจากฉีดสารคาราจีแนน พบว่า ที่เวลา 3 ชม. หนูกลุ่มที่1 - 4 มีขนาดของอุ้งเท้า 1.78, 1.64, 1.51และ 1.47มม. ตามลำดับแสดงให้เห็นว่า สารสกัดเมทานอลของใบหมีเหม็นมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและให้ผลดีกว่ายามาตรฐาน ketorolac ในขนาดที่ทำการทดสอบ โดยประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาดที่ให้(35)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษโดยฉีดสารสกัด 50% เอทานอลของส่วนเหนือดินเข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าความเข้มข้นที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LC50) มีค่ามากกว่า 1 ก./กก. (36) การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดเอทานอลของเปลือกต้นของหมีเหม็นโดยการป้อนให้หนูแรทกินเพียงครั้งเดียวในขนาด 1,000, 2,000,และ 3,000 มก./กก.เฝ้าสังเกตอาการ 24 ชม. โดยสังเกตอย่างใกล้ชิดที่เวลา 4 ชม.แรกหลังจากนั้นจะสังเกตอาการวันละ 1 ครั้งต่อไปอีก 14 วันพบ ว่าสารสกัดทุกขนาดไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษกับอวัยวะภายใน แต่ที่ขนาด 3,000 มก./กก. ทำให้น้ำหนักของตับและหัวใจของเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จึงคาดว่าค่า LC50 คือ มากกว่า 3,000 มก./กก. (37)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอําง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังในรูปแบบของเครื่องสำอําง
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในรูปแบบของเครื่องสำอําง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ขนาดที่มีกํารศึกษาว่าสามารถลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้คือแชมพูที่มีส่วนผสมของสารสกัด95% เอทานอลของใบหมีเหม็น0.15%และแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำคั้นจากใบหมีเหม็น10%โดยใช้แชมพู สระผมวันละ1ครั้ง สระแบบวันเว้นวันใช้แชมพูครั้งละ5มล.ชโลมลงบนผมที่เปียกน้ำขยี้เบาๆจนทั่ว นาน 2 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำ (26)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
สรุป
การใช้ตามภูมิปัญญาพื้นบ้านนิยนำส่วนเปลือกต้นและใบหมีเหม็นมาใช้เป็นยาสระผมและปัจจุบันใน ท้องตลาดก็มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมและผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่มีส่วนผสมของสํารสกัดจําก ใบหมีเหม็นอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งการสืบค้นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าสารเมือก(mucilage)จากเปลือกต้นและใบหมีเหม็นมีส่วนช่วยในการทำความสะอาดเส้นผม บำรุงผม และกระต้นุการงอกของเส้นผม แต่ทั้งหมดยังเป็นการศึกษาในหลอดทดลองเท่านั้น อย่างไรก็ตามการใช้เปลือกต้นและใบหมีเหม็นมีประวัติการใช้มาอย่างยาวนานมีความปลอดภัยสูงและค่อนข้างได้รับความนิยมจึงนับว่ามีแนวโน้มที่ดี ในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครี่องสำอางหรือเพื่อการใช้ภายนอกได้แต่ยังต้องการข้อมูลงานวิจัย เพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Litsea glutinosa (Lour.) C.B.Rob. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 7]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2352381.
3. ก่องกานดา ชยามฤต. สมุนไพรไทย ตอนที่ 6. กรุงเทพฯ: หจก. ไดมอนด์ พรินติ้ง จำกัด; 2540.
4. วงศ์สถิตย์ ฉั่วกุล, พร้อมจิต ศรลัมพ์, รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล และคณะ. สยามไภษัชยพฤกษ์ ภูมิปัญญาของชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน); 2538.
5. สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียว, อ่องเต็ง นันทแก้ว. องค์ความรู้เรี่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 2.เชียงใหม่: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน); 2551.
6. นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร..ไม้พื้นบ้าน (5). กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด; 2543.
7. Hart NK, Johns SR, Lamberton JA, Loder JW, Moorhouse A, Sioumis AA, et al. Alkaloids of several Litsea species from New Guinea. Aust J Chem. 1969;22(10):2259-62. doi: 10.1071/CH9692259.
8. Yang JH, Li L, Wang YS, Zhao JF, Zhang HB, Luo SD. Two new aporphine alkaloids from Litsea glutinosa. Helv Chim Acta. 2005;88:2523-6. doi: 10.1002/hlca.200590188.
9. Wang YS, Wen ZQ, Li BT, Zhang HB, Yang JH. Ethnobotany, phytochemistry, and pharmacology of the genus Litsea: An update. J Ethnopharmacol. 2016;181:66-107. doi: 10.1016/j.jep.2016.01.032.
10. Wang YS, Liao Z, Li Y, Huang R, Zhang HB, Yang JH. A new megastigmane diglycoside from Litsea glutinosa (Lour.) C.B. Rob. J Braz Chem Soc. 2011;22(11):2234-8. doi: 10.1590/S0103-50532011001100030.
11. Wang YS, Liao Z, Zhu HK, Feng XF, Huang R, Zhu N, et al. Megastigmane O-glucopyranosides from Litsea glutinosa. Chem Nat Compd. 2012;48(2):346-9. doi: 10.1007/s10600-012-0247-8.
12. Mohan H, Sudhanshu, Pathak HD. Flavonoids from the leaves of Litsea glutinosa. Nat Appl Sci Bull. 1975;27(3):95-9.
13. Jain B, Rawat A, Mariyam A, Parkhe G. Phytochemical screening and thin-layer chromatographic studies of Litsea glutinosa (Lour.) bark extract. AJPER. 2017;6(2):18-23.
14. Pan JY, Zhang S, Wu J, Li QX, Xiao ZH. Litseaglutinan A and lignans from Litsea glutinosa. HCA. 2010;93:951-7. doi: 10.1002/hlca.200900328.
15. Chowdhury JU, Bhuiyan MNI, Nandi NC. Aromatic plants of Bangladesh : Essential oils of leaves and fruits of Litsea glutinosa (Lour.) C.B. Robinson. Bangladesh J Bot. 2008;37(1):81-3.doi: 10.3329/bjb.v37i1.1568.
16. Wen-Hui Q, Xu F, Yao-Hua L, Jin-Ying N, Rui G. GC-MS analysis of the essential oils from fresh and dry leaves of Litsea glutinosa (Lour.) C. B. Rob. Medicinal Plant. 2012;3(11):7-9.
17. Son LC, Dai DN, Thang TD, Huyen DD, Ogunwande IA. Analysis of the essential oils from five Vietnamese Litsea species (Lauraceae). J Essent Oil-Bear Plants. 2014;17(5):960-71. doi: 10.1080/0972060X.2014.935068.
18. Herath HMTB, Kumar NS, Wimalasiri KMS. Structural studies of an arabinoxylan isolated from Litsea glutinosa (Lauraceae). Carbohydr Res. 1990;198(2):343-51. doi: 10.1016/0008-6215(90)84304-d.
19. Mahmud H, Chowdhury TA, Mosihuzzaman M. Structural aspects of the mucilages isolated from the leaves of Litsea glutinosa (Lauraceae). J Bangladesh Chem Soc. 1993;6(2):183-9.
20. Das D, Maiti S, Maiti TK, Islam SS. A new arabinoxylan from green leaves of Litsea glutinosa (Lauraeae): structural and biological studies. Carbohydr Polym. 2013;15;92(2):1243-8. doi: 10.1016/j.carbpol.2012.10.052.
21. Wisetkomolmat J, Suksathan R, Puangpradab R, Kunasakdakul K, Jantanasakulwong K, Rachtanapun P, et al. Natural surfactant saponin from tissue of Litsea glutinosa and Its alternative sustainable production. Plants. 2020;9(11):1521. doi: 10.3390/plants9111521.
22. Sitthithaworn W, KhongkawM, WiranidchapongC, Koobkokkruad T. Mucilage powder from Litsea glutinosa leaves stimulates the growth of cultured human hair follicles. Songklanakarin J. Sci. Technol. 2018;40(5):1076-80. doi: 10.14456/sjst-psu.2018.133.
23. Arunodaya HS, Krishna V, Shashikumar R, Kumar KG. Antibacterial and antioxidant activities of stem bark essential oil constituents of Litsea glutinosa C. B. Rob. Int J Pharm Pharm Sci. 2016;8(12):258-64. doi: 10.22159/ijpps.2016v8i12.13577.
24. Tikadar P, Nayak JK, Panda D. Qualitative phytochemical screening of ethnomedicinal plants used by Paraja Tribe of Koraput, India. J stress physiol biochem. 2021;17(1):5-12.
25. Parikh PH, Rangrez AY. Extraction and phytochemical evaluation of Litsea glutinosa bark methanolic extract. J Appl Pharm Sci. 2012;02(05):71-8. doi: 10.7324/JAPS.2012.2635.
26. วรางคณา จินตพัฒนากิจ, สาวิตรี อัมภา.การพัฒนาสูตรตำรับแชมพูป้องกันผมร่วงจากใบหมี่. [โครงการพิเศษ เภสัชศาสตรบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล;2551.
27. Choudhury D, Ghosal M, Das AP, Mandal P.In vitro antioxidant activity ofmethanolic leaves and barks extracts of four Litsea plants. Asian J Plant Sci Res.2013;3(1):99-107.
28. Mishra SK, Kumar A, Talukdar A. Evaluation of binding property of mucilage from Litsea glutinosa wall. Pharmacognosy Res. 2010;2(5):289-92. doi: 10.4103/0974-8490.72325.
29. Manosoi A, Komno C, Jainonthee P, Manosoi J. Development of shampoo containing extract from bai mee (Litsea glutinosa (Lour) C.B. Rob) entrapped in niosomes. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. 2007;6(2):132.
30. PradeepaK, Krishna V, Venkatesh, Kumar KG, Thirumalesh BV, Kumar KJN. Antibacterial screening of the stem barkand leaf extracts of Litsea glutinosa (Lour.)C.B. Rob – an ethnomedicinally important treeof the Western Ghats. Pharmacogn J. 2011;3(21):72-6. doi: 10.5530/pj.2011.21.13.
31. Haque T, Uddin MZ, Saha ML, Mazid MA,Hassan MA. Propagation, antibacterial activity and phytochemical profiles of Litsea glutinosa (Lour.) C.B. Robinson. Dhaka Univ J Biol Sci. 2014;23(2):165-71. doi: 10.3329/dujbs.v23i2.20096.
32. Shahria N, Karmakar UK, Shill MC, Sadhu SK. Antioxidant, cytotoxic, antibacterial, and anthelmintic investigations of bark and leaves of Litsea glutinosa. J Pharm Res. 2017;11(6):617-24.
33. Owk AK, Lagudu MN. Litsea glutinosa (Lauraceae): evaluation of its foliar phytochemical constituents for antimicrobial activity. Not Sci Biol. 2018;10(1):21-25. doi: 10.15835/nsb10110180.
34. Sharma BK, Loksh KR, Jain AP. Screening of phytochemicals and antioxidant potential of leaves extract of Litsea glutinosa. J Drug Deliv Ther. 2019;9(4-s):1214-7. doi: 10.22270/jddt.v9i4-s.3939.
35. Bhowmick R, Sarwar MS, Rahman Dewan SM, Das A, Das B, Nasir Uddin MM, et al. In vivo analgesic, antipyretic, and anti-inflammatory potential in Swiss albino mice and in vitro thrombolytic activity of hydroalcoholic extract from Litsea glutinosa leaves. Biol Res. 2014;47:56/1-8. doi: 10.1186/0717-6287-47-56.
36. Bhakuni DS, Dhar ML, Dhar MM, Dhawan BN, Mehrotra BN. Screening of Indian plants for biological activity. Part II. Indian J Exp Biol. 1969;7(4):250-62.
37. Sumithregowda AH, Venkatarangaiah K, Honnenahally KM, Manjunath VN. Cytotoxicity and oral acute toxicity studies of Litsea glutinosa C. B. (Rob) stem bark ethanol extract. Pharmacogn J. 2017;9(6):880-6. doi: 10.5530/pj.2017.6.138.
38. Puechkaset. ต้นหมี่/หมี่เหม็น ประโยชน์ สรรพคุณ และการปลูกต้นหมี่ [อินเทอร์เน็ต]. 2563. [เข้าถึงเมื่อ 14 มิ.ย. 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://puechkaset.com/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88/