ดาหลา
- ชื่อ
- ส่วนของพืชที่ใช้
- การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- การเพาะปลูก
- สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
- สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
- สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Etlingera elatior (Jack) R.M.Sm.
ชื่อวงค์
ZINGIBERACEAE
ชื่อสมุนไพร
ดาหลา
ชื่ออังกฤษ
Torch ginger, Ginger flower, Red ginger lily, Torch lily
ชื่อพ้อง
Alpinia elatior Jack
ชื่อท้องถิ่น
กะลากาหลา, จินตะหรา
ชื่อ INCI
ETLINGERA ELATIOR EXTRACT
ETLINGERA ELATIOR FLOWER EXTRACT
ส่วนของพืชที่ใช้
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์/แหล่งที่มา
ดาหลามีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริเวณประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และทางภาคใต้ของไทย ปัจจุบันมีการปลูกและมีการแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (5-6)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก มีลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบช้อนกันแน่นเช่นเดียวกับพวกกล้วย ซึ่งส่วนนี้คือลำต้นเทียม ใบเดี่ยว รูปขอบนานหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น แทงก้านช่อดอกจากเหง้าใต้ดิน กลีบประดับเรียงซ้อนกันหลายชั้น สีแดง ดอกย่อยสีแดง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 3 แฉก ผลรูปกลม มีขนนุ่ม ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ดอกสีชมพู สีแดง สีขาว และสีชมพูอ่อน (4)
การเพาะปลูก
ดาหลาสามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงรำไรหรือที่ร่ม สามารถเก็บดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะให้ดอกดกในช่วงฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม) ปัจจัยสำคัญในการปลูกดอกดาหลาคือแสงและฤดูกาล แปลงปลูกควรให้แสงส่องผ่านประมาณ 50% หากโดนแสงแดดมากเกินไปสีของกลีบประดับจะจางและทำให้ใบไหม้ ฤดูปลูกที่เหมาะสมควรเป็นช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม-สิงหาคม) ซึ่งเป็นช่วงที่ดาหลาจะมีการเจริญเติบโตทางด้านลำต้นและแตกหน่อได้มาก (36-37)
วิธีขยายพันธุ์มี 4 วิธีดังนี้ (36)
การแยกหน่อ โดยเลือกหน่อจากลำต้นที่มีความสูงประมาณ 60-100 ซม. ขึ้นไป มีกิ่งอ่อนกิ่งแก่ประมาณ 4-5 ใบ มีหน่อดอกอ่อนๆประมาณ 3 หน่อ แยกหน่อไปปลูกลงถุงพลาสติกประมาณ 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนนำลงไปปลูกในแปลง
การแยกเหง้า คือการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น โดยนำไปปลูกในแปลงเพาะชำ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ต้นจึงจะเริ่มให้ดอก
การปักชำหน่อแก่ คือการนำหน่อแก่ไปชำในแปลงเพาะชำเพื่อให้แตกหน่อใหม่ที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง จากนั้นจึงค่อยแยกหน่อใหม่ย้ายลงไปปลูกในแปลง
การเพาะเมล็ด โดยนำเมล็ดแก่ที่ได้จากต้นแม่ไปเพาะในกระบะปลูกจนได้ต้นกล้าและย้ายลงปลูกในถุงพลาสติก พอต้นแข็งแรงจึงนำลงแปลงปลูก ซึ่งการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ค่อนข้างจะช้ากว่าวิธีอื่นๆ แต่จะได้ผลดี คือ มีอัตราการได้ต้นดาหลาสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของต้นพ่อและแม่
แปลงปลูก (36)
แปลงปลูกดาหลาจะมีสองแบบคือ การปลูกแบบยกร่องสวน และการปลูกแบบไม่ยกร่องสวน ซึ่งทั้งสองวิธีจะทำการไถ่พรวนตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน จากนั้นขุดหลุมปลูกระยะห่างระหว่างต้นและแถวประมาณ 2 ม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-20 ในอัตราส่วน 1:25 จากนั้นนำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูก กลบดินและรดน้ำให้ชุ่ม สำหรับการปลูกในเชิงพาณิชย์ ควรทำการขุดยกร่องสวนให้มีคูน้ำลึกประมาณ 1 ม. กว้าง 1 ม. ขั้นระหว่างแปลงปลูก เพื่อให้มีความชุ่มชื้นภายในแปลงอยู่ตลอดเวลา
การให้ปุ๋ย (36-37)
ต้องให้ปุ๋ย 2-3 เดือน/ครั้ง โดยจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 ในอัตรา 96 กก./ไร่ และปุ๋ยคอก 15 กก./ต้น/ปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัตถุที่ผุพัง เช่น ใบไม้ต่างๆ ลำต้นแก่ของดาหลา หรือวัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่องมาหมักเป็นปุ๋ย หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโคนต้นในกรณีปลูกแบบยกร่อง
การให้น้ำ (36-37)
ในระยะเริ่มแรกของการปลูก ต้องรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1 ครั้ง แต่เมื่อต้นดาหลาเริ่มตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็นประมาณ 2-3 วัน/ครั้ง แต่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้น โดยใช้ระบบการให้น้ำแบบสปริงเกอร์บนแปลงที่ไม่ยกร่อง
การกำจัดวัชพืช (36-37)
ดาหลาเป็นพืชโตเร็ว ดังนั้นในช่วงแรกจะต้องทำการกำจัดวัชพืชบ่อยๆ แต่เมื่อดาหลาโตกอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน แสงไม่สามารถส่องผ่านมายังพื้นดิน วัชพืชจะไม่สามารถเติบโตได้ ระยะหลังจึงไม่ต้องกำจัดวัชพืชบ่อย ๆ
โรคและแมลงที่สำคัญ (37)
ขณะนี้ยังไม่พบโรคที่เป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา แต่อาจพบปัญหาจากหนอนเจาะลำต้น ซึ่งจะเข้าทำลายต้นที่แก่ โดยจะเจาะบริเวณลำต้น ทำให้ต้นดาหลาหยุดการเจริญเติบโต และไม่สามารถออกดอกได้ ป้องกันและกำจัดโดยใช้ฟูราดาน 3% โรยบริเวณรอบๆ โคนต้นและอาจพบปัญหาจากมดแดง โดยสิ่งขับถ่ายของมดแดงจะเป็นกรด ทำให้กลีบดอกเกิดรอยขาวเป็นจุดๆ ป้องกันและกำจัดโดยเก็บรังมดแดงออกจากต้น หรืออาจใช้ยากำจัดมด
การออกดอกและให้ผลผลิต (37)
หากปลูกดาหลาด้วยวิธีแยกหน่อหลังจากปลูกได้ประมาณ 1 ปี ดาหลาจะเริ่มออกดอก ซึ่งจะออกดอกและให้ผลผลิตเต็มที่เมื่ออายุ 4 ปี ส่วนการปลูกด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แม้จะได้ต้นดาหลาในปริมาณมาก แต่ก็มีโอกาสกลายพันธุ์สูง และให้สีดอกแตกต่างกันออกไป ทั้งยังออกดอกช้ากว่าวิธีแยกหน่อ คือ ออกดอกในปีที่ 2 และเก็บผลผลิตได้ในปีที่ 3 แต่ก็จะให้ผลผลิตสูงขึ้นทุกปี
การเก็บเกี่ยว (36-37)
นิยมตัดดอกดาหลาในช่วงเช้า เลือกดอกที่มีความสมบูรณ์ ซึ่งจะมีอายุประมาณ 2 อาทิตย์ นับตั้งแต่เริ่มแท่งหน่อดอก โดยการตัดก้านดอกดาหลาจะต้องตัดให้ชิดโคนแล้วนำไปแช่ในน้ำสะอาด ห่อดอกด้วยถุงพลาสติกเพื่อป้องกันไม่ให้กลีบดอกห้อยและช้ำ จะช่วยยืดอายุได้นาน 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นฐานตามภูมิปัญญาไทยด้านเครื่องสำอาง
ไม่มีข้อมูล
สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบ
สารสำคัญที่พบในดอกดาหลา ได้แก่ (7-15)
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds) ได้แก่ gallic acid, protocatechuic acid, caffeic acid, p-coumaric acid, ferulic acid, syringic acid, chlorogenic acid
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ได้แก่ rutin, quercitrin, kaempferol-3-O-glucoside, quercetin, kaempferol, catechin, isoquercetin
ส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหย (essential oil) ได้แก่ cyclododecane, 1,1-dodecanediol, diacetate, dodecanol, α-pinene, dodecanal, 1-decanol, n-dodecyl acetate, cis-9-tetradecen-1-ol, 1-hexadecanol
สารประกอบฟีนอลิก (phenolic compounds)
สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
ส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหย (essential oil)
สารออกฤทธิ์ หรือ สารสำคัญ
⁃ สารออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี (ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส) คือ isoquercetin, catechin, gallic acid (15)
⁃ สารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ คือ สารflavonoids กลุ่ม anthocyanins (16), น้ำมันหอมระเหย (17-18)
⁃ สารออกฤทธิ์ป้องกันรังสี UV คือ น้ำมันหอมระเหย (17)
แนวทางการควบคุมคุณภาพ (วิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ)
เนื่องจากในขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดมาตรฐานของดอกดาหลา จึงได้รวบรวมวิธีวิเคราะห์สารสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบเบื้องต้นได้
การวิเคราะห์ผลรวมสารประกอบกลุ่ม phenolics
การวิเคราะห์ผลรวมสารประกอบกลุ่ม phenolics สามารถใช้วิธี Folin-Ciocalteu assay (12, 16, 19-21) ซึ่งมีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้ (แต่ละงานวิจัยอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีตามความเหมาะสม) ละลายสารสกัดใน 80% เอทานอล ให้มีความเข้มข้น1 มก./มล. จำนวน 25 มคล. เติมสารละลาย Folin–Ciocalteu reagent จำนวน 125 มคล. และเติมโซเดียมคาร์บอเนต (ความเข้มข้น 75 ก./ล.) 100 มคล.ใน 96-well microtiter plate ผสมให้เข้ากันบ่มสารที่อุณหภูมิห้อง 2 ชม.นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 760 นาโนเมตรและวิเคราะห์ผลด้วย microplate readerแสดงปริมาณสารประกอบกลุ่ม phenolics ของสารสกัดในหน่วยมิลลิกรัมเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน gallic acid (GAE) ในหน่วยมิลลิโมลาร์ (mM GAE/mg extract) (20)
การวิเคราะห์ผลรวมสารประกอบกลุ่มฟลาโวนอยด์
การวิเคราะห์ผลรวมสารประกอบกลุ่มฟลาโวนอยด์ สามารถใช้วิธี aluminium chloride method (12, 20-21) ซึ่งมีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้ (แต่ละงานวิจัยอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีตามความเหมาะสม) ละลายสารสกัดใน 80% เอทานอล ให้มีความเข้มข้น 1 มก./มล. จำนวน 25 มคล. ใส่ใน 96-well microtiter plate เติม 80% เอทานอล จำนวน 75 มคก. เติม 10% aluminium chloride จำนวน 5 มคล.และ potassium acetate ความเข้มข้น 1 โมลาร์ จำนวน 5 มคล.เจือจางด้วยน้ำกลั่น 140 มคล. และบ่มไว้ 30 นาที นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง spectrophotometer ที่ความยาวคลื่น 415 นาโนเมตรแสดงปริมาณสารประกอบกลุ่มฟลาโวนอยด์ของสารสกัดในหน่วยมิลลิกรัมเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน quercetin (QE) ในหน่วยมิลลิโมลาร์ (mM QE/mg extract) (20)
การวิเคราะห์ผลรวมสารประกอบกลุ่ม anthocyanins
การวิเคราะห์ผลรวมสารประกอบกลุ่ม anthocyanins สามารถใช้วิธี spectrophotometric pH differential method (16, 21-22) ซึ่งมีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้ (แต่ละงานวิจัยอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีตามความเหมาะสม)นำสารสกัดจำนวน 0.5 มล. มาผสมกับ potassium chloridebuffer (pH 1) ความเข้มข้น 0.025 โมลาร์ จำนวน 3.5 มล. ตั้งทิ้งไว้ 15 นาที นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง UV–VIS spectrophotometer ที่ความยาวคลื่น 510และ 700 นาโนเมตร โดยเทียบกับน้ำกลั่น (blank) ทำวิธีการเดียวกันนี้อีกครั้งแต่นำสารสกัดมาผสมกับ sodium acetate buffer (pH 4.5) ความเข้มข้น 0.025 โมลาร์ คำนวณปริมาณสารประกอบกลุ่ม anthocyaninsโดยใช้สมการ:
Total anthocyanin content (mg/L) = (A×MW×DF× 1,000)/(ε×C)
A คือค่าการดดูดกลืนแสงของสารสกัดซึ่งคำนวณจาก
A= (A510−A700)pH1.0− (A510−A700)pH4.5
MW (molecular weight) คือ น้ำหนักโมเลกุลของ cyanidin-3-glucoside เท่ากับ 449.2
DF (dilution factor) คือ ค่าการเจือจางของตัวอย่าง
ε (molar absorptivity) คือ ค่าสัมประสิทธิ์การดูดกลืนแสงของ cyanidin-3-glucoside เท่ากับ 26,900
C คือ ค่าความเข้มข้นของ buffer ในหน่วย มก./มล.
แสดงปริมาณสารประกอบกลุ่ม anthocyanins ของสารสกัดในหน่วย 100 กรัมเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน cyanidin-3-glucoside(c-3-gE)ในหน่วยมิลลิกรัม (mg c-3-gE/100 g) (21)
การวิเคราะห์ปริมาณผลรวมสารประกอบกลุ่ม tannins
การวิเคราะห์ปริมาณผลรวมสารประกอบกลุ่ม tannins สามารถใช้วิธี vanillin-HCl method (21, 23) ซึ่งมีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้ (แต่ละงานวิจัยอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีตามความเหมาะสม) นำสารสกัดจำนวน 0.5 มล. มาเติม vanillin reagent (vanillin ความเข้มข้น 4%w/v ในเมทานอล) จำนวน 3 มล. ผสมให้เข้ากัน เติม concentrated hydrochloric acid จำนวน 1.5 มล. ผสมให้เข้ากันด้วยเครื่อง vortex เก็บไว้ในที่มืด 15 นาที ที่อุณหภูมิห้อง นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง UV–VIS spectrophotometer ที่ความยาวคลื่น 500 นาโนเมตร โดย blank คือตัวอย่างที่เตรียมด้วยขั้นตอนเดียวกันแต่แทนที่สารสกัดด้วยตัวทำละลายที่ใช้ในการสกัดสมุนไพร แสดงปริมาณสารประกอบกลุ่ม tannins ของสารสกัดในหน่วย 100 กรัมเทียบเท่ากับสารมาตรฐาน catechin (CE) ในหน่วยมิลลิกรัม (mg CE/100 g) (21)
การสกัดและการวิเคราะห์ชนิดของสารประกอบกลุ่ม flavonoids ในดอกดาหลา
ตัวอย่างที่ 1 นำผงแห้งของดอกดาหลา 2 ก. มาสกัดด้วยเครื่องสกัดคลื่นเสียงความถี่สูง (sonicator) เริ่มจากการใช้คลอโรฟอร์ม 10 มล. เป็นตัวทำละลาย นาน 30 นาที เพื่อกำจัดไข น้ำมัน คลอโรฟิลล์ และสาร non-polar phenolic จากนั้นจึงใช้ 80% เมทานอล 10 มล. เป็นตัวทำละลาย ทำการสกัด 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที รวมสารสกัดที่ได้ และวิเคราะห์ผลด้วย liquid chromatography-mass spectrometry (LC-MS) โดยมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (13)
LC-MS model: Agilent 1100 series มีอุปกรณ์ LC/MSD Trap XCT และ ESI interface
Column : reverse-phase C18 (50 x 2.1 mm, 1.8 μm), อุณหภูมิ column 45oC
Mobile phase : (A) 0.1% formic acid in water และ (B) 0.1% formic acid in methanol ภายใต้ gradient elution
Flow rate :0.5 mL/min
Injection volumes :2 μL
ESI-MS analysis: negative mode with the scan range of m/z 50–650
The maximum accumulation time: 200 ms
The target count: 10,000
The nebulizing gas (nitrogen) pressure: 40.0 psi
The drying gas (nitrogen) temperature: 350oC
Flow rate: 10.0 L/min
Capillary voltage: 4.5 kV
Result: วิธีดังกล่าวสามารถใช้เพื่อการวิเคราะห์ปริมาณสาร rutin, quercitrin, kaempferol-3-O-glucoside, quercetin, และ kaempferol ได้
ตัวอย่างที่ 2 นำดอกดาหลาสดมาทำความสะอาด และอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50oC นาน 2 ชม. นำดอกที่แห้งแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และแช่สกัด (maceration) ใน 70% เอทานอล ที่อุณหภูมิห้อง นาน 24 ชม. โดยทำซ้ำกัน 3 ครั้ง รวมสารสกัดที่ได้ กรอง และทำให้แห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 45oC และหมุนด้วยความเร็ว 65 รอบ/นาที ซึ่งจะได้สารสกัดที่มีลักษณะข้นเหนียว (viscous extract; EFE) นำไปวิเคราะห์ด้วยspectrophotometric method โดยละลาย EFE 50 มก. ในเอทานอล(analytical grade) 250 มล. เติม10% aluminium chloride (AlCl3) และ sodium acetate (CH3COONa) ในปริมาณโมลเท่ากัน (equimolar) ลงไปในสารทดสอบ นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่อง ultraviolet-visible spectrophotometer เปรียบเทียบผลกับสารมาตรฐาน quercetin และ rutin จากนั้นนำ EFE มาสกัดแยกส่วน (liquid-liquid partition) ด้วยเอทิลอะซิเตท ซึ่งจะได้ส่วนสกัดเอทิลอะซิเตท (ethyl acetate fraction; EFEAF) นำไปวิเคราะห์ปริมาณ quercetin และ rutin ด้วย reversed-phase liquid chromatography-mass spectroscopy (LC-MS) เตรียมสารทดสอบโดยละลาย EFEAF 0.3138 ก. ในเอทานอล (analytical grade) 25 มล. กรอง และฉีดเข้า LC-MS เพื่อวิเคราะห์ผล สภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (14)
LC-MS model: Waters AcquityTM Ultra Performance LC และ Waters XevoTM QTof MS
Column : reverse-phase C18 (100 x 2.1 mm, 1.7 μm)
Mobile phase : H2O 99.9% : formic acid 0.1%
Flow rate :0.2mL/min
Source temperature: 100oC
Desolvation temperature: 350oC
Cone gas flow: 15 L of nitrogen/hour
Result: ส่วนสกัดเอทิลอะซิเตทมีปริมาณของ quercetin และ rutin เท่ากับ 1.16%w/w และ 0.61%w/w ตามลำดับ
การสกัดและการวิเคราะห์ชนิดของน้ำมันหอมระเหยในดอกดาหลา
ตัวอย่างที่ 3 สกัดน้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลาด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ (hydrodistillation) ด้วยอุปกรณ์ Clevenger apparatus นาน 4-5 ชม. และวิเคราะห์องค์ประกอบด้วย Gas chromatograph-Mass spectrometer (GC-MS) โดยมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (9)
GC-MS model: Agilent 19091S-433 series: 70eV
Capillary column: 30 m X 250μm X 0.25nm; at intermediate polarity
Carrier gas: Helium
Pressure: 8.71 psi
Flow rate: 1.0m3/min, average velocity 37 cm/s
Temperature of the column: initially 60 °C (2 min hold) 60-120 °C (2 min hold) with temperature programming 3 °C/min และ120-270 °C (2 min hold) with temperature programming 2 °C/min
Injection/detector temperature: 250 °C.
Result: ดอกดาหลามีน้ำมันหอมระเหย 0.0334% โดยมี 1,1-dodecanediol diacetate (24.38%) และ cyclododecane (47.28%) เป็นส่วนประกอบหลัก
ตัวอย่างที่ 4 สกัดน้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลาด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำด้วยอุปกรณ์ Clavenger apparatus นาน 3 ชม. และวิเคราะห์องค์ประกอบด้วย GC และ GC-MS (10) โดยมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ
GC model: HP 5890-II มีอุปกรณ์ FID /เชื่อมต่อกับ electronic integrator HP 3396 Series II
Capillary column: 25 m x 0.25 mm, 0.25 μm film thickness (fused silica capillary column coated with CP-Sil-8CB)
Carrier gas: Hydrogen
Pressure: -
Flow rate: ปรับให้ได้ linear velocity = 32 cm/s (ที่อุณหภูมิ 100°C); split flow ปรับให้ได้อัตรา 20:1, septum sweep มีค่าคงที่ 10 mL/min, Splitless injection = 1 μL, 2:1000 hexane solution
Temperature of the column: oven temperature program 60°-240°C at 3°C/min.
Injection/detector temperature: 250°C
GC/MS model: Finnigan Mat INCOS XL GC/MS system
Capillary column: 30 m x 0.25 mm, 0.25 μm film thickness (DB-5MS fused silica capillary column)
Carrier gas: Helium
Injection/oven-programming temperature: same as above
EIMS: electron energy, 70 eV; ion source temperature and connection parts: 180C.
Result: น้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลามี dodecanol (42.5%), α-pinene (22.2%), และ dodecanal (14.5%) เป็นส่วนประกอบหลัก
ตัวอย่างที่ 5 สกัดน้ำมันหอมระเหยจากดอกดาหลาสดด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) นาน 8 ชม. นำน้ำมันที่ได้มาละลายด้วยไดคลอโรมีเทนอัตราส่วน 1:100 และวิเคราะห์องค์ประกอบด้วย GC-MS โดยมีสภาวะที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ (11)
GC-MS model: Perkin Elmer GC-MS (Clarus 500 GC/MS) in electron impact (EI) ionization mode (70eV) in the m/z range of 50-250°C.
Capillary column: ZB-5ms, 30 m x 0.25 mm, 0.26 μl film thickness (The Zebron capillary GC fused silica column)
Carrier gas: Helium
Pressure: -
Flow rate: 5 mL/min
Temperature of the column: 50°C with an increment of 4°C/min (until 250°C)
Injection/detector temperature: 250°C
Result: น้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลามี 1-decanol (16.27 %), dodecanal (16.87 %), n-dodecyl acetate (16.40 %), cis-9-tetradecen-1-ol (16.29 %) และ 1-hexadecanol (16.34 %) เป็นส่วนประกอบหลัก
การศึกษาทางคลินิก
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวหน้า
1.1 ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า (F008)
การศึกษาทางคลินิกแบบปกปิดสองทางเพื่อทดสอบฤทธิ์ลบเลือนริ้วรอยของโลชันที่มีส่วนผสมของสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลา (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยนำดอกมาทำความสะอาด อบด้วยอุณหภูมิ 50oC บดให้เป็นผง นำมาสกัดด้วย 50%v/v propylene glycol กรอง นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิห้อง และกรองอีกครั้ง จากนั้นจึงนำสารสกัดที่ได้มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลา 2% นำโลชันมาทดสอบในอาสาสมัครเพศหญิงอายุ 30-55 ปี จำนวน 10 คน โดยให้อาสาสมัครทาโลชันบริเวณรอบดวงตา(eye area) (ไม่ระบุขนาดที่ให้) วันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ เปรียบเทียบผลกับบริเวณที่ไม่ได้ทาโลชัน ทำการบันทึกภาพของผิวหนังด้วยcharge coupled device (CCD) camera ประเมินผลจากภาพด้วยSkin-Visiometer VL 650 software และตรวจสภาพผิวด้วย skin visiometer พบว่าบริเวณที่ทาโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic มีความหนาและความลึกของรอยเหี่ยวย่นลดลง 14.4% และ 28% ตามลำดับเมื่อเทียบกับบริเวณที่ไม่ได้ทา แสดงให้เห็นว่าโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลาอาจช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าและรอบดวงตาได้ (24)
2 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
2.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การศึกษาทางคลินิกแบบปกปิดสองทางเพื่อทดสอบฤทธิ์ทำให้ผิวขาวของโลชันที่มีส่วนผสมของสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลา (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยนำดอกมาทำความสะอาด อบด้วยอุณหภูมิ 50oC บดให้เป็นผง นำมาสกัดด้วย 50%v/v propylene glycol กรอง นำไปปั่นด้วยเครื่องcentrifuge ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิห้อง และกรองอีกครั้ง จากนั้นจึงนำสารสกัดที่ได้มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลา 2% นำโลชันมาทดสอบในอาสาสมัครเพศหญิงอายุ 30-55 ปี จำนวน 10 คน โดยให้อาสาสมัครทาโลชันบริเวณท้องแขนด้านใน (inner side of the forearm) ขนาด 1/10 มล. วันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับการทาโลชันเปล่าที่ไม่มีสารสกัด (lotion base) ทำการประเมินสีผิวด้วยเครื่อง chromameter CR 400 หลังจากทาโลชัน 2 และ 4 สัปดาห์ พบว่าที่ระยะเวลา 2 สัปดาห์ บริเวณที่ทาโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลาและบริเวณที่ทาโลชันเปล่า มีค่า L* (lightness) value (ตัวชี้วัดความกระจ่างใสของผิว) และค่า ITA° (individual typology angle) value (ตัวชี้วัดสีผิว) ไม่แตกต่างกัน แต่ที่ระยะเวลา 4 สัปดาห์บริเวณที่ทาโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลา มีค่า L* value และ ITA° สูงกว่าบริเวณที่ทาโลชันเปล่าอย่างชัดเจน โดยมีค่า L* value และ ITA° 1.44% และ 9.92% ตามลำดับ ส่วนบริเวณที่ทาโลชันเปล่ามีค่า L* value และ ITA° อยู่ระหว่าง 0.3-0.5% และ 4.0-6.0% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าโลชันที่มีสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลาอาจช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ (24)
การศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 24 คน อายุระหว่าง 25-55 ปี เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการช่วยให้ผิวขาว ของครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำของดอกและสารสกัดน้ำของใบดาหลาจากจังหวัดนราธิวาส (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยการนำสมุนไพรมาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งด้วยตู้อบลมร้อน (hot-air oven) ที่อุณหภูมิ 50oC และบดให้ละเอียด นำผงแห้ง 100 ก. มาเติมน้ำ 1,000 มล. ให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 50oC นาน 8 ชม. นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ที่ความเร็ว 4,000 รอบ/นาที นาน 5 นาทีกรอง และทำให้แห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator โดยการลดความดัน จากนั้นนำไปทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze-dryer การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase (tyrosinase Inhibition) จากเห็ดในหลอดทดลอง ของสารสกัดจากดอกและสารสกัดจากใบของดาหลาพบว่า สามารถยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ 24.37% และ 31.48% ตามลำดับ จึงทำการศึกษาต่อเพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับการนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในรูปแบบครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากดอกและใบดาหลา โดยทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase อีกครั้ง โดยใช้สารสกัดจากดอก:สารสกัดจากใบอัตราส่วน 1:1, 1:2, และ 1:3 ในขนาดความเข้มข้น 0.5 และ 1.0% ซึ่งพบว่า สารสกัดจากดอก:สารสกัดจากใบอัตราส่วน 1:1 ที่ขนาดความเข้มข้น 1.0% สามารถยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ได้ดีที่สุด โดยยับยั้งได้ 74.61% จึงนำส่วนผสมดังกล่าวมาพัฒนาเป็นครีมซึ่งมีสารสกัดจากดอก:สารสกัดจากใบ (1:1) เป็นส่วนประกอบ 1% (FL1cream) และการทดสอบอาการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง (skin irritation testing) ด้วยการวิเคราะห์ดัชนีของการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง (primary dermal irritation index; PDII) พบว่าครีม FL1 ไม่ทำให้ระคายเคือง เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี (melanin) โดยให้อาสาสมัครทาครีม FL1 บริเวณท้องแขนข้างซ้าย (left forearm) วันละ 2 ครั้ง (ตอนเช้าและตอนเย็น) นาน 4 สัปดาห์ พบว่าบริเวณที่ทาครีม FL1 มีปริมาณเม็ดสีลดลงอย่างชัดเจนหลังการทาสัปดาห์ที่ 1 จนถึงสัปดาห์ที่ 3 แต่ในสัปดาห์ที่ 4 ปริมาณเม็ดสีกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าเกิดจากช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงของประเทศไทยซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน (มีนาคม-เมษายน) จึงมีการสัมผัสกับรังสี UV มากขึ้น เป็นเหตุให้เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น นอกจากนี้ บริเวณที่ทาครีม FL1 ยังมีค่า L* value (ตัวชี้วัดความกระจ่างใสของผิว) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 3 ส่วนบริเวณที่ไม่ทาครีมมีปริมาณของเม็ดสีคงที่ในสัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 2 และมีปริมาณเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 ถึงสัปดาห์ที่ 4 ค่า L* value เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 3 และลดลงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ 4 ซึ่งครีม FL1 สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้สูงสุด 6.67% หลังจากการใช้ 3 สัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดน้ำจากดอกและใบของดาหลาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ (25)
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1 การศึกษาเกี่ยวกับผิวกาย
1.1 ทำให้ผิวขาว (S001)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ของสารสกัดhydroglycolic ของดอกดาหลา (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยนำดอกมาทำความสะอาด อบด้วยอุณหภูมิ 50oC บดให้เป็นผง นำมาสกัดด้วย50%v/v propylene glycolกรอง นำไปปั่นด้วยเครื่องcentrifuge ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิห้อง และกรองอีกครั้ง นำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase จากเห็ด พบว่าสารสกัดhydroglycolic ของดอกดาหลา มีค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 10.16 ± 0.73 มก./มล.ในขณะที่สารมาตรฐาน kojic acid มีค่า IC50 เท่ากับ 0.05± 0.01 มก./มล. (24)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ของสารสกัดน้ำของดอกดาหลาจากจังหวัดนราธิวาส โดยนำดอกมาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ป้องกันแสง) อบให้แห้งในตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ50oC บดให้ละเอียด นำขนาด 100 ก. มาสกัดด้วยน้ำกลั่น 1,000 มล. ที่อุณหภูมิ 50oC นาน 8 ชม. นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 4,000 รอบ/นาที นาน 5 นาที ที่อุณหภูมิห้อง กรอง ทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยโดยลดความดัน นำมาทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze dryer การวิเคราะห์ทางเคมีพบว่าในสารสกัดแห้ง 100 ก. พบสารสำคัญคือ isoquercetin 55.36 มก., catechin 40.69 มก., gallic acid 35.47 มก. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase จากเห็ด พบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ25.77 มก./มล.แต่ประสิทธิภาพยังน้อยกว่าสารมาตรฐาน kojic acid ขนาด 1 มก./มล. (15)
1.2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระบนผิวกาย (S006)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำของดอกดาหลา(ไม่ระบุแหล่งที่มาและvoucher specimen) โดยนำดอกดาหลาแกะเป็นกลีบ มาทำความสะอาด อบแห้งที่อุณหภูมิ 40oC นาน 4 ชม. (จนกลีบดอกดาหลามีความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 7) บดด้วยเครื่องปั่น จากนั้นนำมาบรรจุในซองชาเยื่อกระดาษสำเร็จรูปขนาด 2 และ 5 ก. สกัดโดยการชงด้วยน้ำเปล่าที่อุณหภูมิ 100 oC 5 และ 10 นาที นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) assay พบว่า ชาดอกดาหลาที่ใช้ผงแห้งขนาด 5 ก. และชงในน้ำเดือดนาน 10 นาที มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด โดยที่ขนาด 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox 667.26 ไมโครโมลาร์ (26)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำของดอกดาหลาจากจังหวัดนราธิวาส (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกมาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ป้องกันแสง) อบให้แห้งในตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 50oC บดให้ละเอียด นำขนาด 100 ก. มาสกัดด้วยน้ำกลั่น 1,000 มล. ที่อุณหภูมิ 50oC นาน 8 ชม. นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 4,000 รอบ/นาที นาน 5 นาที ที่อุณหภูมิห้อง กรอง ทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยโดยลดความดัน นำมาทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze dryer นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2′-azino-bis-(3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid (ABTS) assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 0.69 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน trolox มีค่า IC50เท่ากับ 0.04 มก./มล. การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 0.44 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน gallic acid มีค่า IC50เท่ากับ 0.01 มก./มล.และการทดสอบด้วยวิธี superoxide assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 6.39 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน gallic acid มีค่า IC50เท่ากับ 1.37 มก./มล. (15)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำ สารสกัด 50%, 70%, และ 95%เอทานอลของดอกดาหลาจากจังหวัดนราธิวาส (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze dryer นาน 24 ชม. บดให้ละเอียด นำผงแห้ง 10 ก. มาเติมน้ำ หรือเอทานอลความเข้มข้น50%, 70%, และ95% ปริมาตร 30 มล. เขย่าด้วยเครื่อง orbital shaker ความเร็ว 125 รอบ/นาทีข้ามคืน กรอง ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 45oC และทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze dryer นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay, ferric reducing antioxidant power (FRAP) assay, ABTS assay และ iron chelating activity พบว่าสารสกัด 70% เอทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดเมื่อทดสอบด้วย DPPH, FRAP, และ ABTS assay และสารสกัด 95% เอทานอลมีความสามารถในการจับกับประจุบวกของโลหะ (iron chelating activity) ได้ดีที่สุด โดยสารสกัดน้ำออกฤทธิ์ได้น้อยที่สุด (12)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดน้ำ สารสกัดเมทานอล และสารสกัดอะซีโตนของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งด้วยความเย็น (freeze drying) นาน 48 ชม.บดให้เป็นผงละเอียด นำผง 1 ก. มาเติมตัวทำละลายต่าง ๆ ได้แก่ น้ำกลั่น, เมทานอลความเข้มข้น 50%, 90% และ 100%v/v, และอะซีโตนความเข้มข้น 50%, 90% และ 100%v/v ปริมาตร 40 มล. จากนั้นนำไปตั้งบนเตาให้ความร้อน (hotplate) ซึ่งมีเครื่องกวนสาร (magnetic stirrer) ความเร็ว 1,200 รอบต่อนาที ที่อุณหภูมิห้อง (25±1oC) นาน 1 ชม. กรอง และทำการสกัดซ้ำจนได้สารละลายที่ใสไม่มีสี รวมสารสกัดที่ได้ นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และFRAP assay พบว่าสารสกัด 50% อะซีโตนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ทั้งการทดสอบด้วย DPPH และ FRAP assay (21)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอลของดอกดาหลาจากประเทศอินโดนีเซีย (ไม่ระบุvoucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาผึ่งให้แห้งในที่ร่มนาน 7 วัน บดให้เป็นผง นำมาสกัดด้วยเมทานอล (ไม่ระบุวิธีสกัด) นาน 48 ชม.กรอง ทำให้เข้มข้นด้วยเครื่องrotary evaporator ที่อุณหภูมิ 39ºC นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดเมทานอลของดอกดาหลามีค่า IC50 เท่ากับ 105.9 ppm ในขณะที่สารมาตรฐาน ascorbic acid มีค่า IC50 เท่ากับ 13.06 ppm (27)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอล และสารสกัดเอทิลอะซิเตทของดอกดาหลาจากประเทศอินโดนีเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ สกัดด้วยวิธีแช่สกัดด้วยเมทานอล และเอทิลอะซิเตทโดยใช้อัตราส่วนดอกดาหลา 250 ก. ต่อตัวทำละลาย 1,000 มล. (1:4) นาน 5 วัน (ไม่ระบุวิธีทำสารสกัดให้แห้ง) นำสารสกัดด้วยเมทานอลและเอทิลอะซิเตทมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่ามีค่า IC50เท่ากับ 21.14และ 68.24 มคก./มล. ตามลำดับซึ่งจะเห็นว่าสารสกัดเมทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตท (28)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 80% เมทานอลของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลาทำความสะอาด อบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 oC บดให้ละเอียด นำผงแห้ง 150 ก. มาสกัดด้วย 80% เมทานอล 400 มล. (ไม่ระบุวิธี) นาน 1 สัปดาห์ กรอง ทำให้เข้มข้นโดยการลดความดันด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 50 oC นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัด 80% เมทานอลของดอกดาหลามีค่า IC50 เท่ากับ 9.14 มก./มล. ในขณะที่สารมาตรฐาน butylated hydroxytoluene (BHT) มีค่า IC50เท่ากับ 8.08 มก./มล. (7)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 80% เมทานอลของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นให้ละเอียด เก็บที่อุณหภูมิ -20oC (ตัวอย่างแบบสด) หรือนำดอกดาหลาสดที่ปั่นแล้วมาเก็บที่อุณหภูมิ -80oC ข้ามคืน และนำมาทำให้แห้งด้วยความเย็น (freeze-dried) นาน 3 วัน บดให้เป็นผงละเอียด เก็บที่อุณหภูมิ -20oC (ตัวอย่างแบบผง) สกัดโดยนำตัวอย่าง 2 ก. ใส่ใน volumetric flask ขนาด 50 มล. เติม 80% เมทานอลจนถึงระดับ 50 มล. ตั้งบนเครื่องเขย่า ใช้ความเร็ว 200 รอบ/นาที นาน 120 นาที ที่อุณหภูมิ 50oC นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 3,000รอบ/นาที นาน 15 นาที ที่อุณหภูมิห้อง นำส่วนใสมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การทดสอบด้วยวิธีβ-carotene bleaching method พบว่า สารสกัดจากตัวอย่างแบบสดและแบบผงขนาด 200 มคล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ 1.45% และ 11.8% ตามลำดับและการทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดจากตัวอย่างแบบผงมีค่าความเข้มเข้มที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (EC50) เท่ากับ 0.46 มก./มล. ในขณะที่สารสกัดจากตัวอย่างแบบสดไม่สามารถตรวจวัดได้ เนื่องจากที่ความเข้มข้นสูงสุด (4.96 มก./มล.) ออกฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระได้น้อยกว่า 40% (29)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 80% เมทานอลของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ปั่นให้ละเอียด เติม 80% เมทานอล เขย่าเครื่องmechanical shaker ที่อุณหภูมิห้อง นาน 24 ชม. กรอง ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 40oC นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี β-carotene bleaching method, DPPH assay,และ ferrous ion chelating capacity การทดสอบด้วยวิธี β-carotene bleaching method พบว่าสารสกัดเมทานอลขนาด 2 มก./มล. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ 89.23%, การทดสอบด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดเมทานอลมีค่า EC50เท่ากับ 1.8มก./มล.ซึ่งใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน butylated hydroxytoluene (BHT) ที่มีค่า EC50เท่ากับ 1.0 มก./มล.,และการทดสอบด้วยวิธีferrous ion chelating capacity พบว่าสารสกัดเมทานอลขนาด 10 มก./มล.มีความสามารถในการจับกับประจุบวกของโลหะ (chelating effect) ได้ 98.64% ซึ่งใกล้เคียงกับสารมาตรฐาน ethylene diamine tetra-acetic acid (EDTA)ขนาด 2 มก./มล.ที่จับได้ 99.78% (30)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลของดอกดาหลาจากจังหวัดสมุทรสงคราม (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งที่อุณหภูมิ 50oC นาน 24 ชม. บดให้ละเอียด ทำการสกัดด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonication) ใน 50% เอทานอล โดยใช้อัตราส่วนผงสมุนไพร:ตัวทำละลาย 1:50 w/v (ไม่ระบุระยะเวลา) กรอง ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งด้วยความเย็น (lyophilize) นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดมีค่า IC50 เท่ากับ 0.14±0.08 มก./มล., การทดสอบด้วย FRAP assay พบว่าสารสกัด 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่า Fe2+ 0.13±0.01 มิลลิโมล, และการทดสอบด้วย ABTS assay พบว่าสารสกัด 1 ก. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าสารมาตรฐาน trolox0.30±0.12 มิลลิโมลาร์ (20)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 95% เอทานอลของดอกดาหลาจากประเทศอินโดนีเซีย(ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด เก็บที่อุณหภูมิ -20oC ข้ามคืน และนำมาทำให้แห้งด้วยความเย็นนาน 48 ชม. บดให้เป็นผง นำผงที่ได้ 50 มก. มาเขย่ากับ 95% เอทานอล 2.5 มล. นำไปปั่นด้วย centrifuge ที่แรงเหวี่ยง1536g นาน 5 นาที นำส่วนใสมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS, DPPH, และ FRAP assay จากผลการทดลองเมื่อทดสอบด้วยวิธี ABTS, DPPH, และFRAP assayพบว่าดอกดาหลาสดขนาด 1 ก. ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เทียบเท่ากับสารมาตรฐาน trolox ขนาด 1.40, 19.5, และ 37.2 ไมโครโมลตามลำดับ และการทดสอบฤทธิ์ยับยั้ง lipid peroxidation พบว่า ผงแห้งของดอกดาหลาขนาด 200 ppm สามารถยับยั้งกระบวนการ oxidation ของ linoleic acid ได้ 96.5% (31)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 95% เอทานอลของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (voucher specimen:IMU/PMR/2008/01) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ผึ่งลมให้แห้ง นำมาสกัดด้วย 95% เอทานอล อัตราส่วน 1:10 w/v จำนวน 3 ครั้ง ด้วยอุปกรณ์ soxhlet ที่อุณหภูมิ 50 oC นาน 3 ชม. กรอง ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง vacuum evaporator และทำให้แห้งด้วยความเย็นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS assay, lipid hydroperoxide (LPO) assay,protein carbonyl content (PCC) assay, superoxide dismutase (SOD) assay, glutathione peroxidase (GPx) assay, และ glutathione S-transferase (GST) assay ในหนูแรทที่ได้รับน้ำดื่มที่มี lead acetate 500 ppm โดยป้อนหนูด้วยสารสกัดขนาด 50, 100, และ 200 มก./กก. ทำการทดสอบนาน 14 วัน พบว่าlead acetate ทำให้หนูมีระดับLPO และ PCC ในเลือดเพิ่มขึ้น และทำความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งระดับของสารต้านอนุมูลอิสระ SOD, GPx, และ GST ลดลง ซึ่งการให้สารสกัดของดอกดาหลาสามารถยับยั้งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ แสดงให้เห็นว่า สารสกัด 95% เอทานอลของดอกดาหลามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากการเหนี่ยวนำด้วย lead acetate ได้ (32)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด95% เอทานอลของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้น ๆ ทำให้แห้งด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 3 วิธี คือ ทำให้แห้งด้วย freeze-dryer, อบในเตาด้วยอุณหภูมิ 40oC นาน 16 ชม., หรือตากแดดที่อุณหภูมิเฉลี่ย 35-40oC นาน 3 วัน จนเหลือปริมาณความชื้น 10±2% บดให้เป็นผง สกัดด้วย 95% เอทานอล (denatured) นาน 1 ชม. ที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นนำไปตั้งบนเตาให้ความร้อน (hotplate) ซึ่งมีเครื่องกวนสาร (magnetic stirrer) ที่อุณหภูมิ 25±1oC และความเร็ว 150 รอบต่อนาที นาน 12 ชม.กรอง ระเหยตัวทำละลายออกด้วยเครื่อง rotary evaporatorที่อุณหภูมิ 40oC ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัด 95% เอทานอลของดอกดาหลาที่ทำให้แห้งด้วยวิธีการใช้ freeze-dryer, เตาอบ, และวิธีตากแดดมีค่า IC50 เท่ากับ18.32, 12.59, และ 9.52 มก./มล. ตามลำดับ เช่นเดียวกับการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย FRAP assay ซึ่งพบว่า สารสกัด 95% เอทานอลของดอกดาหลาที่ทำให้แห้งด้วยวิธีการใช้freeze-dryer, เตาอบ, และวิธีตากแดดมีค่า FRAP เท่ากับ 1,943.01, 1,433.18, และ 707.68 มก. Fe2+/100ก.ตามลำดับ จึงคาดว่าการทำให้ดอกดาหลาแห้งด้วยความเย็นจะช่วยให้ได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ FRAP assay (33)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดhydroglycolic ของดอกดาหลา (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยนำดอกมาทำความสะอาด อบด้วยอุณหภูมิ 50oC บดให้เป็นผง นำมาสกัดด้วย50%v/v propylene glycolกรอง นำไปปั่นด้วยเครื่องcentrifuge ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิห้อง และกรองอีกครั้ง นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลามีค่าความเข้มข้นที่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ครึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 1.86 ± 0.03มก./มล. ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระมาตรฐาน vitamin E acetate และ CoQ10 มีค่า IC50เท่ากับ 0.53 ± 0.01มก./มล. และ 0.52 ± 0.01 มก./มล. ตามลำดับ และการทดสอบด้วยวิธีABTS assay พบว่าสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลามีค่า IC50 เท่ากับ3.81 ± 0.12 มก./มล. ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระมาตรฐาน trolox มีค่า SC50เท่ากับ0.32 ± 0.12มก./มล. (24)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด anthocyanins ของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) ซึ่งสกัดโดยการนำดอกหลาหลาแห้งมาบดให้เป็นผง สกัดด้วย 0.1%HCl (v/v) ในเมทานอล นาน 20 ชม. ที่อุณหภูมิห้องและมืด กรอง นำมาทำให้แห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 40oC เมื่อทดสอบวิธี DPPH assay พบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ 14.90 มก./มล. (16)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาล้าง ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผึ่งให้แห้งในที่ร่ม ณ อุณหภูมิห้อง นาน 5 วัน นำมาบดให้ละเอียด นำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ นาน 5-6 ชม. แยกส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา นำมาสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนในกรวยแยกสาร (separating funnel) แยกชั้นไดคลอโรมีเทนออกมาและนำมาทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยภายใต้การลดความดัน เก็บน้ำมันที่ได้ในขวดปิดสนิทที่อุณหภูมิ 4oC นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assayพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากดอกดาหลาขนาด 200 มคก./มล. สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ 40.73% ในขณะที่สารมาตรฐาน gallic acid ขนาดเดียวกันสามารถยับยั้งได้ 94.86% (17)
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (voucher specimen: MFI 0071/19) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze dryer และบดให้เป็นผงละเอียด นำไปสกัดด้วยวิธี supercritical carbon dioxide (SC-CO2) extraction (green technology) โดยความดันที่286.4 bar และอุณหภูมิ 57.3oC เป็นสภาวะที่ดีที่สุดในการสกัด จากนั้นนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPHassay พบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ 18.01 มก./มล. และการทดสอบด้วยวิธี ABTSassay พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้ง 83.47% การวิเคราะห์ทางเคมีด้วย GC-MS พบว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วยวิธี SC-CO2 มีสาร 1-dodecanol (23.89%), lauryl acetate (21.51%), cis-9-tetradecenoic acid, heptyl ester (7.96%), pimelic acid, hexyl octadecyl ester (7.66%), และ tetradecanol (6.45%) เป็นส่วนประกอบสำคัญ (18)
1.3 ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (S007)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ collagenase ของสารสกัดhydroglycolic ของดอกดาหลา (ไม่ระบุแหล่งที่มาและ voucher specimen) โดยนำดอกมาทำความสะอาด อบด้วยอุณหภูมิ 50 oC บดให้เป็นผง นำมาสกัดด้วย50%v/v propylene glycolกรอง นำไปปั่นด้วยเครื่องcentrifuge ความเร็ว 10,000 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิห้อง และกรองอีกครั้ง นำมาทดสอบยับยั้งเอนไซม์ collagenase จาก Clostridium histolyticum พบว่าสารสกัด hydroglycolic ของดอกดาหลา มีค่า IC50 เท่ากับ 0.22 ± 0.03 มก./มล. ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าสารมาตรฐาน epigallocatechin gallate ที่มีค่า IC50 เท่ากับ 0.46 ± 0.02 มก./มล. (24)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ collagenase ของสารสกัดน้ำของดอกดาหลาจากจังหวัดนราธิวาส โดยนำดอกมาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ป้องกันแสง) อบให้แห้งในตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ50oC บดให้ละเอียด นำขนาด 100 ก. มาสกัดด้วยน้ำกลั่น 1,000 มล. ที่อุณหภูมิ 50oC นาน 8 ชม. นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ความเร็ว 4,000 รอบ/นาที นาน 5 นาที ที่อุณหภูมิห้อง กรอง ทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยโดยลดความดัน นำมาทำให้แห้งด้วยเครื่องfreeze dryer การวิเคราะห์ทางเคมีพบว่าในสารสกัดแห้ง 100 ก. พบสารสำคัญคือ isoquercetin 55.36 มก., catechin 40.69 มก., gallic acid 35.47 มก. และพบกรดอะมิโนชนิด lysine 2,891 มก. และ leucine838 มก. ซึ่งกรดอะมิโนดังกล่าวมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนและลดการเกิดริ้วรอยบนผิว เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ collagenase (type I) จาก Clostridium histolyticum พบว่ามีค่า IC50 เท่ากับ 3.89 มก./มล. แต่ประสิทธิภาพยังน้อยกว่าสารมาตรฐาน (-)-epigallocatechin gallate ที่มีค่า IC50 เท่ากับ 0.05 มก./มล. (15)
1.4 กันแดดสำหรับผิวกาย (S008)
การทดสอบฤทธิ์ป้องกันรังสีในหลอดทดลอง ของน้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาล้าง ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผึ่งให้แห้งในที่ร่ม ที่อุณหภูมิห้อง นาน 5 วัน นำมาบดให้ละเอียด นำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีกลั่นด้วยน้ำ นาน 5-6 ชม. แยกส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา นำมาสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนในกรวยแยกสาร (separating funnel) แยกชั้นไดคลอโรมีเทนออกมาและนำมาทำให้เข้มข้นด้วยการระเหยภายใต้การลดความดัน เก็บน้ำมันที่ได้ในขวดปิดสนิทที่อุณหภูมิ 4 oC นำมาคำนวณหาค่าการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) หรือ sun protection factor (SPF) ด้วย Mansur’s method โดยวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร พบว่าน้ำมันดอกดาหลามีค่า SPF 3.55 ซึ่งหมายความว่าน้ำมันหอมระเหยของดอกดาหลาสามารถป้องกัน UVB ได้อย่างน้อย 50% (17)
1.5 ต้านการแพ้ของผิวกาย (S016)
การทดสอบฤทธิ์ต้านการแพ้ของสารสกัด 70% เอทานอลของดอกดาหลาจากประเทศอินโดนีเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำให้แห้ง บดให้เป็นผง สกัดด้วยวิธีแช่สกัดใน 70% เอทานอล อัตราส่วน 1:10 ให้คนบ่อยๆ ที่เวลา 6 ชม.แรก หลังจากนั้นจึงแช่ทิ้งไว้นาน 18 ชม. โดยทำการสกัด 2 ครั้ง กรอง แล้วนำมาทำให้เข้มข้นด้วยเครื่อง rotary evaporator จนได้สารสกัดกึ่งแข็ง (semi-solid extract) นำมาทดสอบฤทธิ์ต้านอาการแพ้ในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการแพ้ด้วยการฉีด 20% albumin antigen ขนาด 20 มล./นน.ตัว 20 ก. ในวันที่ 1 และฉีดเข้าใต้ผิวหนังในขนาดเดียวกันอีกครั้งในวันที่ 7 จากนั้นแบ่งหนูเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมแบบลบ (negative control group)เป็นหนูปกติที่ไม่ได้รับสารทดสอบใด ๆ และกลุ่มที่ 1-3 เป็นหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการแพ้และได้รับสารสกัดในขนาด 100, 300 และ 1,000 มก./นน.ตัว 1 กก. (ไม่ระบุวิธีให้) ตามลำดับ นาน 6 วัน การประเมินค่าผลรวมและชนิดของเม็ดเลือดขาว (total leukocytes and differential leukocyte cells) พบว่าหนู negative control group และหนูกลุ่มที่ 1-3 มีผลรวมของเม็ดเลือดขาว 3.6, 3.95, 4.73, และ 6.01 x 103/มคล. ตามลำดับซึ่งจะเห็นได้ว่าสารสกัดของดอกดาหลาทำให้ค่าผลรวมของเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น และเมื่อพิจารณาชนิดของเม็ดเลือดขาวพบว่า สารสกัดของดอกดาหลาทำให้จำนวนของ lymphocytes, eosinophils, และ basophils ลดลง ทำให้จำนวนของ neutrophils เพิ่มขึ้น และทำให้จำนวนของ monocytes ลดลง แต่ผลยังไม่ชัดเจน เมื่อเทียบกับกลุ่ม negative control แสดงให้เห็นว่าสารสกัด 70% เอทานอลของดอกดาหลาออกฤทธิ์ปรับระบบภูมิคุ้มกัน (immunomodulator) และลดอาการแพ้ได้ (34) การศึกษาเพิ่มเติมในลักษณะเดียวกัน แต่แบ่งหนูเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมแบบลบ (negative control group) เป็นหนูปกติที่ไม่ได้รับสารทดสอบใด ๆ กลุ่มควบคุมแบบบวก (positive control group) เป็นหนูปกติที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการแพ้ แต่ไม่ได้รับสารทดสอบใด ๆ และกลุ่มที่ 1-3 เป็นหนูปกติที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการแพ้ และได้รับสารสกัดในขนาด 100, 300 และ 1,000 มก./นน.ตัว 1 กก. (ไม่ระบุวิธีให้) ตามลำดับ นาน 6 วัน การวิเคราะห์ระดับ interleukins(IL)-4 และ immunoglobulin E (IgE) ในเลือด ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการแพ้ พบว่าสารสกัดของดอกดาหลาทำให้ระดับ IL-4 และ IgE ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมบวก (35)
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบการระคายเคือง
การทดสอบอาการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง (skin irritation testing) ของครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำของดอกและสารสกัดน้ำของใบดาหลาจากจังหวัดนราธิวาส (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยการนำสมุนไพรมาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งด้วยตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 50oC และบดให้ละเอียด นำผงแห้ง 100 ก. มาเติมน้ำ 1,000 มล. ให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 50oC นาน 8 ชม. นำไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge ที่ความเร็ว 4,000 รอบ/นาที นาน 5 นาที กรอง และทำให้แห้งด้วยเครื่อง rotary evaporator โดยการลดความดัน จากนั้นนำไปทำให้แห้งด้วยเครื่อง freeze-dryer นำมาพัฒนาเป็นครีมซึ่งมีสารสกัดจากดอก:สารสกัดจากใบ (1:1) เป็นส่วนประกอบ 1% (FL1 cream) ทำการเปรียบเทียบผลของการทาครีม FL1 กับการทา 1%w/v sodium lauryl sulfate (positive reaction) และ deionized water (negative reaction) บริเวณต้นแขนด้านนอกข้างซ้าย เป็นเวลานาน 48 ชม. จากนั้นวิเคราะห์ดัชนีของการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง (primary dermal irritation index; PDII*) ด้วย Draize scoring system พบว่าdeionized water และครีม FL1 มีค่า PDII = 0.00 ซึ่งหมายถึงไม่ทำให้ระคายเคือง (non-irritating)ในขณะที่ sodium lauryl sulfateมีค่า PDII = 0.80ซึ่งหมายถึงทำให้ระคายเคืองเล็กน้อย (slightly irritating) (25)
*primary dermal irritation index (PDII) มีรายละเอียดดังนี้0 = No irritation, >0 - 2.0 = Slight irritation, 2.1 - 5.0 = Moderate irritation, และ >5.0 = Severe irritation
การทดสอบความเป็นพิษ
การทดสอบความเป็นพิษของสารสกัด 80% เมทานอลของดอกดาหลาจากประเทศมาเลเซีย (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลาทำความสะอาด อบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 oC บดให้ละเอียด นำผงแห้ง 150 ก. มาสกัดด้วย 80% เมทานอล 400 มล. (ไม่ระบุวิธี) นาน 1 สัปดาห์ กรอง ทำให้เข้มข้นโดยการลดความดันด้วยเครื่อง rotary evaporator ที่อุณหภูมิ 50 oC ทดสอบความเป็นพิษด้วยวิธี brine shrimpassay พบว่าค่าความเข้มข้นที่ทำให้ brine shrimp ตายครึ่งหนึ่ง (lethal concentration; LC50) คือ 2.52 มก./มล. ในเวลา 24 ชม. ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษ (7)
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัด 50% เอทานอลของดอกดาหลาจากจังหวัดสมุทรสงคราม (ไม่ระบุ voucher specimen) โดยนำดอกดาหลามาทำความสะอาด ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้แห้งที่อุณหภูมิ 50oC นาน 24 ชม. บดให้ละเอียด ทำการสกัดด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงใน 50% เอทานอล โดยใช้อัตราส่วนผงสมุนไพร:ตัวทำละลาย 1:50 w/v (ไม่ระบุระยะเวลา) กรอง ระเหยตัวทำละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator และทำให้แห้งด้วยความเย็น นำมาการทดสอบในหนูแรท โดยป้อนหนูด้วยสารสกัดขนาด 1,000, 1,500 และ 2,000 มก./นน.ตัว 1 กก.เพียงครั้งเดียว สังเกตอาการทุก ๆ ชั่วโมง นาน 24 ชม. ไม่พบการตายหรือความผิดปกติที่แสดงถึงอาการพิษในสัตว์ทดลอง และทำการทดสอบโดยให้กินสารสกัดขนาดดังกล่าววันละ 2 ครั้ง นาน 14 วัน ก็ไม่พบการตายของสัตว์ทดลองหรือความผิดปกติใด ๆ เช่นกัน จึงคาดว่าขนาดที่ทำให้เกิดพิษของสารสกัด 50% เอทานอลของดอกดาหลาคือมากกว่า 2,000 มก./นน.ตัว 1 กก. (20)
ข้อห้ามใช้
ยังไม่มีรายงานข้อห้ามใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ข้อควรระวัง
ยังไม่มีรายงานข้อควรระวังการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง แต่สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้ ขิง ข่า ไพล หรือพืชในวงศ์ ZINGIBERACEAE ควรระมัดระวังการใช้ เนื่องจากเป็นพืชวงศ์เดียวกัน อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
อาการไม่พึงประสงค์
ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ในรูปแบบของเครื่องสำอาง
ขนาดที่แนะนำ (ข้อมูลจากการศึกษาทางคลินิก)
ผลิตภัณฑ์รูปแบบโลชันที่มีสารสกัด 50%v/v propylene glycol ของดอกดาหลาเป็นส่วนประกอบ 2% เมื่อนำมาทาบริเวณรอบดวงตาวันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ จะช่วยให้ความหนาและความลึกของรอยเหี่ยวย่นลดลง 14.4% และ 28% ตามลำดับและเมื่อนำมาทาบริเวณท้องแขนด้านในขนาด 1/10 มล. วันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ จะทำให้ค่า L* (lightness) value (ตัวชี้วัดความกระจ่างใสของผิว) และค่า ITA° (individual typology angle) value (ตัวชี้วัดสีผิว) เพิ่มขึ้น และทำให้ผิวขาวขึ้น (24)
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในรูปแบบครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดน้ำจากดอกและสารสกัดน้ำจากใบดาหลา (อัตราส่วน 1:1) เป็นส่วนประกอบ 1% ไม่ทำให้ระคายเคืองผิวและเมื่อทาบริเวณท้องแขนข้าง วันละ 2 ครั้ง (ตอนเช้าและตอนเย็น) นาน 4 สัปดาห์ จะทำให้ปริมาณเม็ดสีลดลง (25)
สิทธิบัตร
DIP (THAILAND-TH)
สรุป
ข้อมูลงานวิจัยที่มีในขณะนี้พบว่าดอกดาหลามีฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ในเครื่องสำอางพอสมควร โดยการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ยับยั้งเอนไซม์ collagenase ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันรังสี ต้านการแพ้ และมีการศึกษาทางคลินิกพบว่าสามารถลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าและช่วยให้ผิวขาวได้ ซึ่งนับว่ามีแนวโน้มที่ดีในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือเพื่อการใช้ภายนอกได้แต่ยังต้องการข้อมูลงานวิจัยเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
1. ราชันย์ ภู่มา, สมราน สุดดี, บรรณาธิการ. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช; 2557.
2. Etlingera elatior (Jack) R.M.Sm. The plant list. [Internet]. 2012 [cited 2020 Dec 3]. Available from: http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-244696.
3. สำนักส่งเสริมและการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. พืชสมุนไพรปัตตานี. ปัตตานี: สมิ-ลัน เพรส; 2561.
4. กัญจนา ดีวิเศษ, บรรณาธิการ. ผักพื้นบ้านภาคใต้. กรุงเทพฯ: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2542.
5. de Guzman CC, Siemonsma JS, editors. Plant Resources of South-East Asia No 13. Spices. Leiden, Netherlands: Backhuys Publishers; 1999.
6. Lim TK. Edible medicinal and non medicinal plants: Volume 8, Flowers. New Delhi India: CBS Publishers; 2014.
7. LachumySJT, Sasidharan S, Sumathy V, Zuraini Z. Pharmacological activity, phytochemical analysis and toxicity of methanol extract of Etlingera elatior (torch ginger) flowers. Asian Pac J Trop Med. 2010;769-74.doi: 10.1016/S1995-7645(10)60185-X.
8. Chan EWC, Lim YY, Wong SK. Phytochemistry and pharmacological properties of Etlingera elatior: A review. Pharmacogn J. 2011;3(22):6-10.doi:10.5530/pj.2011.22.2
9. Jaafar FM, Osman CP, Ismail NH, Awang K. Analysis of essential oils of leaves, stems, flowers and rhizomes of Etlingera elatior (Jack) R. M. Smith. Malaysian J Anal Sci. 2007;11(1):269-73.
10. Zoghbi MGB, Andrade EHA. Volatiles of the Etlingera elatior (Jack) R. M. Smith and Zingiber spectabileGriff.: Two Zingiberaceae cultivated in the Amazon. J Essent Oil Res. 2005;17:209-11.doi:10.1080/10412905.2005.9698878.
11. Susanti D, Awang NA, Qaralleh H, Mohamed HIS, Attoumani N.Antimicrobial activity and chemical composition of essential oil of Malaysian Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith flowers. J Essent Oil Bear Plants. 2013;16(2):294-99. doi: 10.1080/0972060X.2013.793968.
12. Phuriyakorn S, Seechamnanturakit V, Wichienchot S. Antioxidant and prebiotic gut-microbiota effects of dietary phenolic compounds in Etlingera elatior extracts. Int Food Res J. 2019;26(6):1751-61.
13. Chang YQ, Tan SN, Yong JWH, Ge L. Determination of flavonoids in Costus speciosus and Etlingera elatior by liquid chromatography-mass spectrometry. Analytical Letters. 2012;45:345-55.doi: 10.1080/00032719.2011.644740.
14. Mutakin M, Juwita T, MegantaraS, Puspitasari IM,Levita J. Determination of quercetin and rutin in the ethyl acetate fraction of Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith flower by reversed-phase liquid chromatography-mass spectroscopy. Rasayan J Chem. 2020;13(3):1379-85.doi:10.31788/RJC.2020.1335723.
15. Whangsomnuek N, Mungmai L, Mengamphan K, Amornlerdpison D. Bioactive compounds of aqueous extracts of flower and leaf of Etlingera elatior (Jack) R.M.Sm. for cosmetic application. Maejo Int J Sci Technol. 2019;13(03):196-208.
16. Ramasamy S, Mazlan NA, Ramli NA, Rasidi WNA, Manickam S. Bioactivity and stability studies of anthocyanin-containing extracts from Garcinia mangostana L. and Etlingera elatior Jack. Sains Malaysiana. 2016;45(4):559–65.
17. Khor P-Y, Mohamed FSN, Ramli I, Nor NFAM, Razali SKCM, Zainuddin JA, et al. Phytochemical, antioxidant and photo-protective activity study of bunga kantan (Etlingera elatior) essential oil. JAPS.2017;7(08):209-13.doi:10.7324/JAPS.2017.70828.
18. Marzlan AA, Muhialdin BJ, Abedin NHZ, Mohammed NK, Abadl MMT, Roby BHM, et al. Optimized supercritical CO2 extraction conditions on yield and quality of torch ginger (Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith) inflorescence essential oil. Ind Crops Prod. 2020;154:112581.doi:10.1016/j.indcrop.2020.112581.
19. Singleton VL, Rossi JA. Colorimetry of total phenolics with phosphomolybdic-phosphotungstic acid reagents. Am J Enol Vitic. 1965;16:144-58.
20. Sungthong B, Srichaikul B. Antioxidant activities, acute toxicity and chemical profiling of torch ginger (Etlingera elatior Jack.) inflorescent extract. Pharmacogn J. 2018;10(5):979-82.doi:10.5530/pj.2018.5.166.
21. Wijekoon MJO, Bhat R, Karim AA. Effect of extraction solvents on the phenolic compounds and antioxidant activities of bunga kantan (Etlingera elatior Jack.) inflorescence. J Food Compost Anal. 2011;24:615-9.doi: 10.1016/j.jfca.2010.09.018.
22. Giusti MM, Wrolstad RE. Characterization and measurement of anthocyanins by UV–visible spectroscopy. In: Wrolstad RE, editor. Current protocols in food analytical chemistry. New York: John Wiley and Sons; 2001. Unit F1.2.1-13.2001.
23. Broadhurst RB, Jones WT. Analysis of condensed tannins using acidified vanillin. J Sci Food Agric. 1978;29:788-94.doi: 10.1002/jsfa.2740290908.
24. Nithitanakool S, Teeranachaideekul V, Ponpanich L, Nopporn N, Junhunkit T, Wanasawas P, et al. In vitro and in vivo skin whitening and anti-aging potentials of hydroglycolic extract from inflorescence of Etlingera elatior. JAASP. 2014;3:314-25.
25. Whangsomnuek N, Mungmai L, Mengamphan K, Amornlerdpison D. Efficiency of skin whitening cream containing Etlingera elatior flower and leaf extracts in volunteers. Cosmetics. 2019;6(3):39.doi:10.3390/cosmetics6030039.
26. ดุษฎี ทรัพย์บัว. รายงานการวิจัย เรื่อง ผลของการชงชาต่อปริมาณสารต้านออกซิเดชันและการยอมรับของผู้บริโภคของน้ำชาจากดอกดาหลา. ตรัง: โรงเรียนการเรือน ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งตรัง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต; 2559.
27. Nurlaili, Eliani NBN, Lestari F, Sukemi. DPPH radical scavenging activity of methanol extract of Indonesian Etlingera elatior flower and leaves. J Phys:Conf Ser. 2019;1277:012021.doi:10.1088/1742-6596/1277/1/012021.
28. Maimulyanti A, Prihadi AR. Chemical composition, phytochemical and antioxidant activity from extract of Etlingera elatior flower from Indonesia. J Pharmacogn Phytochem. 2015;3(6):233-8.
29. Yan SW, Asmah R. Comparison of total phenolic contents and antioxidant activities of turmeric leaf, pandan leaf and torch ginger flower. Int Food Res J. 2010;17:417-23.
30. Ng XN, Chye FY, Mohd Ismail A. Nutritional profile and antioxidative properties of selected tropical wild vegetables. Int Food Res J. 2012;19(4):1487-96.
31. Andarwulan N, Batari R, Sandrasari DA, Bolling B, Wijaya H. Flavonoid content and antioxidant activity of vegetables from Indonesia. Food Chem. 2010;121:1231-5.doi: 10.1016/j.foodchem.2010.01.033.
32. Jackie T, Haleagrahara N, Chakravarthi S. Antioxidant effects of Etlingera elatior flower extract against lead acetate – induced perturbations in free radical scavenging enzymes and lipid peroxidation in rats. BMC Res Notes. 2011;4:67.doi: 10.1186/1756-0500-4-67.
33. Anzian A, Rashidah S, Saari N, Sapawi CW, Hussin ASM. Chemical composition and antioxidant activity of torch ginger (Etlingera elatior) flower extract. FABJ. 2017;5(1):32-49.doi: 10.14456/fabj.2017.4.
34. Aldi Y, Husni E, Yesika R. Activity of kincung flowers (Etlingera Elatior (Jack) R.M.Sm.) on total leukocytes and percentage of leukocytes in allergic male white mice. Pharmacog J. 2020;12(1):1648-55.doi: 10.5530/pj.2020.12.8.
35. Husni E, Yesika R, Aldi Y. The extract of kincung flower (Etlingera elatior (Jack) R.M.Sm.) activity to decrease IL-4 and IgE levels in type I hypersensitivity white male mice. Pharmacogn J. 2020;12(4):682-6.doi: 10.5530/pj.2020.12.100.
36. ไม้ดอกไม้ประดับ ดาหลา ความงามที่กินได้ [อินเทอร์เน็ต]. ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดตรัง (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง); 2560 [เข้าถึงเมื่อ 12 มี.ค. 2564]. เข้าถึงได้จาก:https://www.technologychaoban.com/flower-and-decorating-plants/article_11668
37. พยัคฆ์ ลำพรหมสุข. “ดาหลา” พืชร่วมยางพาราเสริมรายได้ [อินเทอร์เน็ต]. งานวิชาการเกษตร ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ; 2562 [เข้าถึงเมื่อ 12 มี.ค. 2564]. เข้าถึงได้จาก: http://r12.ldd.go.th/main/?name=knowledge&file=readknowledge&id=21